ทดลองอ่าน ทรราชหวนคืน บทที่ 13-14 #นิยายวาย – หน้า 2 – Jamsai
Connect with us

Jamsai

everY

ทดลองอ่าน ทรราชหวนคืน บทที่ 13-14 #นิยายวาย

2 of 2หน้าถัดไป

บทที่ 14

ฉู่เซ่าหลิงเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จก็พานางกำนัลกับฉู่เซ่าหยางไปวังเฉิงเฉียนพร้อมกัน ภายในตำหนักนอกจากฮ่องเต้และท่านอ๋องอาวุโสแล้ว คนอื่นๆ ล้วนมากันหมด องค์ชายรองฉู่เซ่าหร่วน องค์ชายสามฉู่เซ่าโม่ ยังมีองค์ชายห้าฉู่เซ่าสุย ต่างลุกขึ้นทำความเคารพฉู่เซ่าหลิง เมื่ออยู่ต่อหน้าผู้คนฉู่เซ่าหลิงย่อมต้องแสดงท่าทีพี่ชายที่แสนดี เขาสอบถามฉู่เซ่าสุยว่าระยะนี้เจริญอาหารดีหรือไม่ และคุยเล่นกับน้องชายสองคนอีกหลายประโยค ท่าทางเป็นพี่น้องที่รักใคร่ปรองดองกันอย่างยิ่ง

ฉู่เซ่าหลิงนำพวกพี่น้องอ้อมฉากกั้นบังลมเข้าไปคารวะไทเฮาด้านใน ไท่เฟย หลายนางกำลังคุยเล่นกับไทเฮา พอเห็นพวกฉู่เซ่าหลิงเข้ามาก็หันมามอง กล่าวยิ้มๆ “องค์ชายใหญ่โตเป็นผู้ใหญ่แล้ว…”

ฉู่เซ่าหลิงยิ้ม ดึงชุดขึ้นเพื่อทำความเคารพไท่เฟยทีละนางๆ บรรดาไท่เฟยต่างรีบเรียกคนให้ประคองเขาลุกขึ้น ไทเฮาเรียกฉู่เซ่าหลิงให้ไปอยู่ข้างกาย กล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “เป็นผู้ใหญ่อย่างไร แค่ปีนี้สูงขึ้นเยอะหน่อยเท่านั้น สุขภาพเขาอ่อนแอ สามวันดีสี่วันไข้ น่าเป็นห่วงที่สุด”

ไท่เฟยผู้หนึ่งยิ้มพลางดึงมือฉู่เซ่าหลิงมาดู พูดเสียงกลั้วหัวเราะ “ครั้งล่าสุดที่หม่อมฉันได้เจอองค์ชายใหญ่คือเมื่อปีก่อน ไม่พบกันสองปี องค์ชายใหญ่งามสง่าขึ้น” จากนั้นไท่เฟยก็ใช้ผ้าเช็ดหน้าซับหัวตา เอ่ยเสียงเบา “องค์ชายใหญ่โฉมงามเหมือนฮองเฮา…”

ไทเฮาได้ยินแล้วดวงตาพลันแดงเรื่อ นางผงกศีรษะ “นิสัยใจคอเหมือนอวี๋เอ๋อร์จริง มีความกตัญญูและน้ำอดน้ำทนเป็นที่สุด ในหมู่เด็กๆ พวกนี้…ข้าเป็นห่วงเขาที่สุด”

ซูเฟยเป็นคนช่างสังเกตอย่างมาก เมื่อเห็นเป็นเช่นนี้นางจึงกล่าวยิ้มๆ “จริงด้วย ไท่เฟยยังไม่เห็นผ้าห่มดิ้นทองลายอักษรอายุยืนร้อยตัวที่ไทเฮาทรงใช้อยู่ตอนนี้ ตัวอักษรอายุยืนที่อยู่บนนั้นล้วนเป็นลายมือขององค์ชายใหญ่ทั้งสิ้น”

เหล่าไท่เฟยฟังแล้วต่างก็ยกย่อง ไทเฮาเช็ดน้ำตาทั้งที่ยังยิ้ม “เช่นนี้หากจะว่าข้าลำเอียงรักเขาก็เป็นความผิดของข้าเอง เด็กคนนี้ช่างน่ารักน่าเอ็นดูยิ่งนัก…”

บรรดาไท่เฟยต่างได้รับศักดินาไปอยู่ที่อื่นจึงไม่รู้เรื่อง ทว่าเหล่านางกำนัลต่างรู้กันดี เมื่อพูดถึงลายอักษรอายุยืนจึงอดคิดถึงลี่เฟยกันไม่ได้ เนื่องจากเรื่องนี้เป็นเหตุให้ลี่เฟยต้องโทษ เสียทั้งตำแหน่งกุ้ยเฟยแล้วยังถูกกักบริเวณอีก จนเมื่อหลายวันก่อนฮ่องเต้ใจอ่อนจึงบอกว่าหลังปีใหม่น่าจะให้ทุกคนได้อยู่พร้อมหน้า ทำให้นางได้รับการปล่อยตัวออกมา

ไทเฮาช้อนสายตาขึ้นมองลี่เฟยปราดหนึ่ง ยิ้มเย็นอยู่ในใจ ไม่รู้ว่าลับหลังนางใช้วิธียั่วยวนเช่นใดถึงได้กล่อมให้ฮ่องเต้เปลี่ยนใจสำเร็จ แต่ก็ช่างเถิด เพราะอย่างไรหลังปีใหม่เหล่าสตรีผู้ได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์จากสกุลเจินต่างต้องเข้าวัง ย่อมไม่สามารถกักบริเวณลี่เฟยไว้ไม่ให้เจอญาติจากสกุลเดิมได้

เนื่องจากเพิ่งได้รับการปล่อยตัว ลี่เฟยจึงรู้จักสงบเสงี่ยมเจียมตัว ยืนก้มหน้าก้มตาอยู่ด้านหลังซูเฟยกับเสียนเฟยไม่พูดมากสักคำ แต่ตราบใดที่สกุลเจินไม่ล่ม ลี่เฟยย่อมไม่ล้ม ฉู่เซ่าหลิงมีแผนการอยู่ในใจ เขาจึงกวาดสายตามองไปที่หนิงกุ้ยเหรินที่อยู่ด้านหลังลี่เฟย หัวใจของฉู่เซ่าหลิงกระตุก พูดเสียงกลั้วหัวเราะเบาๆ “ไม่เจอน้องสี่มานาน สบายดีหรือไม่”

องค์หญิงสี่ฟู่อี๋ถือกำเนิดจากหนิงกุ้ยเหริน พอหนิงกุ้ยเหรินได้ยินก็รีบยิ้ม เดินนำฟู่อี๋มาข้างหน้า กล่าวว่า “องค์ชายใหญ่อุตส่าห์คิดถึง ระยะนี้องค์หญิงเองก็บ่นถึงพี่ชายใหญ่เช่นกัน เจ้าทำถุงผ้าปักมาให้พี่ชายใหญ่มิใช่หรือ เอาออกมาสิ…” หนิงกุ้ยเหรินตบหลังฟู่อี๋ อายุฟู่อี๋ยังไม่พ้นสิบสองปี เนื่องจากมารดาไม่ได้เป็นที่โปรดปรานทำให้นางไม่มีความโดดเด่นในหมู่องค์หญิง หญิงสาวรู้ว่ามารดาต้องพึ่งพาหลิงฮองเฮาจึงสามารถมีที่ยืนอยู่ในวังหลวงได้อย่างมั่นคง ด้วยเหตุนี้นางจึงมีความกตัญญูต่อฮองเฮาและให้ความเคารพต่อฉู่เซ่าหลิง โชคดีที่ฉู่เซ่าหลิงคอยพูดถึงนางอยู่เรื่อยๆ ทำให้ไทเฮาจำนางได้

ฟู่อี๋ค่อนข้างเขินอาย นางหยิบถุงผ้าปักฝีมือประณีตใบหนึ่งออกมาส่งให้ฉู่เซ่าหลิง พูดเสียงเบาว่า “ข้าหัดปักลายใหม่ หวังว่าพี่ชายใหญ่จะไม่รังเกียจ”

ฉู่เซ่าหลิงรับมาดูแล้วตอบด้วยรอยยิ้ม “น้องสี่ฝีมือดีมาก”

“ดูอะไรอยู่หรือ” ไทเฮามองสองพี่น้องยิ้มๆ “ให้ย่าดูด้วยสิ”

ฉู่เซ่าหลิงจึงเดินเข้าไปส่งถุงผ้าปักให้ไทเฮา พูดด้วยรอยยิ้ม “ถุงผ้าปักที่น้องสี่ทำให้กระหม่อม เสด็จย่าว่างามหรือไม่”

ไทเฮาหรี่ตามองแล้วยิ้ม “งามมาก ฟู่อี๋ช่างเอาใจใส่ดีเหลือเกิน หลายวันก่อนเหมือนย่าจะได้ยินว่าฟู่อี๋ป่วย หายดีแล้วหรือ”

“ทูลเสด็จย่า หายดีแล้วเพคะ” ฟู่อี๋ไม่เคยเป็นที่ต้องตาของไทเฮา พอป่วยไทเฮาจึงไม่ได้ใส่ใจนัก นางไม่เคยได้รับความโปรดปรานแต่ก็ไม่เคยสนใจ “แค่ต้องลมเย็น ไม่เป็นอะไรมากเพคะ”

ไทเฮาผงกศีรษะ ส่งถุงผ้าปักไปให้ฉู่เซ่าหลิงโดยไม่พูดมาก ก่อนหันไปสนทนากับเหล่าไท่เฟย ฉู่เซ่าหลิงถือถุงผ้าปักเดินมาถามเสียงเบา “ของที่ข้าส่งไปให้น้องสาวเมื่อเดือนที่แล้วใช้หมดหรือยัง”

ฟู่อี๋ก้มศีรษะ ส่ายหน้า เมื่อเห็นคนรอบข้างไม่ได้ให้ความสนใจ นางก็มองฉู่เซ่าหลิงด้วยแววตาซาบซึ้ง “ยังเจ้าค่ะ ของบำรุงกับเงินที่พี่ชายใหญ่ให้พวกนั้นยังใช้ไม่หมดเลย”

ฉู่เซ่าหลิงหัวเราะเบาๆ “ขาดเหลืออะไรไม่ต้องเอ็ดไป ให้ส่งคนมาบอกข้า อย่าหัดทำตัวเป็นเด็กด้วยการทำร้ายตัวเอง”

ดวงตาของฟู่อี๋แดงเรื่อ นางกลัวจะถูกผู้อื่นเห็นจึงรีบปิดไว้ ผงกศีรษะรับคำ “ข้าทราบแล้ว ขอบพระคุณพี่ชายใหญ่ หาไม่ข้ากับเสด็จแม่…”

“พี่น้องกัน จะพูดเรื่องนี้ไปทำสิ่งใด” ฉู่เซ่าหลิงห้อยถุงผ้าปักไว้บนตัว “เวลาว่างเจ้าก็ตามมารดามาคารวะไทเฮาที่ตำหนักฉืออันให้บ่อยหน่อย ไทเฮาย่อมมีพระดำริ”

ฟู่อี๋ผงกศีรษะรับคำ

ขณะนั้นฮ่องเต้กับบรรดาอ๋องอาวุโสมาถึง ข้างนอกจึงมีเสียงเอะอะ ฉู่เซ่าหลิงพาน้องชายสี่คนออกไปต้อนรับแล้วกล่าวคำทักทายกันอยู่พักหนึ่ง ไม่นานทุกคนก็เข้าประจำที่ ฉู่เซ่าหลิงคารวะสุราฮ่องเต้เป็นคนแรก ต่อด้วยเหล่าอ๋องอาวุโสโดยไล่ไปตามรุ่นและบรรดาศักดิ์ สุดท้ายเขาจึงเริ่มคารวะสุรากับพวกองค์ชาย

ดนตรีภายในตำหนักประโคมขึ้น งานเลี้ยงเริ่มต้น คึกคักสนุกสนานกันมาก ฉู่เซ่าหลิงคลึงถุงผ้าปักที่เพิ่งเอาห้อยติดเอวด้วยท่าทางเหม่อลอยเล็กน้อย

ที่เขาทำดีต่อหนิงกุ้ยเหรินกับองค์หญิงฟู่อี๋สองแม่ลูก เดิมคือเพื่อสืบสานความเมตตาของหลิงฮองเฮาด้วยการดูแลสองแม่ลูกมิให้ตกที่นั่งลำบาก บางครั้งบางทีก็จะส่งข้าวของไปให้และคอยกำราบคนในตำหนักของพวกนาง แต่ฉู่เซ่าหลิงไม่เคยใส่ใจอะไรมากมาย ทว่าวันนี้การได้พบกับฟู่อี๋ทำให้ฉู่เซ่าหลิงนึกแผนออกว่าบางทีน้องสาวคนนี้ของเขาอาจมีประโยชน์

ฉู่เซ่าหลิงมองถุงผ้าปักที่เอวแล้วยิ้มบางๆ ฟู่อี๋อายุสิบสองปี ไม่ถือว่าน้อยแล้ว

งานเลี้ยงดำเนินไปถึงยามไฮ่ ฉู่เซ่าหลิงช่วยดูแลเรื่องที่พักให้บรรดาอ๋องอาวุโส ตอนออกมาเขาถูกไทเฮาเรียกตัวกลับไปเนื่องจากพระนางเกรงว่าฉู่เซ่าหลิงจะดื่มสุราเยอะจึงคอยมองให้เขาดื่มน้ำแกงแก้เมาจนเหงื่อออกก่อน จากนั้นให้คนส่งเขากลับไปที่อุทยานปี้เทาโดยสวัสดิภาพ

 

ภายในตำหนักบรรทม เว่ยจี่สวมเพียงเสื้อตัวในนั่งอ่านหนังสือพิงตั่งนุ่มอยู่บนที่วางเท้า ท่าทางเอาจริงเอาจังอย่างมาก ฉู่เซ่าหลิงไม่ได้ให้คนมาแจ้งก่อน เขาถอดเสื้อคลุมกับเสื้อตัวนอกที่ด้านนอกก่อนเข้าไปด้านใน เขาหัวเราะเบาๆ แล้วเอ่ยออกมา “มานั่งทำอะไรข้างล่าง หนาวหรือไม่ ขึ้นไปบนตั่งดีกว่า”

เว่ยจี่เห็นฉู่เซ่าหลิงกลับมาก็รีบปิดหนังสือลุกขึ้นคารวะ ฉู่เซ่าหลิงยิ้มบางๆ ดึงตัวคนให้ลุกขึ้น “ระหว่างเราสองคนยังต้องมากพิธีอะไรกันอีก อ่านอะไรอยู่หรือ” ฉู่เซ่าหลิงหยิบหนังสือที่เว่ยจี่อ่านค้างไว้ขึ้นมาพลิกดูคร่าวๆ เว่ยจี่ทำเครื่องหมายมากมายจนลายพร้อย ท่าทางจริงจังมาก ฉู่เซ่าหลิงวางหนังสือลงแล้วพูดเสียงนุ่ม “ต่อไปให้อ่านหนังสือตอนกลางคืนน้อยลงหน่อย ถ้าอยากอ่านก็ให้ไปอ่านที่ห้องหนังสือและจุดตะเกียงเยอะๆ เวลาอ่าน อ่านในที่มืดๆ เช่นนี้มันเสียสายตา”

“ผู้น้อยไม่เป็นไร” เว่ยจี่ได้กลิ่นสุราจึงถามเสียงเบา “องค์ชายต้องการน้ำแกงแก้เมาหรือไม่ขอรับ”

ฉู่เซ่าหลิงส่ายหน้า นวดหัวคิ้ว “ข้าจะไปอาบน้ำ เจ้าเข้านอนก่อนเถิด…”

แล้วฉู่เซ่าหลิงก็หมุนตัวเดินไปอาบน้ำ ไม่ถึงครึ่งชั่วยามก็กลับมา แต่เว่ยจี่ยังคงอ่านหนังสืออยู่ที่เดิม ทำให้ฉู่เซ่าหลิงอดขำไม่ได้ “ให้เจ้ารีบนอนก็ไม่ยอมฟัง มานี่”

ฉู่เซ่าหลิงดึงตัวเว่ยจี่ขึ้นเตียงแล้วดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมร่างของทั้งคู่ “เมื่อตอนเย็นกินอะไรบ้าง”

เว่ยจี่ตอบว่า “องค์ชายไม่อยู่ ผู้น้อยกินอาหารทั้งโต๊ะคนเดียวเช่นนี้รู้สึกไม่ค่อยดี ต่อไป…”

“รู้สึกไม่ค่อยดี?” ฉู่เซ่าหลิงก้มลงจุมพิตหน้าผากของเว่ยจี่หนึ่งครั้ง ลดเสียงให้เบาลง “วันนี้ฉู่เซ่าหยางรังแกเจ้า แต่เจ้าสบายใจได้ ข้าจดบัญชีไว้แล้ว”

เว่ยจี่หน้าแดง อดไม่ได้ที่จะยกมือขึ้นลูบตำแหน่งที่ถูกจุมพิตพลางส่ายหน้า “องค์ชายสี่มิได้รังแกผู้น้อย การอ่านหนังสือในห้องหนังสือขององค์ชายเดิมเป็นความผิดอยู่แล้ว”

“เพราะอย่างนี้เจ้าจึงมาอ่านหนังสือในห้องนอนตอนกลางคืน ไม่ยอมไปอ่านที่ห้องหนังสือหรือ” ฉู่เซ่าหลิงหลับตาลง “เหตุใดเจ้าจึงทำให้ข้าต้องเป็นห่วงนักนะ…จงใจใช่หรือไม่ หืม?”

ฉู่เซ่าหลิงพลิกตัวกอดเว่ยจี่ไว้ในอ้อมแขน แม้เว่ยจี่จะไม่ค่อยเข้าใจการหยอกเย้าของฉู่เซ่าหลิง แต่รับรู้ได้ถึงความรักใคร่เอ็นดูในน้ำเสียงอีกฝ่าย ในใจจึงรู้สึกอบอุ่น พูดเสียงเบาว่า “เดิมผู้น้อยเป็นผู้คุ้มกันไร้ตำแหน่ง เพราะได้รับความเมตตาจากองค์ชายจึงได้เชิดหน้าชูตาขึ้นมา ทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่องค์ชายมอบให้ ผู้น้อยไม่มีสิ่งใดสามารถตอบแทนองค์ชาย สายตาก็ไม่เฉียบไว ถึงได้สร้างความเดือดร้อนให้องค์ชาย…”

หัวใจของฉู่เซ่าหลิงเจ็บแปลบๆ และหวานล้ำในที เด็กคนนี้มาเพื่อพิฆาตเขาโดยแท้ ฉู่เซ่าหลิงอดทนจนทนไม่ไหว ต้องก้มหน้าลงจุมพิตริมฝีปากของเว่ยจี่

ดวงตาของเว่ยจี่เบิกโพลงขึ้นทันที พูดไม่ออกสักประโยค…

ใช่ว่าฉู่เซ่าหลิงจะไม่เคยจุมพิตริมฝีปากของเขา แต่ที่ผ่านมาเป็นการจุมพิตแค่ผิวเผิน ทว่าคราวนี้ฉู่เซ่าหลิงไม่ยอมยุติแค่จุมพิตแผ่วๆ นิ้วเรียวยาวของฉู่เซ่าหลิงลูบไล้ผิวที่คอของเว่ยจี่เบาๆ นิ้วเลื่อนขึ้นพลางออกแรงน้อยๆ เพื่อเชยคางของเว่ยจี่ขึ้น และฉวยโอกาสตอนที่เด็กหนุ่มยังไม่ทันตั้งตัวแทรกเข้าไปในโพรงปากอ่อนนุ่มของเว่ยจี่…

เว่ยจี่ผงะถอยหนีตามสัญชาตญาณ แต่มือข้างหนึ่งของฉู่เซ่าหลิงกักแผ่นหลังของอีกฝ่ายไว้ในอ้อมแขนอย่างแน่นหนา จุมพิตของฉู่เซ่าหลิงมาพร้อมกับการแสดงความเป็นเจ้าของ ฉู่เซ่าหลิงลืมตาเพื่อชื่นชมสีหน้าทุกรูปแบบของเว่ยจี่อย่างหิวกระหายไม่ยอมปล่อยผ่าน เขาไล้ไปตามแนวฟันของเว่ยจี่อย่างอ่อนโยน ควานหาปลายลิ้นที่พยายามเลี่ยงหลบของเด็กหนุ่ม มือของฉู่เซ่าหลิงออกแรงมากขึ้น นึกชังที่ไม่สามารถหลอมรวมคนผู้นี้เข้าไปในร่างของตนได้

ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไร ฉู่เซ่าหลิงถึงได้ยอมทำกุศลครั้งใหญ่ด้วยการปล่อยคน เว่ยจี่หอบหายใจเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าจุมพิตเมื่อครู่ได้ทำลายสติของเว่ยจี่ไปแล้ว ใบหน้าของผู้คุ้มกันหนุ่มน้อยแดงฉานเพราะความเขินอาย

ฉู่เซ่าหลิงหัวเราะเบาๆ “รู้สึกดีหรือไม่”

เว่ยจี่เขินหนักจนพูดไม่ออก ฉู่เซ่าหลิงปล่อยตัวคนด้วยรอยยิ้ม เนิ่นนานเขาจึงเอ่ยต่อว่า “รู้เรื่องที่ฮ่องเต้กับลี่เฟยมาตรวจสอบเรื่องวิชามารที่ตำหนักข้าคราวก่อนหรือไม่”

เว่ยจี่ผงกศีรษะ “ทราบขอรับ”

“นั่นเป็นข่าวที่น้องชายแสนดีของข้าปล่อยออกไป” ฉู่เซ่าหลิงยิ้มเย็น “เขาอยากให้ใครสักคนทำลายข้า แล้วจะห่วงว่ามีใครอยู่ในห้องหนังสือของข้าจากใจจริงได้อย่างไร…”

ผู้คนในวังต่างประจักษ์ในสายสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นระหว่างฉู่เซ่าหลิงกับฉู่เซ่าหยาง เว่ยจี่ยังดึงสติกลับมาจากอารมณ์พิศวาสเมื่อครู่ไม่ได้ เขาเบิกตาโตอย่างอึ้งๆ “เหตุใด…องค์ชายสี่เป็นพี่น้องแท้ๆ ขององค์ชาย…”

“เพราะเป็นพี่น้องแท้ๆ ถึงทำได้สะดวก” ฉู่เซ่าหลิงหลับตาลงเพื่อปัดภาพในอดีตชาติออกจากสมอง “เขาคิดว่าข้าไม่รู้เรื่อง แต่ที่ข้าบอกเจ้าก็เพื่อให้เจ้าระวัง อย่าเก็บเอาคำพูดของผู้อื่นมาคิดมาก ฟังข้าคนเดียวก็พอ”

สมองของเว่ยจี่กำลังสับสน พอได้ยินเช่นนั้นเขาก็ผงกศีรษะ “ผู้น้อยจะเชื่อฟังองค์ชาย”

ฉู่เซ่าหลิงมองท่าทางซื่อๆ ของเด็กหนุ่มแล้วรู้สึกขบขัน คาดว่าเวลานี้หากเขาบอกว่าแสงจันทร์เป็นทรงกลมเว่ยจี่ก็คงตอบรับ ครู่หนึ่งฉู่เซ่าหลิงก็นึกถึงถุงผ้าปักที่ได้รับมาวันนี้จึงเอ่ยถาม “จริงสิ พี่ชายใหญ่ของเจ้าหมั้นหมายแล้วหรือยัง”

เว่ยจี่ส่ายหน้า “ยังขอรับ องค์ชายจะทำสิ่งใดหรือ”

“เปล่า” ฉู่เซ่าหลิงกระชับผ้าห่มคลุมร่างของทั้งสอง และจุมพิตหน้าผากของเว่ยจี่ “นอนเถอะ”

 

ติดตามเรื่องราวทั้งหมดได้ใน ทรราชหวนคืน เล่ม 1 ฉบับเต็ม

2 of 2หน้าถัดไป

Comments

comments

No tags for this post.
Continue Reading

More in everY

บทความยอดนิยม

everY

ทดลองอ่าน เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 Chapter 2.1-2.2 #นิยายวาย

ทดลองอ่าน เรื่อง เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 ผู้เขียน : MINTRAN แปลโดย : ทันบี ผลงานเรื่อง : 배타적 연애 금지구역 ถือเป็นลิขสิทธิ์...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 1-2

บทที่ 1 ฮ่องเต้หญิง   “ท่านพี่นำร้อง น้องหญิงคลอรับ ท่านพี่เสียงเพิ่งลับ น้องหญิงสลับขึ้นเวที เป็นมารดาอารี มีบุตรีกตัญญ...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน ร้อยเรียงรักเคียงฤทัย บทนำ – 1.2

บทนำ ความหลังของต้าลี่ 1   ฤดูหนาวในรัชศกต้าลี่ปีที่สิบเอ็ด โม่เป่ย ตำบลค่งหม่า สถานที่แห่งนี้คือประตูด่านสำคัญสุดท้ายทา...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 7-8

บทที่ 7 ค่าเดินทาง เมื่อภูตสุนัขดำคืนร่างเป็นสุนัขธรรมดาตัวหนึ่ง ภูตบุปผาสองตนนั้นก็ไม่อาจทำการใหญ่ ต่อให้ชาวหมู่บ้านป่า...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 3-4

บทที่ 3 เกิดใหม่   เวิ้งฟ้าดำสนิทปานน้ำหมึก เพียงมีดวงดาวบางตากระจัดกระจายบนม่านฟ้า ทอรัศมีอ่อนจางประเดี๋ยวเผยประเดี๋ยวเ...

community.jamsai.com