ทดลองอ่าน ทรราชหวนคืน บทที่ 5-6 #นิยายวาย – หน้า 2 – Jamsai
Connect with us

Jamsai

everY

ทดลองอ่าน ทรราชหวนคืน บทที่ 5-6 #นิยายวาย

2 of 2หน้าถัดไป

บทที่ 6

นับตั้งแต่วันนั้นฉู่เซ่าหลิงไม่ได้พูดคุยกับเว่ยจี่มาก เพียงแต่ให้เขามาอยู่ข้างกายทุกวัน เว่ยจี่เองก็ว่าง่ายเพราะชื่นชมในตัวฉู่เซ่าหลิงเป็นทุนเดิมและเฝ้าคิดถึงแต่อีกฝ่ายเสมอ ทว่าแม้เว่ยจี่จะได้รับการปฏิบัติจากฉู่เซ่าหลิงเช่นนี้ ตัวเขากลับไม่กล้าแสดงออกนอกหน้า เพราะกลัวว่าจะถูกคนคิดไม่ดีล่วงรู้และเอาเรื่องนี้ไปทำร้ายฉู่เซ่าหลิงได้

“องค์ชาย เช้านี้ซุนหมัวมัวจากตำหนักไทเฮามาขอรับ” หวังมู่หานหรือหวังกงกงวางชามน้ำแกงสีขาววาดลายทองหนึ่งใบลงบนโต๊ะ “นางเอารังนกทองมาให้หลายชาม สั่งให้พวกบ่าวตุ๋นให้องค์ชายดื่มบำรุงทุกเช้าเย็น ชามนี้เพิ่งตุ๋นเสร็จ องค์ชายรีบดื่มตอนร้อนๆ เถิด”

ฉู่เซ่าหลิงเพิ่งกลับมาจากท้องพระโรง เวลานี้เขาเริ่มอายุมากขึ้นแล้วจึงต้องไปฟังข้อราชการและหัดอ่านฎีกาทุกวันทำให้เหน็ดเหนื่อยไม่น้อย ฉู่เซ่าหลิงยื่นมือไปเปิดฝาถ้วยดูแล้วกล่าวยิ้มๆ “เสด็จย่าอุตส่าห์คิดถึงข้า พวกเจ้าถอยออกไปก่อน ให้เว่ยจี่อยู่”

ระยะนี้ฉู่เซ่าหลิงมักให้เว่ยจี่อยู่รับใช้ตนตามลำพัง หวังมู่หานจึงก้มศีรษะรับคำ โค้งตัวพาเหล่าข้ารับใช้ถอยออกไป

เว่ยจี่ได้ยินคำของฉู่เซ่าหลิงแล้วก็รู้สึกกระอักกระอ่วน ทว่าเขายังคงก้มหน้ายืนอยู่ตรงโต๊ะอย่างว่าง่าย ฉู่เซ่าหลิงยกชามน้ำแกงขึ้นมาดมก่อนหันไปมองเว่ยจี่ “ช่วยชิมให้ข้าหนึ่งคำ”

เว่ยจี่ชะงัก ในเมื่อหวังกงกงจะต้องให้คนทดสอบพิษในอาหารของฉู่เซ่าหลิงก่อนส่งเข้ามาอยู่แล้ว เหตุใดเขาจึงต้องชิมอีก

เว่ยจี่ยืนนิ่งไม่ขยับ ฉู่เซ่าหลิงหัวเราะเบาๆ “ไม่ได้หรือ แค่ให้ช่วยชิมดูว่าร้อนลวกปากหรือไม่เท่านั้น”

เว่ยจี่ยังมีอาการลังเล เนื่องจากนี่เป็นงานของนางกำนัลแต่กลับจะให้เขาทำ มันหมายความว่าอะไร อีกประการคือของที่เขากินแล้วจะให้องค์ชายกินอีกได้อย่างไร เว่ยจี่ไม่แน่ใจแต่ก็ไม่กล้าขัดคำสั่งของฉู่เซ่าหลิง เขาหยิบชามน้ำแกงมาเปิดฝา รังนกตุ๋นมาข้นมาก กลิ่นหอมกรุ่นยั่วน้ำลาย เว่ยจี่ใช้ช้อนเงินตักชิมคำเล็กๆ หนึ่งคำพบว่าไม่ร้อนไม่เย็นกำลังดี จากนั้นเว่ยจี่ก็เอาผ้าไหมบนถาดฉลุลายที่ไว้ให้ฉู่เซ่าหลิงเช็ดมือมาเช็ดช้อนเงินที่เขาใช้แล้วอย่างดีก่อนเลื่อนชามไปตรงหน้าฉู่เซ่าหลิง ก้มศีรษะพูดว่า “ทูลองค์ชาย กำลังดีขอรับ”

ฉู่เซ่าหลิงเอาแต่อมยิ้ม มองท่าทางของเว่ยจี่ เขาฟังคำรายงานแล้วหัวเราะ ชิมรังนกไปหนึ่งคำก็วาง “รังนกวันนี้คาว ไม่อร่อย เจ้ากินเถอะ”

เว่ยจี่ชะงัก แม้รังนกจะเป็นของหายาก แต่ตอนอยู่บ้านเขาก็เคยกิน เมื่อครู่ถึงจะชิมแค่คำเล็กๆ หนึ่งคำเว่ยจี่ก็รับรู้ได้ว่ารังนกนี้ดีกว่ารังนกบ้านของเขามาก ไม่มีกลิ่นคาวสักนิด

ฉู่เซ่าหลิงสั่งเสร็จก็หยิบหนังสือหนึ่งเล่มมาอ่าน ไม่สนใจเว่ยจี่อีก เว่ยจี่ทำอะไรไม่ได้ น้ำเสียงลังเล “องค์ชาย…”

ฉู่เซ่าหลิงเงยหน้าขึ้นมองเว่ยจี่แวบหนึ่ง “ข้าให้กิน เจ้าก็กินเถอะ” กล่าวจบก็ไม่มองเว่ยจี่อีก ยังคงพลิกหนังสือในมืออ่านช้าๆ เว่ยจี่อับจนหนทาง ทำได้เพียงหยิบช้อนคันเล็กมาตักเข้าปากทีละคำๆ เขาไม่ได้กินอาหารตรงเวลาเพราะต้องทำงาน ทำให้ตอนนี้หิวแล้วจริงๆ รังนกอุ่นๆ หนึ่งชามช่วยให้สบายท้องขึ้นไม่น้อย เว่ยจี่เม้มริมฝีปาก วางถ้วยน้ำแกงว่างเปล่าลงบนโต๊ะหนังสือเบาๆ

หางตาของฉู่เซ่าหลิงคอยมองเว่ยจี่อยู่ตลอด ไม่รู้เหตุใดทุกครั้งที่เห็นเว่ยจี่กินของที่ตนให้ ฉู่เซ่าหลิงจะรู้สึกดีมาก หลังได้อยู่ร่วมกันมาหลายวันฉู่เซ่าหลิงก็พอจะรู้ความชมชอบของเว่ยจี่คร่าวๆ ว่าเขาชอบกินอาหารจำพวกเนื้อสัตว์ ชอบกินของหวาน ของกินอย่างโจ๊กร้อนๆ ก็ชอบ เว่ยจี่ไม่ใช่คนกินทิ้งกินขว้าง ต่อให้เป็นของกินที่ฉู่เซ่าหลิงกินเหลือครึ่งหนึ่งเขาก็จะค่อยๆ กินจนหมด ไม่มีเหลือทิ้งให้สิ้นเปลือง สักพักฉู่เซ่าหลิงก็ช้อนตาขึ้นมองเว่ยจี่ พูดยิ้มๆ “อิ่มแล้วใช่หรือไม่ เมื่อครู่ตอนเข้ามาข้าได้ยินเสียงท้องเจ้าร้อง!”

เว่ยจี่ได้ยินแล้วหน้าแดง ในใจทั้งอับอายที่ตนทำเรื่องขายหน้าต่อหน้าองค์ชายและซาบซึ้งใจที่ฉู่เซ่าหลิงอุตส่าห์คิดถึงท้องไส้ของเขา จึงไม่รู้ว่าควรพูดอย่างไรไปชั่วขณะหนึ่ง ได้แต่พูดเสียงงึมงำ “ผู้น้อย…”

ฉู่เซ่าหลิงหัวเราะ แต่พอคิดถึงตอนเข้าประชุมวันนี้เขาก็มีอาการใจลอย เนิ่นนานกว่าจะกล่าวออกมาว่า “พี่ชายเจ้า…คนที่ทำงานอยู่ค่ายเซียวฉีชื่อ…”

เว่ยจี่ก้มศีรษะ “พี่ข้าชื่อเว่ยจั้นขอรับ”

“ใช่ เว่ยจั้น” ฉู่เซ่าหลิงผงกศีรษะ “พี่ชายเจ้าอายุเท่าไร”

เว่ยจี่ตอบ “พี่ข้าเกิดปีมะโรง ปีนี้อายุสิบเจ็ดขอรับ”

ฉู่เซ่าหลิงหัวเราะ “เช่นนั้นก็ปีเดียวกับข้า…” ฉู่เซ่าหลิงเห็นเว่ยจี่มองเขาอย่างงงๆ ก็อธิบาย “ไม่มีอะไร ข้าแค่ถามไปเรื่อยเปื่อย”

ฉู่เซ่าหลิงมีแผนในใจแล้ว แม้ตอนนี้เขาจะยังไม่ได้วางแผนเรื่องวันข้างหน้าของตนกับเว่ยจี่ แต่จะต้องหาทางยกย่องอีกฝ่ายขึ้นมาแน่ๆ เวลานี้ตำแหน่งของเว่ยจี่ไม่สูง ใช่ว่าอาศัยกำลังของเขาคนเดียวจะยกอีกฝ่ายขึ้นมาไม่ได้ แต่เว่ยจี่เป็นคนคิดมาก ถ้าทำเช่นนั้นเกรงว่าเจ้าตัวจะไม่พอใจ เพราะการเลื่อนขั้นโดยไร้ความชอบจะนำมาซึ่งปัญหา วิธีที่ดีที่สุดคือค่อยๆ ยกตระกูลของเว่ยจี่ขึ้นมา

ฉู่เซ่าหลิงศึกษาเรื่องครอบครัวของเว่ยจี่จนกระจ่างแล้ว บิดาของเว่ยจี่ เว่ยหมิงเป็นคนความสามารถธรรมดาไม่โดดเด่น ได้รับสืบทอดบรรดาศักดิ์มาสิบกว่าปีแล้วยังไม่มีผลงาน ได้แต่แขวนชื่อไว้ในกรมปกครองไม่สามารถยกขึ้นมาได้ เว่ยจี่ไม่มีพี่สาวหรือน้องสาว มีเพียงพี่ชายคนโตคนเดียว เว่ยจั้นคนนี้ฉู่เซ่าหลิงค่อนข้างให้ความสนใจ เนื่องจากค่ายเซียวฉีมิใช่สถานที่ที่จะเข้าไปได้อย่างง่ายดาย ยิ่งสกุลเว่ยไม่มีคนที่พอจะมีปากเสียงอยู่ในหมู่องครักษ์ด้วย แต่เว่ยจั้นกลับได้ตำแหน่งรองผู้บัญชาการในค่ายเซียวฉีมาตั้งแต่อายุสิบเจ็ดปี เรียกได้ว่ามิใช่ธรรมดา

ตอนเข้าประชุมวันนี้เสนาบดีกรมทหารรายงานว่าผู้บัญชาการค่ายเซียวฉีส่งฎีกาลาออก เนื่องจากปีนี้ผู้บัญชาการค่ายเซียวฉีมีอายุห้าสิบสองปีแล้ว เดิมควรได้เกษียณอายุและตามหลักที่มีมาคือหลังส่งหนังสือลาออกแล้ว เขาจะพ้นสภาพการเป็นขุนนาง ฮ่องเต้ยอมรับฎีกาแจ้งปัญหาฉบับนี้ แต่ยังไม่มีการกำหนดตัวผู้บัญชาการค่ายเซียวฉี

ถ้าเป็นเวลาปกติย่อมต้องเลื่อนรองผู้บัญชาการขึ้นมารับตำแหน่ง เพียงแต่ชาติตระกูลของรองผู้บัญชาการค่ายเซียวฉีคนปัจจุบันไม่ค่อยดีเพราะถือกำเนิดจากทหารเลว ที่เขาได้รับการยกย่องให้ขึ้นมาดำรงตำแหน่งนี้ก็ถือว่าเต็มที่แล้ว ยามนี้ยังไม่รู้ว่าควรจะส่งผู้ใดไป

แต่ไม่ว่าอย่างไรขณะนั้นฉู่เซ่าหลิงก็ยังคงนึกถึงเว่ยจั้น ทว่าเขาไม่สะดวกที่จะยกเว่ยจั้นขึ้นมาด้วยตัวเอง จะให้ท่านตาช่วยพูดก็เกรงว่าถ้าทำเช่นนั้นฝ่าบาทจะสงสัย แต่ถ้าเป็นคนอื่น…

ฉู่เซ่าหลิงวางแผนในใจช้าๆ หางตาเผลอเหลือบไปมองเว่ยจี่ซึ่งกำลังก้มหน้าเช็ดปาก อากัปกิริยาเล็กๆ น้อยๆ นี่กลับดูน่ารักมากสำหรับฉู่เซ่าหลิง พอเว่ยจี่เห็นว่าฉู่เซ่าหลิงมองตนก็รีบวางมือลง ยืนตัวตรง

ฉู่เซ่าหลิงหัวเราะเบาๆ แต่ตอนที่เขาตั้งท่าจะพูด หวังมู่หานกลับเดินเข้ามาแจ้งก่อนว่า “องค์ชาย องค์ชายสี่มาขอรับ”

รอยยิ้มของฉู่เซ่าหลิงแข็งค้างอยู่ที่มุมปาก สักพักเขาถึงเอ่ยปาก “เชิญ” และสั่งให้เว่ยจี่ถอยออกไปก่อน

แต่ไหนแต่ไรมาฉู่เซ่าหยางสามารถเข้าออกวังของฉู่เซ่าหลิงได้ตามใจ เพราะถือว่าพี่ชายรักเอ็นดูเลยได้คืบเอาศอก พอเข้ามาด้านในแล้วเขาก็นั่งลงพูดยิ้มๆ “วันนี้พี่ใหญ่ตื่นเสียเย็น ข้ายังกลัวว่ามาแล้วจะไม่เจอเสียอีก”

“มีที่ใดกัน” ฉู่เซ่าหลิงสั่งให้คนยกน้ำชา พูดเสียงเรียบ “เย็นถึงเพียงนี้แล้ว เจ้ามาทำอะไร”

ฉู่เซ่าหยางหัวเราะ “ข้าได้ยินว่าวันนี้เสด็จย่าส่งรังนกมาให้พี่ใหญ่ไม่น้อย เลยจะมาขอกินบ้าง”

ฉู่เซ่าหลิงก็หัวเราะเบาๆ “เจ้าอยากได้ของพวกนี้ตั้งแต่เมื่อไร ตำหนักเจาหยางไม่มีรังนกหรือ”

“มีน่ะมี ข้าอยากได้ของพี่เสียที่ใดเล่า” ฉู่เซ่าหยางขำ “เพียงแต่เสด็จย่าให้พี่ใหญ่คนเดียว ข้าได้ยินแล้วหงุดหงิด! เพราะพวกชอบค่อนแคะในวังหลินจื่อล้วนน่ารำคาญ ปากเสียกันทั้งนั้น”

ฉู่เซ่าหยางชะโงกตัวเข้ามาหาฉู่เซ่าหลิง พูดเสียงเบาลง “เสด็จย่าน่าจะคอยกำราบลี่กุ้ยเฟยเอาไว้ หากรอให้นางได้เป็นฮองเฮาจริงๆ ถึงเวลานั้นเราสองพี่น้องจะอยู่ในวังต่อไปได้อย่างไร โชคดีที่มีไทเฮา พี่ใหญ่…ข้าหวังว่าต่อไปท่านจะได้เป็นฮ่องเต้”

น้ำเสียงของฉู่เซ่าหลิงเรียบสนิท “อย่าพูดเหลวไหล”

“แค่ปิดประตูคุยกันตามประสาพี่น้อง” ในดวงตาของฉู่เซ่าหยางมีความรักใคร่ชื่นชมต่อพี่ชาย “เวลานี้ไทเฮาดีต่อพี่ใหญ่มาก ถ้าหากไม่เกิดเรื่องไม่คาดฝัน พี่ใหญ่จะต้องได้ตำแหน่งรัชทายาท ขอเพียงพี่ใหญ่ได้เป็นฮ่องเต้ จะให้ข้าทำสิ่งใดก็ได้ทั้งนั้น”

ฉู่เซ่าหลิงชะงัก พูดเสียงเบา “เรื่องนี้เจ้าวางใจเถอะ ข้าคิดวิธีจัดการลี่กุ้ยเฟยกับฉู่เซ่าหร่วนไว้นานแล้ว ไม่เกินสามเดือน ทั้งสองคนต้องตาย”

ฉู่เซ่าหยางตื่นเต้น เขากวาดตามองไปรอบๆ จนแน่ใจว่าประตูหน้าต่างปิดสนิทดีจึงเอ่ยถามเสียงเบา “พี่ใหญ่มีวิธีดีๆ อะไรหรือ”

ฉู่เซ่าหลิงยิ้มอ่อนโยน “วิธีนี้ชั่วร้ายเกินไป เจ้าไม่จำเป็นต้องรู้”

“พี่ใหญ่บอกข้ามาเถิด ข้าจะได้ช่วย!” ดวงตาของฉู่เซ่าหยางเป็นประกาย “เป็นวิธีใดหรือ?!”

ฉู่เซ่าหลิงลังเล แต่เพราะทนฉู่เซ่าหยางตื๊อไม่ไหวจึงพูดเสียงค่อย “วิชามาร”

“พี่…พี่ใหญ่” ฉู่เซ่าหยางทำหน้าแปลกๆ “ท่านเชื่อของพวกนี้ได้อย่างไร ที่ผ่านมาท่านบอกว่าวิชามารเป็นเรื่องเหลวไหล ไม่สามารถทำอะไรใครได้”

ฉู่เซ่าหลิงหัวเราะเบาๆ “เจ้าไม่รู้อะไร…หลายวันก่อนฟู่จิงหลุนหาวิชายอดเยี่ยมมาให้ข้าได้วิชาหนึ่ง ขอเพียงเอาวันเดือนปีเกิดแปดอักษรเขียนลงบนกระดาษยันต์ด้วยชาด แล้วเอายันต์นี้ไปเผาตอนกลางดึกทุกคืนเป็นจำนวนหนึ่งร้อยแผ่น ไม่เกินร้อยวัน คนที่โดนคำสาปจะต้องตาย”

ฟู่จิงหลุนคือพระอาจารย์ของรัชทายาท เป็นอาจารย์คนปัจจุบันของฉู่เซ่าหลิง และเป็นที่ปรึกษาที่อยู่ข้างกายเขา

ฉู่เซ่าหยางย่นหัวคิ้วเล็กน้อย “พี่ใหญ่ทำเช่นนี้ทุกวัน…เกิดถูกจับได้จะทำอย่างไร”

ฉู่เซ่าหลิงหัวเราะเบาๆ “ต่อให้ถูกจับได้แล้วจะอย่างไร ข้าแค่สาปแช่งสนมคนหนึ่ง มีไทเฮาอยู่ เสด็จพ่อไม่มีทางทำอะไรข้าได้ หรือเสด็จพ่อจะประหารข้าเล่า แต่หากสำเร็จ เท่ากับตะปูที่แทงตาเราสองพี่น้องก็จะหายไปหนึ่งตัว”

ฉู่เซ่าหยางยังคงไม่แน่ใจ พูดเสียงงึมงำ “พี่ใหญ่…”

“วางใจเถอะ” ฉู่เซ่าหลิงลุกขึ้นไปตบไหล่ฉู่เซ่าหยาง “เจ้าทำเป็นไม่ได้ยินก็พอ”

ฉู่เซ่าหยางผงกศีรษะ สีหน้าคล้ายกำลังคิดเรื่องอะไรบางอย่าง

 

โปรดติดตามตอนต่อไป

ติดตามบทที่ 7-8 ได้ในวันที่ 10 .. 64

 

2 of 2หน้าถัดไป

Comments

comments

No tags for this post.
Continue Reading

More in everY

บทความยอดนิยม

everY

ทดลองอ่าน เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 Chapter 2.1-2.2 #นิยายวาย

ทดลองอ่าน เรื่อง เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 ผู้เขียน : MINTRAN แปลโดย : ทันบี ผลงานเรื่อง : 배타적 연애 금지구역 ถือเป็นลิขสิทธิ์...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 1-2

บทที่ 1 ฮ่องเต้หญิง   “ท่านพี่นำร้อง น้องหญิงคลอรับ ท่านพี่เสียงเพิ่งลับ น้องหญิงสลับขึ้นเวที เป็นมารดาอารี มีบุตรีกตัญญ...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน ร้อยเรียงรักเคียงฤทัย บทนำ – 1.2

บทนำ ความหลังของต้าลี่ 1   ฤดูหนาวในรัชศกต้าลี่ปีที่สิบเอ็ด โม่เป่ย ตำบลค่งหม่า สถานที่แห่งนี้คือประตูด่านสำคัญสุดท้ายทา...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 7-8

บทที่ 7 ค่าเดินทาง เมื่อภูตสุนัขดำคืนร่างเป็นสุนัขธรรมดาตัวหนึ่ง ภูตบุปผาสองตนนั้นก็ไม่อาจทำการใหญ่ ต่อให้ชาวหมู่บ้านป่า...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 3-4

บทที่ 3 เกิดใหม่   เวิ้งฟ้าดำสนิทปานน้ำหมึก เพียงมีดวงดาวบางตากระจัดกระจายบนม่านฟ้า ทอรัศมีอ่อนจางประเดี๋ยวเผยประเดี๋ยวเ...

community.jamsai.com