ทดลองอ่าน ทรราชหวนคืน บทที่ 7-8 #นิยายวาย – Jamsai
Connect with us

Jamsai

everY

ทดลองอ่าน ทรราชหวนคืน บทที่ 7-8 #นิยายวาย

หน้าที่แล้ว1 of 2

บทที่ 7

ระยะนี้ลี่กุ้ยเฟยอยู่อย่างลำบากมาก

ตอนแรกที่ฮองเฮาสวรรคต นางได้รับการเลื่อนขั้นขึ้นเป็นกุ้ยเฟย ได้อยู่เหนือคนทุกคน ทั้งยังครอบครองตราหงส์ ควบคุมกิจการทั้งหกตำหนัก ทำให้ลี่กุ้ยเฟยเข้าใจว่าในที่สุดตนก็ชนะ บัดนี้ตำแหน่งฮองเฮาอยู่ห่างออกไปเพียงก้าวเดียว ทว่าไม่ว่าอย่างไรนางก็ยังไปไม่ถึงเสียที

ฉู่เซ่าหร่วนเลิกเรียนจากสำนักศึกษาหลวงก็ตรงมาที่วังหลินจื่อของลี่กุ้ยเฟย องค์ชายรองฉู่เซ่าหร่วนปีนี้อายุสิบเจ็ดปี กำลังอยู่ในวัยหนุ่มฉกรรจ์ ฉู่เซ่าหร่วนคารวะลี่กุ้ยเฟย นางรีบดึงบุตรชายมานั่งเพื่อสอบถามเรื่องการบ้านของวันนี้

ฉู่เซ่าหร่วนหัวเราะ “เสร็จหมดแล้วพ่ะย่ะค่ะ พระอาจารย์บอกว่านอกจากของพี่ใหญ่ บทความของลูกเขียนได้ดี”

“องค์ชายใหญ่…” พูดถึงฉู่เซ่าหลิง ลี่กุ้ยเฟยก็รู้สึกปวดใจขึ้นมาอีกครั้ง “พวกพระอาจารย์จะกล้าบอกว่าบทความที่เขาเขียนไม่ดีได้หรือ”

ฉู่เซ่าหร่วนฟังแล้วหมดอารมณ์สนุก เขารู้เรื่องนี้ดีว่ามิใช่เพราะเขาอายุน้อยกว่าฉู่เซ่าหลิงสองเดือน แต่เป็นเพราะเขาไม่ได้ถือกำเนิดจากครรภ์ของฮองเฮา ทำให้สถานภาพของทั้งคู่แตกต่างกันราวฟ้ากับเหว

“เสด็จแม่อย่าทำเช่นนี้…” ฉู่เซ่าหร่วนยิ้มเย็น “เวลานี้ฮองเฮากลายเป็นเซียนไปแล้ว อีกไม่นานเสด็จแม่จะได้เป็นฮองเฮา ข้าย่อมไม่ด้อยกว่าพี่ใหญ่อีก”

ลี่กุ้ยเฟยนวดคลึงขมับเบาๆ ถอนหายใจพลางเอ่ย “ไหนเลยจะง่ายถึงเพียงนั้น ถึงฮองเฮาจากไปแต่ยังมีเสด็จย่าของเจ้า…พระนางชอบหยิบยกเอาเรื่องที่องค์ชายใหญ่เป็นบุตรชายคนโตของภรรยาเอกขึ้นมาพูด เดี๋ยวบอกว่าเขาไม่มีมารดาแท้ๆ คอยดูแลช่างน่าสงสาร อยากให้แม่จัดสรรของต่างๆ ไปที่อุทยานปี้เทาให้มากขึ้นเท่าตัว เดี๋ยวก็บอกว่าองค์ชายใหญ่สุขภาพอ่อนแอมาตั้งแต่เล็ก เรื่องอาหารต้องเสริมที่มีสรรพคุณทางยาเข้าไปด้วย…”

ยิ่งพูดลี่กุ้ยเฟยยิ่งร้อนใจดั่งไฟผลาญ น้ำเสียงจึงพลอยแหลมสูงตามไปด้วย “เขาน่ะหรือร่างกายอ่อนแอ?! แค่ตอนเด็กๆ ถูกฮองเฮาดูแลมากเกินไปเลยป่วยนิดๆ หน่อยๆ สองสามครั้งเท่านั้น! ทั้งหมดเป็นเพราะฮองเฮากับไทเฮาตามใจเขาจนเคยตัว มาวันนี้สุขภาพของเขาก็แข็งแรงไม่แพ้องค์ชายคนใดแล้วมิใช่หรือ ไม่เห็นจำเป็นต้องตามอกตามใจ ไม่กลัวว่าเขาจะป้อแป้เหมือนมารดาตัวเองหรือ…”

“เสด็จแม่!” ฉู่เซ่าหร่วนตัดบทนางอย่างได้จังหวะ “พูดมากจะเสียการ คำพูดพวกนี้เสด็จแม่พูดให้น้อยลงจะดีกว่า หาไม่อาจมีวันใดที่คนเก็บเอาไปพูดต่อกัน”

ลี่กุ้ยเฟยสูดลมหายใจเข้าปอดลึก ผงกศีรษะ มุกซีกบนศีรษะส่งเสียงติงตัง นางยังคงนวดขมับเบาๆ “วางใจเถอะ ต่อให้แม่แค้นใจยิ่งกว่านี้ก็ไม่มีทางปล่อยให้ผู้ใดมองออก ทุกครั้งเวลาที่เสด็จย่าของเจ้าพูดอะไรมา แม่ล้วนยิ้มรับทั้งสิ้น”

ฉู่เซ่าหร่วนกล่าวปลอบลี่กุ้ยเฟย “เสด็จแม่ พวกเราจะใจร้อนไม่ได้…ฮองเฮาเป็นหลานสาวของไทเฮา พระนางย่อมต้องเข้าข้างพวกเขา แต่ตอนนี้เสด็จแม่คือผู้ดำรงตำแหน่งสูงสุดของฝ่ายใน ในแผ่นดินก่อนท่านตายิ่งเป็นที่โปรดปราน สถานะของท่านไม่มีทางคลอนแคลนง่ายๆ เรื่องที่เสด็จแม่จะได้รับการแต่งตั้งเป็นฮองเฮาอยู่ที่ช้าหรือเร็วเท่านั้น”

สักพักฉู่เซ่าหร่วนก็ยิ้มบางๆ “สรุปคือไทเฮาอายุมากแล้ว”

คำพูดของบุตรชายทำให้ลี่กุ้ยเฟยมีกำลังใจขึ้นไม่น้อย นางผงกศีรษะ “ลูกแม่ช่างมองการณ์ไกล เด็กดี ที่แม่อดทนทุกอย่างก็เพื่อเจ้า ส่วนเรื่องไทเฮา…รอดูเถิดว่าผู้ใดจะมีชีวิตอยู่นานกว่ากัน”

ลี่กุ้ยเฟยระบายลมหายใจยาว ขณะนั้นผู้รับใช้ฝ่ายในที่อยู่นอกตำหนักเดินเข้ามาช้าๆ เขากระซิบบางอย่างที่ข้างหูลี่กุ้ยเฟยหลายประโยค ทำให้สีหน้าของลี่กุ้ยเฟยเปลี่ยนไปทันที นางเอ่ยด้วยน้ำเสียงตื่นตระหนก “เป็นความจริงหรือ?!”

ผู้รับใช้ฝ่ายในผงกศีรษะ “หลังได้ยินข่าว บ่าวได้ส่งคนไปจับตาดูที่อุทยานปี้เทา หลายวันมานี้ช่วงกลางดึกของทุกคืน องค์ชายใหญ่ไม่ยอมนอน เอาแต่อยู่ที่ตำหนักข้างเพียงลำพัง เขาจะอาบน้ำรมเครื่องหอมก่อน จากนั้นก็เขียนอักษรและวาดภาพ คร่ำเคร่งจนถึงกลางดึก พอออกจากห้องก็จะใส่กุญแจตำหนักข้างด้วยตนเองและตอนกลางวันก็ไม่อนุญาตให้ผู้ใดเข้าไป”

ฉู่เซ่าหร่วนรับฟังอยู่ด้านข้างด้วยท่าทางสับสนงงงวย “เสด็จแม่…นี่มันเรื่องอะไรกัน”

“ดีล่ะ ฉู่เซ่าหลิงอยู่ดีไม่ว่าดี วอนหาเรื่องตาย” ลี่กุ้ยเฟยกัดริมฝีปากสีชาด หัวเราะเสียงเย็น “องค์ชายใหญ่ใช้วิชามารเพื่อสาปแช่งแม่กับเจ้าในวังเช่นนี้…ฉู่เซ่าหลิงช่างเหี้ยมโหดเสียจริง แม่อยากเห็นนักว่า…คราวนี้ไทเฮาจะปกป้องเขาอย่างไร!”

ครั้งนี้ยากนักที่ลี่กุ้ยเฟยจะห้ามใจอยู่ นางให้ขันทีไปทูลเชิญฮ่องเต้และลงครัวทำอาหารเย็นด้วยตัวเองเพื่อเชิญฮ่องเต้ให้มากินอาหารที่วังหลินจื่อ

ตกเย็นฮ่องเต้ก็มาที่วังหลินจื่อจริง ลี่กุ้ยเฟยคอยอยู่นานแล้ว เมื่อเห็นฮ่องเต้นางก็ออกไปต้อนรับด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน ความโปรดปรานที่ฮ่องเต้มีต่อลี่กุ้ยเฟยมาเป็นเวลาหลายปีใช่ว่าจะไม่มีเหตุผล ปีนี้ลี่กุ้ยเฟยอายุสามสิบสี่ปี แต่เพราะได้รับการบำรุงดูแลอย่างดี ประกอบกับตัวนางเป็นหญิงงามแต่กำเนิด ทำให้มองไม่เห็นความชรา ยังคงโฉมสะคราญล่มเมืองเหมือนเก่า แต่สิ่งสำคัญยิ่งกว่าคือสตรีนางนี้เก่งเรื่องกุมหัวใจของบุรุษ ฮ่องเต้อยากได้ยินนางพูดสิ่งใดนางจะพูดสิ่งนั้น ฮ่องเต้อยากเห็นนางทำสิ่งใดนางจะทำสิ่งนั้น ไม่ว่าพระองค์จะอยากฟังนางพูดหรืออยากเห็นนางทำสิ่งใด ลี่กุ้ยเฟยสามารถทำให้ได้ทุกอย่าง

“ฝ่าบาท…” ลี่กุ้ยเฟยโบกมือให้ข้ารับใช้ถอยออกไป สีหน้าลังเลไม่แน่ใจ เนิ่นนานกว่าที่นางจะระบายลมหายใจออกมา “ระยะนี้หม่อมฉันรู้สึกไม่ค่อยสบาย กินยาไปหลายเทียบแล้วก็ไม่ดีขึ้น แม่นมของหม่อมฉันจึงออกจากวังไปเสี่ยงเซียมซีให้ที่วัดแห่งหนึ่ง ไต้ซือบอกว่า…หม่อมฉันดวงตกเพราะมีคนสาปแช่งเพคะ”

ฮ่องเต้หลับตาลงแล้วคลึงหัวคิ้วเบาๆ “สนมรักคิดมากเกินไป…”

ลี่กุ้ยเฟยมองสีหน้าของฮ่องเต้อย่างระมัดระวัง ดวงตาแดงเรื่อ “เพคะ หม่อมฉันถวายงานฝ่าบาทย่อมได้รับการคุ้มครองจากไอมังกรของพระองค์ จะถูกคนทำของใส่ได้อย่างไร หม่อมฉันจึงตำหนิแม่นมไปยกหนึ่งเพราะรู้ว่าฝ่าบาทไม่โปรดจะฟังเรื่องภูตผีปีศาจ และตัวของหม่อมฉันเองก็ไม่เชื่อ…แต่เมื่อวานหม่อมฉันได้ยิน…ว่าองค์ชายใหญ่จุดเครื่องหอมสาปแช่งอยู่ที่อุทยานปี้เทาทุกคืน เรื่องนี้…”

ฮ่องเต้เบิกตากว้าง น้ำเสียงเย็นเยียบ “ที่เจ้าพูดมาเป็นความจริงหรือ”

ลี่กุ้ยเฟยผงกศีรษะพลางเช็ดน้ำตา “หม่อมฉันไม่กล้าพูดจาเหลวไหลต่อหน้าฝ่าบาท แต่สองเรื่องนี้มันบังเอิญเกินไป หม่อมฉันไม่รู้ว่าควรทำอย่างไร เวลานี้แม้หม่อมฉันจะรับหน้าที่ดูแลฝ่ายใน แต่องค์ชายใหญ่เป็นทายาทของหลิงฮองเฮา หม่อมฉันจึงทั้งเคารพทั้งยำเกรงองค์ชายใหญ่ ทำได้เพียงกราบทูลฝ่าบาทเพื่อขอพระราชทานความคิดเห็น ไม่ว่าจะอย่างไร หม่อมฉันคงได้แต่ทำตาม…”

ลี่กุ้ยเฟยทำเหมือนถูกรังแกอย่างแสนสาหัส พูดจบนางก็ทนไม่ไหว ร้องไห้โฮออกมา หญิงงามต่อให้ร้องไห้ก็ยังงามประดุจดอกสาลี่ต้องหยาดฝน ทำให้ฮ่องเต้ใจอ่อนอย่างรวดเร็ว ต้องพูดจาปลอบประโลมใจนาง ฮ่องเต้คิดหนักอยู่พักหนึ่ง “ช่างเถอะ คืนนี้เราจะไปดูพร้อมเจ้า หากหลิงเอ๋อร์เลอะเลือนจริง เราจะต้องให้ความเป็นธรรมกับเจ้าแน่”

ลี่กุ้ยเฟยผงกศีรษะ “หม่อมฉันสุดแล้วแต่ฝ่าบาทเพคะ”

กลางดึกฉู่เซ่าหลิงอาบน้ำรมเครื่องหอมไปตามปกติ เขาเปลี่ยนไปสวมชุดสีขาวและเดินเข้าไปที่ตำหนักข้าง

ฉู่เซ่าหลิงเปิดเตาใส่กำยาน นิ่งอยู่พักหนึ่งแล้วจึงเริ่มต้นเขียนอักษร…

ไม่นานข้างนอกก็มีเสียงดังเอะอะ มุมปากของฉู่เซ่าหลิงยิ้มอย่างเย็นชาแต่มือยังคงเขียนต่อไป ครู่หนึ่งหวังมู่หานก็มาเคาะประตู เอ่ยเสียงร้อนรน “องค์ชาย! ฝ่าบาททรงนำคนมาขอรับ!”

ฉู่เซ่าหลิงวางพู่กันลงอย่างไม่ลนลาน หมุนตัวไปผลักประตูเปิด ฮ่า! เป็นกองทัพใหญ่เชียว

ฮ่องเต้พาลี่กุ้ยเฟยพร้อมด้วยผู้รับใช้ฝ่ายในและองครักษ์คนสนิทกลุ่มหนึ่งมา ฉู่เซ่าหลิงจัดเสื้อผ้า เดินไปทำความเคารพฮ่องเต้ เวลานั้นหัวคิ้วของฮ่องเต้ขมวดแน่น “ลุกขึ้น”

ฉู่เซ่าหลิงลุกขึ้นยืน เขากวาดตามองไปทางลี่กุ้ยเฟย ยกมือขึ้นเล็กน้อย “คารวะลี่กุ้ยเฟย”

เวลานี้ลี่กุ้ยเฟยกำลังลำพองใจ ไม่ได้สนใจเลยว่าฉู่เซ่าหลิงยังคงไม่เห็นนางอยู่ในสายตาเหมือนเดิม นางยิ้มพลางผงกศีรษะ กล่าวน้ำเสียงคลุมเครือ “คารวะองค์ชายใหญ่ ดึกดื่นค่อนคืนเช่นนี้องค์ชายใหญ่ไม่นอนอยู่ในตำหนักบรรทม มาทำอะไรอยู่ที่ตำหนักข้างคนเดียวหรือ”

ฉู่เซ่าหลิงมีสีหน้าลังเล น้ำเสียงไม่แน่ใจ “ไม่มีอะไร แค่…ไม่กล้ารบกวนเสด็จพ่อ ไม่มีอะไรเลย”

“ไม่มีหรือมีกันแน่! ถึงได้ทำให้เจ้าอดหลับอดนอนถึงยามสาม!” สีหน้ารู้สึกผิดของฉู่เซ่าหลิงตอกย้ำวาจาของลี่กุ้ยเฟยและอารมณ์หงุดหงิดของฮ่องเต้ พระองค์เกลียดชังการใช้วิชามารเป็นที่สุด ต่อให้ไม่เคยสนิทสนมใกล้ชิดกับบุตรชายคนนี้ แต่หากวันนี้เขากล้าใช้วิชามารกับลี่กุ้ยเฟยได้ ผู้ใดจะรู้ว่าวันใดเขาจะไม่ทำร้ายพระองค์ ฮ่องเต้มองเข้าไปในตำหนักข้าง พบว่าจุดไฟสว่างไสวจริง “เราจะเข้าไปดูเอง!”

“เสด็จพ่อ!” ฉู่เซ่าหลิงตั้งท่าจะขวาง แต่มีหรือจะขวางอยู่ เมื่อฮ่องเต้กับลี่กุ้ยเฟยพร้อมองครักษ์คนสนิทเข้าไปในตำหนักข้าง ฉู่เซ่าหลิงก็รีบตามเข้าไป ทุกคนเดินอ้อมฉากกั้นบังลม พอเห็นของที่อยู่บนโต๊ะหนังสือกลางห้องก็พากันตะลึงงัน

เพราะกลางห้องไม่มีชาด กระดาษยันต์ หรือข้าวของที่เกี่ยวข้องกับวิชามารอะไรทั้งสิ้น กำยานกลางตำหนักถูกเผาอย่างเงียบๆ ให้ความรู้สึกสงบ บนโต๊ะปูด้วยผ้าไหมพระราชทานสีเขียวเข้มขนาดยาวหนึ่งจั้ง ด้านบนใช้ผงทองเขียนเป็นตัวอักษรคำว่าอายุยืนจำนวนนับไม่ถ้วน ฝีมือละเอียดยิบ ดูมีความตั้งใจอย่างยิ่ง

ลี่กุ้ยเฟยชะงักค้างไปชั่วอึดใจหนึ่ง น้ำเสียงแหบพร่า “นี่…ทุกคืนท่านแอบมาทำของสิ่งนี้ไปเพื่ออะไร?!”

ฮ่องเต้คิดไม่ถึงว่าเหตุการณ์จะกลายกลับมาเป็นเช่นนี้ พระองค์หันไปมองฉู่เซ่าหลิง ฉู่เซ่าหลิงจึงโค้งตัวพลางตอบเสียงเนิบ “เดือนหน้าจะเป็นวันพระราชสมภพของเสด็จย่า ลูกไม่มีสิ่งใดที่สามารถแสดงความกตัญญู ได้แต่ทำอย่างคนโบราณ คืออาบน้ำรมเครื่องหอมก่อนเขียนอักษรอายุยืนจำนวนหนึ่งร้อยตัวทุกวันเพื่อเป็นการถวายพระพรแด่เสด็จย่า”

ฮ่องเต้มีความรู้สึกเหมือนถูกตบหน้าฉาดใหญ่ สายตาที่มองลี่กุ้ยเฟยฉายแววดุดัน หลังเงียบไปพักหนึ่งฮ่องเต้ก็ฝืนยิ้ม “เด็กดี เจ้าช่างมีน้ำใจ…เพียงแต่ต้องนอนดึกทุกคืน และร่างกายเจ้าก็ไม่ค่อยแข็งแรง เช่นนี้จะไหวหรือ”

ฉู่เซ่าหลิงผงกศีรษะรับคำ พูดเสียงเรียบสนิท “ตอนกลางวันลูกมีงานยุ่ง ทั้งยังมีคนเดินไปเดินมา หาความสงบได้ยาก อีกประการ…” ฉู่เซ่าหลิงเลิกคิ้วมองไปที่ลี่กุ้ยเฟยแวบหนึ่ง “ลูกทำเพื่อถวายพระพรเสด็จย่าจึงไม่อยากให้ผู้อื่นล่วงรู้…เสด็จพ่อสั่งสอนถูกต้อง โชคดีที่วันนี้เขียนเสร็จพอดี ต่อไปลูกคงไม่จำเป็นต้องนอนดึกอีก”

ฮ่องเต้ผงกศีรษะ รู้สึกว่านี่เป็นเรื่องไร้สาระจึงพูดปลอบใจฉู่เซ่าหลิงสองสามประโยคก่อนจากไปโดยไม่ได้เหลือบมองลี่กุ้ยเฟยอีกแม้แต่แวบเดียว

ฉู่เซ่าหลิงส่งทุกคนออกไปจากอุทยานปี้เทาแล้วจึงย้อนกลับไปที่ตำหนักบรรทม หวังมู่หานคอยตามหลังเขาตลอด เขาไม่รู้ว่าเรื่องจริงเป็นอย่างไร แต่การที่ฉู่เซ่าหลิงตั้งใจถวายพระพรไทเฮาแล้วถูกฮ่องเต้เข้าใจผิดเป็นเรื่องน่ากลัว หลังเข้าไปในตำหนักบรรทม หวั่นชุ่ยก็คลายเสื้อให้ฉู่เซ่าหลิง มีหวังมู่หานพูดปลอบเสียงเบาอยู่ที่ด้านข้าง “องค์ชายก็เห็นแล้วว่าเรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้ลี่กุ้ยเฟยจะต้องเป็นคนยุยง ฝ่าบาททรงเคยระแวงองค์ชายเมื่อใดกัน พระองค์แค่ได้ยินลมข้างหมอน ขอองค์ชายอย่าได้คิดมาก เท่าที่บ่าวเฒ่าเห็น…”

“กงกงคิดมากเกินไปแล้ว” ฉู่เซ่าหลิงหัวเราะ แต่เดิมหวังมู่หานถวายการปรนนิบัติฮองเฮา จนปีที่เขาย้ายออกจากวังเฟิ่งหวา หวังมู่หานถึงย้ายตามออกมา เนื่องจากฮองเฮาเกรงว่าข้างกายเขาจะไม่มีคนที่ไว้วางใจได้คอยดูแลรับใช้ พระนางจึงยกคนที่ตนใช้งานมาครึ่งชีวิตให้แก่ฉู่เซ่าหลิง ซึ่งหวังมู่หานก็ได้ดูแลรับใช้ฉู่เซ่าหลิงด้วยความซื่อสัตย์ภักดีเป็นระยะเวลาหลายปี สำหรับฉู่เซ่าหลิงหวังมู่หานจึงไม่ได้เป็นแค่บ่าว เขาหัวเราะเบาๆ เอ่ยว่า “ข้าไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้หรอก…ไปเถอะ ข้าจะนอนแล้ว”

ฉู่เซ่าหลิงนอนอยู่บนเตียงไม้หวงฮวาหลี หลังใหญ่เพียงลำพัง ตามองม่านเตียงเป็นชั้นๆ ด้วยรอยยิ้มเย็นชา เรื่องที่เขาไปตำหนักข้างทุกคืนมีแต่คนของอุทยานปี้เทาเท่านั้นที่รู้และเขาได้สั่งอย่างเด็ดขาดว่าห้ามแพร่งพรายออกไปข้างนอก คนที่อยู่ข้างกายเขาล้วนเป็นคนที่ฮองเฮา หวังมู่หาน และตัวเขาเองเลือกเฟ้นมารอบแล้วรอบเล่า ทุกคนล้วนมีความซื่อสัตย์จึงปิดปากสนิท หรือต่อให้มีคนพูด ลี่กุ้ยเฟยก็จะรู้เพียงว่าเขากำลังเตรียมงานฉลองวันพระราชสมภพให้ไทเฮา ส่วนเรื่องวิชามาร เขาพูดกับฉู่เซ่าหยางคนเดียว

ตอนแรกฉู่เซ่าหลิงมีเจตนาจะลองทดสอบ แต่น้องชายคนดีของเขากลับขายเขาได้ง่ายๆ ฉู่เซ่าหลิงปิดเปลือกตาลง หัวเราะเสียงเย็นอยู่ในใจ ที่แท้ฉู่เซ่าหยางก็เห็นเขาเป็นฝ่ายตรงข้ามมานานถึงเพียงนี้ แต่ก็ดี วันเวลาในวังยังอีกยาวไกล ค่อยๆ ประมือกันไปก็แล้วกัน

 

หน้าที่แล้ว1 of 2

Comments

comments

No tags for this post.
Continue Reading

More in everY

บทความยอดนิยม

everY

ทดลองอ่าน เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 Chapter 2.1-2.2 #นิยายวาย

ทดลองอ่าน เรื่อง เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 ผู้เขียน : MINTRAN แปลโดย : ทันบี ผลงานเรื่อง : 배타적 연애 금지구역 ถือเป็นลิขสิทธิ์...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 1-2

บทที่ 1 ฮ่องเต้หญิง   “ท่านพี่นำร้อง น้องหญิงคลอรับ ท่านพี่เสียงเพิ่งลับ น้องหญิงสลับขึ้นเวที เป็นมารดาอารี มีบุตรีกตัญญ...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน ร้อยเรียงรักเคียงฤทัย บทนำ – 1.2

บทนำ ความหลังของต้าลี่ 1   ฤดูหนาวในรัชศกต้าลี่ปีที่สิบเอ็ด โม่เป่ย ตำบลค่งหม่า สถานที่แห่งนี้คือประตูด่านสำคัญสุดท้ายทา...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 7-8

บทที่ 7 ค่าเดินทาง เมื่อภูตสุนัขดำคืนร่างเป็นสุนัขธรรมดาตัวหนึ่ง ภูตบุปผาสองตนนั้นก็ไม่อาจทำการใหญ่ ต่อให้ชาวหมู่บ้านป่า...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 3-4

บทที่ 3 เกิดใหม่   เวิ้งฟ้าดำสนิทปานน้ำหมึก เพียงมีดวงดาวบางตากระจัดกระจายบนม่านฟ้า ทอรัศมีอ่อนจางประเดี๋ยวเผยประเดี๋ยวเ...

community.jamsai.com