everY
ทดลองอ่าน ทรราชหวนคืน บทที่ 9-10 #นิยายวาย
บทที่ 9
ไทเฮาได้ระเบิดโทสะแล้วอารมณ์ดี ทำให้ฉู่เซ่าหลิงพลอยอารมณ์ดีตาม รุ่งเช้าตอนไปสำนักศึกษาหลวง เมื่อเจอฉู่เซ่าหร่วนต่างฝ่ายต่างกล่าวคำทักทายกัน แล้วฉู่เซ่าหลิงก็ยกเท้าเดินจากไปโดยไม่ยอมพูดมากสักประโยค
หวังมู่หานพูดเสียงเบา “องค์ชายยังไม่ทราบ…ว่าหลังลี่เฟยถูกลงโทษ องค์ชายรองพลอยเสียหน้าตามไปด้วย ยามนี้นอกจากมาที่สำนักศึกษาหลวงกับไปคารวะฝ่าบาทและไทเฮา เขาไม่ยอมออกจากตำหนักของตัวเองอีกเลย”
ฉู่เซ่าหลิงหัวเราะเบาๆ เพราะอย่างนี้ยามขึ้นจึงอย่าหลงระเริง มิเช่นนั้นถ้าด่วนได้ใจไปเยอะแล้ว ภายหน้าอาจต้องเสียใจอย่างมาก
ช่วงที่ฉู่เซ่าหลิงฟังอาจารย์สอน เขาไม่ชอบให้มีคนอยู่ด้วย ภายในห้องจึงมีแค่เขากับฟู่จิงหลุนสองคน หลังสอนจบไปหนึ่งบทฟู่จิงหลุนก็วางหนังสือ ลดเสียงให้เบาลง “ขอแสดงความยินดีกับองค์ชาย ในการประชุมเช้าเมื่อวานฝ่าบาททรงแต่งตั้งให้เว่ยจั้นรับตำแหน่งผู้บัญชาการค่ายเซียวฉีแล้ว การอาศัยช่วงที่ฝ่าบาทไม่พอพระทัยที่สกุลเจินวาดหวังตำแหน่งฮองเฮาให้จื่อจวินโหวเสนอเว่ยจั้นเป็นความคิดที่ดีจริงๆ เพียงแต่องค์ชายสี่…ผู้น้อยอ่านคนไม่ขาดจริงๆ คิดไม่ถึงว่าองค์ชายสี่จะแปรพักตร์ไปจากองค์ชายได้”
ฟู่จิงหลุนเป็นที่ปรึกษาคนสนิทของเขาจึงมีส่วนรู้เห็นในเรื่องครั้งนี้ ฉู่เซ่าหลิงบอก “คาดว่าระยะนี้ไทเฮาคงดีต่อข้ามากเกินไป ทำให้เขาร้อนใจ ถึงได้อยากยืมมือลี่เฟยมาทำร้ายข้า ช่างโง่งม”
ฟู่จิงหลุนโคลงศีรษะ ถอนหายใจ ตอนแรกเขาไม่เชื่อว่าฉู่เซ่าหยางจะขายฉู่เซ่าหลิงได้จริงๆ เพราะจะชั่วจะดีอย่างไรทั้งคู่ก็เป็นพี่น้องท้องเดียวกัน เขาดูเบาองค์ชายเล็กหน้าตาใสซื่อผู้นี้มากเกินไป ฟู่จิงหลุนคิดแล้วทอดถอนใจอย่างอดไม่อยู่ “องค์ชายไม่ยอมฟังผู้น้อย ถ้าวันนั้นองค์ชายบอกว่าทำไปเพื่อถวายพระพรฮ่องเต้มิเป็นการดีกว่าหรือ ถึงครั้งนี้จะสามารถเล่นงานลี่เฟยกับสกุลเจินสำเร็จ แต่ความสัมพันธ์ระหว่างองค์ชายกับฮ่องเต้กลับไม่มีความคืบหน้ามากนัก หากไม่ได้รับความโปรดปรานย่อมลำบาก”
ฉู่เซ่าหลิงส่ายหน้า “เดิมการแสดงละครย่อมดูเกินจริงอยู่แล้ว ทุกคนต่างรู้ดีว่าข้ากับเสด็จพ่อไม่ลงรอยกัน หากจู่ๆ ข้าลุกขึ้นมาถวายพระพรพระองค์ทั้งเช้าค่ำ อย่าว่าแต่เสด็จพ่อเลย ตัวข้าเองก็ยังไม่เชื่อ เสด็จพ่อทรงขี้ระแวง ถึงตอนนั้นวาดเสือไม่สำเร็จจะกลายเป็นสุนัข ย่อมไม่เป็นการดี ส่วนเรื่องการเป็นที่โปรดปราน หึๆ…ข้าจะเอาความโปรดปรานไปทำสิ่งใด”
ฟู่จิงหลุนหลุดขำ ผงกศีรษะ “องค์ชายมีความคิดแยบคาย ผู้น้อยเข้าใจ เพียงแต่องค์ชายสี่…องค์ชายเห็นว่าควรจัดการอย่างไรดี”
ฉู่เซ่าหลิงหัวเราะเสียงเย็น “เขาเอาใจออกห่างจากข้าย่อมไม่สามารถเก็บไว้…ลี่เฟยไม่รู้ว่าข่าวนี้มาจากน้องสี่ ข้าจะวางแผนให้นางรู้ ถึงตอนนั้นนางกับฉู่เซ่าหร่วนจะต้องเข้าใจว่าข้ากับฉู่เซ่าหยางร่วมมือกันเพื่อเล่นงานนาง ด้วยนิสัยของลี่เฟย นางต้องไม่ยอมปล่อยผ่านแน่ ถึงตอนนั้นข้าแค่คอยดูสุนัขกัดกันก็พอ”
ฟู่จิงหลุนคิดไม่ถึงว่าฉู่เซ่าหลิงจะเหี้ยมได้ถึงเพียงนี้ เขาหยุดคิดแล้วพูดเกลี้ยกล่อม “เวลานี้องค์ชายเหลือน้องชายแท้ๆ คนนี้แค่คนเดียว องค์ชายสี่ยังเยาว์ เกรงว่าจะถูกคนเป่าหูมิรู้ความ มิสู้องค์ชายสะสางเรื่องนี้ให้กระจ่างก่อนแล้วคุยดีๆ กับเขาสักครั้ง ให้องค์ชายสี่มาเป็นพวกเรามิดีกว่าหรือ หากใช้ความเมตตาตอบแทนความเกลียดชัง องค์ชายสี่จะต้องซาบซึ้งใจเป็นแน่”
ฉู่เซ่าหลิงทำเหมือนได้ยินเรื่องน่าขบขันที่สุดในหล้า ดวงตาฉายแววดุดัน เขาหัวเราะเสียงเย็น “อาจารย์กำลังเกลี้ยกล่อมข้าหรือ หากใช้ความเมตตาตอบแทนความเกลียดชังแล้ว จะตอบแทนสิ่งใดให้แก่ความเมตตา ขนาดผู้อื่นไม่ได้ทำร้ายข้า ข้ายังต้องไปทำร้ายเขา นับประสาอะไรกับคนที่เคยทำร้ายข้า มีหนึ่งคนก็คิดบัญชีไปหนึ่งคน ผู้ใดก็อย่าหวังหนีรอด…”
ฟู่จิงหลุนแอบแปลกใจ เนื่องจากฉู่เซ่าหลิงรักองค์ชายสี่มาตลอด ไม่รู้ว่าช่วงนี้เหตุใดเขาจึงเปลี่ยนไปมากมายถึงเพียงนี้ ซ้ำยังลงมือหนักหน่วง แต่ไม่ว่าอย่างไรฟู่จิงหลุนก็ยังคงเชื่อมั่นในสติปัญญาของฉู่เซ่าหลิง เขาจึงผงกศีรษะ “องค์ชายทำงานเด็ดขาด ผู้น้อยขอยกย่อง”
หลังเลิกเรียนฉู่เซ่าหลิงก็ออกจากสำนักศึกษาหลวงไปเจอฉู่เซ่าหยาง อีกฝ่ายรีบเข้ามาหา กล่าวด้วยรอยยิ้ม “พี่ใหญ่! ข้าขอแสดงความยินดีกับพี่ใหญ่ด้วย!”
ฉู่เซ่าหยางต้องลำบากทำเป็นอารมณ์ดีเช่นนี้ ฉู่เซ่าหลิงก็หัวเราะ “แสดงความยินดีอะไร ข้าบอกเจ้าแล้วมิใช่หรือว่าข้ามีวิธี”
สองพี่น้องให้พวกบ่าวตามอยู่ห่างๆ เพื่อจะได้เดินไปคุยไป ฉู่เซ่าหยางพูดเสียงเบา “พี่ใหญ่ ข้าเป็นห่วง วันนั้นเสด็จพ่อกับลี่เฟยไปตรวจสอบท่าน เหตุใดสถานการณ์จึงพลิกกลับตาลปัตรได้ถึงเพียงนี้ ตอนได้ยินใหม่ๆ ข้าตกใจแทบตาย กลัวว่าเรื่องวิชา…เรื่องนั้นจะหลุดออกมา”
ฉู่เซ่าหลิงหัวเราะเบาๆ “เรื่องทั้งหมดผ่านไปแล้ว ช่างมันเถอะ แต่ข้าเพียงคิดไม่ออก…ว่าลี่เฟยรู้ได้อย่างไร”
“เกรงว่าพวกบ่าวจะทรยศ” ฉู่เซ่าหยางคิดวิธีเอาตัวรอดมาเป็นอย่างดี เขาพูดเสียงเป็นกังวล “ของที่พี่ใหญ่ใช้พวกนั้น…จะต้องให้พวกบ่าวจัดเตรียม ผู้ใดจะรู้ว่าบ่าวในอุทยานปี้เทาคนใดคิดไม่ซื่อ ต่อให้เป็นหวังมู่หาน พี่ใหญ่ก็ไม่สามารถไว้วางใจเขาอย่างสิ้นเชิง ตอนพวกบ่าวเห็นของเหล่านั้นย่อมต้องคิดกันไปไกล เมื่อพี่ใหญ่กลับไปแล้วลองตรวจสอบให้ดีๆ อย่าปล่อยบ่าวใจชั่วทำร้ายได้เป็นอันขาด”
ฉู่เซ่าหลิงยิ้ม ผงกศีรษะ “จริงด้วย ในเมื่อกล้าทำร้ายข้า ข้าย่อมไม่มีทางปล่อยเขาไป”
หลังเดินอ้อมสระเชียนหลี่ ฉู่เซ่าหยางไปทางตะวันตกเพื่อตรงไปยังตำหนักเจาหยาง ส่วนฉู่เซ่าหลิงมุ่งหน้าไปทางตะวันออกเพื่อตรงไปยังอุทยานปี้เทา ฉู่เซ่าหลิงมองเงาแผ่นหลังของน้องชายด้วยรอยยิ้มเย็นชา ฉู่เซ่าหยางแก้ตัวได้ยอดเยี่ยม เสียดายที่เขาไม่รู้ว่าตนไม่เคยข้องเกี่ยวกับวิชามารอะไรทั้งสิ้น และไม่เคยให้ผู้ใดเตรียมกระดาษยันต์กับชาด เรื่องทั้งหมดนี้…มีเพียงฉู่เซ่าหยางคนเดียวที่รู้
ฉู่เซ่าหลิงอธิบายความรู้สึกในใจไม่ถูก ถ้าจะบอกว่าเสียใจ เขาก็ไม่เหลือใจให้เสียตั้งแต่ชาติก่อนแล้ว ฉู่เซ่าหยางในวันนี้มิใช่น้องชายคนที่ร่ำร้องหาเสด็จแม่กับตนคนนั้นอีกต่อไป
ทิวทัศน์หิมะช่างงดงาม ฉู่เซ่าหลิงจึงไม่นั่งเกี้ยวอ่อน เขาเดินช้าๆ เพื่อกลับไปยังอุทยานปี้เทา พอเข้าไปในตำหนักหลักหวั่นชุ่ยก็พาพวกนางกำนัลมาถอดเสื้อคลุมให้ฉู่เซ่าหลิง หวั่นชุ่ยรับเตาอุ่นมือที่นางกำนัลส่งมาทดสอบความร้อนก่อนส่งให้ฉู่เซ่าหลิง นางกำนัลอีกคนยกชาร้อนมา ฉู่เซ่าหลิงดื่มน้ำชาหนึ่งอึก เมื่อไม่เห็นเว่ยจี่เขาก็หันไปถามหวังมู่หาน “เว่ยจี่เล่า?”
หวังมู่หานก้มศีรษะ “เว่ยจี่ผลัดเวรตอนยามเว่ย อีกหนึ่งชั่วยามจึงจะกลับมา หากองค์ชายต้องการพบเขา บ่าวจะไปเรียกมาให้ขอรับ” หวังมู่หานรู้ว่าฉู่เซ่าหลิงชอบให้เว่ยจี่อยู่ข้างกาย ปกติฉู่เซ่าหลิงจะใช้เวลาช่วงเช้าอยู่ที่สำนักศึกษาหลวง หวังมู่หานจึงพยายามอย่างยิ่งที่จะให้เว่ยจี่เข้าเวรตอนบ่ายกับตอนกลางคืน คิดไม่ถึงว่าแค่ฉู่เซ่าหลิงไม่เห็นเขาแค่ชั่วประเดี๋ยวก็ถามหา
ฉู่เซ่าหลิงมองเหม่อออกไปด้านนอก ไม่รู้เขาคิดถึงสิ่งใดถึงยิ้มออกมา “พาข้าไปดูห้องพักของเขาหน่อย อย่าให้เขารู้”
หวังกงกงอึ้งแต่ไม่กล้าพูด เวลานี้เว่ยจี่เป็นผู้คุ้มกันขั้นสาม เวลาพักจึงไม่จำเป็นต้องออกไปนอกวัง สามารถพำนักอยู่ในอุทยานปี้เทา ทำให้ไปเยี่ยมดูเขาได้สะดวก หวังมู่หานโค้งตัวออกจากตำหนักบรรทมไปพร้อมฉู่เซ่าหลิง เดินตามระเบียงด้านหลังของตำหนักเพื่อวนไปด้านหน้า ห้องพักขององครักษ์ที่อยู่เวรคือเรือนบริวารที่อยู่ด้านหน้า เนื่องจากมีหวังกงกงคอยดูแล ทำให้เวลานี้เว่ยจี่มีห้องเดี่ยวของตัวเองหนึ่งห้อง
ภายในห้องไม่มีคน ฉู่เซ่าหลิงเดินเข้าไปช้าๆ ห้องของเว่ยจี่ได้รับการเก็บกวาดอย่างสะอาดสะอ้านดีมาก ข้าวของวางเป็นระเบียบเรียบร้อย ฉู่เซ่าหลิงเดินเข้าไปลูบผ้าห่มบนเตียงก็พบว่าอุ่นดี
ฉู่เซ่าหลิงถือวิสาสะเปิดตู้เสื้อผ้ากับหีบหนังสือของเว่ยจี่ดู ในตู้เสื้อผ้าของเว่ยจี่มีเครื่องแต่งกายของผู้คุ้มกันที่เป็นชุดนวมกับชุดสำหรับผลัดเปลี่ยนสองสามชุด ด้านล่างมีเสื้อตัวในสองสามตัว ทุกตัวผ่านการซักมาอย่างดี ฉู่เซ่าหลิงหัวเราะเบาๆ หากเขาฉวยโอกาสตอนที่คนไม่อยู่เอาเสื้อตัวในของเว่ยจี่ไป ด้วยนิสัยของเว่ยจี่จะต้องร้อนใจแต่ไม่กล้าโวยวายแน่
ในหีบหนังสือของเว่ยจี่มีแต่ตำราทหาร ตำราพวกนี้ฉู่เซ่าหลิงท่องได้นานแล้ว เขาจึงเปิดดูผ่านๆ จังหวะที่วางคืนที่เดิมเขาก็เห็นกล่องขนาดประมาณหนึ่งฉื่อครึ่งอยู่ด้านในสุดของหีบหนังสือ
ฉู่เซ่าหลิงไม่มีความเกรงใจแม้แต่น้อย เขาดึงมันออกมาเปิดดูทันที ด้านในมีกระดาษเซวียนจื่อ หนึ่งแผ่น ฉู่เซ่าหลิงเปิดดูแล้วก็อึ้งไป เนื่องจากมันเป็นกระดาษที่เขาเคยวาดภาพพังแล้วโยนทิ้ง
ในภาพมีพระจันทร์ดวงกลมหนึ่งดวงแขวนตัวอยู่เหนือยอดไม้ ด้านล่างมีคนสองคนร่ำสุราอยู่ใต้ต้นพฤกษาด้วยสีหน้าท่าทางสบายใจ ฉู่เซ่าหลิงนึกดูก็พบว่านี่เป็นภาพที่เขาวาดให้เป็นของขวัญวันเกิดของฉู่เซ่าหยางเมื่อปีที่แล้ว ตอนนั้นเขาวาดภาพให้ฉู่เซ่าหยาง เสียกระดาษไปหลายแผ่นเลยโยนพวกมันทิ้งไป ไม่รู้ว่าเว่ยจี่ไปเก็บเอามาจากที่ใด
ณ ที่แห่งหนึ่งในใจของฉู่เซ่าหลิงพลันรู้สึกเจ็บปวด หัวใจถูกกระตุกเบาๆ รู้สึกรวดร้าวแต่ผ่อนคลาย
หวังกงกงเห็นฉู่เซ่าหลิงเหม่อก็เงยหน้าขึ้นมองภาพนั้นแวบหนึ่งแล้วโวยวายออกมาทันที “เหตุใดลายพู่กันขององค์ชายจึงหลุดออกมาได้ ทั้งหมดเป็นเพราะบ่าวดูแลไม่ดี…”
“ไม่เป็นไร แค่ภาพที่วาดเสียเท่านั้น ตอนนั้นข้าไม่ได้ใส่ใจด้วยซ้ำ” ของที่ไม่มีผู้ใดใส่ใจกลับถูกเว่ยจี่เก็บกลับมาเป็นของล้ำค่า
เว่ยจี่ไปกินอาหารเที่ยงที่โรงอาหาร เป็นซาลาเปาสี่ลูก ไส้ผักสอง ไส้เนื้อสอง ห่อมาอย่างเล็กจิ๋ว เว่ยจี่ถือเดินเข้ามาในห้อง คิดไม่ถึงว่าจะเจอฉู่เซ่าหลิงกับหวังมู่หาน
ฉู่เซ่าหลิงยังถือภาพวาดแผ่นนั้นไว้ในมือ ทันทีที่เว่ยจี่เงยหน้าขึ้นมาเห็น เขาถึงกับหน้าถอดสี พูดเสียงตะกุกตะกัก “องค์…องค์ชาย…”