everY
ทดลองอ่าน ทรราชหวนคืน บทที่ 9-10 #นิยายวาย
บทที่ 10
หวังมู่หานยกยิ้มมุมปาก “องค์ชาย…อาหารกลางวันขององค์ชายใกล้เสร็จแล้ว บ่าวขอไปดูก่อนนะขอรับ”
ฉู่เซ่าหลิงผงกศีรษะ หวังมู่หานจึงโค้งตัวถอยออกไป เขาปิดประตูไปยืนเฝ้าอยู่ด้านนอก
สีหน้าของเว่ยจี่ขาวเผือด เขาคิดไม่ถึงว่าฉู่เซ่าหลิงจะมาอยู่ที่ห้องของตัวเอง และยิ่งคิดไม่ถึงว่าภาพวาดที่ตนซ่อนไว้อย่างดีจะถูกฉู่เซ่าหลิงค้นเจอ ณ ช่วงเวลานั้นเว่ยจี่ไม่รู้ว่าควรทำอย่างไร ได้แต่ยืนเบื้อใบ้อยู่ตรงประตู
ตอนแรกฉู่เซ่าหลิงตั้งใจมาที่ห้องของเว่ยจี่เพื่อพลิกดูนั่นนี่ มาตอนนี้เมื่อถูกจับได้กลับกลายเป็นเว่ยจี่ที่วางตัวไม่ถูก ฉู่เซ่าหลิงนั่งลงแล้วคลี่ภาพในมือ พูดเสียงกลั้วหัวเราะเบาๆ “นี่ของเจ้าหรือ”
เว่ยจี่กัดริมฝีปากล่าง คุกเข่าลง “ทูลองค์ชาย…ของผู้น้อยขอรับ”
ฉู่เซ่าหลิงหัวเราะ “เห็นอยู่ว่าข้าเป็นคนวาด เหตุใดจึงกลายเป็นของเจ้าได้”
เว่ยจี่เริ่มร้อนใจ เนื่องจากการซุกซ่อนลายพู่กันขององค์ชายเป็นความผิดใหญ่หลวง เว่ยจี่เพิ่งจะอายุสิบสี่จึงรู้สึกหวาดกลัว แต่ยังคงยืนยันว่า “องค์ชาย…ภาพนี้เป็นของผู้น้อย ขอองค์ชาย…คืนให้ผู้น้อยด้วย”
เว่ยจี่หน้าซีด มือที่ถือห่อผ้าอันจิ๋วเริ่มสั่น ฉู่เซ่าหลิงนึกเศร้าใจว่าอีกฝ่ายยังเป็นเด็ก ตนจะไปเย้าแหย่เขาให้ได้สิ่งใด ฉู่เซ่าหลิงทอดเสียงให้ฟังดูอ่อนโยนลง “เจ้าชอบภาพวาดด้วยน้ำหมึกหรือ ข้าจะวาดให้เจ้าหนึ่งภาพดีหรือไม่ ชอบภาพอะไร”
เว่ยจี่ได้ยินเช่นนั้นแล้วต้องเงยหน้าขึ้นมองฉู่เซ่าหลิงอย่างอดไม่อยู่ เขาอึ้งไปพักหนึ่ง “ผู้น้อย…ผู้น้อยมิกล้ารบกวนองค์ชาย ขอเพียงองค์ชาย…คืนภาพให้ผู้น้อยก็เพียงพอแล้วขอรับ” ถึงจะพูดเช่นนี้ แต่ฉู่เซ่าหลิงสังเกตเห็นว่าสีหน้าของเว่ยจี่เริ่มแดง เพราะเจ้าร้อนใจใช่หรือไม่
ฉู่เซ่าหลิงหัวเราะเบาๆ แล้วเดินเข้าไปดึงตัวคนให้ลุกขึ้น ทั้งที่เพิ่งตำหนิตัวเองไปว่าไม่ควรแหย่เขา แต่พอได้มาเห็นเว่ยจี่ใกล้ๆ เช่นนี้ฉู่เซ่าหลิงกลับอดไม่อยู่ต้องออกแรงดึงตัวเว่ยจี่ให้เข้ามาใกล้ สัญชาตญาณสั่งให้เว่ยจี่เบี่ยงหลบ แต่เพราะเห็นภาพวาดที่อยู่ในมืออีกข้างหนึ่งของฉู่เซ่าหลิงทำให้เขาต้องบังคับตัวเองไว้ ฉู่เซ่าหลิงจับข้อมือของเว่ยจี่ พูดหยอกเย้าเสียงเบา “ดูท่าเจ้าจะให้ความสำคัญกับของสิ่งนี้จริงๆ ทั้งที่ก่อนหน้านี้ยังดูไม่ค่อยสนใจ แต่ตอนนี้กลับว่าง่ายเพราะกระดาษขาดๆ แผ่นนี้”
เว่ยจี่ก้มหน้าเม้มริมฝีปากไม่เอ่ยคำใด ทำให้ฉู่เซ่าหลิงยิ่งอารมณ์ดีจึงส่งภาพในมือให้อีกฝ่ายอย่างใจดี ทันทีที่เว่ยจี่ได้ภาพมาเขาก็สลัดตัวออกจากมือของฉู่เซ่าหลิง ถอยหลังไปหลายก้าว เก็บภาพวาดเข้าไปในอกเสื้ออย่างระมัดระวัง เขามองฉู่เซ่าหลิงอย่างระแวง ท่าทางเหมือนเจอศัตรูตัวฉกาจ พูดเสียงงึมงำ “ผู้น้อย…มิกล้าล่วงเกินองค์ชาย”
“เจ้าหนีอะไร คิดว่าข้าจะแย่งอย่างนั้นหรือ” ฉู่เซ่าหลิงหลุดขำ เขาเดินไปพลิกดูนั่นนี่ที่โต๊ะหนังสือ เงยหน้าขึ้นมองเว่ยจี่แวบหนึ่ง “จะนิ่งทำอะไร มาฝนหมึกสิ”
เว่ยจี่ไม่รู้ว่าฉู่เซ่าหลิงตั้งใจทำสิ่งใดและไม่กล้าถาม ทำได้เพียงเดินเข้าไปยืนช่วยฝนหมึกให้อยู่ข้างๆ ฉู่เซ่าหลิงรื้อค้นอยู่นานกว่าจะได้ผ้าไหมดิบมาหนึ่งผืนที่พอจะใช้งานได้ เขาเลือกพู่กันขนาดเหมาะๆ หนึ่งด้ามมาแตะน้ำหมึกเพื่อวาดภาพ
ฉู่เซ่าหลิงขบคิดเล็กน้อยก่อนยกพู่กันวาดภาพหน้าผาแห่งหนึ่ง หน้าผาสูงลิบ มีพระจันทร์ดวงกลมห้อยอยู่ด้านบนพร้อมปุยเมฆบางเบาสองสามก้อน ฉู่เซ่าหลิงเปลี่ยนพู่กันเพื่อวาดภาพคน ซึ่งคนในภาพครั้งนี้มิใช่ฉู่เซ่าหลิงกับฉู่เซ่าหยาง เพียงตวัดพู่กันไม่กี่ครั้งใบหน้าของเว่ยจี่ก็เริ่มปรากฏอยู่ในภาพวาดอันงดงามของฉู่เซ่าหลิง
เว่ยจี่นั่งอยู่บนพื้นเหนือหน้าผา เขากำลังแหงนหน้าขึ้นมองแสงจันทร์บนท้องฟ้า ข้างกายมีฉู่เซ่าหลิงนั่งทอดอารมณ์อยู่เคียงข้างพลางผินหน้ามามองเว่ยจี่ มุมปากอมยิ้ม เหมือนกำลังพูดอะไรบางอย่าง ข้างมือของทั้งสองมีสุราหนึ่งไห ท่าทางดูสุขสงบและอบอุ่น
ฉู่เซ่าหลิงเปลี่ยนพู่กันอย่างต่อเนื่อง ใช้เวลาเกือบหนึ่งชั่วยามกว่าจะวาดภาพเสร็จ ใช้ฝีมือมากกว่าตอนวาดภาพให้ฉู่เซ่าหยางเสียอีก สักพักฉู่เซ่าหลิงก็เปลี่ยนพู่กันจุ่มหมึกดำเพื่อเขียนตัวหนังสือ
‘มอบให้เว่ยจี่ ฤดูเหมันต์ปีที่สิบสามแห่งรัชสมัยเทียนฉี่’
ฉู่เซ่าหลิงหยิบตราส่วนตัวของตนออกมาประทับที่ด้านขวาล่าง เขาเก็บตรา ก่อนกล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลกลั้วหัวเราะเบาๆ “มอบให้เจ้า สวยกว่าภาพนั้นของเจ้ามากใช่หรือไม่”
ฉู่เซ่าหลิงหันไปมองเว่ยจี่ ไม่รู้ว่าดวงตาของเว่ยจี่เปลี่ยนเป็นสีแดงตั้งแต่เมื่อไร ฉู่เซ่าหลิงหลุดขำ “เป็นอะไรไป เจ้าไม่ชอบภาพนี้หรือ ข้าอุตส่าห์ตั้งใจวาดให้ เหตุใดจึงไม่ดีใจเล่า”
เว่ยจี่ก้มหน้า เอ่ยเสียงแหบพร่า “ผู้น้อยมิกล้ารับความกรุณาขององค์ชาย”
ฉู่เซ่าหลิงทอดถอนใจอยู่ในอก พอจะจับนิสัยของเว่ยจี่ได้แล้วว่าเขาเป็นคนดี นิสัยซื่อๆ เพียงแต่ออกจะมากเกินไปหน่อยถึงทำได้เพียงยืนโง่งมมองดูอยู่ข้างๆ หาไม่เมื่อชาติก่อนเขาคงไม่สามารถเก็บตัวเงียบๆ อยู่ข้างกายตนได้เป็นเวลาสิบปีโดยที่ฉู่เซ่าหลิงไม่เคยล่วงรู้ว่ามีคนผู้นี้ แต่ไหนแต่ไรมาฉู่เซ่าหลิงจะคอยแย่งชิงสิ่งที่ต้องการมาเสมอ นี่เป็นครั้งแรกที่ได้เจอคนนิสัยอย่างเว่ยจี่ ทำให้ทั้งงุนงงทั้งปวดใจในคราวเดียว
ฉู่เซ่าหลิงวางภาพลงบนโต๊ะ ส่วนตัวเองดึงตัวเว่ยจี่ให้นั่งลงพร้อมกัน เว่ยจี่ปาดน้ำตาอย่างอดรนทนไม่ไหว ฉู่เซ่าหลิงหัวเราะเบาๆ “ข้ารับรู้ถึงความรู้สึกที่เจ้ามีให้ข้า เจ้ามิใช่คนโง่ น่าจะเข้าใจความรู้สึกของข้าจากสิ่งที่ข้าปฏิบัติต่อเจ้าในช่วงระยะเวลาหลายวันมานี้”
เว่ยจี่ย่อมเข้าใจว่าหลายวันที่ผ่านมาฉู่เซ่าหลิงคอยแต่จะหยอกเอินและเอ่ยวาจาที่ทำให้เขาหน้าแดงใจสั่น อีกทั้งการที่หวังกงกงเอาใจใส่เขา ย่อมเป็นเพราะได้รับคำสั่งมาจากฉู่เซ่าหลิง
เว่ยจี่เม้มริมฝีปากเล็กน้อย ดวงตายังคงเปียกชื้น ฉู่เซ่าหลิงไม่เข้าใจจึงถามเสียงเบา “เดิมทีวันนั้นข้าอยากใกล้ชิดเจ้า ผู้ใดจะรู้ว่าเจ้ากลับวิ่งหนี ทำเอาข้าเข้าใจว่าเจ้าไม่มีใจให้ จนวันนี้ได้เห็นเจ้าซ่อนภาพของข้าไว้ถึงรู้ว่าเจ้ามีใจให้ข้าเช่นเดียวกัน หากเจ้าไม่พอใจตรงที่ใด บอกข้ามาได้เลย”
เว่ยจี่ก้มหน้า สักพักเขาก็ลุกไปคุกเข่า พูดเสียงแหบ “ผู้น้อยสมควรตายที่คิดในสิ่งที่ไม่สมควรกับองค์ชาย…ผู้น้อยไม่กล้าหวังมาก เพียงอยากถวายความจงรักภักดีอยู่ข้างกายองค์ชายตราบสิ้นลมหายใจ”
ประโยค ‘ตราบสิ้นลมหายใจ’ นี้ลบเลือนอารมณ์อยากเล่นสนุกของฉู่เซ่าหลิงจนหมดสิ้น หน้าผาในภาพที่เขาวาดเมื่อครู่คือช่องเขาขาดที่อยู่ห่างจากตัวเมืองออกไปทางทิศตะวันตกสามสิบหลี่ ฉู่เซ่าหลิงนึกถึงเว่ยจี่ที่อยู่เหนือช่องเขาขาดแห่งนั้นในสภาพที่ร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผลเมื่อชาติก่อน แล้วมองเด็กหนุ่มที่กำลังโตตรงหน้าด้วยความรู้สึกเศร้าเสียใจมากขึ้น
ฉู่เซ่าหลิงถามเสียงหนัก “เจ้าพอใจกับการเป็นผู้คุ้มกันเช่นนี้หรือ ถ้าหากวันหนึ่งข้าแต่งภรรยาให้กำเนิดบุตรเล่า?”
เว่ยจี่ก้มศีรษะ “ผู้น้อยย่อมถวายความภักดีให้แก่พระชายาและทายาทขององค์ชาย เช่นเดียวกับที่ถวายให้แก่องค์ชาย…ผู้น้อยเป็นบุรุษ ไม่มีชาติตระกูลโดดเด่นมากพอจะช่วยเหลือองค์ชาย ทำได้เพียง…”
“เลิกพูดได้แล้ว…” เด็กคนนี้มาเพื่อพิฆาตตนแท้ๆ ฉู่เซ่าหลิงได้ยินคำพูดของเว่ยจี่แล้วรู้สึกปวดแปลบใจไม่หยุด เขาดึงตัวเว่ยจี่ให้ลุกขึ้น พูดเสียงเบา “ข้าจะไม่แต่งชายา”
หากได้คนคนนี้มาใช้ชีวิตร่วมกันแล้ว ต่อให้ไม่มีภรรยาไร้บุตรจะเป็นอะไรไป
เว่ยจี่มองฉู่เซ่าหลิงอย่างอึ้งๆ พูดเสียงเบา “องค์ชาย…”
ฉู่เซ่าหลิงหลับตา เอ่ยเสียงหนัก “ข้ารู้ว่าการที่จู่ๆ ทำเช่นนี้ย่อมทำให้เจ้าไม่เข้าใจ แต่เจ้าจงรู้ไว้ว่าข้าไม่ได้เห็นเจ้าเป็นของใหม่เลยตั้งใจให้เจ้าเป็นของเล่นชั่วครู่ชั่วยาม และขอให้เจ้าสบายใจได้ว่าข้าจะมิยอมให้เจ้าเป็นชายบำเรอ วันนั้นข้าหุนหันเกินไป ขอเจ้าอย่าได้คิดมาก และต่อไปขอให้เจ้าอยู่เคียงข้างข้า”
ฉู่เซ่าหลิงหัวเราะเบาๆ “วันนี้ข้าจะเลื่อนเจ้าเป็นผู้คุ้มกันขั้นหนึ่งแห่งอุทยานปี้เทา จะได้อยู่ข้างกายข้าทุกวัน เจ้าพอใจหรือไม่”
ฉู่เซ่าหลิงไม่เคยรู้มาก่อนว่าตนจะสามารถใส่ใจใครสักคนได้ถึงเพียงนี้ ตอนแรกหลังได้กลับชาติมาเกิดใหม่ก็คิดแค่ว่าจะทำดีต่อเว่ยจี่ ตอบสนองความต้องการของเขา และยกย่องตระกูลของเขาขึ้นมาเพื่อเป็นการตอบแทนความจงรักภักดีของเว่ยจี่ในชาติก่อน แต่หลังจากได้คลุกคลีอยู่ด้วยกันหลายวัน ฉู่เซ่าหลิงพบว่าตนชอบพอคนคนนี้เข้าแล้วจริงๆ
เขามักจะกังวลว่าช่วงผลัดเวรเว่ยจี่จะหนาวหรือไม่ พะวงว่าจะกินอิ่มหรือไม่…ฉู่เซ่าหลิงเป็นคนไม่สนใจผู้ใดนอกจากหลิงฮองเฮากับฉู่เซ่าหยางคนเก่า เขาไม่เคยเป็นเช่นนี้
ขนาดยกย่องอีกฝ่ายให้ขึ้นมาอยู่ข้างกายตนแล้ว ฉู่เซ่าหลิงยังคงไม่สบายใจว่าการที่เขาแหกกฎด้วยการเลื่อนเว่ยจี่ขึ้นมาเป็นผู้คุ้มกันขั้นสามจะทำให้ผู้คุ้มกันคนอื่นกลั่นแกล้งเว่ยจี่หรือไม่ เว่ยจี่ของเขายังเยาว์วัยถึงเพียงนี้ นิสัยก็อ่อนโยนมาก จะให้เขาสบายใจได้อย่างไร
ไม่ว่าจะคิดอย่างไร การให้อีกฝ่ายอยู่ในสายตาย่อมดีกว่า
เว่ยจี่รับมือไม่ถูก ได้แต่พูดเสียงเบาว่า “องค์ชาย…อายุของผู้น้อยยังไม่ถึงและไม่มีความชอบ หากเลื่อนขึ้นเป็นผู้คุ้มกันขั้นหนึ่งอาจทำให้คนติฉินองค์ชาย…”
“องค์ชายของเจ้าไม่เคยกลัวถูกผู้ใดว่าอยู่แล้ว” ฉู่เซ่าหลิงตัดบทคำพูดของเว่ยจี่ หัวเราะเบาๆ “ข้าอยากดีต่อเจ้าไปตลอดทั้งชีวิตจริงๆ…กลัวแต่ถ้าพูดเช่นนี้ออกไปในเวลานี้เจ้าจะไม่เชื่อ เว่ยจี่ เจ้าคอยดูต่อไปเถิด”
ดวงตาของเว่ยจี่แดงเรื่อขึ้นมาทันตา ทั้งที่ตอนแรกเขามอบหัวใจให้โดยที่ไม่ได้วาดหวังสิ่งใด ไม่ว่าอย่างไรเขาก็คิดไม่ถึงว่าจะมีวันนี้ หากบอกว่าไม่รู้สึกตื้นตันย่อมเป็นการโกหก เพียงแต่เว่ยจี่คุ้นชินกับการยืนอยู่ในเงามืด เขาจึงตั้งรับไม่ถูกไปชั่วขณะ ได้แต่เอ่ยถามด้วยเสียงแหบพร่า “องค์ชาย…เหตุใดจึงดีต่อผู้น้อยเช่นนี้”
ทำไมเขาถึงดีต่อเว่ยจี่ ในอีกหลายปีต่อจากนี้จะมีคนมากมายถามคำถามนี้กับฉู่เซ่าหลิง ทั้งฮ่องเต้ ไทเฮา ฉู่เซ่าหยาง รวมไปถึงเว่ยจั้นพี่ชายของเว่ยจี่…เมื่อคนถามมิใช่คนเดียวกัน คำตอบของฉู่เซ่าหลิงย่อมแตกต่างกัน
เว่ยจี่ที่มีรูปร่างหน้าตาอยู่ในระดับปานกลาง นิสัยนิ่งๆ ซื่อๆ หว่านเสน่ห์ไม่เป็น แต่กลับสามารถทำให้ฉู่เซ่าหลิงดีต่อเขาได้ถึงขั้นที่ไม่มีผู้ใดเข้าใจ
ฉู่เซ่าหลิงมองเว่ยจี่ขณะพูดเสียงเบา “ข้าถามเจ้า หากวันหนึ่งข้าสูญสิ้นความเป็นเชื้อพระวงศ์ ตกต่ำยิ่งกว่าสามัญชน แม้แต่คนที่ใกล้ชิดที่สุดยังปรารถนาให้ข้าตาย เจ้าจะทำอย่างไร”
เว่ยจี่ตะลึง ก่อนเอ่ยตอบโดยไม่ได้หยุดคิด “ผู้น้อยจะขอถวายการคุ้มครองอยู่ข้างกายองค์ชายอย่างสุดความสามารถ”
เป็นคำตอบที่ดี ฉู่เซ่าหลิงในเวลานี้คือองค์ชายผู้สูงศักดิ์ที่ถือกำเนิดจากฮองเฮา ยามนี้ไม่ว่าเขาจะถามคำถามนี้กับผู้ใด เกรงว่าคงได้คำตอบไม่ต่างกัน แต่เมื่อชาติก่อนยามที่เขาตกอยู่ในสภาวะย่ำแย่ถึงขีดสุดจนแม้แต่ตัวเองยังยอมแพ้ไปแล้ว มีเพียงเว่ยจี่คนเดียวที่ตัดสินใจแน่วแน่ที่จะพลีชีพเพื่อเขา เว่ยจี่พาเขาออกจากวังฉินอ๋องพร้อมแผลถูกดาบฟันทั้งตัว และมีเพียงเว่ยจี่ที่เผชิญหน้ากับทหารองครักษ์ร่วมสามพันพร้อมเขาอย่างไม่กลัวเกรง เพื่อเขาแล้ว หนึ่งคน หนึ่งดาบ ฟาดฟันสังหารทหารองครักษ์จำนวนสามพัน ก่อนที่สุดท้ายตัวเว่ยจี่จะต้องตายอย่างอนาถไม่เหลือชิ้นดี
ใต้หล้ากว้างใหญ่ มีเพียงคนผู้นี้เท่านั้น
ช่วงสุดท้ายของท้ายที่สุด ขณะที่โลกไร้ซึ่งความหวัง คนผู้นี้ยังคงยืนยันว่าจะปกป้องเขาเพื่อให้เขามีชีวิตอยู่
ชาติก่อนฉู่เซ่าหลิงอายุสั้น นอกจากหลิงฮองเฮา เขาเคยได้รับความรักเช่นนี้จากเว่ยจี่คนเดียว เรื่องในครั้งนั้นเขาไม่มีทางลืมลง ฉู่เซ่าหลิงเป็นคนละโมบโลภมากมาตั้งแต่ไหนแต่ไร เขาย่อมมัดเว่ยจี่ไว้ข้างกายตลอดไปเพื่อกอบโกยความอบอุ่นที่เว่ยจี่มอบให้ตลอดเวลา
ฉู่เซ่าหลิงมองเว่ยจี่ที่ยังดูอ่อนเยาว์ซึ่งมีสีหน้างงงันแล้วหัวเราะเบาๆ “เพราะเจ้าอยู่ข้างกายข้าในสถานการณ์เช่นนั้น ทำให้ข้าชอบเจ้า”
โปรดติดตามตอนต่อไป…
ติดตามบทที่ 11-12 ได้ในวันที่ 14 พ.ค. 64