everY
ทดลองอ่าน ทะเลคลั่งภวังค์วิปลาส เล่ม 1 บทที่ 1-2 #นิยายวาย
ทดลองอ่าน เรื่อง ทะเลคลั่งภวังค์วิปลาส เล่ม 1
ผู้เขียน : เหลียงฉาน
แปลโดย : mykLiu
ผลงานเรื่อง : ทะเลคลั่งภวังค์วิปลาส
ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน
จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว
หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย
– – – – – – – – – – – – – – – – –
Trigger Warning
เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับการทำร้ายทางร่างกายและจิตใจ
มีการกล่าวถึงเลือด สภาพศพ สถานการณ์อันน่าขยะแขยง
กล่าวถึงการข่มขืนและการใช้ความรุนแรง
ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ
สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป
โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
** หมายเหตุ: ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **
– – – – – – – – – – – – – – – – –
Introduction
การดำน้ำตื้น คือการสำรวจจิตสำนึกในระดับตื้น เป็นศัพท์เฉพาะของการดำน้ำสำหรับการศึกษาวิจัยของอาณาเขตทะเล
การดำน้ำลึก คือการสำรวจจิตสำนึกในระดับลึก เป็นศัพท์เฉพาะของการดำน้ำสำหรับการศึกษาวิจัยของอาณาเขตทะเล
การล่องเรือ คือการออกตระเวนไปยังส่วนต่างๆ หรือทั้งหมดของอาณาเขตทะเลเพื่อตามหาสิ่งที่ผิดปกติ เป็นศัพท์เฉพาะของการดำน้ำสำหรับการศึกษาวิจัยของอาณาเขตทะเล
การสอบปากคำ สำหรับการศึกษาวิจัยของอาณาเขตทะเลนั้นการสอบปากคำ หมายถึงการที่นักปรับสมดุลทางจิตฝืนบุกรุกเข้าไปในอาณาเขตทะเลโดยไม่ได้รับการอนุญาตจากบุคคลนั้นๆ
บทที่ 1 เลือดและไวน์ 01
เนื่องจากมีพื้นที่สีเขียวน้อยทำให้โรงพยาบาลมณฑลทหารราบที่ 267 ในช่วงปลายฤดูหนาวดูไร้ชีวิตชีวาเป็นพิเศษ
เวลาห้าโมงยี่สิบนาทีเป็นช่วงที่ใกล้เวลาเลิกงาน ทำให้คนในโรงพยาบาลมีไม่มากนัก
จู่ๆ ประตูของอาคารประวัติศาสตร์โรงพยาบาลก็ถูกใครคนหนึ่งผลักออกมาเสียงดังด้วยความรีบร้อน คุณหมอที่สวมเสื้อกาวน์สีขาวคนหนึ่งวิ่งออกมาจนเกือบชนเข้ากับพนักงานทำความสะอาดที่กำลังกวาดพื้นอยู่ตรงประตู
“คุณหมอเผิง?” พนักงานทำความสะอาดตะโกนเรียก แต่ก็ไร้การตอบกลับ
สายลมในช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิยังคงหนาวเย็น แม้จะไม่มีหิมะแต่ก็ให้ความรู้สึกหนาวเหน็บไปจนถึงกระดูก
คุณหมอพุ่งเข้าไปที่ทางออกฉุกเฉินของอาคารผู้ป่วยนอก เขาวิ่งขึ้นไปที่ชั้นบนก่อนสุดท้ายจะผลักประตูเข้าไปในห้องทำงานของรองผู้อำนวยการที่ชั้นแปด
ขณะนั้นรองผู้อำนวยการกำลังรับแขกอยู่ กลิ่นของชาที่ลอยอบอวลอยู่ทั่วห้องพลันถูกรบกวนขึ้นมากะทันหัน รอยยิ้มของเขาและแขกที่มาเยือนค้างอยู่บนใบหน้า ก่อนจะพากันมองไปยังผู้ที่ไม่ได้รับเชิญด้วยความประหลาดใจ
“พรุ่งนี้มีนัดผ่าตัดสำคัญไม่ใช่เหรอ” สีหน้าของรองผู้อำนวยการขรึมลง “เกิดอะไรขึ้นกับคุณ!”
ไม่ว่าใครก็ดูออกว่าสภาพของคุณหมอไม่ค่อยปกติ ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยเหงื่อ ริมฝีปากซีดเซียวที่สั่นไม่หยุด ในดวงตากลมโตมีแต่ความหวาดผวา เขากลอกตามองไปมาระหว่างรองผู้อำนวยการและแขกของอีกฝ่าย
“…เผิงหู คุณเป็นอะไร” สีหน้าของรองผู้อำนวยการเปลี่ยนไป “การผ่าตัดเมื่อช่วงบ่ายผิดพลาดงั้นเหรอ”
“ไม่…ไม่ใช่…” จู่ๆ มือของคุณหมอก็จับไปที่บริเวณท้อง เขาร้องอุ๊บออกมาก่อนจะคุกเข่าทรุดลงไปแล้วเริ่มอาเจียน
เขาอาเจียนจนกระทั่งน้ำตาไหลออกมา หลังจากอาเจียนเสร็จเขาก็ไอไปด้วยร้องไห้ไปด้วย
“เลขหก…ห้องผ่าตัดหมายเลขหก…เต็มไปด้วยเลือด…” เสียงของเขาสั่นเครือจนฟังไม่ชัด ไม่รู้ว่าเป็นเพราะกลัวหรือรู้สึกไม่สบาย ขณะที่ร่างกายเองสั่นไม่หยุด “ผนังและพื้น…เต็มไปด้วยเลือด…”
รองผู้อำนวยการตกใจจนลุกขึ้น “คุณพูดว่าอะไรนะ”
“เลือดเยอะมาก คนก็เต็มไปหมด…” คุณหมอเงยหน้าขึ้นมองรองผู้อำนวยการพลางพูดเรื่องนี้ซ้ำไปซ้ำมาไม่หยุด
รอจนกระทั่งหมอและพยาบาลคนอื่นๆ มาพาเผิงหูออกไป แผ่นหลังของรองผู้อำนวยการก็มีเหงื่อเย็นๆ ผุดซึมออกมา เขาทำตัวไม่ถูก ไม่รู้ว่าจะมองหน้าแขกของตนเองอย่างไร รวมถึงไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดีไปชั่วขณะ
“พรุ่งนี้คุณหมอเผิงจะยังสามารถผ่าตัดได้อยู่ไหมครับ” แขกของรองผู้อำนวยการนั่งอย่างสงบอยู่ที่โซฟามาตั้งแต่ต้นจนจบโดยไม่ได้แสดงสีหน้าหงุดหงิดหรือไม่พอใจออกมา แต่การที่เขาพูดอย่างช้าๆ ทีละคำก็ไม่ต่างอะไรกับการเอาก้อนหินมาทุบที่หัวใจของรองผู้อำนวยการ
“พวกเราอนุญาตให้เขาผ่าตัด คงเป็นคนอื่นไปไม่ได้”
หลังจากก้มศีรษะโค้งหลังส่งแขกแล้วรองผู้อำนวยการก็เดินวนไปวนมาอยู่คนเดียวที่ประตูทางเข้าโรงพยาบาล คิ้วของเขาขมวดแน่นไม่คลาย
ความจริงแล้วตอนนี้เขากำลังสับสนกับคำพูดของเผิงหู
เพราะในโรงพยาบาลแห่งนี้ไม่มีห้องผ่าตัดหมายเลข 6
ต้นซันจูอวี๋* ของสำนักงานวิกฤตการณ์มักเริ่มออกดอกในเดือนสาม
ต้นไม้หลายสิบต้นนี้เป็นไม้ดอกที่ขึ้นชื่อของสำนักงานวิกฤตการณ์ เวลาที่ดอกเริ่มบานจะดูคล้ายกับแม่น้ำสีทองที่ทอดยาวออกไป โดยเชื่อกันว่าการถ่ายรูปคู่กับต้นไม้นี้จะนำความโชคดีทางด้านการเงินมาให้ ดังนั้นพวกมันจึงเป็นที่ชื่นชอบอย่างมากสำหรับคนในหน่วยงานที่มีฐานะยากจน
ด้านข้างโต๊ะทำงานของฉินเกอเป็นหน้าต่าง ส่วนด้านนอกหน้าต่างคือแนวต้นซันจูอวี๋
ทว่าตอนนี้ฉินเกอไม่มีกะจิตกะใจจะชื่นชมมัน กระดาษและอุปกรณ์สำนักงานบนโต๊ะของเขาเละเทะไปหมด ขวดหมึกพลิกคว่ำ ทั้งยังมีหินแปลกๆ สองสามก้อนจมอยู่ในน้ำหมึกยี่ห้อฮีโร่ที่กำลังจะหมดอายุ
ฉินเกออยากจะหยิบกระดาษขึ้นมา แต่น้ำหมึกกลับกลายเป็นเหมือนกาว ทำให้กระดาษติดอยู่กับโต๊ะ
เขาจึงทำได้เพียงค่อยๆ หยิบออกมาทีละแผ่น
‘ประท้วงระบบแต่งงานที่ไม่ยุติธรรม!’
สีหน้าของฉินเกอไร้อารมณ์ขณะที่หยิบกระดาษแผ่นแรกทิ้งลงถังขยะ
‘พวกเราต้องการแต่งงาน!’
กระดาษเละๆ แผ่นที่สองถูกทิ้งตามลงไป
‘ความรักและการแต่งงานเป็นสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน!’
ฉินเกอค่อยๆ ดึงกระดาษออกจากโต๊ะด้วยความยากลำบาก
ขณะนั้นไป๋เสี่ยวหยวนที่เดินผ่านมาก็มองเขาด้วยความเห็นอกเห็นใจ “มนุษย์ใต้พิภพเป็นคนทำ?”
“อืม” ฉินเกอตอบ
“นายไปทำให้พวกเขาไม่พอใจ?” ไป๋เสี่ยวหยวนอ่านตัวหนังสือบนกระดาษ “หนังสือยื่นขอแต่งงานของพวกเขา?”
“อืม” ฉินเกอตอบอีกครั้ง
“มนุษย์ใต้พิภพเป็นพวกไม่มีเหตุผลเป็นพิเศษหรือไงกัน” ไป๋เสี่ยวหยวนพูดขึ้นอีก “ฉันเห็นพวกแอ็กเคานต์เม้าท์มอยก็พูดแบบนี้เหมือนกัน”
ครั้งนี้ฉินเกอไม่ตอบเธอ
ในโลกที่มีทั้งมนุษย์ธรรมดาและมนุษย์พิเศษนั้นจำเป็นต้องมีผู้ดูแลรักษากฎ
บทบาทของสำนักงานวิกฤตการณ์ก็คือเรื่องนี้ โดยสำนักงานนี้มีชื่อเต็มว่า ‘สำนักบริหารจัดการภาวะฉุกเฉินและวิกฤตการณ์’ รับหน้าที่คอยดูแลรวมถึงจัดการเรื่องต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับมนุษย์พิเศษ ถือเป็นหน่วยงานที่มีความสำคัญมากที่สุด
ทว่าเป็นเพราะที่ตั้งของสำนักงานเป็นพื้นที่เก่าแก่ซึ่งรายล้อมไปด้วยย่านการค้าหนาแน่น เขตที่พักอาศัย และถนนที่เป็นแหล่งของกิน ทั้งยังขาดแคลนเงินทุนประกอบกับการจัดการที่ไม่ดี ส่งผลให้ในปีนี้เพียงปีเดียวก็มีมนุษย์ใต้พิภพและมนุษย์กึ่งซอมบี้บุกมาสร้างปัญหาหลายครั้งแล้ว
ตอนนี้มีโพรงขนาดใหญ่ปรากฏอยู่กลางโถงบริการ นี่เป็นจุดที่มนุษย์ใต้พิภพขุดโพรงเข้ามายังที่แห่งนี้ สร้างความวุ่นวายตลอดทั้งคืน
เกาเทียนเยวี่ย ผู้อำนวยการของสำนักงานวิกฤตการณ์กำลังทะเลาะอยู่กับหัวหน้าฝ่ายรักษาความปลอดภัย
เสียงของหัวหน้าฝ่ายรักษาความปลอดภัยดังไม่เท่าเสียงของเกาเทียนเยวี่ย เขากระโดดขึ้นไปนั่งเก้าอี้แล้วโบกมือ
“ผมบอกคุณตั้งนานแล้วว่าใต้ดินด้านล่างของสำนักงานวิกฤตการณ์มันผิดปกติ ถ้าเมื่อปีก่อนคุณเอาเงินทุนมาลงกับตรงนี้ตอนนี้คงไม่เป็นแบบนี้หรอก! เกาเทียนเยวี่ย คุณอมเงินใช่ไหม กระเป๋าเต็มหรือยังล่ะ!”
หน้าผากของเกาเทียนเยวี่ยมีเส้นเลือดปูดนูนขึ้นมา “พูดจาผายลมอะไรของนาย!”
ตรงมุมหนึ่งของโถงบริหารฉินเกอกำลังยืนอยู่อย่างเงียบเชียบ เหนือศีรษะของเขามีป้ายไฟอิเล็กทรอนิกส์ที่มีตัวอักษรสีแดงวิ่งอยู่ โดยเขียนว่า ‘ปรึกษาการแต่งงาน / ยื่นความจำนงครองคู่’
“ฉันยังไม่เคยเจอมนุษย์ใต้พิภพตัวจริงมาก่อนเลย” ไป๋เสี่ยวหยวนพูด “มนุษย์ใต้พิภพเป็นพวกหัวรั้นหรือไง”
“อืม” ฉินเกอเริ่มใช้กระดาษทิชชูเช็ดโต๊ะ
ไป๋เสี่ยวหยวนรอสักพัก เมื่อเห็นว่าฉินเกอไม่ได้พูดอะไรต่อก็ถามขึ้นอีก “นายมือสั่น? พวกใต้พิภพทำให้นายโกรธใช่ไหม”
“ไม่ใช่” ฉินเกอเงยหน้าขึ้นแล้วชำเลืองมองเธอ ก่อนที่คำสองคำจะหลุดออกมาจากริมฝีปากบาง “รำคาญเธอ”
ไป๋เสี่ยวหยวนหัวเราะเบาๆ ก่อนจะหยิบไม้กวาดแล้ววิ่งออกไปทันที
ดวงตาของฉินเกอพิเศษมาก มันเป็นสีน้ำตาลเข้ม รูม่านตามีสีดำสนิท เวลาที่เขาจ้องมองคนอื่นโดยไม่พูดไม่จาก็จะพาให้รู้สึกเหมือนถูกมองจนทะลุปรุโปร่ง และถึงแม้เขาจะไม่ได้กำลังอารมณ์เสียอยู่แต่ก็ให้ความรู้สึกไม่น่าคบหาด้วยสักเท่าไร
ถ้าสนิทกับเขาแล้วก็จะรู้ว่าเขาเป็นพวกที่น่าเบื่อ มีเพื่อนน้อย และไร้งานอดิเรก วันทั้งวันของเขาหมดไปกับกองหนังสือเก่าๆ ในห้องเก็บเอกสารของสำนักงานวิกฤตการณ์
แทนที่จะบอกว่าเขาเข้ากับคนยาก สู้บอกว่าหลายคนไม่รู้ว่าจะเข้ากับเขาได้อย่างไรเสียจะดีกว่า
หลังจากฉินเกอจัดระเบียบโต๊ะเสร็จก็พบว่าหัวหน้าฝ่ายรักษาความปลอดภัยติดประกาศงดให้บริการหนึ่งวันไว้ที่ด้านนอกประตูเรียบร้อยแล้ว
…วันหยุดที่ไม่ต้องทำอะไร และไม่ต้องให้บริการใคร!
ถึงแม้จะมองไม่ค่อยออก แต่ตอนนี้ฉินเกอกำลังอารมณ์ดีมาก เขาถึงขั้นมองไปที่ดอกตูมของต้นซันจูอวี๋ที่นอกหน้าต่างแล้วยิ้มอยู่ครึ่งวินาทีอย่างสุขใจ
วันนี้คือวันสุดท้ายที่เขาจะทำงานอยู่ที่โถงบริการของสำนักงานวิกฤตการณ์แล้ว วันพรุ่งนี้เขาก็จะสามารถกลับไปทำงานต่อที่ห้องเก็บเอกสารตามเดิมได้
สำหรับฉินเกอไม่มีอะไรน่าสนใจไปมากกว่าการอ่านประวัติความเป็นมาของมนุษย์พิเศษอีกแล้ว
หลังจากโครโมโซมเกิดการกลายพันธุ์หรือติดเชื้อไวรัส มนุษย์ธรรมดาก็จะถูกเรียกว่า ‘มนุษย์พิเศษ’ ซึ่งประกอบไปด้วยมนุษย์ใต้พิภพ มนุษย์กึ่งซอมบี้ เซนติเนล ไกด์ มนุษย์หิมะ มนุษย์ชา เด็กทะเล และมนุษย์หมาป่า…
ในบรรดามนุษย์พิเศษทั้งหมด พวกที่เกิดจากการกลายพันธุ์ของโครโมโซมซึ่งครองสัดส่วนมากที่สุดคือเซนติเนลและไกด์
นี่คือชื่อเรียกของมนุษย์พิเศษสองประเภทที่มีระดับพลังจิตแข็งแกร่งที่สุด พวกเขาต่างจากคนธรรมดาอย่างสิ้นเชิง แม้แต่กับมนุษย์พิเศษด้วยกันก็ยังถือว่ามีความพิเศษที่เหนือกว่า พวกเขาเกิดมาพร้อมกับความสามารถในการแปลงพลังจิตของตัวเองให้เป็นรูปธรรมในรูปแบบของความสามารถของสัตว์ต่างๆ ได้
พวกเขาเรียกสิ่งที่แปรสภาพมาจากพลังจิตนี้ว่า ‘ร่างวิญญาณ’
ว่ากันว่าเซนติเนลหรือไกด์ที่แข็งแกร่งจะรักและภาคภูมิใจกับร่างวิญญาณของตนเองมาก ทั้งยังอยากแสดงร่างวิญญาณของตนเองออกมาตลอดเวลา
แต่ฉินเกอไม่ใช่คนแบบนั้น
เขาเป็นไกด์ที่เกลียดการปล่อยร่างวิญญาณของตนออกมาข้างนอก
เจ้าตัวเล็กนั่นขี้ขลาดมากจริงๆ
ฉินเกอไม่เคยพบเจอร่างวิญญาณตนไหนที่ร้องไห้เพราะเสียงทอดปาท่องโก๋มาก่อน เขาเคยคิดถึงขนาดที่ว่าสมองของตนเองอาจจะมีปัญหาถึงได้ทำให้ความกล้าหาญที่มีนั้นเล็กยิ่งกว่าตัวพารามีเซียม* เสียอีก
บนบอร์ดแปะข้อความขนาดใหญ่ไว้ไม่น้อย ซึ่งทั้งหมดนั้นล้วนเป็นข้อความที่ด่าว่าฉินเกอ เขาจึงลุกขึ้นไปฉีกมันออก แต่แล้วก็ทำให้เขาเห็นรายชื่อที่ได้รับรางวัลติดอยู่บนบอร์ดประกาศนั้น
ด้านหน้าของรายการต่างเป็นชื่อเดียวกันทั้งหมด ‘เซี่ยจื่อจิง’
มุมปากของฉินเกอกระตุก
แล้วก็เป็นอย่างที่คิดไว้ ส่วนที่ต่อท้ายชื่อ ‘เซี่ยจื่อจิง’ ทั้งหมดคือบรรดารางวัลเกียรติยศที่อีกฝ่ายได้รับไม่ว่าจะเป็น ‘เซนติเนลยอดเยี่ยมประจำปีของสำนักงานวิกฤตการณ์ภูมิภาคตะวันตก’ ‘บุคคลตัวอย่าง’ ‘รับเหรียญแห่งเกียรติยศขั้นที่สองเป็นครั้งที่สองแบบบุคคล’ ‘รับเหรียญแห่งเกียรติยศขั้นที่สามเป็นครั้งที่สี่แบบหน่วย’ และอื่นๆ
เซี่ยจื่อจิง…เซนติเนลระดับหนึ่งของภูมิภาคตะวันตก สองสามปีมานี้บ่อยครั้งที่ชื่อของอีกฝ่ายปรากฏอยู่ตามประกาศยกย่องและได้รับความสนใจจากผู้คนอย่างล้นหลาม ว่ากันว่าวันแรกที่อีกฝ่ายเข้ามาทำงานที่สำนักงานวิกฤตการณ์ก็ไปประจำการอยู่ที่ตีนภูเขาหิมะ นับจากตอนนั้นก็ผ่านมาหลายปีแล้ว
ฉินเกอสนใจเซนติเนลคนนี้เป็นอย่างมาก แต่ถึงแม้เขาจะทำงานอยู่ที่ห้องเก็บเอกสารก็ยังหาภาพของเซี่ยจื่อจิงคนนี้ไม่เจอ
เซนติเนลและไกด์ระดับหนึ่งมักปฏิบัติภารกิจที่อันตรายและเป็นความลับสุดยอด การที่ไม่มีรูปภาพของพวกเขาปรากฏให้เห็นจึงถือเป็นเรื่องปกติ แต่ความอยากรู้ของฉินเกอก็เหมือนกับอารมณ์ที่แปรปรวนของเขา…มาไวและไปไว
ตอนที่ดึงแผ่นข้อความขนาดใหญ่ออกจนหมดฉินเกอก็เห็นไป๋เสี่ยวหยวนที่เพิ่งกวาดพื้นเสร็จวิ่งถือไม้กวาดเข้ามาพอดี
“หัวหน้าเกาตามหานายอยู่” เธอพูด “ตอนนี้รีบไปที่ห้องทำงานของเขาด่วนเลย”
ในใจของฉินเกอพลันตื่นตระหนก เปลือกตาเริ่มกระตุก
เกาเทียนเยวี่ยคือผู้อำนวยการสำนักงานวิกฤตการณ์ เขามีศีรษะกลม หูใหญ่ และมักยิ้มแย้มอยู่ตลอดเวลา คงมีเพียงตอนที่ต้องพบปะกับหัวหน้าแผนกรักษาความปลอดภัยเท่านั้นที่เขาไม่สามารถระงับอารมณ์ที่ซ่อนอยู่ได้
ว่ากันว่าแต่ก่อนหัวหน้าฝ่ายรักษาความปลอดภัยเคยเป็นศัตรูหัวใจกับเกาเทียนเยวี่ย จนถึงตอนนี้แม้ว่าเกาเทียนเยวี่ยจะแต่งงานกับภรรยามาสามสิบปีแล้ว ทว่าเขาก็ยังจดจำไม่มีวันลืม
แต่คนในสำนักงานวิกฤตการณ์ต่างก็รู้ดีว่านี่คือนิสัยของพวกอัจฉริยะ
ฉินเกอเข้ามาในห้องทำงาน หลังจากเงยหน้าขึ้นเขาก็เห็นสีหน้าเห็นอกเห็นใจของเกาเทียนเยวี่ย
“ฉินเกออ่า เรื่องมนุษย์ใต้พิภพนั่นอย่าเก็บมาใส่ใจเลยนะ” เกาเทียนเยวี่ยพูด
ฉินเกอพยักหน้า “ผมไม่ได้ใส่ใจอยู่แล้ว”
เกาเทียนเยวี่ย “พวกเขายังเขียนคำด่านายไว้ที่นอกกำแพงด้วย”
จู่ๆ ฉินเกอก็อยากรู้ขึ้นมา “ด่าผมเรื่องอะไร”
เกาเทียนเยวี่ยพูดยิ้มๆ “ไม่ใช่คำที่ดีอะไร อย่าไปคิดถึงมันเลย”
ฉินเกอคิดในใจ ถ้าไม่ใช่คำดีๆ แล้วคุณจะพูดมันขึ้นมาทำไม แต่แล้วเขาก็หมดความสนใจไปเสียดื้อๆ “ช่างมันเถอะ ไม่เป็นไรหรอกครับ ลบแล้วก็พอ”
หลังจากมนุษย์ใต้พิภพติดเชื้อไวรัสที่ทำให้กลายเป็นหิน พวกเขาจะกลายเป็นพาหะของไวรัส ดังนั้นจึงไม่ได้รับอนุญาตให้แต่งงานกับมนุษย์ธรรมดา ทั้งนี้ฉินเกอซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ ‘ปรึกษาการแต่งงาน / ยื่นความจำนงครองคู่’ มาเป็นเวลาหนึ่งเดือนนั้นได้ปฏิเสธความต้องการของมนุษย์ใต้พิภพไปไม่น้อย ในใจจึงรู้ดีว่าตนจะต้องเป็นที่ขุ่นเคืองใจ
“ฉันเชื่อใจนายนะ เรื่องนี้ไม่ใช่ความรับผิดชอบของนาย แต่คราวหลังเวลาทำงานนายช่วยยืดหยุ่นหน่อยนะ ไม่ต้องแข็งจนเกินไป ใครๆ ก็ชอบคนพูดจาดีๆ กันทั้งนั้น พูดกันดีๆ พวกเขาก็เข้าใจแล้ว” เกาเทียนเยวี่ยเลื่อนถ้วยชามาตรงหน้าเขาพลางเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “ฉินเกอ นายเป็นคนมีความสามารถมาก ทั้งยังสุขุม ในบรรดาคนหนุ่มของสำนักงานวิกฤตการณ์คนที่เหมือนนายมีไม่มาก”
น้ำชาสีทองใส มีวงแหวนสีทองคั่นกลางอยู่ระหว่างน้ำชาและถ้วย
ฉินเกอรู้สึกประหม่าอยู่ในใจ
ซวยแล้ว
นี่เป็นชาจินจวิ้นเหม่ย* ของเกาเทียนเยวี่ยที่หนึ่งปีจะตัดใจเอามาดื่มได้สักหน
เปลือกตาของฉินเกอเหมือนติดสปริง มันกระตุกถี่รัวอย่างบ้าคลั่ง
“ตลอดเวลาที่ผ่านมาองค์กรก็ให้ความสำคัญกับบุคลากรอายุน้อยที่มีความสามารถโดดเด่นอยู่แล้ว คนที่มีความสามารถก็ต้องไปอยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสม จะมาสิ้นเปลืองช่วงวัยเยาว์ที่ดีที่สุดไปได้ยังไง” เกาเทียนเยวี่ยลูบศีรษะพลางปัดผมจากทางซ้ายไปทางขวาเพื่อปกปิดส่วนที่ล้านบนศีรษะ
ฉินเกอนั่งฟังอยู่สิบกว่านาทีโดยที่ไม่พูดอะไร จนกระทั่งเกาเทียนเยวี่ยเปิดเผยจุดประสงค์ที่แท้จริงของเขาออกมา
“แผนกปรับสมดุลทางจิตเวช?” เขาคิดว่าตนเองฟังผิด “องค์กรของพวกเรามีแผนกนี้ด้วยเหรอครับ”
“ก่อนหน้านี้ไม่มี แต่เดือนหน้าจะมีแล้ว” เกาเทียนเยวี่ยลุกกลับไปที่โต๊ะทำงาน ก่อนจะขยับมือพลิกกองเอกสารไปมา “คิดไปคิดมาก็มีแค่นายที่เหมาะสม ถึงแม้ว่าไกด์ในสำนักงานวิกฤตการณ์จะมีเยอะ แต่ไม่มีเลยสักคนที่มีความสามารถพิเศษแบบนาย”
จากพนักงานธรรมดาคนหนึ่งในห้องเก็บเอกสาร จู่ๆ ก็ได้เลื่อนตำแหน่งไปเป็นหัวหน้าแผนกปรับสมดุลทางจิตเวช ฉินเกออดไม่ได้ที่จะนวดตาของตนเอง หนังตาของเขากระตุกแรงมากจนทำให้เขาปวดศีรษะ
“แผนกนี้มีไว้ทำอะไรครับ”
เกาเทียนเยวี่ยหยิบเอกสารส่วนหนึ่งกลับมานั่งตรงหน้าเขา ก่อนจะชี้ไปที่ศีรษะของตนเอง
“แก้ปัญหาภายในของ ‘อาณาเขตทะเล’ ” เกาเทียนเยวี่ยพูด “ถึงแม้ตอนนี้จะยังไม่มีสงคราม แต่เรื่องที่อธิบายไม่ได้กลับมีมากขึ้นเรื่อยๆ ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องสมาคมสัญญาณเตือนภัยเมื่อสิบปีก่อน ตอนนี้ยังมีองค์กรที่ต่อต้านเซนติเนลและไกด์อยู่อีกมาก สำนักงานวิกฤตการณ์เป็นหน่วยงานฉุกเฉิน ดังนั้นไกด์และเซนติเนลของเราจะต้องไม่มีปัญหา ‘อาณาเขตทะเล’ ของทุกคนจะต้องสะอาดหมดจด”
ฉินเกอ “นี่เป็นเหตุผลที่คุณต้องการผมในตอนนั้น?”
“ใช่แล้ว” เกาเทียนเยวี่ยพูดยิ้มๆ “ตำแหน่งนักปรับสมดุลทางจิตของนายมีค่ามาก ฉันจะส่งนายให้กับคนอื่นได้ยังไง ปกติแล้วสำนักงานวิกฤตการณ์ไม่มีที่ให้นายได้แสดงศักยภาพ แต่ตอนนี้มีแล้ว นี่เป็นโอกาสที่ดี พวกเบื้องบนกำลังให้ความสำคัญกับเรื่องนี้”
ฉินเกอรับเอกสารมา แล้วก็ต้องประหลาดใจเมื่อพบว่านี่ไม่ใช่หนังสือแต่งตั้ง แต่เป็นรายงานส่วนบุคคล
ตรงมุมขวาบนของรายงานส่วนบุคคลมีตัวอักษรสีแดงสดเขียนอยู่สามคำว่า ‘ลับสุดยอด’
นี่คือรายงานส่วนบุคคลของแพทย์คนหนึ่ง เขาอธิบายว่าช่วงหนึ่งเดือนมานี้ตนเองพบกับอาการประสาทหลอนและหูแว่ว รวมทั้งย้ำซ้ำๆ ว่าผนังของห้องผ่าตัดเต็มไปด้วยเลือดและมีคนมากมายเดินเข้าเดินเข้าออก เขากลัวจนนอนไม่หลับ และเมื่อใดที่หยิบมีดผ่าตัดก็จะเริ่มอาเจียนออกมา
ฉินเกอวางรายงานลง ในที่สุดสีหน้าซึ่งเรียบนิ่งอยู่เป็นนิจก็หลุดความกังวลออกมา
“เรื่องนี้มันเกี่ยวกับ ‘อาณาเขตทะเล’ ตรงไหนครับ” เขาพูดเสียงต่ำ “นี่มันคือโรคจิตนะ”
มนุษย์ใต้พิภพจัดเป็นหนึ่งในมนุษย์พิเศษ กล่าวคือเป็นมนุษย์ที่หลังจากติดเชื้อไวรัส 5K2P แล้วจะกลายเป็นหิน ทั้งนี้มนุษย์ใต้พิภพเกิดจากสองสาเหตุด้วยกัน หนึ่งคือการถ่ายทอดทางพันธุกรรม สองคือเกิดจากการติดเชื้อ โดยหลังจากกลายเป็นหินร่างกายก็จะแข็งทื่อและเปราะบาง เป็นเหตุให้ได้รับผลกระทบจากแบคทีเรีย ลม และฝนได้ง่าย ส่งผลให้ที่อยู่อาศัยลดลงอย่างรวดเร็ว มนุษย์จึงได้ตั้งถิ่นฐานให้กับมนุษย์ใต้พิภพโดยเฉพาะ ทั้งยังมีองค์กรต่างๆ อย่างสถานพยาบาลและสำนักงานธุรการสำหรับมนุษย์ใต้พิภพซึ่งตั้งกระจายอยู่ตามพื้นที่ใต้ดิน
มนุษย์กึ่งซอมบี้จัดเป็นอีกหนึ่งมนุษย์พิเศษ โดยหลังจากติดเชื้อไวรัสซอมบี้ร่างกายจะแสดงอาการต่างๆ ของการเปลี่ยนแปลงกลายเป็นซอมบี้ ซึ่งอาการการเปลี่ยนเป็นกึ่งซอมบี้นี้สามารถชะลอได้ด้วยยา แต่ก็ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ และเมื่อไวรัสเข้าไปถึงสมองก็จะกลายเป็นซอมบี้เต็มตัว ดังนั้นมนุษย์กึ่งซอมบี้จึงต้องตรวจสอบระดับความเข้มข้นของไวรัสในเลือดอยู่เสมอ และหากระดับความเข้มข้นเกินขีดจำกัดก็จะถูกควบคุมตัวทันที
มนุษย์กึ่งซอมบี้และมนุษย์ใต้พิภพจึงเป็นพันธมิตรกันไปโดยปริยายในการต่อสู้เพื่อสิทธิในการสมรสและการมีครอบครัว อย่างไรก็ตามยังคงมีการเลือกปฏิบัติอย่างรุนแรงต่อมนุษย์สองประเภทนี้อยู่ สาเหตุมาจากการที่อีกฝ่ายไม่ยอมรับรสนิยมทางสุนทรียภาพและรูปลักษณ์ภายนอก ทั้งนี้คำว่า ‘ปีศาจหิน’ ถือเป็นการเหยียดหยามมนุษย์ใต้พิภพ เช่นเดียวกับคำว่า ‘ซากศพ’ ที่เป็นคำเหยียดหยามมนุษย์กึ่งซอมบี้เช่นกัน
* ซันจูอวี๋ หรือซันซูยู เป็นต้นไม้ที่พบได้ในประเทศจีน เกาหลี และญี่ปุ่น มีดอกสีเหลือง ผลสีแดง ผลสามารถนำไปทำชาหรือยาได้
* พารามีเซียม (Paramecium) เป็นสิ่งมีชีวิตเซลล์เดียวขนาดเล็ก รูปร่างคล้ายรองเท้าแตะ ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า พบได้ตามแหล่งน้ำจืดในธรรมชาติ
* ชาจินจวิ้นเหม่ย เป็นหนึ่งในชาแดงคุณภาพสูงซึ่งมีราคาแพง