everY
ทดลองอ่าน ทะเลคลั่งภวังค์วิปลาส เล่ม 1 บทที่ 1-2 #นิยายวาย
บทที่ 2 เลือดและไวน์ 02
มีการทำวิจัยในหัวข้อที่เกี่ยวกับเซนติเนลและไกด์มากมาย ซึ่งเรื่องของ ‘อาณาเขตทะเล’ คือหนึ่งในเรื่องที่สำคัญที่สุด
ผู้ที่เสนอให้ใช้คำว่า ‘อาณาเขตทะเล’ เป็นชื่อเรียกอย่างเป็นทางการสำหรับการอธิบายถึงเขตแดนจิตวิญญาณของเซนติเนลและไกด์คือลูอิส หยาง ศาสตราจารย์ด้านจิตเวชศาสตร์ชาวเยอรมัน โดยในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 ลูอิสได้ทำการตีพิมพ์งานวิจัยเฉพาะด้านที่มีชื่อว่า ‘การวิจัยอาณาเขตทะเล’ ในเวลานั้นการศึกษาด้านจิตเวชศาสตร์ของประเทศเยอรมนีถือเป็นอันดับหนึ่งของโลก ด้วยเหตุนี้คำว่า ‘อาณาเขตทะเล’ จึงได้กลายมาเป็นชื่อเรียกอย่างเป็นทางการไปโดยปริยาย
โดยพื้นฐานเซนติเนลและไกด์มีพลังจิตที่แข็งแกร่งอยู่แล้ว ‘ความเสถียรของอาณาเขตทะเล’ เป็นส่วนสำคัญในการวิจัยอาณาเขตทะเล และสิ่งนี้เองที่ทำให้ต้องมีนักปรับสมดุลทางจิตซึ่งมีหน้าที่ให้คำปรึกษาและบรรเทาปัญหาของอาณาเขตทะเลขึ้นมา
ฉินเกอพูดว่า “หัวหน้าเกา ผมทำไม่ได้หรอกครับ ถ้าป่วยทางจิตก็ต้องไปหาจิตแพทย์ ผมเป็นนักปรับสมดุลทางจิต ทำได้แค่ให้คำปรึกษากับฟื้นฟูเท่านั้น รักษาอาการเจ็บป่วยไม่ได้”
“นี่ไม่ใช่อาการป่วยทางจิต” เกาเทียนเยวี่ยกระแอมเบาๆ ก่อนจะทำท่าเป็นนัยบอกให้ฉินเกอเปิดไปที่หน้าสุดท้ายของรายงาน
หน้าสุดท้ายเป็นผลการทดสอบต่างๆ หลายรายการ ซึ่งผลลัพธ์ก็แสดงให้เห็นว่าแพทย์ผู้นี้ไม่มีความผิดปกติทางจิตแต่อย่างใด
ฉินเกอ “…”
เกาเทียนเยวี่ย “ถ้าป่วยทางจิตคงจัดการเรียบร้อยไปแล้ว แต่ปัญหามันอยู่ที่ว่าสภาพจิตของเขาปกติดีทุกอย่าง”
ฉินเกอแทบจะระงับความอยากรู้เอาไว้ไม่ไหว จากนั้นเขาก็หยิบกระดาษสองแผ่นขึ้นมา
สภาพจิตปกติแต่ได้ยินเสียงเรียกชื่อตนเอง ทั้งยังมองเห็นภาพหลอน คุณหมอเผิงหูแห่งโรงพยาบาลมณฑลทหารราบที่ 267 คนนี้เป็นไกด์ และด้วยความที่มีประสบการณ์ทางคลินิกมาหลายปีเขาจึงตัดสินไปว่าอาณาเขตทะเลของตนเองนั้นมีปัญหา
เกาเทียนเยวี่ยลิ้มรสชาอย่างมีความสุข เขามองฉินเกอที่ขมวดคิ้วพร้อมกับอ่านรายงานอย่างตั้งใจ
ผ่านไปสักพักฉินเกอก็วางกระดาษที่อยู่ในมือลง ก่อนจะตัดสินใจหาเหตุผลมาปฏิเสธ “ผมไม่เคยเจอเหตุการณ์แบบนี้มาก่อน ผมทำไม่ได้หรอกครับ”
เกาเทียนเยวี่ยโบกมือราวกับปฏิเสธคำคัดค้านของฉินเกอ
“โรงพยาบาลฯ ที่ 267 เป็นที่แบบไหนพวกเราทุกคนล้วนรู้กัน หากหมอในโรงพยาบาลมีปัญหาก็เป็นปัญหาที่สำนักงานวิกฤตการณ์จะต้องแก้ไข นายเป็นคนของสำนักงานวิกฤตการณ์หรือเปล่า นายใช่นักปรับสมดุลทางจิตเพียงหนึ่งเดียวของสำนักงานวิกฤตการณ์หรือเปล่า”
ฉินเกอ “…”
เกาเทียนเยวี่ย “ถึงแม้ว่าแผนกปรับสมดุลทางจิตเวชจะยังไม่ได้ก่อตั้งขึ้นอย่างเป็นทางการ แต่สำหรับนาย ฉันมองนายในแง่ดีมาตลอด ไม่ใช่แค่ฉันนะ คนเบื้องบนก็คาดหวังว่าเรื่องนี้จะสามารถแก้ไขได้โดยเร็ว เสี่ยวฉิน นายทำได้ไหม”
“ผมยังกลับไปทำงานที่ห้องเก็บเอกสารได้อยู่ไหม” ฉินเกอถาม
เกาเทียนเยวี่ยไม่ได้ตอบตรงๆ “ฉินเกออ่า ฉันรู้จักนายมาหลายปี ฉันรู้ว่านายเป็นคนสุภาพเรียบร้อย ไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็เก็บไว้ในใจ แต่ตอนนี้เป็นโอกาสที่นายจะได้ออกไป ใช่แล้ว สำหรับคนหนุ่มสาวน่ะข้างนอกนั่นมีโอกาสมากมายให้นายได้ใช้ความสามารถ ถ้านายทำงานอยู่แต่ในห้องเก็บเอกสารจะถือเป็นเรื่องที่เสียเปล่านะ”
ทิศทางของการสนทนาถูกควบคุมโดยเกาเทียนเยวี่ยทั้งหมด ในที่สุดฉินเกอก็เงียบไป เขารู้แล้วว่าตนเองไม่มีทางปฏิเสธได้
“โอเคครับ” ฉินเกอเก็บรายงานส่วนบุคคลของเผิงหูมา “งั้นผมจะไปติดต่อเพื่อนก่อน แล้วจะไปทำความเข้าใจกับสถานการณ์ในตอนนี้ของโรงพยาบาลฯ ที่ 267”
หลังจากที่เขาลุกขึ้นมาก็พลันนึกขึ้นได้ว่าดูเหมือนตอนนี้จะมีแค่ตัวเขาคนเดียว…ไม่มีคนอื่น
“แน่นอนว่ามีลูกน้อง ไม่กี่คนหรอกนะ แต่ทั้งหมดล้วนเป็นคนมีความสามารถ” เกาเทียนเยวี่ยรีบพูดขึ้น
ฉินเกอคิดแล้วคิดอีก “ไม่เอาไป๋เสี่ยวหยวน”
เกาเทียนเยวี่ยดื่มชาไปครึ่งหนึ่ง บนใบหน้ามีรอยยิ้มที่ดูลึกลับประดับอยู่ “นายคิดว่าไป๋เสี่ยวหยวนเป็นยังไง เป็นเพื่อนร่วมงานที่มีความกระตือรือร้นในการทำงานเป็นทีมไหม ฉันว่าเสี่ยวไป๋ก็น่ารักดีนะ ฉลาดแถมยังคล่องแคล่ว”
ฉินเกอกุมศีรษะอยู่พักหนึ่งแล้วพูดเสริมว่า “โอเค งั้นผมไม่เอาถังชั่ว”
รอยยิ้มของเกาเทียนเยวี่ยแลดูอบอุ่นมากยิ่งขึ้น “เสี่ยวถังกับนายมีปัญหากันเหรอ ฉินเกอ นายต้องพิจารณาตัวเองแล้ว ถังชั่วไม่ใช่คนอารมณ์ร้อน เขาอัธยาศัยดี ตั้งใจทำงาน ระหว่างพวกนายมีปัญหาอะไรกันล่ะ ลองพูดคุยกันตรงๆ ก็โอเคแล้ว”
ฉินเกอพูดไม่ออก “ยังมีใครอีก หัวหน้าเกา คุณพูดมาให้หมดทีเดียวเลยได้ไหม”
“ยังมีอีกคน เป็นเซนติเนลย้ายมาจากที่อื่น เป็นคนที่ยอดเยี่ยมมาก” เกาเทียนเยวี่ยสั่นศีรษะ “จะมารายงานตัววันนี้ตอนบ่าย เดี๋ยวถึงเวลาฉันจะแนะนำให้พวกนายทั้งคู่รู้จักกัน”
ฉินเกอคาดว่าเซนติเนลคนนี้คงเป็นพวกที่ไม่ต่างจากไป๋เสี่ยวหยวนและถังชั่วสักเท่าไร เขาจึงได้แต่ยิ้มแห้งๆ ตอนนี้ความคาดหวังในใจของเขามีขนาดเล็กยิ่งกว่าพารามีเซียมเสียอีก
ฉินเกอไม่ได้บาดหมางอะไรกับไป๋เสี่ยวหยวน เพียงแค่รู้สึกว่าเธอน่ารำคาญ ในหนึ่งวันมียี่สิบสี่ชั่วโมง นอกจากนอนแปดชั่วโมงแล้วเขาก็สงสัยว่าไป๋เสี่ยวหยวนคงใช้เวลาสิบห้าชั่วโมงไปกับการพูดคุย
ทุกวันฉินเกอจะต้องเผชิญกับเรื่องน่ารำคาญใจร้อยแปดพันอย่าง หากจะให้เพิ่มไป๋เสี่ยวหยวนเข้าไปอีกคนเขาก็รู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาจริงๆ
กับถังชั่วเขาก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร จริงๆ แล้วถังชั่วก็เป็นคนอัธยาศัยดีและตั้งใจทำงาน แต่ปัญหาเพียงหนึ่งเดียวเลยก็คือวงจรสมองของอีกฝ่ายที่ไม่เหมือนกับคนอื่นๆ ทำอะไรก็ไม่ได้ดี หลังจากหมุนเวียนไปทำงานตามแผนกต่างๆ ในสำนักงานวิกฤตการณ์ได้สองปีก็ได้มาร่วมทีมแผนกเก็บเอกสารที่ฉินเกอทำงานอยู่ ถังชั่วถึงได้เจอตำแหน่งที่เหมาะกับตัวเองและได้กลายเป็นหนอนหนังสือที่ไม่ถูกรบกวนจากภายนอก
ทุกวันนี้ฉินเกอพยายามอย่างยิ่งที่จะทำตัวเป็นผู้ใหญ่ที่มีสมองปกติ เขาจึงไม่เต็มใจที่จะเอาถังชั่วมาเพิ่มด้วยอีกคน
เขาไขกุญแจเพื่อปลดล็อกคอของจักรยานไฟฟ้า โดยวางเรื่องของไป๋และถังสองคนนี้ไว้ชั่วคราว ในสมองนึกถึงสิ่งที่ตนเองคุยกับเกาเทียนเยวี่ยอีกรอบอย่างรวดเร็ว
ตัวเขาน่าจะถูกเกาเทียนเยวี่ยฝังทั้งเป็นอย่างแน่แท้แล้ว
แผนกปรับสมดุลทางจิตเวชอะไรนี่น่าจะเป็นแผนกว้างๆ ที่กำหนดขึ้นมาโดยที่ยังไม่ได้ใช้งานอะไร ดูท่าแล้วคงจะเป็นความต้องการของพวกคนเบื้องบน เพราะแบบนั้นเกาเทียนเยวี่ยเลยยัดพวกที่ใช้งานไม่ค่อยได้สองสามคนเข้าไปโดยเอาคนที่ตนเองจัดการไม่ได้มาให้เขาดูแลแทนอย่างง่ายๆ
ถึงแม้เขาจะสอบได้ใบรับรองของนักปรับสมดุลทางจิตแล้ว แต่ฉินเกอก็ไม่เคยใช้มันอย่างเป็นทางการมาก่อน
การสอบเป็นนักปรับสมดุลทางจิตนั้นยากมาก ทั้งประเทศมีการลงทะเบียนไว้ไม่เกินห้าคน ซึ่งฉินเกอคือหนึ่งในนั้น
เขาเป็นไกด์เพียงหนึ่งเดียวของสำนักงานวิกฤตการณ์ที่สามารถเข้าไปดำน้ำตื้น ดำน้ำลึก ล่องเรือ หรือแม้กระทั่งทำการสอบปากคำในอาณาเขตทะเลของผู้อื่นได้
โดยปกติแล้วเซนติเนลในสำนักงานวิกฤตการณ์จะมีไกด์ที่เป็นคู่หูทำงานด้วยอยู่แล้ว ซึ่งตัวไกด์เองก็สามารถจัดการกับตนเองได้ สำหรับฉินเกอนั้นนอกจากการแอบเข้าไปล่องเรือในอาณาเขตทะเลของพวกเขาตามขั้นตอนการปฏิบัติงานเมื่อมีพนักงานใหม่เข้ามาทุกปีแล้วก็ยังไม่มีโอกาสได้แสดงศักยภาพในบทบาทที่สำคัญเลย
การล่องเรือเข้าไปในอาณาเขตทะเลไม่ใช่เรื่องที่ผู้คนยินยอมพร้อมใจ ฉินเกอรู้สึกมาตลอดว่าการแอบเข้าไปล่องเรือในอาณาเขตทะเลของผู้อื่นเพื่อแอบดูความลับและอารมณ์ความรู้สึกของพวกเขานั้นเป็นเรื่องที่เสียมารยาทอย่างยิ่ง
ดังนั้นแล้วจากการจัดการแบบนี้ของเกาเทียนเยวี่ย เขาจึงทั้งรู้สึกแย่และโมโหเป็นอย่างมาก แต่เรื่องพวกนี้ย่อมไม่สามารถแสดงออกมาทางสีหน้าได้
สิ่งที่น่าเสียดายที่สุดคือเขายังอ่านสิ่งที่อยู่ในห้องเก็บเอกสารได้ไม่จุใจเลย
ขณะที่เขากำลังขี่จักรยานไฟฟ้าออกจากสำนักงานวิกฤตการณ์ ฉินเกอก็เหลือบไปเห็นชายร่างสูงสวมแจ็กเก็ตหนังสีดำ อีกฝ่ายยืนพิงหน้าต่างและกำลังขอบุหรี่กับคุณลุงที่อยู่ในป้อมยาม ทั้งนี้ฉินเกอเห็นเพียงใบหน้าด้านข้างของอีกฝ่ายกับสันจมูกที่ตั้งตรง
มีสิงโตตัวหนึ่งนอนหมอบอยู่ข้างๆ ประตูป้อมยาม มันกำลังอ้าปากหาว
“เสี่ยวฉิน จะไปแล้วเหรอ” คุณลุงปลีกตัวจากการทำงานมาเอ่ยปากถามเขาหนึ่งประโยค
“ไปทำงานครับ” ฉินเกอตอบ
จักรยานไฟฟ้าสั่นโคลงจากการเร่งความเร็ว ชายคนนั้นหันหน้ามามองโดยที่ฉินเกอไม่ทันเห็น
โรงพยาบาลมณฑลทหารราบที่ 267 เป็นโรงพยาบาลเฉพาะทางของมนุษย์พิเศษ มีพื้นที่ขนาดกลางแบ่งเป็นสัดส่วนอย่างชัดเจน และยังมีพื้นที่ทางการแพทย์ใต้ดินสำหรับดูแลมนุษย์ใต้พิภพอีกด้วย
โรงพยาบาลมีความเข้มงวดมาก ไม่ว่าจะเป็นใครหากต้องการเข้ามาจำเป็นต้องแสดงบัตรประชาชน และเมื่อระบบแสดงข้อมูลว่าผู้ที่มาเป็นมนุษย์พิเศษ ตามกฎเกณฑ์จะต้องมีการตรวจสอบอีกชั้น ยกตัวอย่างเช่น หากเป็นเซนติเนลหรือไกด์ก็จะต้องปล่อยร่างวิญญาณของตนเองออกมาเพื่อทำการตรวจสอบ
ฉินเกอเสียเวลาตรงประตูอยู่ไม่กี่นาที เมื่อเข้ามาในโรงพยาบาลได้ก็พบว่าเหยียนหงกำลังรอตนเองอยู่ที่ประตูอาคารผู้ป่วยนอก
เหยียนหงเป็นเพื่อนสมัยเรียนมหาวิทยาลัยของฉินเกอ ตอนนี้ทำงานธุรการอยู่ในโรงพยาบาลฯ ที่ 267 ทุกๆ วันภาพที่เขาลงในโมเมนต์* ล้วนไม่ใช่พวกภาพอย่าง ‘ตั้งใจทำงานล่วงเวลากันครับ’ แต่เป็น ‘โรงอาหารเปิดแล้ว สู้’
เขาโอบไหล่ฉินเกออย่างเป็นกันเอง “วันนี้มีประชุมตอนเย็นไหม จะพานายไปกินข้าว”
ฉินเกอ “กินอะไร ที่โรงอาหาร?”
เหยียนหง “โรงอาหารของพวกเราเป็นที่เลื่องลือในโรงพยาบาลมากนะ ญาติผู้ป่วยและผู้ป่วยที่ออกจากโรงพยาบาลไปแล้วยังอดที่จะกลับมากินเซ็ตอาหารประจำวันบ่อยๆ ไม่ได้เลย”
“หลังจากรู้สถานการณ์ทั้งหมดแล้วฉันต้องกลับไปที่สำนักงานอีกรอบ” ฉินเกอปัดมือของอีกฝ่ายออก ไม่อยากฟังเรื่องไร้สาระ “พูดให้เข้าใจหน่อย สรุปว่าคุณหมอเผิงหูเป็นใครในโรงพยาบาลของนายกันแน่”
“ศัลยแพทย์ทรวงอกที่ดีที่สุดของ 267” เหยียนหงทำมือเป็นท่าผ่าอก “ผู้ป่วยที่รอผ่าตัดกับเขาน่ะเป็นประธานของบริษัทอะไรสักอย่าง เมื่อสองวันก่อนมีอาการเฉียบพลัน หมอที่จะผ่าตัดเขาก็คือเผิงหู ตอนนี้เลยรีบกันไปหมด ทั้งเผิงหู โรงพยาบาล แล้วก็ผู้ป่วย ถ้าปัญหาของเขาไม่ได้รับการแก้ไขหนึ่งวัน เขาก็ไม่สามารถผ่าตัดไปได้อีกหนึ่งวัน”
ฉินเกอเข้าใจแล้ว การที่ให้เขาเริ่มทำงานนี้ก่อนจะมีการจัดตั้งแผนกปรับสมดุลทางจิตเวชขึ้นเป็นเพราะผู้ป่วยที่รอให้หมอเผิงหูผ่าตัดใช้วิธีการบางอย่างมากดดันสำนักงานวิกฤตการณ์
“ระบบอุปถัมภ์” ฉินเกอพูด
“ใช่ ระบบอุปถัมภ์” เหยียนหงเอาแขนพาดบ่าของฉินเกออย่างสนิทสนม “เดี๋ยวฉันจะพานายไปเยี่ยมชมห้องผ่าตัดของผู้มีอำนาจพวกนี้”
เหยียนหงไม่ได้พาเขาไปที่อาคารผู้ป่วยนอกหรืออาคารผู้ป่วยใน แต่ตรงไปที่อาคารขนาดเล็กสามชั้นซึ่งตั้งอยู่ด้านหลังอาคารเทคนิคการแพทย์
อาคารโบราณหลังเล็กแห่งนี้ได้รับการบำรุงรักษาเอาไว้เป็นอย่างดี ด้านในถูกปรับให้เป็นห้องจัดแสดงประวัติของโรงพยาบาล ขณะนี้มีผู้ป่วยที่ใช้ไม้ค้ำยันสองสามคนกำลังยืนคุยกันอยู่ตรงบริเวณเครื่องปรับอากาศ
“วันนี้คุณหมอเผิงหูไม่อยู่ นายไปดูห้องผ่าตัดก่อนแล้วกัน” เหยียนหงกล่าว “แผนกของนายยังไม่ได้จัดตั้งขึ้นอย่างเป็นทางการ ตอนนี้ทำได้แค่ให้ฉันที่มีตำแหน่งเล็กๆ มาต้อนรับหัวหน้าฉินแล้ว”
ฉินเกอแปลกใจมาก “ห้องผ่าตัดอยู่ที่นี่?”
“ห้องผ่าตัดห้องนั้นไม่ได้ใช้นานแล้ว” เหยียนหงพูดขณะที่พาเขาเดินขึ้นไปบนอาคาร “แต่ก่อนโรงพยาบาลมีขนาดเล็ก ที่นี่คืออาคารผู้ป่วยใน ทุกชั้นจะมีห้องผ่าตัดสองห้อง จากนั้นน่าจะเมื่อประมาณสามสิบปีก่อนที่รัฐบาลได้ให้เงินพิเศษมาสำหรับสร้างอาคารใหม่ ตรงนี้เลยกลายเป็นพื้นที่ของแผนกมะเร็งวิทยา แล้วไม่กี่ปีก่อนหน้านี้ถึงเปลี่ยนมาเป็นอาคารประวัติศาสตร์”
ทั้งสองเดินขึ้นไปที่ชั้นสาม โถงทางเดินของชั้นนี้ทางขวาเป็นหน้าต่างและระเบียง ส่วนทางซ้ายเป็นห้องที่ประตูและหน้าต่างบางบานปิดสนิทซึ่งมีอยู่หลายห้อง และจากหน้าต่างบางบานที่ปิดไม่สนิทจึงทำให้มองเห็นโต๊ะประชุมที่อยู่ด้านใน
“ชั้นสามเป็นห้องประชุมทั้งหมด ปกติแล้วจะไม่มีใครขึ้นมา” เหยียนหงชี้นิ้วไปด้านหน้า “ด้านหน้าเป็นห้องผ่าตัดหมายเลขหกที่เผิงหูพูดถึง ทุกวันนี้โรงพยาบาลของพวกเราไม่ได้ใช้ลำดับตัวเลขในการตั้งชื่อห้องแล้ว ห้องผ่าตัดใหญ่ทั้งหมดอยู่ที่อาคารผู้ป่วยในและจะตั้งชื่อตามแผนกในแต่ละชั้น เช่น ห้องผ่าตัดแผนกสูติ-นรีเวช 123 ห้องผ่าตัดแผนกศัลยกรรม 123 เพราะงั้นตอนที่เขาพูดว่าห้องผ่าตัดหมายเลขหกมีบางอย่างผิดปกติ รองผู้อำนวยการถึงได้ตกใจสุดขีดเพราะที่นี่ไม่มีห้องผ่าตัดหมายเลขหกที่ว่า”
ขณะที่เขายกฝ่ามือขึ้น นกตัวน้อยที่มีจะงอยปากแหลมสีชมพูก็กระพือปีกขึ้นจากมือเขาก่อนจะบินสูงขึ้นไป
“โฮ่ เจ้านกอ้วน” ฉินเกอทักทายเจ้านกตัวนั้น “ไม่เจอกันนานเลยนะ”
“น้องชื่อเสี่ยงมี่เลี่ย*!” เหยียนหงพูดแก้ด้วยความโมโห “แม่งเอ๊ย นายตั้งใจใช่ไหม พูดไปสามหมื่นกว่ารอบแล้วนะ ช่วยจำให้มันถูกหน่อย!”
เสี่ยงมี่เลี่ยตัวใหญ่กว่านกกระจอกเล็กน้อย มันจำฉินเกอได้ จึงอ้าปากร้องเรียกฉินเกออย่างสนิทสนม จากนั้นเหยียนหงก็โบกมือให้มันบินไปข้างหน้า
เสี่ยงมี่เลี่ยบินไปจนสุดทางเดินก่อนจะทะลุผ่านเข้าไปในประตูที่ปิดอยู่
ผ่านไปสักพักเจ้านกน้อยก็บินกลับมาที่มือของเหยียนหง มันร้องอย่างกระตือรือร้นก่อนจะสลายกลายเป็นควันจางๆ แล้วหายเข้าไปในมือของเหยียนหงอย่างรวดเร็ว
“โอเค นกของฉันบอกว่าไม่มีปัญหา ไปกัน” เหยียนหงผลักฉินเกอให้ออกเดิน
ฉินเกอหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก เขารู้ว่าเหยียนหงขี้กลัว แต่ก็ไม่คิดว่าจะกลัวขนาดนี้
“ไม่เป็นไร” เขาปลอบเหยียนหง “ตอนอยู่ชั้นล่างฉันสำรวจแล้ว ไม่พบร่างวิญญาณที่ผันผวนที่นี่”
เหยียนหงทั้งรู้สึกเลื่อมใสและขุ่นเคืองในเวลาเดียวกัน “แล้วทำไมนายไม่บอกฉัน!”
ฉินเกอหันไปมองอีกฝ่าย “เดี๋ยวนะ นายใช้ร่างวิญญาณตรวจสอบละเอียดแบบนี้เป็นเพราะห้องผ่าตัดมีอะไรแปลกๆ งั้นเหรอ”
เขาแปลกใจเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าปัญหาคือเผิงหู จากเหตุการณ์ที่หมอคนนั้นพบเห็น มันเป็นไปไม่ได้ที่จะเกิดขึ้นจริง เมื่อเป็นแบบนี้แล้วทำไมเหยียนหงถึงได้ดูระมัดระวังขนาดนี้ขณะพาเขาไปที่ห้องผ่าตัด
“พออ่านรายงานแล้วก็รู้สึกว่าปัญหาอยู่ที่ตัวหมอเผิงหูแหละ” เหยียนหงหยิบกุญแจออกมา “แต่จริงๆ แล้วสิ่งที่แปลกน่ะคือห้องผ่าตัดห้องนี้”
กุญแจถูกเสียบเข้าไปในรูกุญแจ
“ฉันเชื่อในลัทธิวัตถุนิยมนะ ฉันเป็นแฟนคลับของมาร์กซ์** แต่เรื่องนี้มันแปลกมากเลย” เหยียนหงเบาเสียงลง “ฉันเป็นคนเก็บรวบรวมรายงานของหมอเผิง มีเนื้อหาบางส่วนที่โรงพยาบาลไม่ให้ฉันเขียนลงไป”
“เนื้อหาอะไร” ฉินเกอที่เหมือนจะติดเชื้อความลึกลับมาจากเขาถามเสียงเบา
“หมอเผิงบอกว่า…บนผนังเต็มไปด้วยเลือดที่ไหลลงมาจากเพดาน ทำให้พื้นของห้องผ่าตัดนองไปด้วยเลือด” เหยียนหงลังเลอยู่สักพักก่อนจะลดเสียงให้เบาลงยิ่งกว่าเดิม “เขายังเห็นอีกว่าในห้องผ่าตัดมีผู้ป่วยและหมอที่สวมเครื่องแบบเมื่อหลายสิบปีก่อนกำลังผ่าตัดอยู่”
หลังจากส่งเหยียนหงกลับไปที่อาคารผู้ป่วยนอก ฉินเกอก็นั่งลงที่ม้านั่งด้านหน้าอาคารประวัติศาสตร์
ม้านั่งมีอยู่เพียงตัวเดียว รายล้อมไปด้วยต้นหลิวสี่ห้าต้นที่กำลังผลิใบ เขาเงยหน้าขึ้นมองไปที่ชั้นสามก่อนจะพบว่าจากมุมนี้ไม่สามารถมองเห็นห้องผ่าตัดหมายเลข 6 ได้
ตรงถนนด้านข้างเด็กชายกำลังกอดขาคุณพ่อพลางร้องไห้เสียงดัง โดยมีสุนัขพันธุ์คอลลี่ตัวเล็กๆ หมอบอยู่ข้างๆ เด็กชาย เป็นร่างวิญญาณที่กำลังหวาดกลัว
ในตอนนี้ฉินเกอถึงได้รู้ว่ารอบตัวเขามีแต่เด็กๆ กับร่างวิญญาณตนเล็กๆ ของพวกเขา วันนี้น่าจะเป็นวันตรวจร่างกายของเซนติเนลและไกด์ เด็กบางคนสามารถเล่นกับร่างวิญญาณของตนเองได้อย่างง่ายดาย ทว่าบางคนก็ยังกลัวเจ้าสิ่งที่ตนไม่คุ้นเคยนี้ แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้แยกจากเพื่อนของตนไปไหน
เขามองไปรอบๆ ก่อนจะเห็นสิงโตตัวใหญ่ที่กำลังอ้าปากหาวอย่างเกียจคร้านอยู่บนสนามหญ้าใกล้กับอาคารผู้ป่วยนอก
บริเวณโดยรอบของร่างวิญญาณสิงโตตัวนี้ไม่มีใครกล้าเข้าใกล้
ในสถานที่ที่เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะและเสียงร้องไห้ การหาวของสิงโตให้ความรู้สึกเหมือนกับภาพสต็อปโมชั่น
ฉินเกอจ้องมองไปที่สิงโตพลางขบคิดในสมองอย่างรวดเร็ว
วันนี้เนื่องจากหมอเผิงหูไม่อยู่ จึงพูดได้ว่าเป็นการมาเสียเที่ยว แต่เหยียนหงก็ตั้งใจพาเขาไปดูห้องผ่าตัดเป็นพิเศษ ทั้งยังอธิบายถึงอาการประสาทหลอนของหมอเผิงหูอย่างละเอียด
ในห้องผ่าตัดห้องนั้นเต็มไปด้วยสิ่งของที่ไม่ได้ใช้เต็มไปหมด ทั้งป้ายผ้าคำขวัญที่ใช้แล้วหรือพวกเก้าอี้พังๆ ที่ถูกกองสุมไว้จนสูง บนพื้นเต็มไปด้วยฝุ่น มีรอยเท้าระเกะระกะประปราย เมื่อเหยียนหงเปิดหน้าต่างออกแสงแดดอ่อนของฤดูใบไม้ผลิก็สาดส่องเข้ามาทางช่องว่าง ทำให้เห็นฝุ่นในห้องลอยวนอยู่ในอากาศ
ไม่มีเตียงผ่าตัด ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลือดและเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์ที่เผิงหูเห็น
เผิงหูบอกว่ามีเลือดไหลออกมาจากเพดานลงไปตามผนัง และยังมีคนมากมายทะลุออกมาจากผนังด้วย
แต่ฉินเกอกลับไม่รู้สึกถึงสิ่งผิดปกติในห้องผ่าตัดเลย
มันเป็นเพียงห้องเก็บของธรรมดาๆ ห้องหนึ่ง
เหยียนหงย้ำกับฉินเกออยู่ตลอดว่าคำอธิบายของหมอเผิงหูนั้นละเอียดมาก คนที่ได้ฟังเรื่องราวทั้งหมดต่างก็คิดว่าที่เขาเห็นมันไม่ใช่ภาพหลอน แต่เป็นเหตุการณ์จริงๆ ที่เขาเห็นมันต่อหน้าต่อตา แต่ถึงอย่างไรมันก็เป็นไปไม่ได้ที่หมอเผิงหูจะเคยเห็นห้องผ่าตัดเมื่อหลายสิบปีก่อน เพราะตอนนั้นเขายังไม่ได้เข้ามาทำงานในโรงพยาบาลแห่งนี้เลยด้วยซ้ำ
แต่ถ้าไม่ใช่ภาพหลอน แล้วมันคืออะไร
ฉินเกอลุกขึ้นยืน ตอนนี้เขาต้องกลับไปตรวจสอบข้อมูลที่สำนักงานวิกฤตการณ์แล้ว ด้วยเหตุผลบางอย่างเขารู้สึกว่าเรื่องนี้มีบางอย่างที่ไม่ปกติ ซึ่งนั่นก็ทำให้หนังตาของเขาสั่นน้อยๆ เหมือนเป็นการอบอุ่นร่างกายก่อนที่จะกระตุกราวกับเต้นรำ
เขาใช้ทางลัดเดินไปยังลานจอดรถ แต่ขณะที่กำลังเดินผ่านสิงโตตัวใหญ่ไปก็พบว่ามันกำลังมองมาที่ตน
แม้แต่ในสำนักงานวิกฤตการณ์ก็มีเซนติเนลที่มีร่างวิญญาณเป็นสิงโตอยู่น้อยมาก ฉินเกอจึงอดไม่ได้ที่จะหันไปมองอีกครั้ง แล้วจู่ๆ ก็นึกออกว่านี่เป็นสิงโตตัวเดียวกับที่เขาเห็นอยู่ตรงป้อมยามของสำนักงานวิกฤตการณ์
ดูเหมือนว่าเซนติเนลที่กำลังยืนขอบุหรี่คนนั้นจะมาที่โรงพยาบาลหลังตนเอง
เขาไม่อาจบอกได้ว่าสนใจไหม ทว่าเขาก็โบกมือให้กับเจ้าสิงโตตัวนั้น
ระหว่างทางจากโรงพยาบาลกลับมายังสำนักงานวิกฤตการณ์ ขณะที่ฉินเกอกำลังรอไฟเขียวอยู่ เขาก็นึกถึงเจ้าของสิงโตตัวนั้นขึ้นมา คนคนนั้นมีจมูกที่สวยมากและใบหน้าด้านข้างก็ไม่เลวเลย
* โมเมนต์ เป็นฟีเจอร์หนึ่งในแอพพลิเคชั่นวีแชต โดยผู้ใช้จะสามารถโพส์ข้อความหรือรูปภาพลงไปได้ คล้ายกับหน้าไทม์ไลน์ของเฟสบุ๊ก
* เสี่ยงมี่เลี่ย หรือนกพรานน้ำผึ้ง (Honeyguides) เป็นนกที่มีทักษะพิเศษนั่นคือการส่งเสียงร้องเพื่อนำทางมนุษย์ไปยังรังผึ้งที่อยู่ในป่า โดยทักษะที่ว่านี้เป็นสิ่งที่มาจากสัญชาตญาณโดยไม่ได้ผ่านการฝึก ทั้งนี้เมื่อไปถึงจุดหมายมันจะหยุดร้องและรอให้มนุษย์จัดการรังผึ้ง เพื่อที่มันจะได้อาศัยประโยชน์ในการกินรวงผึ้ง ตัวอ่อนของผึ้ง และไข่ผึ้งซึ่งเป็นอาหารโปรด
** มาร์กซ์ หรือคาร์ล มาร์กซ์ (Karl Marx) เป็นเจ้าของแนวคิดมาร์กซิสต์ (Marxist) หรือลัทธิมาร์กซ์ (Marxism) อันเป็นรากฐานของลัทธิคอมมิวนิสต์ที่สืบต่อมาจนถึงปัจจุบัน
โปรดติดตามตอนต่อไป…