ทดลองอ่าน ทะเลคลั่งภวังค์วิปลาส เล่ม 1 บทที่ 3-4 #นิยายวาย – Jamsai
Connect with us

Jamsai

everY

ทดลองอ่าน ทะเลคลั่งภวังค์วิปลาส เล่ม 1 บทที่ 3-4 #นิยายวาย

หน้าที่แล้ว1 of 2

ทดลองอ่าน เรื่อง ทะเลคลั่งภวังค์วิปลาส เล่ม 1 

ผู้เขียน :  เหลียงฉาน

แปลโดย : mykLiu

ผลงานเรื่อง : ทะเลคลั่งภวังค์วิปลาส

ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน

จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว

หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย

– – – – – – – – – – – – – – – – –

 

Trigger Warning

เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับการทำร้ายทางร่างกายและจิตใจ

มีการกล่าวถึงเลือด สภาพศพ สถานการณ์อันน่าขยะแขยง

กล่าวถึงการข่มขืนและการใช้ความรุนแรง

ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ

    

สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป

โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน

 

** หมายเหตุยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **

– – – – – – – – – – – – – – – – –

บทที่ 3 เลือดและไวน์ 03

ตอนใกล้เลิกงานฉินเกอเพิ่งจะหาห้องทำงานของแผนกปรับสมดุลทางจิตเวชเจอ

ห้องทำงานที่ว่านี้มีขนาดเล็ก ประมาณยี่สิบตารางเมตร มันซ่อนตัวอยู่ตรงประตูทางเข้าด้านข้างอาคารสำนักงานวิกฤตการณ์ ตอนที่ฉินเกอถามเกาเทียนเยวี่ยว่า ‘ห้องทำงานอยู่ที่ไหน’ เขาก็เริ่มอารมณ์เสียแล้ว พอเดินมาจนถึงประตูห้องทำงานระดับความอารมณ์เสียของเขาก็เกินเกณฑ์ไปแล้วเป็นที่เรียบร้อย

ห้องทั้งเล็ก ทรุดโทรม อีกทั้งยังทำไม่แล้วเสร็จดี มีหน้าต่างบานเล็กๆ ฝุ่นเกาะหนาบานหนึ่งบนผนัง ข้างในมีโต๊ะอยู่สี่ตัว บนโต๊ะโล่งสะอาด แม้แต่ปากกาสักแท่งก็ยังไม่มี

ไป๋เสี่ยวหยวนและถังชั่วขนเก้าอี้เข้ามาในห้องคนละตัว พวกเขานั่งแทะเมล็ดแตงโมอยู่กลางห้องที่ว่างเปล่า ทั้งสองคนช่วยกันจัดระเบียบห้องทำงานเรียบร้อยแล้ว ซึ่งนี่เป็นเรื่องที่เกินความคาดหมายของฉินเกอไปมาก

เขาเคยชินกับห้องเก็บเอกสารที่เต็มไปด้วยเอกสารมากมายจนแทบจะทำให้คนจมหายไปได้ แวบแรกที่ได้เห็นห้องอันว่างเปล่าเลยทำให้เขาปรับตัวไม่ทัน แต่แล้วสิ่งที่อยู่ตรงหน้าก็ได้ยืนยันความคิดของฉินเกออีกครั้ง

เราน่าจะถูกเกาเทียนเยวี่ยจัดฉากเข้าให้แล้ว

“หัวหน้าฉิน” ไป๋เสี่ยวหยวนเห็นฉินเกอเดินเข้ามาหาก็รีบลุกขึ้นอย่างไว “เชิญตรวจสอบผลการทำงานของพวกเราค่ะ!”

ถังชั่วมือไม้อ่อน เขาใช้หัวเข่ารองหนังสือพิมพ์ที่ใส่เปลือกเมล็ดแตงโมไว้ แต่ก็ยังมีเปลือกบางส่วนที่รับไว้ไม่ทันร่วงลงบนพื้น ก่อนที่แมวทรายปากีสถาน* หูใหญ่ตัวหนึ่งจะรีบใช้หางกวาดเปลือกไปไว้อีกทางหนึ่ง

ฉินเกอยังคงเงียบ เขามองไปยังแพนด้าตัวหนึ่งซึ่งอยู่ที่ขาของถังชั่ว มันนั่งทับเปลือกเมล็ดแตงโมเอาไว้เพื่อปกปิดหลักฐานที่กระทำผิด

หนึ่งแมว หนึ่งแพนด้า…เข้ากันได้ดีทีเดียว เมื่อฉินเกอนึกถึงตัวเองในอนาคตที่ต้องทำงานกับไป๋และถังสองคนนี้ก็ราวกับมีพายุระดับสิบพัดถล่มในใจ สถานการณ์ย่ำแย่จนถึงขั้นน่าเวทนา

เขามองไปรอบๆ แล้วถามขึ้น “เซนติเนลอีกคนล่ะ”

“ไม่เห็นนะ ตอนนี้มีแค่ฉันกับถังชั่ว” ไป๋เสี่ยวหยวนตอบ

ฉินเกอมองแมวทรายที่กำลังเดินพันไปพันมาอยู่ตรงข้อเท้าของไป๋เสี่ยวหยวน “สัตว์กินเนื้อ เธอเป็นเซนติเนล”

จากนั้นก็มองไปที่แพนด้าข้างกายของถังชั่วที่กำลังพยายามขยับก้น “แพนด้าเป็นสิ่งมีชีวิตที่กินทั้งพืชและสัตว์ ถังชั่ว คุณเป็นไกด์หรือเซนติเนลล่ะ”

เนื่องจากความกังวลและการเป็นคนขี้อาย ใบหน้าขาวใสของถังชั่วจึงมีริ้วสีแดงปรากฏขึ้นมา เขาดันแว่นที่อยู่ตรงสันจมูกขึ้นก่อนตอบ

“กะ…ไกด์ครับ”

ฉินเกอนึกถึงสิ่งที่เกาเทียนเยวี่ยกำชับมา จึงตัดสินใจว่าจะทำให้บรรยากาศในห้องทำงานผ่อนคลายมากขึ้น อย่างเช่นชวนคุยเรื่องแพนด้าของถังชั่ว ถึงอย่างไรร่างวิญญาณที่เป็นแพนด้าก็หาได้ยากมาก หรือว่าจะลองเข้าร่วมบทสนทนาของพวกเขาดีนะ

“ไม่ต้องเรียกผมว่าหัวหน้าฉิน เรียกชื่อผมตามปกติก็พอ พวกคุณสองคนกำลังคุยเรื่องอะไรกันอยู่” เขาเดินไปที่โต๊ะทำงานข้างหน้าต่าง ก่อนจะวางกระเป๋าเป้ลงพร้อมกับเอ่ยถามถังชั่ว

“คุยเรื่องแฟนของเสี่ยวหยวน…” ถังชั่วยังคงประหม่า “แล้วก็แฟนของผมครับ”

ไป๋เสี่ยวหยวนลุกขึ้นพลางกอดแมวตัวน้อยไว้ในอ้อมแขน “คุยออนไลน์ไม่นับ”

ถังชั่ว “ไม่…ไม่ใช่คุยออนไลน์ พวกเราเคยเห็นรูปภาพของกันและกันมาแล้ว”

ไป๋เสี่ยวหยวน “แบบนี้ไม่น่าไว้ใจเลยนะถังชั่ว ฉันเคยผ่านมาก่อน ฉันเข้าใจ วันวาเลนไทน์เขาก็ไม่ยอมมาหานาย แบบนี้จะเรียกว่ารักกันได้ยังไง”

ถังชั่วดันแว่นขึ้น “เขายุ่งมาก ฉันเองก็ไม่ได้ไปหาเขาเหมือนกัน”

ไป๋เสี่ยวหยวน “แต่พวกนายไม่ได้คุยกันมาสัปดาห์หนึ่งแล้วนะ ความรักออนไลน์น่ะไม่ได้คุยกันเกินสามวันก็คืออกหักแล้ว”

ดูเหมือนถังชั่วจะได้รับความกระทบกระเทือนทางจิตใจอย่างรุนแรง ใบหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นซีดเผือด แม้แต่แพนด้าก็ค่อยๆ หายกลับเข้าไปในตัวของเขาทันที

ฉินเกอได้แต่คิดในใจ ผมทำเต็มที่แล้วนะ ผอ.เกา

สำหรับพวกที่ขาดสารอาหารด้านความรักอย่างเขาไม่ค่อยสนใจเรื่องพวกนี้สักเท่าไรนัก “…ช่างมันเถอะ พวกคุณเลิกงานกันได้เลย พรุ่งนี้เช้ามีประชุม ผมจะจัดหน้าที่ให้พวกคุณ”

หลังจากไป๋เสี่ยวหยวนกับถังชั่วกลับไปแล้วห้องทำงานก็เงียบเหงามากกว่าเดิม

ฉินเกอหยิบสมุดและรายงานส่วนบุคคลของเผิงหูออกมา จากนั้นก็เริ่มเขียนข้อมูลที่ได้รับมารวมถึงความคิดเห็นลงไป

แสงสีทองของอาทิตย์ยามอัสดงส่องผ่านเข้ามาทางหน้าต่างที่เรียงรายอยู่ตรงบริเวณทางเดินนอกประตูห้องทำงาน ตกกระทบลงบนพื้นเป็นสีทองอร่าม

ฉินเกอเขียนไปได้ครึ่งหนึ่ง แสงสีทองที่พื้นก็ถูกบดบัง

เมื่อฉินเกอเงยหน้าขึ้นก็พบว่ามีใครคนหนึ่งยืนอยู่ที่นอกประตู อีกฝ่ายสวมใส่แจ็กเก็ตหนังสีดำที่เขาเคยเห็นมาก่อนและกำลังยืนบังแสงสว่างอยู่

คนคนนี้สูงมาก เส้นผมสีดำแลดูเหมือนถูกมือเสยไปมาหลายครั้ง รูปลักษณ์ของเขาให้ความรู้สึกยุ่งเหยิงสลับกับความเป็นอิสระ ที่คางมีตอหนวดสีเขียวที่เพิ่งถูกโกนออกไป ดูจากตอหนวดที่กระจัดกระจายแล้วเหมือนเขาจะอยากโกนให้มันเกลี้ยงเกลาแต่ไม่สามารถทำได้ ครั้งแรกที่ฉินเกอเห็นคนคนนี้ก็สัมผัสได้ว่าตนเองนั้นรู้สึกอึดอัด โดยเฉพาะเวลาที่เขาหยีตามองมาที่ฉินเกอยิ้มๆ ให้ความรู้สึกเหมือนกำลังหยอกล้ออยู่หน่อยๆ

แต่จมูกของเขาโด่งมากๆ หน้าตาเองก็หล่อเหลาเอาการ

ทว่าไร้เงาของสิงโตตัวนั้น เขาน่าจะไม่ได้ปล่อยมันออกมา

“แผนกปรับสมดุลทางจิตเวช?” สายตาของคนคนนั้นมองไปรอบๆ และสุดท้ายก็มาตกลงบนร่างของฉินเกอ “ฉินเกอ?”

ฉินเกอคิดแล้วคิดอีก เขามั่นใจว่าตนเองไม่เคยรู้จักอีกฝ่ายมาก่อน

“คุณคือใครครับ”

ชายคนนั้นเดินเข้ามาสองก้าวแล้วลากเก้าอี้ออกมานั่งพลางยื่นมือขวาไปหาฉินเกอ “หัวหน้า ผมคือคนของแผนกปรับสมดุลทางจิตเวช เซี่ยจื่อจิงครับ”

ฉินเกอ “…”

เขาประหลาดใจมาก ภายในหัวนึกไปถึงรางวัลเกียรติยศทั้งหลายของเซี่ยจื่อจิง ผ่านไปสักพักเขาก็ยังดึงสติกลับมาไม่ได้

แขนซ้ายของเซี่ยจื่อจิงเท้าคางอยู่บนโต๊ะ ส่วนมือขวายื่นมาที่ด้านหน้าของฉินเกอพร้อมกับมองเขายิ้มๆ

“ยินดีที่ได้รู้จักครับ”

หลังจากฉินเกอเริ่มได้สติกลับคืนมา แม้แต่การพูดจาก็ยังติดขัด เขารีบจับมือกับเซี่ยจื่อจิงไว้แน่น “ผม…ผมเคยได้ยินมาว่า…ไม่ใช่ ผมเคยอ่านประวัติของคุณ…ที่ห้องเก็บเอกสาร…คุณสุดยอดมาก เป็นคนที่มีความสามารถ…”

ความกลัดกลุ้มที่เกิดจากความไม่น่าเชื่อถือของไป๋เสี่ยวหยวนและถังชั่วพลันสลายกลายเป็นควันไปแล้ว

ทว่าเซี่ยจื่อจิงยังคงไม่พูดอะไร เขาเพียงแค่ยิ้มอยู่อย่างนั้น

เมื่อมีไป๋และถังสองคนนี้กับความสำเร็จของเซี่ยจื่อจิงที่อยู่ตรงหน้า ฉินเกอก็รู้สึกว่าเซนติเนลที่อยู่ตรงหน้านี้ยิ่งมองยิ่งดูดี จึงยิ้มให้อีกฝ่าย

“หากคุณมีอะไรสามารถพูดได้ตรงๆ เลย ไม่ต้องกลัว ปกติไม่ต้องเรียกผมว่าหัวหน้าฉินนะครับ พวกเราเป็นเพื่อนร่วมงานกัน ยังต้องทำงานด้วยกัน เรียกชื่อก็พอแล้ว พวกเราเป็นแผนกเล็กๆ ที่เพิ่งจัดตั้งขึ้นมา งานมีไม่เยอะ เพื่อนร่วมงานทั้งหมดล้วนเป็นคนหนุ่มสาว คุยกันง่าย”

เมื่อฉินเกอรู้สึกว่าตนเองเริ่มพูดมากเหมือนเกาเทียนเยวี่ย เซี่ยจื่อจิงก็เริ่มพูดขึ้น

“นายจำฉันไม่ได้เหรอ”

ฉินเกอ “…ถึงแม้ว่าบางครั้งจะดูไม่น่าเชื่อถือ…ฮะ?”

เซี่ยจื่อจิง “ฉันไง เซี่ยจื่อจิง”

ฉินเกอนิ่งค้างไปชั่วขณะ ความรู้สึกลำบากใจค่อยๆ แผ่ซ่าน “ผมอาจจะความจำไม่ค่อยดี ขอโทษด้วยครับ…นึกไม่ออกจริงๆ”

เซี่ยจื่อจิง “พวกเราเคยคบกันมาก่อน”

ฉินเกอ “…”

ภายในระยะเวลาสั้นๆ เพียงหนึ่งนาทีนี่เป็นครั้งที่สองแล้วที่อีกฝ่ายทำให้เขาประหลาดใจจนพูดไม่ออก

“ฉันเป็นแฟนเก่าของนายไง” เซี่ยจื่อจิงเคาะนิ้วลงกับโต๊ะ เขาเผยฟันสีขาวพลางจับมือของฉินเกอที่พยายามดึงออก

รอยยิ้มของฉินเกอค่อยๆ หายไป

ในใจของเขาเหมือนกับเถ้าถ่านที่มอดดับ

นี่ก็เป็นอีกอย่างที่ไม่ปกติ

 

เนื่องจากเซี่ยจื่อจิงมาถึงค่อนข้างช้า เกาเทียนเยวี่ยและคนของแผนกบุคคลกลับกันไปหมดแล้ว ฉินเกอจึงหาคนที่จะทำเอกสารรับเข้าทำงานไม่ได้

จากคำบอกเล่าของเซี่ยจื่อจิง เขาเพิ่งมาถึงสำนักงานวิกฤตการณ์เมื่อตอนบ่ายเพื่อรายงานตัว แต่คนของแผนกบุคคลบอกเขาว่าจำเป็นจะต้องมีรายงานการตรวจสุขภาพด้วย รอจนเขานำรายงานการตรวจสุขภาพกลับมาจากโรงพยาบาลฯ ที่ 267 เมื่อรวมเวลาไปกลับสำนักงานวิกฤตการณ์ก็เหลือแต่พวกที่ทำงานล่วงเวลาแล้ว

“ช่วยแนะนำองค์กรนี้ให้ฉันได้ไหม” เซี่ยจื่อจิงยืนชิดติดกับแผ่นหลังของฉินเกอ “ทำไมนายไม่ดีใจเลยล่ะ เห็นฉันแล้วไม่ดีใจหรือไง นายไม่คิดว่าฉันในตอนนี้ดูเป็นชายหนุ่มมากขึ้นกว่าแต่ก่อนเหรอ นายดูสิ ฉันไว้หนวดด้วยนะ หล่อหรือเปล่า”

ฉินเกอทั้งเหนื่อยทั้งรำคาญอย่างถึงที่สุด หากความน่ารำคาญในใจสามารถวัดค่าออกมาได้ ตอนนี้ค่าที่วัดออกมาคงเกินร้อย

ไม่ต้องทำการทดสอบหรือสัมภาษณ์ใดๆ อีกทั้งไม่จำเป็นต้องเข้าไปล่องเรือในอาณาเขตทะเลของเซี่ยจื่อจิง ฉินเกอก็แน่ใจว่าคนคนนี้จะต้องเป็นพวกที่มีอาการเพ้อฝันในความรักเข้าขั้นหนัก

มีเซนติเนลและไกด์มากมายที่ตกอยู่ในอาการเพ้อฝันในความรัก ซึ่งนี่เป็นสิ่งที่ชี้ให้เห็นว่าอาณาเขตทะเลของพวกเขาอาจไม่ปกติ

คนที่มีอาการเพ้อฝันในความรักส่วนใหญ่มักเป็นคนที่ใช้ชีวิตในสภาพแวดล้อมแบบปิดมาเป็นเวลานาน ไม่ได้พบเจอโลกภายนอกเพียงพอ ขาดแคลนการสนับสนุนจากคนรอบข้าง รวมถึงการที่ในใจมีความปรารถนาอย่างแรงกล้าหรือการที่ชีวิตวัยเด็กได้พบกับการจากลา คนเหล่านี้เมื่อโตขึ้นหากไม่ได้รับการเติมเต็มก็เป็นเรื่องง่ายที่จะเกิดอาการเพ้อฝันในความรัก

พวกเขาจะจินตนาการถึงคนรักที่สมบูรณ์แบบของตนเองโดยทึกทักเอาคนที่ตนได้พบเจอมาเป็นต้นแบบอย่างไม่มีเหตุผล ทั้งนี้พวกเขายังเชื่อด้วยว่าตนเอง ‘เคยคบ’ หรือ ‘กำลังคบ’ กับอีกฝ่ายอยู่

ลักษณะแบบนี้ฉินเกอคุ้นเคยเป็นพิเศษ เพราะในปีที่เขาสอบเป็นนักปรับสมดุลทางจิต คำถามข้อแรกของข้อสอบข้อเขียนคือเรื่องของอาการเพ้อฝันในความรัก

เขาได้คะแนนเต็มในข้อนั้น

ก่อนหน้านี้ฉินเกอเคยเห็นประวัติของเซี่ยจื่อจิงในห้องเก็บเอกสาร ในเอกสารเผยว่าพ่อและแม่ของเขาเสียชีวิตไปก่อนที่เขาจะเข้ามหาวิทยาลัย และหลังจากสอบเข้ามาทำงานในสำนักงานวิกฤตการณ์แล้วเขาก็เลือกไปทำงานที่สำนักงานภูมิภาคตะวันตกซึ่งเป็นที่ที่คนน้อยและยากลำบากที่สุด โดยต้องใช้ชีวิตอยู่ในพื้นที่ที่เต็มไปด้วยหิมะเป็นเวลานาน

ดังนั้นแม้ใจหนึ่งเขาจะรู้สึกว่าเซี่ยจื่อจิงนั้นน่ารำคาญ แต่อีกใจหนึ่งก็รู้สึกว่าอีกฝ่ายช่างน่าสงสาร

ความน่าสงสารนี้ผสมเข้ากับความโกรธและความกังวลของฉินเกอ

แต่จรรยาบรรณของนักปรับสมดุลทางจิตก็คอยเตือนสติเขาอยู่ว่าการจะทำลายอาการเพ้อฝันในความรักของใครสักคนนั้นไม่สามารถทำได้โดยง่าย หากอาการเพ้อฝันในความรักภายในอาณาเขตทะเลของเซนติเนลและไกด์รุนแรงมาก การทำลายโดยไม่ได้รับอนุญาตอาจทำให้อาณาเขตทะเลของพวกเขาล่มสลายได้

ดังนั้นฉินเกอจึงไม่ได้ปฏิเสธ แล้วก็ไม่ได้ตอบรับในสิ่งที่เซี่ยจื่อจิงพูด

เขาเปลี่ยนเป้าหมายโดยเริ่มไปตำหนิเกาเทียนเยวี่ยแทน

“แล้วนายตั้งใจจะพาฉันไปไหนเหรอ” เซี่ยจื่อจิงพบว่าพวกเขามาถึงที่จอดรถแล้ว “ไปบ้านของนาย? ไม่ดีมั้ง เราเพิ่งกลับมาเจอกัน น่าจะเคลียร์ใจกันก่อนนะ แน่นอนว่าฉันไม่ใช่คนสนใจอะไรมากนัก…”

“คุณหาที่พักเอาเองนะ” ฉินเกอก้มหน้าปลดล็อกจักรยานไฟฟ้า “แล้วก็พรุ่งนี้มาที่ห้องทำงานก่อนเจ็ดโมงห้าสิบ ลาก่อน”

เซี่ยจื่อจิงหัวเราะ “นายเขินเหรอ”

ฉินเกออดไม่ได้ที่จะแก้ตัว “ผมไม่ได้เขิน”

เซี่ยจื่อจิงลูบคางของตนเอง “งั้นฉันไปนั่งที่บ้านของนายนะ”

ฉินเกอ “…”

เซี่ยจื่อจิง “นายวางใจได้ ไม่ใช่แบบที่นายคิด”

ฉินเกอ “…ผมคิดอะไร แล้วคุณคิดอะไร!”

คุณลุงที่ป้อมยามโผล่ศีรษะกลมๆ ออกมาจากหน้าต่างพลางจ้องมองไปรอบๆ

ฉินเกอเงียบปาก ภายในใจตอนนี้เหมือนมีพายุเฮอริเคนระดับสามสิบก่อตัวขึ้น ซึ่งหากมีพายุเฮอริเคนระดับสามสิบจริงๆ เขาก็มั่นใจมากว่าเซี่ยจื่อจิงเป็นคนสร้างมันขึ้นมา

“โอเค” เซี่ยจื่อจิงยิ้มก่อนจะพูดว่า “ไม่แกล้งนายแล้ว ฉันจัดการเรื่องที่พักเอง บ๊ายบาย”

ตอนที่ฉินเกอขี่จักรยานผ่านลูกระนาดตรงประตูสำนักงานวิกฤตการณ์ เนื่องจากเขาขี่มาด้วยความเร็วสูง จักรยานไฟฟ้าจึงเหินขึ้นสูงก่อนจะกระแทกเข้ากับก้นของเขาอย่างแรง ทำให้รู้สึกเจ็บมาก

จากความไม่พอใจทุกๆ อย่างในตอนนี้เขาทำได้เพียงโทษว่าเป็นเพราะเกาเทียนเยวี่ย

 

วันที่สองของการทำงาน สิ่งแรกที่ฉินเกอทำคือการตามหาเกาเทียนเยวี่ย แต่เขากลับพบว่าอีกฝ่ายไปทำงานนอกสถานที่ อีกหนึ่งสัปดาห์ถึงจะกลับมา

เขารู้สึกหดหู่ใจเป็นที่สุด จึงไปที่ห้องเก็บเอกสารก่อนเพื่อสงบสติอารมณ์ หลังจากนั้นจึงรวบรวมความกล้าเดินกลับไปที่ประตูด้านข้างแล้วเข้าไปในห้องทำงานของตนเอง

ตอนที่เพิ่งก้าวผ่านประตูเข้าไปสิ่งที่ต้อนรับเขาเป็นอย่างแรกคือกลิ่นของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์

ไป๋เสี่ยวหยวนและถังชั่วยังคงนั่งกินเมล็ดแตงโมเหมือนกับเมื่อวาน แล้วตอนนี้ภายในห้องทำงานยังมีเซี่ยจื่อจิงที่กำลังเคี้ยวเจียนปิ่งกั่วจือ* เพิ่มเข้ามาอีกคนหนึ่ง

ส่วนกลิ่นของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์นั้นมาจากชายแปลกหน้าที่อยู่ด้านหน้าของคนทั้งสาม

เขาโบกหงซิงเอ้อร์กัวโถว** ในมือไปมาพลางสูดดมเข้าจมูก จากนั้นก็ร้องเฮ้อออกมาเสียงดัง “ผมเหรอจะกลัว ถ้าผมกลัวเลือด กลัวคนตาย ผมจะเป็นหมอมาได้ยังไงตั้งหลายปี”

ฉินเกอไม่มีแรงจะโมโหใครแล้ว เขาหันไปมองไป๋เสี่ยวหยวนซึ่งกำลังมองมาทางตนเอง “นี่ใครอีกเนี่ย”

“คุณหมอ” ไป๋เสี่ยวหยวนกระซิบเสียงเบา “เขาบอกว่าเขาชื่อเผิงหู วันนี้ตอนเช้าตรู่ก็มาดื่มเหล้าอยู่ที่หน้าประตูสำนักงานวิกฤตการณ์แล้ว ร้องไห้ไปดื่มไป บอกว่าอยากพบนาย”

ฉินเกอ “…พบฉัน? ทำไม แผนกเล็กๆ อย่างพวกเรามีชื่อเสียงแล้วเหรอ”

ไป๋เสี่ยวหยวน “นี่เป็นนักปรับสมดุลทางจิตเพียงหนึ่งเดียวของสำนักงานวิกฤตการณ์ คุณหมอเผิงบอกว่าอาณาเขตทะเลของเขามีปัญหา ได้ยินมาว่าเมื่อวานนายไปตามหาเขาที่โรงพยาบาลแต่ไม่เจอ เขาเลยมาหาเอง บอกว่าต้องการให้นายช่วยเขา”

ถังชั่วบีบจมูกตัวเองพลางพูด “แต่ที่เขาเห็นมันเป็นภาพหลอน มันเป็นอาการทางจิต…”

กลิ่นของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทำให้ใบหน้าขาวๆ ของเขาแดงผิดปกติ

ใครจะคิดว่าถังชั่วยังไม่ทันพูดจบ เผิงหูก็ลุกขึ้นก่อนยกขวดขึ้นสูงด้วยท่าทีโมโห

เซี่ยจื่อจิงตอบสนองอย่างว่องไว เขารีบยกมือขึ้นจับขวดเหล้าในมือของเผิงหูทันที “ค่อยๆ พูดค่อยๆ จากัน ไม่ต้องตื่นตระหนกนะครับ” เขายิ้มพลางพูดกับเผิงหู “ไว้พวกเราคุยกันเสร็จค่อยดื่มต่อ”

“มันไม่ใช่ภาพหลอน ผมเห็นมันจริงๆ ผมไม่ได้ป่วย” ใบหน้าของเผิงหูเป็นสีแดงเนื่องจากเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และความโกรธ “สิ่งที่ทะลุผ่านเข้าออกผนังทั้งหมดคือทารก”

 

* แมวทรายปากีสถาน (Felis margarita scheffeli) เป็นแมวทรายที่พบได้ในปากีสถาน จัดอยู่ในจำพวกแมวป่าและมีขนาดเล็กที่สุด มักอาศัยอยู่ตามลำพัง และออกหาอาหารในเวลากลางคืน

* เจียนปิ่งกั่วจือ หรือเครปจีน ตัวแป้งมีลักษณะบางนุ่ม ข้างในใส่ไส้คาวต่างๆ

** หงซิงเอ้อร์กัวโถว เป็นยี่ห้อเหล้าชื่อดังของประเทศจีน

หน้าที่แล้ว1 of 2

Comments

comments

No tags for this post.
Continue Reading

More in everY

บทความยอดนิยม

everY

ทดลองอ่าน เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 Chapter 2.1-2.2 #นิยายวาย

ทดลองอ่าน เรื่อง เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 ผู้เขียน : MINTRAN แปลโดย : ทันบี ผลงานเรื่อง : 배타적 연애 금지구역 ถือเป็นลิขสิทธิ์...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน แม่ทัพฉางหนิง ขุนศึกหญิงพิทักษ์นครา บทที่ 62-63

บทที่ 62 เพียงตวัดตามอง สีหน้าของซู่เซิ่นฮุยก็เคร่งเครียดขึ้นทันที เขาหมุนตัวเดินกลับเข้ามาข้างในแล้วแกะตราครั่งภายใต้แส...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน แม่ทัพฉางหนิง ขุนศึกหญิงพิทักษ์นครา บทที่ 66-67

บทที่ 66 ผืนฟ้าเหนือฉางอันมืดลง ม่านราตรีคลี่คลุมอีกครั้ง เสียงย่ำกลองแจ้งเวลาวิกาลลอยมาจากหอกลอง หลังกำแพงสูงตระหง่านขอ...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน แม่ทัพฉางหนิง ขุนศึกหญิงพิทักษ์นครา บทที่ 64-65

บทที่ 64 จวงไท่เฟยหลบร้อนมาพักอยู่บนเขาเซิ่งซานทางตอนเหนือของเมือง วันนี้ซู่เซิ่นฮุยขี่ม้าออกจากที่พักตั้งแต่ฟ้ายังไม่สา...

community.jamsai.com