everY
ทดลองอ่าน ทะเลคลั่งภวังค์วิปลาส เล่ม 1 บทที่ 3-4 #นิยายวาย
บทที่ 4 เลือดและไวน์ 04
ตั้งแต่วันที่เห็น ‘เด็ก’ เผิงหูก็ไม่กล้าเข้าไปใกล้อาคารประวัติศาสตร์ของโรงพยาบาล
ตอนนั้นเขาเพิ่งผ่าตัดเสร็จ กำลังดื่มน้ำอยู่ที่ห้องพักของอาคารผู้ป่วยใน จู่ๆ ก็มีประกาศฉุกเฉินจากอาคารผู้ป่วยนอก เกิดอุบัติเหตุรถชนกันอย่างรุนแรงในบริเวณใกล้เคียง หนึ่งในผู้ที่ได้รับบาดเจ็บหนักคือเซนติเนลซึ่งถูกส่งมายังโรงพยาบาลฯ ที่ 267 แล้ว
เผิงหูไปที่ห้องผ่าตัดฉุกเฉินอย่างรวดเร็ว ผู้ป่วยอยู่ในอาการช็อกเนื่องจากเสียเลือดมาก
ผู้ป่วยเป็นเด็กอายุประมาณเจ็ดถึงแปดขวบ บริเวณหน้าอกของเสื้อกันหนาวขนเป็ดชุ่มไปด้วยเลือด
จากอุบัติเหตุรถโรงเรียนชนกับรถคันเล็กจนพลิกคว่ำตกลงมาจากสะพาน ส่งผลให้กระดูกซี่โครงหักทิ่มปอด
แพทย์แผนกศัลยกรรมทรวงอกผ่าตัดอยู่นานกว่าสามชั่วโมงจึงสามารถช่วยชีวิตเขากลับมาได้ในที่สุด
บริเวณด้านนอกห้องผ่าตัดเต็มไปด้วยบรรดานักข่าว รวมถึงผู้ใหญ่หลายคนที่กำลังนั่งลงร้องไห้อย่างหนักอยู่ที่พื้น ส่วนเผิงหูนั้นออกมาไกลแล้ว เขาหวาดกลัวต่อเหตุการณ์แบบนี้เป็นอย่างมาก
แม้จะเป็นหมอมาหลายปีแต่เขาก็ไม่เคยได้ยินเสียงร้องไห้ที่ทั้งขมขื่นและน่าสงสารแบบนี้ เด็กคนนั้นอายุพอๆ กับลูกของเขา สิ่งหนึ่งที่เขาอยากทำหลังออกมาจากห้องผ่าตัดแล้วคือติดต่อไปหาภรรยา ในตอนนั้นภรรยาของเขากำลังไปรับลูกกลับบ้าน โดยหลังจากที่พ่อลูกคุยกันสองสามประโยคเผิงหูถึงค่อยๆ ใจเย็นลง
เขาเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้ว และขณะที่กำลังเดินออกจากโรงพยาบาลไปได้ไม่ไกลภายในใจของเขาก็ยังคงรู้สึกเศร้าหมอง สุดท้ายเขาจึงนั่งลงที่ม้านั่งตรงหน้าอาคารประวัติศาสตร์ของโรงพยาบาล
ช่วงต้นฤดูใบไม้ผลินั้นหนาวมากแม้จะไม่มีหิมะตกลงมา เผิงหูเงยหน้าขึ้นมองกิ่งไม้ที่ไร้สิ่งปกคลุม จู่ๆ เขาก็สังเกตเห็นว่าที่หน้าต่างชั้นสามของอาคารประวัติศาสตร์มีบางอย่างผิดปกติ
นั่นคือห้องผ่าตัดหมายเลข 6 ที่อยู่ตรงสุดทางเดินชั้นสามของอาคารประวัติศาสตร์โรงพยาบาล ห้องนั้นถูกทิ้งร้างมาหลายปีแล้ว ในห้องมีหน้าต่างเพียงหนึ่งบานเท่านั้น มันถูกเจาะตอนที่มีการปรับปรุงตึก ในตอนแรกห้องนั้นจะทำเป็นห้องจัดแสดงอุปกรณ์ทางการแพทย์ แต่ไม่รู้ว่าทำไมตอนหลังถึงไม่ใช้แล้ว หลังจากนั้นก็กลายเป็นห้องเก็บของ
หน้าต่างบานนั้นไม่มีผ้าม่าน เป็นเพียงหน้าต่างโปร่งแสงบานหนึ่ง
ทว่าในตอนนั้นเผิงหูกลับมองเห็นโครงหน้าของเด็กอยู่ตรงหน้าต่าง
“จะบอกว่าเป็นเด็กก็ไม่ถูก” เผิงหูพูดเสียงเบา “นั่นน่าจะเป็นใบหน้าของทารกที่ยังเล็กมาก”
เขาเป็นหมอ มองครั้งเดียวก็ดูออกแล้วว่าใบหน้านั้นผิดปกติ
“หน้าต่างของห้องผ่าตัดหมายเลขหกไม่ได้เตี้ย มันสูงจากพื้นอย่างน้อยหนึ่งจุดสามเมตร” เขาพูดต่อ “หน้าต่างที่สูงจากพื้นหนึ่งจุดสามเมตรทารกจะปีนขึ้นไปได้ยังไงกัน ตอนนั้นผมคิดว่าในห้องผ่าตัดมีคนอยู่แล้วมีคนอุ้มเด็กขึ้นไปที่หน้าต่าง มันค่อนข้างอันตราย ถึงแม้หน้าต่างจะปิดอยู่ แต่ห้องนั้นก็สกปรกมากๆ”
ตอนที่เผิงหูเงยหน้าขึ้นมองเขาก็สร่างเมาขึ้นมาบ้างแล้ว
เซี่ยจื่อจิงเอาเจียนปิ่งกั่วจือของตนเองกับขวดเหล้าไปวางไว้อีกฝั่งหนึ่ง เขามองไปทางฉินเกอโดยไม่รู้ตัว
ฉินเกอไม่เหมือนกับไป๋เสี่ยวหยวนและถังชั่วที่ตั้งใจฟังอีกฝ่ายอย่างตึงเครียด เขากำลังใช้สายตาประเมินเผิงหูอย่างละเอียด
“แล้วหลังจากนั้นล่ะ” ฉินเกอถาม
เผิงหูไปเอากุญแจจากคนของอาคารประวัติศาสตร์โรงพยาบาลแล้วรีบไปที่ชั้นสาม หลังจากเปิดประตูห้องผ่าตัดหมายเลข 6 เขาก็พบว่าทั้งห้องเต็มไปด้วยเลือดสีแดง ตรงกลางห้องมีเตียงผ่าตัดตั้งอยู่ ผู้ป่วยกำลังกรีดร้อง รอบๆ เตียงรายล้อมไปด้วยหมอและพยาบาลในชุดผ่าตัด พวกเขากำลังทำการผ่าตัดกันอยู่ มีเลือดไหลออกมาไม่หยุด ไม่ว่าจะเป็นเพดาน พื้น หรือผนังทั้งสี่ด้านล้วนเป็นสีแดง ชวนให้รู้สึกอยากอาเจียน
นอกจากผนังที่เป็นสีแดงจนดูผิดปกติแล้วยังมีร่างของทารกทะลุออกจากผนังมาทีละคนๆ แล้วจ้องมองมาที่เผิงหู
ไป๋เสี่ยวหยวนแทบลืมหายใจ เธอยันโต๊ะลุกขึ้นมาด้วยสีหน้าไม่สู้ดี
แม้ถังชั่วแทบจะทนกลิ่นของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ไม่ไหว แต่เรื่องราวที่อีกฝ่ายเล่าไม่ได้ทำให้เขามีปฏิกิริยาอะไร
เซี่ยจื่อจิงมองไปทางฉินเกออีกครั้ง เขาพบว่าฉินเกอใจเย็นกว่าถังชั่วมาก
“นอกจากพวกนี้ล่ะ” เขาถาม “มีอะไรที่รู้สึกแปลกอีกไหมครับ ผมได้ยินเหยียนหงบอกว่าตอนนั้นคุณบรรยายเหตุการณ์ไว้ละเอียดมาก ถ้าคุณยังจำได้และบอกกับพวกเราก็จะดีมาก”
“ชุดผ่าตัดที่พวกเขาสวมอยู่ไม่ใช่แบบในปัจจุบัน” เผิงหูเล่าสิ่งที่ตนเองเห็นทั้งหมดอย่างละเอียด แม้กระทั่งชื่อหรือลักษณะเครื่องมือ “รวมถึงเครื่องมือผ่าตัดก็เป็นแบบในสมัยก่อน ทั้งหมอ พยาบาล และสิ่งที่ผมเห็นในห้องผ่าตัดทั้งหมดนั้นอย่างน้อยๆ คงผ่านมาไม่ต่ำกว่าสามสิบปี”
ฉินเกอมองเข้าไปที่ดวงตาของอีกฝ่าย
นัยน์ตาของเผิงหูไม่มีอาการของคนเมาเลยสักนิด เขามองตรงมาที่ฉินเกอ
“คุณหมอเผิง คุณสะดวกที่จะให้ผมล่องเรือเข้าไปในอาณาเขตทะเลของคุณไหม” ฉินเกอถามเขา “คุณน่าจะรู้อยู่แล้วว่าผมคือนักปรับสมดุลทางจิตเพียงหนึ่งเดียวของสำนักงานวิกฤตการณ์ หากคุณยินดีผมสามารถช่วยคุณดูอาณาเขตทะเลได้”
เห็นได้ชัดว่าเผิงหูมีอาการลังเลเล็กน้อย “อาณาเขตทะเลของผมไม่ปกติ”
“ปกติหรือไม่ปกติผมจะตัดสินเอง” ฉินเกอบอกเขาอย่างสงบ “คุณมาหาผมแล้ว กรุณาเชื่อมั่นในตัวผมเถอะ”
อาณาเขตทะเลของเผิงหูทำให้ฉินเกอตกใจเป็นอย่างมาก เขาไม่คิดเลยว่ามันจะเป็นทางเดินยาวสีขาวสายหนึ่ง
ทั้งสองฝั่งมีราวจับ บนพื้นมีทางเดินสำหรับผู้พิการทางสายตา ประตูจำนวนนับไม่ถ้วนเรียงรายอยู่บนผนัง บางบานเปิดอยู่ บางบานปิดสนิท เมื่อฉินเกอหันกลับไปก็เห็นว่าที่ด้านหลังของตนเองเป็นทางเดินแคบๆ สายยาวสายหนึ่งซึ่งมีราวจับ ประตู พื้น และเพดานที่เหมือนกัน
กลิ่นของน้ำยาฆ่าเชื้อลอยอบอวลอยู่รอบๆ ฉินเกอยังได้ยินเสียงกริ่งที่ไม่สามารถระบุที่มาได้
นี่เป็นทางเดินของโรงพยาบาลที่ไม่มีจุดจบ
ฉินเกอผลักบานประตูที่อยู่ด้านข้างเข้าไป นี่คือห้องตรวจของแผนกศัลยกรรมทรวงอก ภายในห้องมีคอมพิวเตอร์ถูกเปิดอยู่ ภาพบนหน้าจอขยับไปมา ทว่าไม่มีคน
เขาเดินเข้าไปหลายห้องแล้วก็พบว่าทุกห้องเป็นห้องตรวจของแผนกศัลยกรรมทรวงอก
อาณาเขตทะเลของเซนติเนลและไกด์คือการสะท้อนของสภาพจิตใจและความกังวลภายในใจของพวกเขาที่ซื่อตรงที่สุด แต่ฉินเกอก็ไม่เจออะไรที่ดูผิดปกติในอาณาเขตทะเลของเผิงหู เขาเดินช้าๆ ไปตามทางเดินที่ทอดยาวออกไปข้างหน้า สุดท้ายก็หายไปในระยะทางที่สายตาของฉินเกอไม่สามารถมองเห็นได้
ถึงแม้ว่านี่จะเป็นอาณาเขตทะเลที่พิเศษมาก แต่ฉินเกอก็ไม่รู้สึกถึงสิ่งที่ผิดปกติ
เขาเคยเจออาณาเขตทะเลที่ผิดปกติมาแล้ว ด้านในจะเต็มไปด้วยสิ่งที่ไม่สามารถใช้ตรรกะมาอธิบายได้ นอกจากนี้พวกมันจะแสดงความเป็นศัตรูอย่างชัดเจนกับบุคคลภายนอกไม่ว่าใครก็ตามที่เข้าไปในอาณาเขตทะเล
ตอนที่สอบเป็นนักปรับสมดุลทางจิตเขาเข้าไปสอบในสนามจริงติดต่อกันสิบเอ็ดสนาม ล่องเข้าไปในอาณาเขตทะเลที่ไม่ปกติทั้งหมดสิบเอ็ดแห่ง เขาใช้เวลาสอบยาวนานถึงหกชั่วโมงและถูกทรมานอย่างต่อเนื่องจากอาณาเขตทะเลที่ผิดปกติ ทั้งนี้มีมากกว่าหนึ่งครั้งที่เขามีความคิดอันน่ากลัวว่าตนเองกำลังจะกลายเป็นสิ่งที่ผิดปกติไป
ทั้งความกลัวและความลำบากในตอนนั้น ตอนนี้เมื่อคิดขึ้นมาก็ยังมีความหวาดกลัวหลงเหลืออยู่ในใจ
แต่อาณาเขตทะเลของเผิงหูนั้นปกติ ถึงแม้ทางเดินที่ทอดยาวจะเป็นสิ่งที่เขาคาดไม่ถึง แต่ฉินเกอก็สัมผัสไม่ได้ถึงความเป็นศัตรูเลยแม้แต่น้อย มันเป็นทางเดินของโรงพยาบาลที่ทั้งสงบและเรียบร้อย ไม่มีสิ่งแปลกปลอม อีกทั้งยังไม่มีสิ่งที่ไม่สามารถเข้าใจได้
มันสงบและต้อนรับฉินเกอที่เข้ามาอย่างอบอุ่น ฉินเกอรู้ว่าเป็นเพราะเผิงหูเชื่อมั่นในตนเอง
ที่น่าสนใจยิ่งไปกว่านั้นคือน้อยมากที่เขาจะเห็นคนที่มีอาณาเขตทะเลเกี่ยวข้องกับงานที่ตนเองทำมากขนาดนี้
อาณาเขตทะเลเป็นเขตจิตใจหลักของเซนติเนลและไกด์ ภายในนั้นจะมีสิ่งที่พวกเขารักมากหรือสิ่งที่หวาดกลัวเป็นอย่างมากอยู่ โดยสิ่งที่พวกเขารักมักปรากฏขึ้นมาอย่างไร้ที่สิ้นสุด หากอ้างอิงจากสิ่งที่ฉินเกอเคยเห็นก็เช่นอาณาเขตทะเลที่รายล้อมไปด้วยนักเก็ตไก่จำนวนนับไม่ถ้วน ส่วนสิ่งที่กลัวนั้นจะถูกเก็บล็อกไว้ในส่วนที่ลึกที่สุดตรงไหนสักแห่ง
ความกลัวจะไม่หายไปจากชีวิตของคนเรา แต่มันสามารถถูกยับยั้งหรือถูกล็อกเอาไว้ได้เพื่อไม่ให้ส่งผลเสียกับอาณาเขตทะเล
ฉินเกอไม่รู้ว่าสิ่งที่เผิงหูกลัวคืออะไร อีกฝ่ายอาจเก็บมันไว้ในห้องหลังประตูที่ปิดสนิทบานไหนสักบานท่ามกลางประตูจำนวนนับไม่ถ้วนนี้
แต่ที่เขาเห็นได้อย่างชัดเจนคือสิ่งที่เผิงหูรัก
หลังออกมาจากอาณาเขตทะเลฉินเกอก็มีอาการเวียนศีรษะอยู่สักพักหนึ่ง
เขาหลับตาพลางพยุงตัวเองกับไหล่ของเผิงหู
เผิงหูนั่งอยู่บนเก้าอี้ ส่วนฉินเกอยืนอยู่ที่ด้านหลังของเผิงหู มือทั้งสองข้างวางอยู่ที่ท้ายทอยของเผิงหู ศีรษะก้มต่ำ จมูกอยู่ใกล้กับศีรษะของอีกฝ่าย
นี่เป็นวิธีที่ฉินเกอใช้ในการเข้าไปในอาณาเขตทะเล โดยเขาจะปล่อยพลังของร่างวิญญาณของตนเองออกมาเพื่อสื่อสารกับร่างวิญญาณของเผิงหู ถือเป็นการขออนุญาตเข้าไปแบบถูกต้อง
ร่างวิญญาณที่แสนขี้ขลาดของเขาไม่ได้แสดงรูปร่างของมันออกมาทั้งหมด มีเพียงมือทั้งสองข้างของเขาที่ถูกห่อหุ้มไปด้วยขนสีขาวหนานุ่ม
สมาชิกทั้งสามคนของแผนกปรับสมดุลทางจิตเวชยืนมองอยู่ที่ด้านข้างอย่างตั้งอกตั้งใจ
ฉินเกอชักมือกลับ ก่อนขนสีขาวที่มือของเขาจะค่อยๆ หายไป
“ฉินเกอ ร่างวิญญาณของนายเป็นตัวอะไร” จู่ๆ เซี่ยจื่อจิงก็ถามขึ้น
“คุณช่วยผมได้ไหม” ดูเหมือนว่าเผิงหูจะเปิดปากถามขึ้นพร้อมกับเซี่ยจื่อจิง
ฉินเกอเลือกที่จะตอบคำถามของเผิงหู
“ผมไม่รู้” เขาบอกกับเผิงหู “แต่ผมจะพยายาม”
เผิงหูกุมมือของฉินเกอพลางโค้งตัวขอบคุณ หลังจากนั้นก็เอาหน้าผากไปแนบกับมือของฉินเกอโดยไม่พูดอะไรอยู่พักใหญ่ ก่อนที่ร่างของเขาจะค่อยๆ สั่นเทา
“เผิงหูบอกให้ผมช่วยเขา ไม่ใช่แก้ปัญหาในอาณาเขตทะเลของเขา” ฉินเกอบอกกับทั้งสามคน “อาณาเขตทะเลของเผิงหูปกติอย่างแน่นอน”
เขามองไปที่ทั้งสามคนตรงหน้าด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความอยากรู้ เขาแทบจะควบคุมมุมปากของตนเองเอาไว้ไม่ได้
“พูดตามตรงเขาปกติกว่าผมซะอีก เขารักงานที่ทำมาก”
ไป๋เสี่ยวหยวนตอบกลับมาเป็นคนแรก “อาณาเขตทะเลของนายไม่ปกติเหรอ”
“อาณาเขตทะเลของฉันก็ไม่ปกติเหมือนกัน” จู่ๆ เซี่ยจื่อจิงก็พูดขึ้นมา
ไป๋เสี่ยวหยวนและถังชั่วรู้สึกประหลาดใจขึ้นมาในเวลาเดียวกัน พวกเขาจึงมองไปทางเซี่ยจื่อจิงอย่างพร้อมเพรียง เซี่ยจื่อจิงมองมาที่พวกเขาด้วยความห่วงใยก่อนจะพยักหน้าน้อยๆ
“ไม่มีอะไร พอเป็นผู้ใหญ่แล้วส่วนใหญ่ก็ไม่ค่อยปกติกันทั้งนั้น”
ฉินเกอ “…”
ผมรู้น่า! ในใจของเขาตะโกนเสียงดัง ผมรู้อยู่แล้วว่าคุณไม่ปกติ! แต่อย่าไปสอนอะไรผิดๆ ให้ไป๋กับถังในแผนกของเราได้ไหม!
เซี่ยจื่อจิงหันไปมองสีหน้าไม่พอใจของฉินเกอ ก่อนจะรีบทำตัวให้เรียบร้อยด้วยการนั่งหลังตรง “หัวหน้าไม่พอใจแล้ว ประชุมกันๆ”
ฉินเกอไม่เข้าใจว่าต้องทำอย่างไรถึงจะอยู่ร่วมกับเซี่ยจื่อจิงได้ แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังระงับความหงุดหงิดภายในใจเอาไว้ได้ และตัดสินใจจัดการเรื่องที่อยู่ในมือก่อน
หลังเผิงหูออกไปจากสำนักงานวิกฤตการณ์แล้ว ฉินเกอก็ตัดสินใจเล่าเรื่องที่ตนเองได้รู้มาเมื่อวานให้พวกเขาฟัง
ทั้งผนังห้องผ่าตัดที่มีเลือดไหลออกมา ทารกที่ทะลุผนัง และฉากการผ่าตัดเมื่อหลายปีก่อนที่ปรากฏขึ้นต่อหน้า เรื่องพวกนี้เป็นสิ่งที่ไม่น่าจะพบเจอได้
อีกทั้งจิตใจของผู้เห็นเหตุการณ์อย่างเผิงหูนั้นไม่มีอะไรผิดปกติ อาณาเขตทะเลของเขาก็ไม่มีสิ่งผิดปกติเช่นกัน
ฉินเกอคิดว่าเผิงหูกำลังโกหก
แต่คำโกหกของเขาละเอียดและเจาะจงมาก หากไม่ใช่ว่าเขาเคยเห็นด้วยตัวเองก็ต้องเคยมีคนอธิบายกับเขาอย่างละเอียดมาก่อน…นี่ไม่ใช่ ‘ภาพหลอน’ ของเขา แต่เป็นข้อมูลที่เขาได้รับมาจากคนอื่น
“ที่คิดแบบนี้เพราะเขายังพูดโกหกอีกเรื่องหนึ่ง” ฉินเกอบอก “เมื่อวานตอนผมไปที่โรงพยาบาล โชคดีว่าได้นั่งที่ม้านั่งตรงหน้าอาคารประวัติศาสตร์ของโรงพยาบาลอยู่สักพักหนึ่ง หากว่าเผิงหูนั่งอยู่ตรงนั้นจริงๆ เขาไม่มีทางมองเห็นห้องผ่าตัดหมายเลขหกอย่างแน่นอน ยิ่งไม่มีทางมองเห็นหน้าต่างที่มีใบหน้าของทารกปรากฏขึ้นด้วย”
เรื่องนี้แม้แต่ถังชั่วก็ยังรับรู้ได้ถึงความผิดปกติ “ที่มีปัญหาคือห้องผ่าตัดนั่น…หรือเผิงหูต้องการให้คนสนใจห้องผ่าตัดห้องนั้น?”
ฉินเกอพยักหน้า “คนที่เห็นเหตุการณ์ที่ไม่ปกตินี้จริงๆ น่าจะไม่ใช่เผิงหู”
ทันใดนั้นถังชั่วก็รู้สึกถึงความน่าสนใจ เขาจับที่หูของตัวเองพลางพูดอย่างระมัดระวัง “จริงๆ แล้วผมก็รู้ความลับที่เกี่ยวข้องกับห้องผ่าตัดนั่นมาไม่น้อย”
ฉินเกอ “หือ?!”
“โรงพยาบาลฯ ที่ 267 มีไว้สำหรับมนุษย์พิเศษ ดังนั้นจึงมีเรื่องเล่าประหลาดมากมายภายในเมืองที่เกี่ยวข้องกับโรงพยาบาลฯ ที่ 267 ภายในตึกอาคารประวัติศาสตร์ของโรงพยาบาลมีผู้หญิงสวมชุดสีแดง ผีไม่มีหัว เสียงร้องไห้ตอนกลางคืนในวันสารทจีน ผีหนุ่มมือเดียว ทุกวันที่สี่ของเดือนจะได้ยินเสียงร้องไห้ของเด็กสาวไร้หน้า…” ถังชั่วพูดพลางนับนิ้ว ใบหน้าที่เห่อแดงเพราะแอลกอฮอล์ค่อยๆ จางไป ก่อนที่ความตื่นเต้นในดวงตาจะเข้ามาแทนที่
ดวงตาของเซี่ยจื่อจิงและไป๋เสี่ยวหยวนเป็นประกายตอนได้ฟัง
ฉินเกอรู้สึกหมดแรง “…ถังชั่ว คุณไม่จำเป็นต้องมีความรู้ในเรื่องที่ไม่น่าสนใจเยอะก็ได้นะ”
ถังชั่วปิดปากลงอย่างโมโห
กุญแจสำคัญของปัญหาน่าจะอยู่ที่ห้องผ่าตัด ฉินเกอจึงตัดสินใจที่จะไปโรงพยาบาลพร้อมกับทุกคนอีกรอบ
ระหว่างที่ไป๋เสี่ยวหยวนไปทำเรื่องขอยืมรถยนต์ และถังชั่วยังคงรู้สึกหดหู่กับเรื่องประหลาดของเมืองที่ตนเองยังเล่าไม่จบนั้น ฉินเกอก็ตัดสินใจพาเซี่ยจื่อจิงไปทำเรื่องที่แผนกบุคคลก่อน ขณะที่กำลังรอลิฟต์เซี่ยจื่อจิงก็ขยับเข้าไปใกล้ฉินเกอแล้วถามขึ้น
“นายทำท่าทางแบบนั้นทุกครั้งที่เข้าไปล่องเรือในอาณาเขตทะเลของคนอื่นเหรอ”
ฉินเกอพลิกดูรายงานการตรวจสุขภาพของอีกฝ่าย ก่อนจะพบว่ามีส่วนหนึ่งที่ว่างเปล่า เซี่ยจื่อจิงไม่ได้ไปทดสอบทางจิตวิทยาและจิตเวชที่โรงพยาบาลฯ ที่ 267
เขากำลังจะถามว่าส่วนที่ว่างนี่เกิดอะไรขึ้นก็ถูกเซี่ยจื่อจิงขัดจังหวะเข้าเสียก่อน จึงรู้สึกมึนงงเล็กน้อย “อะไรนะ”
“เมื่อไรนายจะล่องเรือเพื่อช่วยฉันล่ะ” เซี่ยจื่อจิงยิ้มพลางพูดกับเขาตอนที่เดินเข้าไปในลิฟต์
ในใจของฉินเกอก็มีความคิดแบบนี้อยู่เหมือนกัน ด้วยตอนนี้เกาเทียนเยวี่ยยังไม่กลับมา และอย่างน้อยๆ เซี่ยจื่อจิงก็ต้องตัวติดอยู่กับเขาไปอีกสัปดาห์หนึ่ง ซึ่งการเอาเซนติเนลที่มีอาณาเขตทะเลผิดปกติไว้ข้างกายนั้นย่อมไม่ต่างอะไรกับการฆ่าตัวตาย
โดยเฉพาะกับคนที่มีอาการเพ้อฝันในความรักกับเขา
พอคิดถึงเรื่องอาการเพ้อฝันในความรักเขาก็เหมือนจะได้ยินเสียงของอาจารย์สมัยเรียนมหาวิทยาลัยดังขึ้นมาอย่างไม่อาจควบคุม
‘การทดสอบความรู้เกี่ยวกับอาการเพ้อฝันในความรักนั้นแตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากจินตนาการทั่วไป! ต้องจำไว้ว่าแก่นแท้ของอาการเพ้อฝันในความรักคือความปรารถนาที่ต้องการมีความสัมพันธ์ที่งดงามของคนเรา จิตใต้สำนึกจึงเติมเต็มความเสียใจส่วนลึกในอดีต ดังนั้นอาการเพ้อฝันในความรักจึงเรียกอีกอย่างได้ว่า?…ใช่แล้ว อาการหลงตัวเอง แบบนาร์ซิสซัส* ต้นกำเนิดของมันคือการปกป้องตนเอง สงสารตนเอง และรักตนเอง ดังนั้นเราจึงไม่สามารถทำลายมันด้วยวิธีการที่รุนแรงได้ ไม่ว่าจะเป็นไกด์หรือนักปรับสมดุลทางจิต…ฉินเกอไม่ต้องอ่านนิยายแล้ว พูดถึงนายนั่นแหละ มองกระดาน…วิธีการเบื้องต้นสำหรับการแก้ปัญหาคือการหาต้นตอของปัญหาที่ทำให้เกิดอาการเพ้อฝันในความรักก่อนเป็นอันดับแรก ซึ่งต้นตอของปัญหาพวกนี้มักเกิดขึ้นตอนที่พวกเขายังเป็นเด็กหรือวัยรุ่น’
ปกป้องตนเอง รักษาตนเอง แล้วหลังจากนั้นก็ใช้ความรักจอมปลอมเติมเต็มช่องว่างของตนเอง เมื่อวิเคราะห์อย่างละเอียดแล้วสาเหตุของการเกิดอาการเพ้อฝันในความรักนั้นมักทำให้คนเจ็บปวด มันเหมือนกับการสร้างภาพเสมือนบนเปลือกหอยที่เปราะบาง บ่อยครั้งมันจะทำให้อาณาเขตทะเลของไกด์และเซนติเนลพังทลายลงอย่างช้าๆ โดยไม่รู้ตัว
ฉินเกอหันไปมองเซี่ยจื่อจิง แล้วก็พบว่าอีกฝ่ายสวมชุดที่เหมือนกับเมื่อวาน แม้แต่ผมก็ดูเหมือนจะมันกว่าเมื่อวานเล็กน้อย นั่นทำให้เขาเกิดความสงสัย
ความสงสารที่มีมากพอๆ กับความกรุ่นโกรธเมื่อวานตอนนี้กลับเพิ่มขึ้น ก่อนจะลดลงอย่างเงียบๆ
ตามขั้นตอนปกติแล้วควรจะสร้างเหตุการณ์บางอย่างในการทำการทดสอบเพื่อดูแนวทางอารมณ์และบุคลิกภาพของเซี่ยจื่อจิงให้ชัดเจนเสียก่อน จากนั้นจึงค่อยคุยกับอีกฝ่ายอย่างละเอียด…ฉินเกอเริ่มครุ่นคิดถึงวิธีฟื้นฟูอาณาเขตทะเลของเซี่ยจื่อจิงให้กลับมาเป็นปกติ
“ท่าทางแบบนั้นดูกำกวมนะ” เซี่ยจื่อจิงพูดอย่างคลุมเครือ “ฉันชอบนะ”
ฉินเกอ “…”
เซี่ยจื่อจิงไม่ได้พูดอะไรอีก เขายืนพิงลิฟต์พร้อมกับรอยยิ้มลึกลับ เหมือนกับว่าเขากำลังนึกถึงอะไรบางอย่างที่สนใจ
ฉินเกอรู้สึกหนาวขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ
เขานึกไปถึงตอนที่อาจารย์เคาะกระดานอย่างแรงเพื่อต้องการให้พวกเขาจดจำเนื้อหา
…คนที่มีอาการเพ้อฝันในความรัก ภายในอาณาเขตทะเลของพวกเขาล้วนมีแต่เรื่องลามกแบบที่นึกไม่ถึงโดยไม่มีข้อยกเว้น
โปรดติดตามตอนต่อไป…