everY
ทดลองอ่าน ทะเลคลั่งภวังค์วิปลาส เล่ม 1 บทที่ 5-6 #นิยายวาย
ทดลองอ่าน เรื่อง ทะเลคลั่งภวังค์วิปลาส เล่ม 1
ผู้เขียน : เหลียงฉาน
แปลโดย : mykLiu
ผลงานเรื่อง : ทะเลคลั่งภวังค์วิปลาส
ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน
จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว
หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย
– – – – – – – – – – – – – – – – –
Trigger Warning
เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับการทำร้ายทางร่างกายและจิตใจ
มีการกล่าวถึงเลือด สภาพศพ สถานการณ์อันน่าขยะแขยง
กล่าวถึงการข่มขืนและการใช้ความรุนแรง
ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ
สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป
โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
** หมายเหตุ: ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **
– – – – – – – – – – – – – – – – –
บทที่ 5 เลือดและไวน์ 05
ตอนไปทำเรื่องที่แผนกบุคคล หลังจากหัวหน้าแผนกคุยกับเซี่ยจื่อจิงอยู่สักพักเขาก็ลุกขึ้นมาลากฉินเกอไปอีกฝั่งด้วยสีหน้ากลัดกลุ้ม
“เอกสารของเซี่ยจื่อจิงมีปัญหานะ” เขาบอก “เขาไม่มีคำสั่งย้ายอะไรเลย แบบนี้จะทำให้ถูกกฎได้ยังไง เมื่อวานฉันก็เพิ่งหาข้ออ้างเพื่อเลื่อนเวลาออกไปอีกหน่อย อยากรอให้เกาเทียนเยวี่ยกลับมาก่อน ให้เขามาจัดการเอง”
ฉินเกอมึนงงไปหมดแล้ว “แต่หัวหน้าเกาบอกว่าเซี่ยจื่อจิงย้ายจากสำนักงานภูมิภาคตะวันตกมาที่ส่วนกลางเพื่อช่วยแผนกปรับสมดุลทางจิตเวชโดยเฉพาะนะครับ”
“นายถูกหลอกแล้ว” หัวหน้าแผนกหยิบรายงานการตรวจสุขภาพออกมาแล้วชี้ไปตรงส่วนที่ว่างพร้อมบอกกับฉินเกอ “ไม่ใช่ว่าโรงพยาบาลฯ ที่ 267 ไม่ตรวจเขา แต่เป็นเกาเทียนเยวี่ยที่กำชับไม่ให้เขาทำการทดสอบทางจิตวิทยาและจิตเวชอะไรทั้งนั้น”
หนังตาของฉินเกอเริ่มกระตุกอีกแล้ว “ทำไมครับ”
หัวหน้าแผนกมองเขาด้วยแววตาเห็นอกเห็นใจ
“นายไม่รู้เหรอว่าอาณาเขตทะเลของเซี่ยจื่อจิงไม่ปกติ เขาถูกสั่งพักงานหลังจากเกิดเรื่องที่สำนักงานภูมิภาคตะวันตก เกาเทียนเยวี่ยเป็นคนชวนเขามาทำงานที่นี่ด้วยตนเองเพราะเสียดายความสามารถของเขาและอยากให้เขารักษาตัวจนกลับมาเป็นปกติ เลยหาข้ออ้างให้เขามาอยู่ที่ส่วนกลาง โชคดีว่าแผนกปรับสมดุลทางจิตเวชกำลังจัดตั้งขึ้น มันเหมาะสมที่สุดที่จะให้เขามาอยู่ อย่างแรกคือช่วยสำนักงานวิกฤตการณ์ทำงาน อย่างที่สองคืออยู่กับนาย นายสามารถตรวจสอบอาณาเขตทะเลของเซี่ยจื่อจิงได้ ทางที่สะดวกกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว”
ฉินเกอ “…”
หัวหน้าแผนก “เรื่องรับเขาเข้าทำงานตอนนี้ฉันยังทำให้ไม่ได้นะ ฉินเกอ ฉันแนะนำให้นายระวังหน่อย ผลงานการทำงานก่อนหน้านี้ของเซี่ยจื่อจิงโดดเด่นมาก แต่ปัญหาเรื่องอาณาเขตทะเลของเขาทำให้เขาถูกพักงาน แบบนี้มันไม่ปกติเลย นายควรระวังให้มากหน่อย”
ฉินเกอ “…งั้นตอนนี้ผมต้องดูแลเขา?”
หัวหน้าแผนก “เกาเทียนเยวี่ยเป็นคนจัดการ ฉันเองก็ไม่มีทางอื่น”
ฉินเกอหยิบรายงานการตรวจสุขภาพกลับมา เขานวดขมับของตนเอง และเมื่อหัวหน้าแผนกบอกว่าเรื่องของเซี่ยจื่อจิงต้องรอเกาเทียนเยวี่ยกลับมาก่อน เซี่ยจื่อจิงก็พยักหน้าก่อนจะเดินกลับไปยืนข้างๆ ฉินเกอ
เซี่ยจื่อจิง “ตาของนายเป็นอะไร กระตุกเหรอ”
ฉินเกอ “…รำคาญใจ ตาเลยกระตุก”
ระหว่างทางที่เดินกลับอารมณ์ของฉินเกอไม่ค่อยดีนัก เซี่ยจื่อจิงที่รู้งานจึงไม่ได้เปิดปากพูดอะไรออกไป
“รอเกาเทียนเยวี่ยกลับมาแล้วค่อยคุยกันอีกที” ฉินเกอบอกอีกฝ่าย “หัวหน้าเกาไปทำงานนอกสถานที่สัปดาห์หนึ่ง คุณก็อยู่ที่แผนกของเราไปก่อน”
เซี่ยจื่อจิงลูบตอหนวดตรงคางของตนเอง เขาค่อยๆ แย้มยิ้มแล้วเอ่ยว่า “เมื่อวานฉันเข้าใจผิดคิดว่านายรังเกียจฉัน เลยอยากย้ายฉันไปไว้ที่อื่น”
ฉินเกอคิดในใจ ไม่ คุณเซี่ย คุณไม่ได้เข้าใจผิดหรอก
เมื่อทั้งสองออกมาจากลิฟต์ก็เห็นถังชั่วและไป๋เสี่ยวหยวนรออยู่ด้านนอกตรงข้างประตูลิฟต์แล้ว
ไป๋เสี่ยวหยวน “ได้ใบยืมรถมาแล้ว ไปกันตอนนี้เลยไหม”
เมื่อเดินไปถึงรถฉินเกอก็เพิ่งรู้ว่าถังชั่วไม่มีใบขับขี่ เซี่ยจื่อจิงเองก็ไม่มีใบขับขี่เช่นกัน
“แต่ฉันขับรถได้นะ” เซี่ยจื่อจิงพูดอธิบาย “ตอนฉันทำงานอยู่ที่สำนักงานภูมิภาคตะวันตกก็ได้ขับรถบ่อยๆ ฝีมือดีมาก”
เขามองไปที่ถังชั่วแล้วหันกลับมาชี้นิ้วที่ตัวเองพลางพูดกับถังชั่วว่า “ยังไงหน้าตาฉันก็ดูน่าเชื่อถือ มองแล้วเหมือนคนขับรถผู้มีใบขับขี่ที่มีประสบการณ์”
เซี่ยจื่อจิงวางแผนว่าจะนั่งตรงที่นั่งคนขับ แต่กลับถูกฉินเกอรีบดึงตัวออกมา
สุดท้ายแล้วคนที่ได้จับพวงมาลัยคือไป๋เสี่ยวหยวน
ฉินเกอนั่งอยู่ที่เบาะหลังกำลังคุยโทรศัพท์กับเหยียนหงโดยมีเซี่ยจื่อจิงนั่งอยู่ข้างๆ ซึ่งระยะที่ใกล้กันเช่นนี้ได้ทำให้จิตใต้สำนึกของฉินเกอเกิดความตระหนัก
ตอนนี้เขาไม่สามารถจินตนาการถึงอาณาเขตทะเลของเซี่ยจื่อจิงได้ ด้วยทุกๆ จินตนาการของเขาอาจทำให้ภาพลักษณ์ของเซี่ยจื่อจิงเสื่อมเสีย เหมือนกับติดฉลากลงไปว่าอีกฝ่าย ‘ลามก’ หรือ ‘อนาจาร’
บรรยากาศที่ด้านหลังรถช่างเงียบเหงา ต่างกับสองคนด้านหน้าที่กำลังพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน อย่างเรื่องความรักออนไลน์ของถังชั่วที่ยุติลงแบบไม่มีเหตุผล ไป๋เสี่ยวหยวนถามเขาว่าไม่อยากไปเปิดหูเปิดตาที่ร้านเหล้าหรือ หรือไม่ก็ไปทำความรู้จักกับผู้ชายดีๆ สักคนไหม
ถังชั่วไม่ได้สนใจผู้ชายที่สมบูรณ์แบบหรือมีดีแค่หน้าตา เขาฟังไป๋เสี่ยวหยวนพูดอยู่นานกว่าจะเอ่ยออกมาหนึ่งประโยค
“เขาบอกว่าฉันผอมเกินไป ไม่ใช่แบบที่เขาชอบ”
ไป๋เสี่ยวหยวน “ถึงแม้ฉันจะไม่ได้รู้สึกว่านายผอม แต่การออกกำลังกายยังไงก็เป็นเรื่องที่ดี…นายอย่ามองฉันแบบนี้ ฉันก็ไปออกกำลังกายที่ยิมทุกวันเหมือนกัน”
เซี่ยจื่อจิงเริ่มสนใจขึ้นมา “ไขมันในร่างกายของเธอเท่าไร”
ไป๋เสี่ยวหยวนมองผ่านกระจกมองหลัง “แล้วค่าไขมันในร่างกายของนายเท่าไร”
เซี่ยจื่อจิง “ไม่รู้แฮะ ฉันไม่ได้วัดจริงจัง แต่สมรรถภาพทางกายไม่เลวเลย”
ไป๋เสี่ยวหยวน “ดูออกอยู่”
เซี่ยจื่อจิง “งั้นหัวหน้าแผนกของพวกเรามีค่าไขมันในร่างกายเท่าไร” พอถามเสร็จก็หันมามองฉินเกอ
ไป๋เสี่ยวหยวน “ฉันจะไปรู้ได้ยังไง”
เธอเหลือบมองไปที่ฉินเกอด้วยกลัวว่าฉินเกอจะโกรธเพราะเรื่องนี้
ฉินเกอพยายามหักห้ามตัวเองอย่างมาก “ไป๋เสี่ยวหยวน มองทางไป เซี่ยจื่อจิง หุบปากซะ”
เหยียนหงที่อยู่อีกฝั่งของโทรศัพท์หูแทบแตกจนต้องเอาโทรศัพท์ออกห่างจากศีรษะ
เขารู้จักกับฉินเกอมาหลายปี นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้ยินอีกฝ่ายใช้เสียงดังระดับนี้
เนื่องจากไม่มีจดหมายจากแผนกปรับสมดุลทางจิตเวชอย่างเป็นทางการ คนที่มารับพวกเขาจึงยังคงเป็นเหยียนหง
“ไป๋เสี่ยวหยวนกับเซี่ยจื่อจิงคือใคร” เขาถามเบาๆ ตอนยื่นกุญแจห้องผ่าตัดหมายเลข 6 ให้กับฉินเกอ
“คนที่พูดมากคนนั้นกับคนที่ดูแล้วไม่ค่อยปกติคนนั้น” ฉินเกอรับกุญแจมา “เอากุญแจมาให้ฉันถือแบบนี้นายไม่กลัวเหรอ”
“ไม่เป็นไร ฉันส่งเคสเสร็จก็จะมาหานาย” เหยียนหงบอก “ตอนนี้อาณาเขตทะเลของคุณหมอเผิงยังไม่สามารถฟื้นฟูกลับมาได้ แต่ผู้ป่วยบางคนรอไม่ได้แล้ว”
เขามองซ้ายมองขวาแล้วพูดเสียงเบา “รองผู้อำนวยการคนเก่าของพวกเราเตรียมที่จะทำการผ่าตัดบายพาสหัวใจ รอคุณหมอเผิงหูมาเดือนหนึ่งแล้ว ตอนนี้อาการทุกอย่างปกติดี สามารถทำการผ่าตัดได้ แต่คนที่บ้านของเธอรอไม่ไหวแล้ว ทางโรงพยาบาลเองก็รอไม่ได้แล้วเหมือนกัน เลยต้องติดต่อศาสตราจารย์ของโรงพยาบาลอื่นไป”
ฉินเกอฟังแล้วรู้สึกแปลกๆ “ในอนาคตเผิงหูจะได้รับผลกระทบอะไรไหม”
“แน่นอนอยู่แล้ว ผลกระทบใหญ่เลยล่ะ” เหยียนหงยักไหล่ “ถ้าแก้ไขปัญหาไม่ได้ แม้แต่การเป็นหมอเขาก็เป็นไม่ได้แล้ว และถึงจะแก้ไขได้แล้ว แต่หลังจากนี้ก็…”
ไป๋เสี่ยวหยวนและทั้งสามคนมองตากันไปมา ทุกคนล้วนนึกถึงประโยคที่เผิงหูพูดว่าช่วยผมด้วย
ฉินเกอเข้ามาที่ห้องผ่าตัดหมายเลข 6 อีกครั้ง
ในห้องผ่าตัดมีฝุ่นเกาะหนา ถังชั่วยกมือปิดจมูก เขาจามติดต่อกันหลายครั้ง
แต่ไม่ว่าจะมองอีกสักกี่ครั้งมันก็เป็นเพียงห้องเก็บของธรรมดาๆ ห้องหนึ่งซึ่งไม่มีเบาะแสอะไรที่เป็นประโยชน์
“…แต่ก่อนห้องผ่าตัดห้องนี้ใช้สำหรับผ่าตัดอะไร” เซี่ยจื่อจิงถามขึ้นมา
ขณะนั้นถังชั่วที่เอามือปิดจมูกอยู่ก็ยกมือขึ้น “สมัยก่อนเหมือนจะเป็นของแผนกสูติ-นรีเวช”
ไป๋เสี่ยวหยวนพูดอย่างประหลาดใจ “แม้แต่อะไรแบบนี้นายก็รู้งั้นเหรอ”
“ตอนที่เดินขึ้นมาฉันเห็นรูปภาพตรงทางเดินชั้นสอง เป็นเรื่องเกี่ยวกับการคลอดทารกที่ห้องผ่าตัดหมายเลขหก” ถังชั่วมองไปทางเซี่ยจื่อจิงด้วยท่าทีประหม่าเล็กน้อย “แต่ฉัน…ก็ไม่กล้ารับประกันนะ”
บริเวณชั้นหนึ่งของอาคารประวัติศาสตร์โรงพยาบาลเป็นสถานที่จัดแสดงรางวัลเกียรติยศต่างๆ ที่ทางโรงพยาบาลได้รับ ส่วนชั้นสองจัดแสดงสิ่งของ รวมถึงภาพถ่ายที่เกี่ยวกับประวัติและการพัฒนาโรงพยาบาล
บริเวณผนังทั้งสองฝั่งตรงทางเดินชั้นสองมีการแขวนประวัติของแพทย์ที่มีชื่อเสียงเอาไว้มากมาย บางส่วนก็เป็นภาพถ่ายในสมัยก่อนที่เปลี่ยนเป็นสีเหลือง
ถังชั่วบอกว่าภาพนั้นอยู่ระหว่างทางเดินตรงบันไดชั้นสองขึ้นไปชั้นสาม แต่ฉินเกอและคนอื่นๆ ไม่ได้สนใจ
“แฝดสี่…” สักพักฉินเกอก็นึกถึงคำพูดของเผิงหู สิ่งที่ทะลุเข้าออกผนังห้องผ่าตัดไม่ใช่ผู้ใหญ่แต่เป็นทารก
ภาพถ่ายนั้นคือรูปทารกตัวเหี่ยวย่นสี่คนซึ่งถูกห่อด้วยผ้าผืนเล็กที่มีชื่อของโรงพยาบาล โดยที่ทารกทั้งสี่คนนั้นนอนอยู่บนถาดสแตนเลสขนาดใหญ่
บนถาดสแตนเลสมีตัวหนังสือสีแดงเขียนว่า ‘สำหรับใช้ในห้องผ่าตัดหมายเลข 6’
ไป๋เสี่ยวหยวนยอมรับ “ถังชั่ว สายตาของนายนี่มันสุดยอดจริงๆ เลย”
ถังชั่วดีใจจนรู้สึกลำบากใจ “ไม่เลยๆ ก็แค่มองไปเรื่อยๆ เรื่องเล่าแปลกๆ ของอาคารประวัติศาสตร์โรงพยาบาลส่วนใหญ่จะเกี่ยวกับทารกไม่ก็ผู้หญิงอยู่แล้ว มันประหลาดมาก ฉันเคยคำนวณช่วงเวลาที่เกิดเรื่องแปลกๆ ดู พบว่าเมื่อประมาณสามสิบสี่สิบปีที่แล้วจะมีมากเป็นพิเศษ”
พอพูดจบถังชั่วก็มองไปที่ฉินเกอด้วยความกังวล ก่อนจะค่อยๆ ลดเสียงให้เบาลง จากนั้นก็พูดกลั้วหัวเราะว่า “แต่ว่ามันก็เป็นแค่เรื่องน่าเบื่อ ฮ่าๆๆๆ”
“ผมว่ามีประโยชน์มาก” ฉินเกอตั้งใจตอบกลับเขาอย่างผิดวิสัย “ถังชั่ว คุณทำได้ดีมาก”
ถังชั่วดีใจจนพูดจาติดๆ ขัดๆ “งะ…งั้นฉินเกอ คุณมาดูตรงนี้ ตรงนี้ คำอธิบายของรูปนี้”
คำอธิบายใต้รูปนั้นละเอียดมาก เป็นวันหนึ่งในปี 1980 แผนกสูติ-นรีเวชของโรงพยาบาลฯ ที่ 267 ได้ทำคลอดเด็กแฝดสี่คนให้กับหญิงท้องแก่คนหนึ่งได้สำเร็จ ทั้งแม่และเด็กไม่เสียชีวิต ถือเป็นข่าวใหญ่มากในช่วงเวลานั้น
“…ตอนฟังเผิงหูพูดวันนี้มีอยู่จุดหนึ่งที่ผมรู้สึกว่าแปลก” ถังชั่วรวบรวมความกล้าพูดขึ้นมา “เขาอธิบายถึงเครื่องมือในห้องผ่าตัด ชุดของหมอ และลักษณะของทารก ทุกอย่างนี้ละเอียดมาก แต่ไม่ได้อธิบายถึงผู้ป่วยเลย”
ฉินเกอนึกขึ้นมาได้ “เขาพูดแค่ว่าผู้ป่วย…กรีดร้อง”
ทั้งสี่คนมองกันไปมา
ตอนนี้พอมาคิดดูแล้วบนเตียงผ่าตัดน่าจะเป็นคนตั้งครรภ์
ไป๋เสี่ยวหยวนสงสัย “เผิงหูต้องดูออกแน่ๆ ว่าเป็นการผ่าตัดทำคลอด แต่ทำไมเขาถึงปิดบังและไม่ยอมบอกกับพวกเราตรงๆ ล่ะ”
เซี่ยจื่อจิงลูบคาง “เขากำลังปกปิดบางอย่างอยู่ ถ้าเขาไม่ได้เห็น ‘ภาพหลอน’ เอง มันก็ชัดแล้วว่าเขากำลังปกปิดตัวตนของคนที่เห็น ‘ภาพหลอน’ ตัวจริงอยู่”
ทั้งสี่คนแยกย้ายกันไปทั่วบริเวณชั้นสองเพื่อตามหาภาพถ่ายที่มีความเกี่ยวข้องกับห้องผ่าตัดหมายเลข 6 สุดท้ายแม้จะเดินดูอย่างละเอียดแล้วแต่กลับไม่ได้อะไรเลย
ตอนกลับมาที่ด้านหน้ารูปถ่ายรูปนั้นเหยียนหงก็เดินขึ้นบันไดมาพอดี
ฉินเกอถามเขาว่ารู้เรื่องราวเกี่ยวกับรูปนี้ไหม เหยียนหงมองรูปนั้นสักพัก แล้วทันใดนั้นเขาก็ตบศีรษะตัวเอง
“อ๊ะ! ความจำฉัน…ใช่ๆ สมัยก่อนห้องผ่าตัดหมายเลขหกเป็นของแผนกสูติ-นรีเวชไว้ทำการผ่าคลอด” เขาขยับเข้าไปใกล้รูปนั้นแล้วมองอย่างละเอียด “นายพูดเรื่องห้องผ่าตัดหมายเลขหกกับพวกเรา คนส่วนใหญ่ไม่มีใครนึกออกหรอก ฉันเองก็ด้วย ตอนนั้นฉันยังไม่เกิดด้วยซ้ำ แต่เรื่องแฝดสี่ดังมากในโรงพยาบาลของเรา”
เด็กสี่คนนั้น ตอนนี้พวกเขาอายุสามสิบกว่ากันแล้วและยังคงกลับมาเยี่ยมผู้มีพระคุณในทุกๆ ปี
“ผู้มีพระคุณก็คือคุณหมอที่ทำให้พวกเธอทั้งสี่คนเกิดมา สมาชิกของแผนกสูติ-นรีเวชในตอนนั้นของโรงพยาบาลฯ ที่ 267” เหยียนหงหัวเราะ “ทุกคนในโรงพยาบาลต่างบอกว่าการเป็นคุณหมอที่เป็นที่จดจำได้แบบนี้ก็คุ้มค่ากับชีวิตแล้ว”
หนังตาของฉินเกอเริ่มกระตุกอีกแล้ว
“หมอคนนี้ยังทำงานที่โรงพยาบาลอยู่หรือเปล่า” เขาถาม
“อยู่น่ะอยู่ แต่อยู่ที่ห้องพักผู้ป่วย ไม่รับแขก” เหยียนหงบอก “เป็นคนที่ฉันพูดให้นายฟังก่อนหน้านี้ไง รองผู้อำนวยการโรงพยาบาลที่เกษียณแล้วคนนั้น ชื่อไช่หมิงเยวี่ย กำลังรอผ่าตัดกับหมอเผิงหู”
ฉินเกอขมวดคิ้ว “เธอเป็นผู้ป่วยของเผิงหู?”
“ไม่ใช่แค่นั้น เธอยังเป็นผู้มีพระคุณของหมอเผิงหูด้วย” เหยียนหงพูด
ก่อนจะมาทำงานที่โรงพยาบาลฯ ที่ 267 เผิงหูเคยทำงานอยู่ที่โรงพยาบาลทั่วไปแห่งหนึ่ง
เนื่องจากมีทักษะที่ดี ชื่อของเผิงหูจึงเป็นที่รู้จักกันดีในหมู่ผู้ป่วยของโรงพยาบาล สิ่งนี้เองที่ค่อยๆ สร้างความอิจฉาให้กับรุ่นพี่ ทำให้สถานะความเป็นมนุษย์พิเศษของเขาแพร่กระจายออกไป
เดิมทีไม่ว่าจะเป็นเซนติเนลหรือไกด์ก็สามารถประกอบอาชีพแบบคนธรรมดาได้ แต่เมื่อมโนธรรมเริ่มทำงานแล้วเผิงหูก็ได้รับแรงกดดันอย่างหนักทั้งจากเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์และผู้ป่วย คนเหล่านั้นเขียนจดหมายร้องเรียนขอให้โรงพยาบาลเลิกจ้างเผิงหู ซึ่งขณะเดียวกันกับที่ข่าวลือแพร่กระจายออกไปเผิงหูก็ประสบกับปัญหามากมายโดยไม่มีสาเหตุ
หลังจากรู้เรื่องทั้งหมดแล้วไช่หมิงเยวี่ยซึ่งตอนนั้นเป็นรองผู้อำนวยการของโรงพยาบาลฯ ที่ 267 ก็ได้เดินทางไปเยี่ยมเยียนเผิงหูและจ้างเขามาทำงานที่โรงพยาบาลฯ ที่ 267 ด้วยเงินจำนวนมาก
จากการปกป้องและการแนะนำของไช่หมิงเยวี่ย ข่าวลือที่เกี่ยวกับเผิงหูจึงค่อยๆ หายไป หลังจากนั้นงานของเขาในโรงพยาบาลฯ ที่ 267 ก็ค่อยๆ กลับเข้าสู่เส้นทางที่ถูกต้องอย่างช้าๆ
“ถ้าไม่ใช่เพราะไช่หมิงเยวี่ย หน้าที่การงานของหมอเผิงหูคงจบลงไปนานแล้ว” เหยียนหงพูด “ดังนั้นภายในครึ่งปีมานี้ที่ไช่หมิงเยวี่ยเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล เผิงหูจึงดูแลเธอเป็นอย่างดี ผอ.ไช่ มีลูกชาย แต่พวกเรากลับรู้สึกว่าหมอเผิงหูเหมือนลูกชายของเธอมากกว่าอีก”
ฉินเกอรู้สึกว่าเรื่องราวในส่วนที่เขาคิดไม่ตกก่อนหน้านี้ได้หายไปแล้ว
เผิงหูล่วงรู้เรื่องราวบางอย่างที่น่ากลัวในอดีต และด้วยจรรยาบรรณวิชาชีพก็ทำให้เขานั่งไม่ติด ทั้งยังเร่งเร้าให้เขาพูดความจริงออกมา แต่เรื่องราวในอดีตพวกนี้กลับมีความเกี่ยวข้องกับผู้มีพระคุณของเขา
ดังนั้นสิ่งที่เขาพูดครึ่งหนึ่งจึงเป็นเรื่องจริง ส่วนอีกครึ่งหนึ่งเป็นเรื่องเท็จ ทั้งนี้ก็เพื่อปกปิดบางอย่าง เขากำลังทรมานจากความขัดแย้งในตนเองและได้แต่รอคอยให้ฉินเกอกับคนอื่นๆ ค้นพบความจริงให้ได้โดยเร็วที่สุด แต่ขณะเดียวกันก็ยังกลัวว่าพวกเขาจะค้นพบได้เร็วเกินไปจนทำให้ความจริงแตกออกมาเสียก่อน
“พวกเราสามารถเข้าพบไช่หมิงเยวี่ยได้หรือเปล่า” เขาถามเหยียนหง
“ตอนนี้?”
ฉินเกอพยักหน้า “ตอนนี้”
เหยียนหงลังเล “ยากมาก…ตัวของไช่หมิงเยวี่ยเองนอกจากปัญหาโรคหัวใจแล้วสมองของเธอก็เลอะเลือน พูดจาเพ้อเจ้อทั้งวัน นอกจากเผิงหู ลูกชายของเธอ และบุคลากรทางการแพทย์ที่ได้รับอนุญาตจากลูกชายของเธอ คนอื่นก็ไม่มีสิทธิ์เข้าไปในห้องผู้ป่วยของไช่หมิงเยวี่ย”
ถังชั่วถามขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว “เพ้อเจ้อ?”
“ลูกชายของเธอบอกว่าเพ้อเจ้อ แต่เผิงหูกลับฟังมันอย่างตั้งใจ เขามักมาที่ห้องพักผู้ป่วยบ่อยๆ และอยู่ในนั้นประมาณชั่วโมงหนึ่งเพื่อคอยฟังไช่หมิงเยวี่ยพร่ำบ่น” เหยียนหงคิดแล้วคิดอีกก่อนจะพูดขึ้นว่า “หรือว่าคำพูดเพ้อเจ้อของไช่หมิงเยวี่ยจะเป็นส่วนที่ทำให้เผิงหูผิดปกติ”
ฉินเกอไม่ได้ตอบรับ แต่เลือกที่จะถามกลับไปตามตรง “ถ้าพวกเราต้องการความช่วยเหลือจากไช่หมิงเยวี่ยในการสืบสวนล่ะ”
เหยียนหงอึ้งไปสักพัก ก่อนที่สีหน้าของเขาจะจริงจังขึ้นมา
“ไม่ได้” เขาพูดอย่างจริงจัง “ฉินเกอ ตอนนี้แผนกของนายยังไม่ได้ก่อตั้งขึ้นอย่างเป็นทางการ นอกจากสำนักงานวิกฤตการณ์จะทำเรื่องเข้ามา พวกเราถึงจะสามารถตอบรับการสอบสวนได้ แต่ตอนนี้พวกนายยังไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเลย ต่อให้พวกเราได้รับเรื่องมาก็คงต้องปฏิเสธ”
เหยียนหงเชิญพวกเขาไปกินข้าวที่โรงอาหารของโรงพยาบาลก่อนกลับ เมื่อเห็นว่าท้องฟ้าเริ่มมืดลงฉินเกอจึงตัดสินใจที่จะกลับบ้านก่อนแล้วค่อยคิดหาวิธีอื่นในการติดต่อไช่หมิงเยวี่ยอีกที
ช่วงเวลาที่ไป๋เสี่ยวหยวนไปเอารถ เซี่ยจื่อจิงที่ติดบุหรี่ก็ไปซื้อล่าเถียว* มากิน เขาฉีกซองออกแล้วเอาเข้าปากเคี้ยวทีละนิดๆ
“ฉินเกอ ร่างวิญญาณของนายเป็นตัวอะไรกันแน่” เขาถาม
ฉินเกอกำลังถามถังชั่วเรื่องข่าวลือแปลกประหลาดของเมืองที่เกี่ยวข้องกับอาคารประวัติศาสตร์ของโรงพยาบาลอยู่ เขาขมวดคิ้วก่อนจะตัดสินใจเมินคำถามนั้นไป
หลังตัดสินใจที่จะไม่สนใจแล้วส่วนลึกภายในใจของเขาก็เกิดคำถามแปลกๆ ขึ้นมาทันที
คุณเคยเป็นแฟนผม แต่ไม่รู้ว่าร่างวิญญาณของผมเป็นตัวอะไรเนี่ยนะ
…อาการเพ้อฝันในความรักช่างน่าสงสารจริงๆ
เซี่ยจื่อจิงยังคงถามต่อแบบไม่รู้จักเหน็ดจักเหนื่อย “ฉันชอบสัตว์ที่ขนเยอะๆ สามารถลูบมันได้ นายก็เหมือนกันใช่ไหม”
ฉินเกอไม่สนใจเขา แม้แต่ถังชั่วก็ยังทำตัวไม่ถูก
เขายกมือขึ้นอย่างระมัดระวังแล้วพยายามคุยกับเซี่ยจื่อจิงเพื่อหวังจะคลี่คลายสถานการณ์ประดักประเดิดนี้
“เซี่ยจื่อจิง ร่างวิญญาณของผม…ก็ขนเยอะเหมือนกัน”
เซี่ยจื่อจิงไม่ได้ให้ความสนใจกับร่างวิญญาณของถังชั่วมากนัก รอจนเขากินล่าเถียวหมดจึงถามขึ้น “เป็นอะไรเหรอ”
ถังชั่ว “แพนด้า”
เซี่ยจื่อจิง “…”
ฉินเกอเห็นดวงตาของเขาสว่างวาบขึ้นทันทีที่ได้ยินคำคำนี้
แม้แต่น้ำเสียงของเซี่ยจื่อจิงก็เปลี่ยนไป ตั้งแต่ฉินเกอรู้จักเขามาสองวันยังไม่เคยเห็นเขาสุภาพขนาดนี้เลย
“ฉันรบกวนขอดูมันได้ไหม”
* ล่าเถียว เป็นขนมชนิดหนึ่ง ทำจากแป้ง เส้นยาวเล็ก มีรสเผ็ดสไตล์เสฉวน