everY
ทดลองอ่าน ทะเลคลั่งภวังค์วิปลาส เล่ม 1 บทที่ 5-6 #นิยายวาย
บทที่ 6 เลือดและไวน์ 06
แพนด้าของถังชั่วอยู่ในช่วงระหว่างวัยเด็กและโตเต็มวัย เท่าที่กะจากสายตาฉินเกอคิดว่ามันน่าจะสูงไม่ถึงหนึ่งเมตร
เนื่องจากตัวค่อนข้างเล็ก ตอนที่มันนั่งอยู่ข้างถังชั่วจึงดูเหมือนกับตุ๊กตาผ้าสักหลาดตัวหนึ่ง
เซี่ยจื่อจิงนั่งลงตรงหน้าแพนด้า ก่อนจะยื่นมือออกไปอย่างระมัดระวัง
“ลูบมันได้ไหม”
ถังชั่วพยักหน้า
เซี่ยจื่อจิงเริ่มลูบไปที่ด้านหลังของเจ้าแพนด้า กระทั่งมันร้องออกมาทีหนึ่งเขาจึงรีบชักมือกลับ และเมื่อเห็นว่าเจ้าแพนด้าไม่ได้รู้สึกอึดอัดเขาก็ยื่นมือออกไปแตะที่หูของมันอีกครั้ง
แพนด้าหันมามองเซี่ยจื่อจิงแล้วสักพักก็หลับตาลง เห็นได้ชัดว่ามันรู้สึกว่าสัมผัสของเซี่ยจื่อจิงนั้นสบายมาก
ยิ่งลูบเซี่ยจื่อจิงก็ยิ่งตื่นเต้น “ฉันกอดมันได้ไหม”
ถังชั่วลำบากใจเล็กน้อย “ไม่ได้ครับ มันกัดคน”
เซี่ยจื่อจิงคิ้วตกลงอย่างเสียดาย เขาลูบหูเล็กๆ สองข้างนั่นพร้อมกับพึมพำ “ฉันเป็นคนดีนะ”
สายตาของเซี่ยจื่อจิงที่ใช้มองเจ้าแพนด้าอย่างเปิดเผยนั้นเต็มไปด้วยความรักจนทำให้ฉินเกอรู้สึกแปลกๆ
จากนั้นเขาก็ลุกขึ้นเดินออกไป
ตอนนั้นเป็นช่วงเย็น บริเวณใกล้ๆ กับอาคารผู้ป่วยในของโรงพยาบาลมีคนจำนวนไม่น้อยออกมาเดินเล่น และเนื่องจากแพนด้าเป็นร่างวิญญาณที่พบเห็นได้ยาก ไม่นานผู้คนมากมายก็พากันมารุมล้อมเจ้าแพนด้าตัวอ้วน หลายคนดูเหมือนอยากลองจับแต่ก็ไม่กล้า
เจ้าแพนด้านอนอยู่บนสนามหญ้า เซี่ยจื่อจิงลูบทั้งหูและหางเล็กๆ ของมัน มันเชื่องมาก แขนขาทั้งสี่ข้างขยับขึ้นลงอยู่ที่พื้น สายตาจดจ้องไปที่มนุษย์กึ่งซอมบี้ผิวหนังเหี่ยวย่นสองคนในฝูงชน
“พวกคุณกำลังมองอะไรกันอยู่” มนุษย์กึ่งซอมบี้หันมาสอบถามด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง “คนคนนี้กำลังลูบอะไร”
คนที่อยู่ด้านข้างอธิบายให้พวกเขาฟัง “ร่างวิญญาณของเซนติเนลและไกด์ พวกคุณมองไม่เห็น เป็นแพนด้าตัวหนึ่ง”
ผิวหนังเหี่ยวย่นของสองมนุษย์กึ่งซอมบี้ขยับไปมา ทำให้กล้ามเนื้อที่เหลืออยู่บริเวณหน้าและปากขยับตาม ดวงตาสีแดงเบิกกว้าง สุดท้ายพวกเขาก็ถอนหายใจด้วยความประหลาดใจและเสียใจในคราวเดียวกัน
“เฮ้อ!”
ฉินเกอนึกถึงเรื่องบางอย่างขึ้นมาได้
มีเพียงเซนติเนลและไกด์เท่านั้นที่จะสามารถสร้างร่างวิญญาณขึ้นมาได้ เช่นเดียวกับที่มีเพียงเซนติเนลและไกด์เท่านั้นที่จะสามารถมองเห็นร่างวิญญาณได้…ครั้งหนึ่งการมีอยู่ของร่างวิญญาณทำให้ผู้คนคิดว่าเซนติเนลและไกด์เป็นมนุษย์ที่มีชนชั้นสูงส่งกว่า
เซนติเนลที่ร่างกายแข็งแรง ระเบิดพลังได้อย่างรวดเร็ว มีความว่องไว กับไกด์ที่มีประสาทสัมผัสเฉียบคม การสังเกตที่ลึกซึ้ง และจิตใจที่ละเอียดรอบคอบ ถือได้ว่าเป็นกระดูกสันหลังในสนามรบ พวกเขาเป็นคู่หูที่เหมาะสมกัน กล่าวคือคนหนึ่งรับผิดชอบด้านการโจมตี ส่วนอีกคนหนึ่งรับผิดชอบด้านการควบคุมและยับยั้ง
เมื่อออกปฏิบัติการเซนติเนลมักสูญเสียการควบคุมอารมณ์ได้ง่าย ส่งผลให้อาณาเขตทะเลเกิดปัญหาได้ง่ายเช่นกัน ไกด์จึงมีหน้าที่สำคัญในการรับผิดชอบฟื้นฟูอาณาเขตทะเลของเซนติเนล
ในยุคสงครามพวกเขาเป็นคนที่ไว้ใจได้มากที่สุด และเป็นทหารที่ทำให้ผู้คนรู้สึกเกรงกลัวมากที่สุดเช่นกัน
แต่หลังจากเข้าสู่ยุคสมัยที่สงบสุขเซนติเนลและไกด์ก็ดูเหมือนจะไม่ได้พิเศษอะไรมากมายนัก
ตามรายงานที่เผยแพร่ออกมาอย่างต่อเนื่องของมนุษย์ใต้พิภพนั้นยืนยันว่าหากโครงสร้างดวงตาบางส่วนของทั้งมนุษย์กึ่งซอมบี้ มนุษย์หิมะ และมนุษย์พิเศษอื่นๆ เปลี่ยนแปลงไปก็จะสามารถมองเห็นร่างวิญญาณของเซนติเนลและไกด์ได้ นั่นจึงทำให้ความลึกลับของร่างวิญญาณของเซนติเนลและไกด์เริ่มลดน้อยลงเรื่อยๆ แต่เดิมการสตรีมออนไลน์สำหรับร่างวิญญาณเป็นสิ่งต้องห้าม แต่มันก็ค่อยๆ ฟื้นคืนชีพขึ้นมาทีละน้อย มีเซนติเนลและไกด์จำนวนไม่น้อยที่หันมาใช้วิธีนี้ในการแสวงหากำไรและกลายเป็นคนดังในอินเตอร์เน็ต
ฉินเกอคิดในใจ ไม่ลึกลับก็ดีแล้ว
เขายังคงหวังให้ตนเองเป็นคนธรรมดาคนหนึ่งในจำนวนคนหลายหมื่นคน
เมื่อเงยหน้าไปมองแพนด้าตัวนั้นอีกครั้งเขาก็พบว่าเซี่ยจื่อจิงกำลังวิ่งเหยาะๆ มาหาเขา
“คุณไม่ลูบต่อแล้ว?” ฉินเกอถาม
“หึงเหรอ” เซี่ยจื่อจิงถาม
ฉินเกอไม่เข้าใจจริงๆ ว่าในหัวของคนคนนี้มีอะไรอยู่บ้าง
“ลูบพอแล้ว แพนด้าดีมากเลย น่ารัก แล้วก็ดุด้วย” เซี่ยจื่อจิงบอก “คู่หูในอุดมคติเลย สรุปแล้วร่างวิญญาณของนายคืออะไร”
เดิมทีฉินเกอคิดว่าความสนใจของอีกฝ่ายเปลี่ยนไปอยู่ที่แพนด้าของถังชั่วจนหมดแล้ว เขาไม่คิดเลยว่าเซี่ยจื่อจิงจะจัดการได้ยากขนาดนี้ เขาจึงรีบเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “อ๊ะ จริงด้วย ตอนนี้คุณพักอยู่ที่ไหน”
“สำนักงานวิกฤตการณ์”
ฉินเกอตกตะลึง “ที่สำนักงานวิกฤตการณ์มีหอพักด้วย?”
“ไม่ใช่หอพัก” เซี่ยจื่อจิงอธิบาย “ห้องทำงานของแผนกปรับสมดุลฯ”
ฉินเกอ “…ผมไม่ได้ล็อกประตูเหรอ คุณเปิดมันได้ยังไง”
เซี่ยจื่อจิง “ฉันงัดประตูเข้าไป”
ฉินเกอ “…”
เซี่ยจื่อจิง “วางใจได้ ทักษะของฉันดีมาก กลอนประตูไม่พังหรอก”
ภายในหัวสมองของฉินเกอปั่นป่วนไปด้วยพายุที่รุนแรงอีกครั้ง
แต่ขณะที่กำลังจะโมโหโทรศัพท์ของเขาก็ดังขึ้น
หลังจากมองที่หน้าจอฉินเกอก็รีบเดินออกไปรับโทรศัพท์อีกฝั่งหนึ่ง
เซี่ยจื่อจิงคิดว่าตนเองทำให้ฉินเกอโกรธเสียแล้ว เขาจึงหัวเราะไม่หยุด ระหว่างนั้นถังชั่วก็เก็บแพนด้าของตนเองแล้วเดินมาทางเขา
“ผมไม่กลับไปที่สำนักงานวิกฤตการณ์นะ” ฉินเกอกลับมายืนข้างๆ คนทั้งสองแล้วบอก “วันนี้ผมต้องกลับไปกินข้าวที่บ้าน พวกคุณไปพร้อมกับไป๋เสี่ยวหยวนได้เลย”
พอพูดจบเขาก็รีบกลับหลังหันเดินจากไป ขณะที่พยายามข่มความโกรธไว้ภายในใจและไม่สนใจเซี่ยจื่อจิงอีก
ตอนที่รถไฟใต้ดินเคลื่อนตัวไปฉินเกอก็หยิบโทรศัพท์มือถือของเขาขึ้นมาด้วยจิตใจที่สับสนวุ่นวาย
เซี่ยจื่อจิงที่น่าสงสาร เซี่ยจื่อจิงที่น่ารำคาญ และ…เซี่ยจื่อจิงที่ไม่มีบ้านให้อยู่อาศัย
การหาที่พักมันยากขนาดนั้นเลยเหรอ
ฉินเกอค้นหาในอินเตอร์เน็ต เขาพบข้อมูลการเช่าบ้านมากมาย แต่มีราคาค่อนข้างแพง อีกทั้งตัวแทนขายแต่ละคนนั้นไม่ธรรมดาเลย พวกเขาถ่ายภาพห้องสิบห้าตารางเมตรให้ดูเหมือนกับสี่สิบตารางเมตรได้ ดูอย่างไรก็ไม่น่าเชื่อถืออย่างยิ่ง เซี่ยจื่อจิงเพิ่งมาที่นี่ได้ไม่นาน ไม่คุ้นเคยกับสถานการณ์แบบนี้ บวกกับต้องออกไปทำงานกับพวกเขา ถ้าจะไม่มีเวลาไปหาห้องพักก็ถือเป็นที่เรื่องที่เข้าใจได้
หลังถึงสถานีฉินเกอก็หยิบมือถือขึ้นมาโทรหาไป๋เสี่ยวหยวน
ไป๋เสี่ยวหยวนเพิ่งจะไปส่งถังชั่วกับเซี่ยจื่อจิงที่สำนักงานวิกฤตการณ์เสร็จ ฉินเกอก็โทรมาบอกให้เธอช่วยเซี่ยจื่อจิงหาห้องว่างให้เช่าที่ราคาสมเหตุสมผลและเดินทางได้สะดวกโดยเร็วที่สุด
“เธอกับถังชั่วช่วยดูหน่อยแล้วกัน” ฉินเกอบอก “จะปล่อยให้เขางัดประตูแผนกปรับสมดุลฯ เข้าไปนอนทุกคืนไม่ได้”
ไป๋เสี่ยวหยวนตกตะลึง “งัดประตู? อยู่ที่แผนกปรับสมดุลฯ?”
ฉินเกอ “เขาบอกว่าเมื่อคืนเขาทำแบบนี้ ค่อนข้างน่าเห็นใจ”
ไป๋เสี่ยวหยวน “ไม่ใช่นะ เมื่อวานเขานอนที่ป้อมยาม ที่นั่นมีเตียงนอนสองชั้นนี่ เขาน่าจะหลับสบายนะ ตอนเช้าที่ฉันมาเขาก็ดูสดใสมาก ยังถามฉันอยู่เลยว่าแถวๆ นี้มีร้านไหนขายเจียนปิ่งกั่วจืออร่อยๆ บ้าง”
ฉินเกอ “…”
ไป๋เสี่ยวหยวน “ยังให้ฉันช่วยเขาอยู่ไหม”
ฉินเกอ “ช่วยแล้วกัน”
หลังจากวางสายฉินเกอก็เดินไปด้วยสีหน้าเรียบเฉย แต่ในใจของเขาได้เอาเซี่ยจื่อจิงไปแขวนไว้ที่ชั้นดาดฟ้าของอาคาร แล้วซัดอีกฝ่ายด้วยพายุที่รุนแรงระดับสามสิบเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
‘ครอบครัว’ ของฉินเกอ หากพูดอย่างเป็นทางการก็ไม่นับว่าเป็นครอบครัวของเขาเสียทีเดียว
เขาเป็นเด็กกำพร้า เมื่อครั้งอายุสิบสี่ปี ตอนหมดสิ้นหนทางไม่รู้จะไปทางไหนก็ได้ฉินซวงซวงหัวหน้าของสำนักงานวิกฤตการณ์เป็นคนรับเลี้ยงเอาไว้
ชื่อเดิมของเขาคือหยางเกอ แต่หลังจากที่ฉินซวงซวงชักชวนเขาก็เปลี่ยนนามสกุลเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาที่อาจตามมาในอนาคต ถึงตอนนี้เขาได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวฉินซวงซวงเป็นเวลาสิบปีแล้ว แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นเขาก็ไม่ได้เรียกฉินซวงซวงว่าแม่ และไม่ได้เรียกเจี่ยงเล่อหยางสามีของฉินซวงซวงว่าพ่อ เขาแค่มีคุณป้า คุณลุง และน้องชายเพิ่มมาอย่างละคน ดูเหมือนว่าการใช้ชีวิตจะกลับคืนสู่สภาวะปกติ…
ดูเหมือนว่าจะไม่มีช่องว่าง
เมื่อฉินเกอเปิดประตูเข้าไปก็ได้กลิ่นหอมๆ ลอยมาจากห้องครัวทันที
เจี่ยงเล่อหยางที่ผูกผ้ากันเปื้อนเดินออกมาจากห้องครัว กวัดแกว่งกระบวยไปมา “เย็นนี้มีเห็ดโคนญี่ปุ่นตุ๋นไก่”
ผมของเจี่ยงเล่อหยางเป็นสีขาว แต่เขาไม่ได้ใส่ใจมัน และการที่เขาไม่ได้ย้อมผมก็เป็นเพราะฉินซวงซวงเคยบอกเขาว่าผมสีขาวก็หล่อมากเช่นกัน หลังจากแต่งงานกับฉินซวงซวงมาเกือบยี่สิบปีสุนทรียศาสตร์ของทั้งคู่นับว่าทัดเทียมกันอย่างมาก
ฉินเกอย่องเข้าไปดูในห้องครัว ก่อนเขาจะพบว่าอาหารที่เจี่ยงเล่อหยางทำนั้นล้วนเป็นของโปรดของฉินซวงซวงทั้งหมด
ฉินซวงซวงเพิ่งกลับจากการไปทำงานนอกสถานที่มาเมื่อวาน กำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่ในห้องนั่งเล่น เธอขมวดคิ้วมุ่น หนังสือในมือของเธอมีกระดาษแผ่นบางๆ คั่นอยู่ หลังจากเห็นฉินเกอประโยคแรกของเธอคือถ้อยคำติเตียน
“ระดับความรู้ของเกาเทียนเยวี่ยตกต่ำอะไรแบบนี้ นี่มันหนังสืออะไร เขียนได้ชุ่ยมาก”
ฉินเกอพยักหน้าอย่างเห็นด้วย
ฉินซวงซวงดูออกว่าเขาทำแบบขอไปที เธอจึงวางหนังสือลงแล้วคุยกับเขาเรื่องที่ตนเองไปประชุมที่สำนักงานภูมิภาคตะวันตกในครั้งนี้
หลังจากคุยไปได้สักพักมือถือของฉินเกอก็แจ้งเตือนว่ามีคนส่งข้อความเข้ามา
มันเป็นข้อความจากไป๋เสี่ยวหยวน
ไป๋เสี่ยวหยวน ฉินเกอ สำนักงานวิกฤตการณ์ไม่สามารถออกหนังสือสอบสวนกับไช่หมิงเยวี่ยได้ เรื่องราวมันซับซ้อนเล็กน้อย ฉันกำลังค้นหาข้อมูลที่เกี่ยวข้องกันอยู่ พรุ่งนี้จะอธิบายรายละเอียดให้ฟัง
“เรื่องที่ทำงาน?” ฉินซวงซวงถาม
ฉินเกอขมวดคิ้วพลางพยักหน้า
เห็นได้ชัดว่าฉินซวงซวงสนใจเรื่องนี้ “เป็นความลับหรือเปล่า”
ในปีที่เธอออกจากสำนักงานวิกฤตการณ์เป็นเพราะระหว่างที่เธอดำรงตำแหน่งได้เกิดอุบัติเหตุร้ายแรงขึ้น ถึงแม้อุบัติเหตุนั้นจะไม่เกี่ยวข้องกับเธอ แต่ก็มีคำสั่งย้ายเธออย่างรวดเร็ว หลังจากนั้นเธอก็ทำงานที่ศูนย์แนะแนวการศึกษาและการจ้างงานมนุษย์พิเศษมาโดยตลอด
ฉินซวงซวงให้ความสนใจและกระตือรือร้นในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับสำนักงานวิกฤตการณ์มาโดยตลอด
และเมื่อเกี่ยวข้องกับเกาเทียนเยวี่ยคนที่รับตำแหน่งต่อจากเธอ มันก็ทำให้เธอรู้สึกไม่พอใจไปเสียทุกอย่าง
ฉินเกอบอกเธอเพียงแค่ว่ามีการเปลี่ยนแปลงการทำงานของตนเอง โดยก่อนหน้านี้เขาต้องไปตรวจสอบหมอคนหนึ่งที่ทำงานอยู่ในโรงพยาบาลฯ ที่ 267 เขาจึงถามฉินซวงซวงว่ารู้จักกับไช่หมิงเยวี่ยหรือไม่
ฉินซวงซวงพูดยิ้มๆ “รู้จักสิ ผู้หญิงคนไหนที่คลอดที่โรงพยาบาลฯ ที่ 267 ไม่รู้จักเธอบ้าง เธอเองก็ทำคลอดเสี่ยวชวน เรื่องที่จะสืบสวนเกี่ยวข้องกับไช่หมิงเยวี่ยเหรอ”
ฉินเกอ “อาจจะครับ”
ฉินซวงซวงรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย แต่หลังจากครุ่นคิดอยู่สักพักก็ลดเสียงลง “ฉินเกอ ป้าเคยเข้าไปล่องเรือในอาณาเขตทะเลของไช่หมิงเยวี่ย”
ฉินเกอตกตะลึง
ฉินซวงซวงก็เป็นหนึ่งในห้านักปรับสมดุลทางจิตที่ได้รับการลงทะเบียนในประเทศเหมือนกับเขา ตอนนั้นเหตุผลที่ฉินซวงซวงยืนกรานที่จะรับฉินเกอมาเลี้ยงตั้งแต่แรกเป็นเพราะเธอให้ความสำคัญกับความสามารถของฉินเกอ ไม่อยากให้พรสวรรค์ของเขาสูญเปล่า อีกทั้งยังต้องการปกป้องเขาให้อยู่ภายใต้ปีกของตัวเอง
ฉินเกอรู้ว่าฉินซวงซวงมีประสบการณ์มากกว่าตนเองมาก เขาจึงอดที่จะถามไม่ได้ “อาณาเขตทะเลของเธอมีปัญหาไหมครับ”
ฉินซวงซวงพยักหน้า “มีปัญหาแน่นอน แต่ป้าไม่ได้เข้าไปลึก อยู่ในระดับการดำน้ำตื้น ตอนที่เจอว่ามีความลับอันยิ่งใหญ่ซ่อนอยู่ในจิตใต้สำนึกส่วนลึกก็เกิดการจลาจลขึ้นในอาณาเขตทะเลของเธอ”
ร่างกายที่ตึงเครียดของฉินเกอผ่อนคลายลงทันที
การจลาจล…เขาแปลกใจมาก การจลาจลเป็นความคิดกรรมสิทธิ์ของการวิจัยอาณาเขตทะเล มันชี้ให้เห็นถึงการต่อต้านของอาณาเขตทะเลในสถานการณ์ร้ายแรงซึ่งผู้บุกรุกจะถูกบังคับให้ออกไปทันที
“ตอนนั้นป้าก็คิดว่ามันไม่ปกติ ไช่หมิงเยวี่ยเป็นคนมาหาป้าด้วยตัวเอง เธอบอกว่าไม่มีคืนไหนที่เธอนอนหลับเลย ถ้าหากนอนหลับก็จะพบกับฝันร้าย บางครั้งก็ตื่นขึ้นมาระหว่างฝันและพบว่าตัวเองยืนอยู่ในห้องครัว มือถือกรรไกรและมีดปอกผลไม้ เหมือนกำลังเตรียมตัวจะทำการผ่าตัด” ฉินซวงซวงพูด “ตอนนั้นเป็นครั้งแรกที่ป้าพบกับคนที่ต้องการความช่วยเหลือแต่กลับต่อต้านอย่างรุนแรง”
“…เพราะป้าพบความลับที่เธอไม่ต้องการจะเปิดเผยหรือเปล่าครับ” ฉินเกออดไม่ได้ที่จะถามออกไป “ความลับนั่นคืออะไร สภาพเป็นแบบไหนครับ”
ฉินซวงซวงส่ายศีรษะ “ฉินเกอ เราลืมเรื่องหลักการรักษาความลับไปแล้วเหรอ”
ฉินเกอ “แต่มันก็มีข้อยกเว้นสำหรับการรักษาความลับนี่ครับ ตอนนี้ก็คือสถานการณ์ยกเว้น”
“ข้อยกเว้นการรักษาความลับที่ว่านักปรับสมดุลทางจิตจะเป็นคนตัดสินใจเอง หรือไม่ก็ให้ข้อมูลกับป้าในเรื่องนี้ได้มากกว่านี้ไหม”
ฉินเกอ “…”
ฉินซวงซวงอยากใช้สถานการณ์ในตอนนี้สืบสาวถึงเรื่องราวการสอบสวนอย่างละเอียด แต่เธอก็ไม่สามารถพูดออกมาตามตรงได้
ต่างฝ่ายต่างไม่ยอมกันอยู่สักพัก จนในที่สุดฉินซวงซวงก็ลุกขึ้น “ช่างมันเถอะ กินข้าว”
ตอนที่เดินมาหาฉินเกอ ฉินซวงซวงก็บีบหน้าของเขา “ตอนนี้ไม่ควรโกหกแล้วนะ”
ฉินเกอไม่รู้สึกเจ็บปวดเลยสักนิด ซ้ำยังหัวเราะออกมา
ตอนที่เจี่ยงเซี่ยวชวนกลับมาถึงบ้านกับข้าวที่อยู่บนโต๊ะก็เริ่มเย็นแล้ว
พอเขาเห็นฉินเกอเข้าก็ดีใจยกใหญ่ หลังถอดรองเท้าฟุตบอลได้ก็รีบวิ่งมาหา แต่วิ่งไปได้เพียงสองก้าวก็เผชิญสายตาอันแหลมคมของฉินซวงซวง เขาจึงหักเลี้ยวระหว่างทางเข้าไปที่ห้องครัวเพื่อล้างมือ
ด้านนอกห้องครัวฉินซวงซวงรู้สึกหนักใจ “ฉันรู้สึกว่าลูกไม่ได้ใส่ใจเรื่องการสอบกลางภาคเลย นี่มันเดือนไหนแล้ว ยังไปเตะฟุตบอลอยู่เลย”
เจี่ยงเล่อหยางมองโลกในแง่ดี “การสอบจำลองไม่ใช่ว่าเพิ่งสอบเสร็จไปเหรอ จะมานั่งอ่านหนังสือได้ยังไง ต้องออกไปออกกำลังกายสิ ช่วงอายุสิบห้าสิบหกปีเป็นช่วงที่ร่างกายกำลังเติบโต ต้องออกกำลังกายถึงจะเป็นเรื่องที่ดี”
เมื่อเจี่ยงเซี่ยวชวนจัดการทำความสะอาดตัวเองจนเสร็จก็นั่งลง แล้วมื้ออาหารก็เริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นทางการ
ด้วยทักษะการทำอาหารที่ยอดเยี่ยมของเจี่ยงเล่อหยาง ทุกคนในโต๊ะจึงรับประทานอาหารกันอย่างมีความสุข ฉินซวงซวงพุ่งความสนใจไปที่ลูกชายโดยถามเขาเรื่องคะแนนสอบไปตามตรงว่าดีขึ้นบ้างหรือไม่ เจี่ยงเซี่ยวชวนขมวดคิ้ว แสร้งทำเป็นกินข้าวไม่ลง
“ไม่อยากกินข้าวแล้ว”
ฉินซวงซวงทำได้เพียงเงียบลงแล้วหันไปมองทางฉินเกอ
“ที่ศูนย์ของพวกเรามีครูฝึกสอนคนหนึ่งอยากได้เบอร์โทรศัพท์ของฉินเกอ จะให้เขาไหม”
ฉินเกอยังไม่ได้พูดอะไร จู่ๆ เจี่ยงเซี่ยวชวนก็เป็นกังวลขึ้นมา “ไม่ได้! แม่ แม่อย่าจับคู่มั่วซั่วให้พี่ชายนะ”
เจี่ยงเล่อหยางกับฉินซวงซวงสบตากันอย่างรวดเร็ว
เจี่ยงเซี่ยวชวนพูดจาอย่างฉะฉาน “พี่ชายสเป็กสูง พ่อกับแม่ไม่เข้าใจหรอก”
“แล้วลูกเข้าใจ?” ฉินซวงซวงยิ้มเย็นแล้วพูดว่า “เจี่ยงเซี่ยวชวน ลูกเอารูปของพี่ชายไปให้ครูคนไหนดู”
สีหน้าของเจี่ยงเซี่ยวชวนเปลี่ยนเป็นแข็งทื่อทันที ลูกตาของเขากลอกไปมาก่อนจะมองไปทางเจี่ยงเล่อหยางอย่างอ้อนวอน
“พูดความจริง” เจี่ยงเล่อหยางไม่ได้ช่วยเขา “สอบจำลองครั้งนี้มีพาร์ตไหนที่ทำได้ไม่ดีไหม”
เจี่ยงเซี่ยวชวนหดหู่ใจ “ฟิสิกส์”
ฉินเกอรู้สึกอกสั่นขวัญแขวนแทนเจี่ยงเซี่ยวชวน และตะเกียบในมือของฉินซวงซวง
“อาจารย์ฟิสิกส์ของพวกเราหน้าตาดีมากเลยนะ!” เจี่ยงเซี่ยวชวนยังคงต่อต้านอย่างไม่ลดละ “พี่ชายจะต้องชอบแน่ๆ”
“เจี่ยงเซี่ยวชวน แม่ขอเตือนลูกอีกครั้งนะ” ฉินซวงซวงจ้องมองลูกชาย “ลูกกำลังใช้ประโยชน์จากพี่ชายเพื่อสานสัมพันธ์กับครู หลังจากนี้ลูกก็อยู่ที่หอเถอะ เสาร์อาทิตย์ก็ไม่ต้องกลับมาแล้ว พ่อของลูกไม่มีเวลามาทำกับข้าวให้ลูก!”
เจี่ยงเซี่ยวชวนไม่กล้าพูดอะไรอีก เขาก้มศีรษะจนแทบจะจุ่มลงไปในชามข้าว
หาได้ยากที่จะมีโอกาสได้กินอาหารทำเองที่บ้าน ฉินเกอรู้สึกอิ่มเอมเป็นอย่างมาก นอกจากนี้เจี่ยงเล่อหยางยังทำอาหารมากไปหน่อยจึงให้เขาเอากลับไปที่คอนโดฯ ด้วย วันต่อมาฉินเกอจึงหุงข้าวแล้วนำอาหารใส่ลงในกล่องเก็บความร้อนเพื่อนำไปกินที่ที่ทำงาน
ทว่ายังไม่ทันเดินเข้าไปที่อาคารใหญ่ของสำนักงานวิกฤตการณ์ หางตาของฉินเกอก็เหลือบไปเห็นว่ามีคนวิ่งข้ามถนนมาทางตนเองในขณะที่ไฟเขียวกำลังกะพริบ
วันนี้เซี่ยจื่อจิงไม่เหมือนกับเมื่อสองวันก่อน พอฉินเกอมองผมที่ไม่ลีบแบนและคางที่สะอาดสะอ้านก็ตัดสินเขาในทันที
ในที่สุดคนคนนี้ก็ตั้งใจอาบน้ำแล้ว
“เมื่อวานนอนที่ไหน” เขาถามออกไปโดยไม่ทันได้คิด
วันนี้ห่อของเจียนปิ่งกั่วจือที่เซี่ยจื่อจิงซื้อมานั้นต่างไปจากเดิม และดูเหมือนว่าเขาจะกินมันอย่างไม่มีความสุข นี่จึงทำให้ฉินเกอสงสัยว่าเขาอาจจะเป็นคนเทียนจิน*
“อยู่กับถังชั่ว” เซี่ยจื่อจิงดื่มน้ำเต้าหู้แล้วพูดต่อ “ห้องของเขาเล็กมาก ห้องนั่งเล่นก็คือห้องนอน”
“ถังชั่วให้คุณไปอยู่ด้วยก็ดีแล้ว อย่าให้มันมากเกินไป”
ฉินเกอกับเซี่ยจื่อจิงเดินเข้ามาที่แผนกปรับสมดุลทางจิตเวช ถังชั่วที่อยู่ในห้องพอเห็นเซี่ยจื่อจิง เขาก็กระโดดลุกขึ้นมาราวกับบั้นท้ายของเขาถูกไฟไหม้
เซี่ยจื่อจิงมองเจียนปิ่งกั่วจือกับน้ำเต้าหู้ในมือ จากนั้นก็หมุนตัวเดินกลับไปกินมื้อเช้า ฉินเกอสังเกตเห็นว่าสีหน้าของถังชั่วเต็มไปด้วยความหวาดกลัว ใบหน้าซีดขาว มีรอยดำที่ใต้ตาทั้งสองข้าง ตรงตาขาวมีเส้นเลือดสีแดง และเมื่อเขานึกถึงองค์ประกอบหลักของอาณาเขตทะเลของเซี่ยจื่อจิง ใบหน้าของเขาก็พลันเขียวคล้ำ
“เมื่อคืนเซี่ยจื่อจิงทำอะไรคุณ”
“ผม?” ถังชั่วลูบหน้าลูบตาตนเอง ทำให้ใบหน้าของเขามีสีเลือดขึ้นมาอย่างที่ควรจะเป็น “ไม่ได้ทำอะไรผมหรอก แต่สิงโตของเขาค่อนข้างน่ากลัว มันมองแพนด้าของผมทั้งคืนเลย”
ตอนที่เซนติเนลหรือไกด์นอนหลับ เมื่อสติการรับรู้ผ่อนคลายลงหรือเข้าสู่สภาวะหลับลึก บ่อยครั้งที่ร่างวิญญาณของพวกเขาจะถูกปลดปล่อยออกมาโดยอัตโนมัติ
ทันใดนั้นฉินเกอก็เข้าใจแล้วว่าเกิดอะไรขึ้น
สิงโตของเซี่ยจื่อจิงจ้องมองแพนด้า…น่าจะเป็นเพราะเขารักสัตว์ที่มีขนหนามากๆ ซึ่งสิ่งนี้ทำให้เจ้าแพนด้ากังวลมาก อันเป็นสาเหตุที่ว่าทำไมถังชั่วถึงรู้สึกประหม่าจนนอนไม่หลับทั้งคืน
“แล้วเขายังไม่ยอมให้ผมเก็บแพนด้าด้วย!” ถังชั่วจับมือของฉินเกอ “เขาบอกว่าถ้าผมเก็บแพนด้ากลับไป สิงโตของเขาจะไม่มีความสุข มันจะตะกุยผนัง คำรามใส่ผม ทั้งยังอาจจะวิ่งเข้าไปในชุมชนและส่งเสียงร้อง ผมสิ้นหวังมากเลย นี่เป็นอะไรที่สิ้นหวังที่สุดสำหรับผมในเดือนนี้เลย!”
ฉินเกอ “…เดือนนี้? ทำไมคุณคำนวณแม่นจัง”
“ผมอยากตายแล้ว…”
ฉินเกอทำได้เพียงเอามือไปลูบบ่าและศีรษะของอีกฝ่าย ถังชั่วเด็กกว่าเขาไม่กี่ปี จึงราวกับมีภาพลวงตาเกิดขึ้นว่าเขากำลังปลอบใจเจี่ยงเซี่ยวชวน
เป็นเพราะความใจอ่อน
และช่วงเวลาแห่งความใจอ่อนนี้ก็ทำให้เขารีบพูดประโยคหนึ่งที่จะทำให้ตัวเองเสียใจในภายหลังออกไป
“คืนนี้ก็ให้เขามาอยู่ที่ห้องของผมแล้วกัน”
โปรดติดตามตอนต่อไป…