ทดลองอ่าน ทะเลคลั่งภวังค์วิปลาส เล่ม 1 บทที่ 7-8 #นิยายวาย – Jamsai
Connect with us

Jamsai

everY

ทดลองอ่าน ทะเลคลั่งภวังค์วิปลาส เล่ม 1 บทที่ 7-8 #นิยายวาย

หน้าที่แล้ว1 of 2

ทดลองอ่าน เรื่อง ทะเลคลั่งภวังค์วิปลาส เล่ม 1 

ผู้เขียน :  เหลียงฉาน

แปลโดย : mykLiu

ผลงานเรื่อง : ทะเลคลั่งภวังค์วิปลาส

ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน

จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว

หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย

– – – – – – – – – – – – – – – – –

 

Trigger Warning

เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับการทำร้ายทางร่างกายและจิตใจ

มีการกล่าวถึงเลือด สภาพศพ สถานการณ์อันน่าขยะแขยง

กล่าวถึงการข่มขืนและการใช้ความรุนแรง

ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ

    

สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป

โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน

 

** หมายเหตุยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **

– – – – – – – – – – – – – – – – –

บทที่ 7 เลือดและไวน์ 07

ไป๋เสี่ยวหยวนที่อยู่นอกประตูรีบร้อนพุ่งเข้ามา ยังดีที่เธอได้ยินประโยคนี้ของฉินเกอ

“น่ารำคาญ!” เธอวางแล็ปท็อปในอ้อมแขนลงบนโต๊ะอย่างไม่พอใจ ท่าทางดูโมโหเป็นอย่างมาก แต่เมื่อมาถึงโต๊ะจู่ๆ ท่าทางก็ดูนุ่มนวลขึ้นและเงียบลงในที่สุดอย่างน่าทึ่ง “พักที่บ้านของนายใช่ไหม งั้นสรุปแล้วยังต้องช่วยเขาหาห้องอยู่หรือเปล่า ในฐานะหัวหน้าทำไมนายไม่แน่วแน่เลยล่ะฉินเกอ!”

“หาสิ!” ฉินเกอรีบพูด “ในฐานะหัวหน้าเขาก่อความวุ่นวายให้ถังชั่ว ฉันจะไม่สนใจได้เหรอ นี่เป็นการพักแค่ชั่วคราวเท่านั้น”

จริงๆ ตอนนี้เขาก็เริ่มนึกเสียใจขึ้นมาแล้ว

“ฉันเข้าใจแล้ว” สีหน้าของไป๋เสี่ยวหยวนและถังชั่วไม่ต่างกันเลย กระทั่งรอยคล้ำรอบดวงตาหรือเส้นเลือดฝอยในตาก็ยังดูหนักกว่าถังชั่ว เธอหยิบกระจกแต่งหน้ากับลิปสติกออกมาจากกระเป๋าสะพายข้าง หลังจากทาลิปสติกลงบนริมฝีปากสองสามครั้งแล้วก็พูดขึ้นว่า “ถังชั่ว ฉินเกอ พวกนายรังเกียจเซี่ยจื่อจิงกันเกินไปแล้ว”

“ทำไมล่ะ”

คำถามนี้ลอยมาจากบริเวณประตูอย่างช้าๆ

ทั้งสามคนมองไปทางประตูอย่างพร้อมเพรียง แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่มีใครพูดอะไร เซี่ยจื่อจิงยืนพิงกับประตูพลางกัดหลอดดูดน้ำเต้าหู้ ขณะที่ใช้สายตามองไปที่ใบหน้าของพวกเขาทั้งสามคน

แสงในยามเช้าลอดผ่านหน้าต่างบานเล็กบนผนังของแผนกปรับสมดุลทางจิตเวชเข้ามา ใบหน้าและเส้นผมของเซี่ยจื่อจิงถูกแสงยามเช้าและแสงไฟภายในห้องตกกระทบลงมา สันจมูกโด่งทำให้เกิดเงาตกกระทบลงที่ริมฝีปาก เขาเป็นผู้ชายที่หล่อเหลาแตกต่างจากเมื่อวานอย่างสิ้นเชิง

เขาดื่มน้ำเต้าหู้จนหยดสุดท้าย กระทั่งแก้วน้ำเต้าหู้หดตัวเข้าหากันจนเกิดเสียง

“ทำไมถึงรังเกียจฉันล่ะ” เซี่ยจื่อจิงเดินเข้ามาในห้องก่อนจะเอาแก้วกระดาษทิ้งลงในถังขยะ “นี่ฉันฟังผิดหรือเปล่า”

เขาคิ้วขมวด แววตาฉายแววครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นความน่าสงสารและมองตรงไปที่ฉินเกอ

ฉินเกอปฏิเสธ “ไม่ใช่ว่ารังเกียจคุณ”

“งั้นพวกนายกำลังคุยอะไรกัน” เซี่ยจื่อจิงถาม “ถึงต้องหลบๆ ซ่อนๆ ไม่ให้ฉันได้ยิน”

ถังชั่ว “คุยเรื่องปัญหาที่พักของคุณ”

ไป๋เสี่ยวหยวน “ฉินเกอชวนนายไปอยู่ที่ห้องของเขา”

ฉินเกอ “อยู่ชั่วคราว”

เขารีบแก้ตัว เมื่อหันไปมองเซี่ยจื่อจิงเขาก็พบว่าสีหน้าที่ไร้อารมณ์ของอีกฝ่ายค่อยๆ มีรอยยิ้มผุดพรายขึ้นมา

“แค่ชั่วคราว” ฉินเกอพูดซ้ำอีกครั้ง

เซี่ยจื่อจิงอดกลั้นมานานก่อนจะพูดอย่างเย่อหยิ่งออกมาสองคำ “ได้สิ”

แต่ไม่ว่าใครก็ล้วนดูออกว่าในใจของคนคนนี้มีความสุขจนเก็บเอาไว้ไม่อยู่แล้ว

ไป๋เสี่ยวหยวนที่อยู่ด้านข้างเปิดแล็ปท็อปขึ้นมา “ประชุมๆ ฉันจะรายงานให้พวกนายรู้ว่าเมื่อวานฉันค้นเจออะไรบ้าง”

 

เมื่อวานหลังจากกลับมาที่สำนักงานวิกฤตการณ์ไป๋เสี่ยวหยวนตั้งใจจะทำงานล่วงเวลาเพื่อทำเอกสารคำร้องขอความช่วยเหลือในการสืบสวนไช่หมิงเยวี่ย แต่แล้วเธอก็ได้รู้ว่าพวกเขาไม่มีคุณสมบัติในการออกคำร้องขอความช่วยเหลือในการสืบสวน

เหตุผลแรกคือเนื่องจากยังไม่มีการจัดตั้งแผนกปรับสมดุลทางจิตเวชขึ้นมาอย่างเป็นทางการ จึงไม่สามารถออกเอกสารในนามของแผนกได้

เหตุผลที่สองคือตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่มีหลักฐานอะไรที่สามารถพิสูจน์ได้ว่าไช่หมิงเยวี่ยจำเป็นที่จะต้องได้รับการสอบสวน

“ปัญหาข้อแรกแก้ไม่ยาก รอเกาเทียนเยวี่ยกลับมาก็น่าจะทำได้แล้ว” ไป๋เสี่ยวหยวนหันแล็ปท็อปมาเพื่อให้พวกเขาเห็นหน้าจอ “เกี่ยวกับปัญหาข้อที่สอง”

บนหน้าจอมีเอกสารฉบับหนึ่ง

 

‘การบังคับใช้กฎหมายอาชญากรรมที่เกี่ยวข้องกับมนุษย์พิเศษและข้อคิดเห็นที่เกี่ยวข้องกับนโยบาย’

 

ถังชั่วและฉินเกอเคยอยู่ที่ห้องเก็บเอกสารมาก่อน พวกเขาจึงนึกออกอย่างรวดเร็วว่านี่คือเอกสารเมื่อไม่กี่ปีก่อนหน้านี้ เนื้อหาของเอกสารฉบับนี้เยอะเป็นพิเศษ มีประมาณแปดสิบกว่าหน้า โชคดีที่ทั้งสองไม่ได้ถูกจัดให้เป็นผู้รับผิดชอบเอกสารนี้ พวกเขาจึงแค่จดจำหัวข้อนี้ได้แต่ไม่แน่ใจเกี่ยวกับเนื้อหาข้างใน

“เกี่ยวกับเคสนี้ของเราเหรอ” เซี่ยจื่อจิงถาม

“เกี่ยวที่สุด” ไป๋เสี่ยวหยวนเปิดไปที่หน้าห้าสิบห้า “ถ้าไม่มีหลักฐานที่ชัดเจนในเหตุการณ์ ไม่ว่าองค์กรใดก็ไม่สามารถเริ่มกระบวนการสอบสวนมนุษย์พิเศษได้ และไม่ว่าขั้นตอนใดของการสืบสวนจำเป็นต้องได้รับการอนุมัติจากสำนักงานวิกฤตการณ์และคณะกรรมการจัดการพิเศษทั้งสองที่นี้ก่อนจึงจะสามารถเริ่มต้นกระบวนการได้”

เซี่ยจื่อจิงยืดตัวขึ้น “ให้สองหน่วยงานอนุมัติ? ทำไมยุ่งยากแบบนี้ นี่เป็นการปกป้องมนุษย์พิเศษที่เป็นอาชญากรหรือเปล่า”

“เมื่อคืนฉันค้นคว้าเรื่องนี้อยู่ตลอดทั้งคืน” ไป๋เสี่ยวหยวนบอก “จริงๆ แล้วมันมีไว้เพื่อปกป้องพวกเรา”

 

คำว่า ‘พิเศษ’ ของมนุษย์พิเศษเป็นช่องแคบช่องหนึ่งที่ไม่อาจข้ามผ่านไปได้

เมื่อมนุษย์พิเศษเข้ามามีบทบาทอย่างเป็นทางการในสายตาของมนุษย์ธรรมดามากขึ้น เมื่อใดก็ตามที่มีสิ่งแปลกๆ เกิดขึ้น ทุกความสงสัยก็มักถูกโยนมาที่พวกเขาเสมอ

หากเกิดโรคระบาดขึ้นในหมู่บ้านย่อมต้องเป็นเพราะมนุษย์กึ่งซอมบี้อย่างแน่นอน

หากเกิดพายุพัดถล่มภูเขาย่อมต้องเป็นเพราะมนุษย์ใต้พิภพขุดพื้นโลกแน่ๆ

หากเกิดพายุไต้ฝุ่นกับสึนามิพัดถล่มพื้นที่ทางการเกษตรจะต้องเป็นเพราะเด็กทะเลทำให้เทพเจ้าแห่งท้องทะเลโกรธเป็นแน่

หากเกิดพายุหิมะพัดถล่มปิดทางภูเขาจนผู้คนและสรรพสัตว์หนาวจนแข็งตายก็จะต้องฆ่ามนุษย์หิมะเพื่อสังเวยภูเขาและแม่น้ำ ไม่อย่างนั้นพายุหิมะก็จะไม่หยุด

หรือหากมีสุนัขที่ติดเชื้อพิษสุนัขบ้ากัดคนตายในเมืองก็จะต้องเป็นเพราะถูกมนุษย์หมาป่าสิงสู่แน่ๆ ว่าแต่มนุษย์หมาป่ากับสุนัขในเมืองไม่ได้หน้าตาเหมือนกันหรอกใช่ไหม

คำว่า ‘พิเศษ’ จึงกลายเป็นตราบาปติดตัว

สายเลือดที่ติดตัวมาแต่กำเนิดกับความเจ็บปวดที่คอยกัดกินนั้นถือเป็นจุดเริ่มต้นของการตัดสิน

เหตุที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทั้งหมดนี้ขึ้นเป็นเพราะเซนติเนลและไกด์ ภายนอกพวกเขาไม่ได้แตกต่างจากมนุษย์ธรรมดาเลยแม้แต่น้อย หลังจากที่พวกเขาเข้าไปมีบทบาทในชั้นอำนาจของรัฐ ในที่สุด ‘มนุษย์พิเศษ’ ก็กลายเป็นส่วนหนึ่งที่ได้รับการยอมรับอย่างเป็นทางการแทนที่จะถูกมองว่าเป็นเพียงส่วนหนึ่งของหัวข้อวิจัย

ผู้คนเริ่มเข้าใจเรื่องหนึ่ง นั่นคือ ‘พวกเขา’ และ ‘พวกเรา’ ต่างก็เป็นสิ่งมีชีวิตเหมือนกัน

คำสำคัญไม่ใช่คำว่า ‘พิเศษ’ แต่คือ ‘ประเภทของมนุษย์’

“ ‘กฎหมายคุ้มครองสิทธิมนุษย์พิเศษ’ ถูกประกาศใช้ในปี 1980 เอกสารนี้เป็นส่วนเสริมของเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับความผิดทางอาญาในกฎหมายคุ้มครอง ฉันอ่านดูทั้งหมดถึงได้รู้ว่ามันมีไว้เพื่อคุ้มครองมนุษย์พิเศษที่อาจถูกโยนความผิดให้โดยไม่มีเหตุผล” ไป๋เสี่ยวหยวนกล่าว “ถึงแม้สภาพความเป็นอยู่ในการใช้ชีวิตของทุกคนในตอนนี้จะเปลี่ยนแปลงไปมาก แต่การเลือกปฏิบัติก็ยังคงมีอยู่ เพียงแต่แนบเนียนมากขึ้น อย่างเรื่องของเผิงหูที่เกิดขึ้นตอนอยู่ที่โรงพยาบาลธรรมดา ซึ่งทั้งหมดนี้ก็เพื่อหลีกเลี่ยงความเสียหายที่ไม่คาดคิด กฎหมายนี้เข้มงวดมาก ไช่หมิงเยวี่ยเองก็เป็นไกด์คนหนึ่ง หากเราต้องการสอบสวนเธอก็จำเป็นต้องได้รับการอนุมัติจากสำนักงานวิกฤตการณ์และคณะกรรมการจัดการพิเศษ”

ถังชั่วที่นั่งอยู่ด้านข้างพูดขึ้น “งั้นพวกเราก็ติดต่อกับคณะกรรมการจัดการพิเศษ…”

คณะกรรมการจัดการพิเศษ หรือชื่อเต็มก็คือ ‘คณะกรรมการการจัดการมนุษย์พิเศษ’ เป็นองค์กรที่มีอำนาจสูงสุดของมนุษย์พิเศษ พวกเขาคอยกำกับดูแลสำนักงานวิกฤตการณ์ อย่างตอนที่ฉินซวงซวงถูกย้ายแล้วเกาเทียนเยวี่ยเข้าไปรับตำแหน่งแทนก็เป็นคณะกรรมการจัดการพิเศษนี่เองที่เป็นคนจัดการ

“ฉันยังค้นข้อมูลเพิ่มเติมมาได้อีกว่าลูกชายของไช่หมิงเยวี่ย ไช่อี้ ตอนนี้เป็นรองเลขาธิการของคณะกรรมการจัดการพิเศษ” ไป๋เสี่ยวหยวนพูดเพิ่มเติม

ทุกคนในห้องทำงานเงียบสนิท

ฉินเกอเริ่มพูดขึ้นก่อน “ปัญหาที่สองที่เธอพูดหมายถึงไช่อี้หรือหมายถึงเราไม่มีหลักฐานที่แน่ชัด”

เมื่อเห็นว่าไป๋เสี่ยวหยวนไม่ได้ตอบอะไร ฉินเกอจึงพูดต่ออย่างแน่วแน่ “ไม่ว่าลูกชายของไช่หมิงเยวี่ยจะอยู่ในตำแหน่งอะไร สำหรับผมแล้วไม่ใช่ปัญหา”

ดูเหมือนว่าประโยคนี้จะทำให้ความมั่นใจเพิ่มมากขึ้น ไป๋เสี่ยวหยวนถอนหายใจด้วยความโล่งอก

“ปัญหาคือหลักฐาน” เธอพูด “พวกเราไม่มีอะไรเลย เหตุการณ์ที่เผิงหูบอกก็ไม่มีวิธีการตรวจสอบ”

ถึงแม้คำให้การของเผิงหูจะทำให้พวกเขาค้นพบการมีอยู่ของไช่หมิงเยวี่ย แต่ไช่หมิงเยวี่ยก็ไม่มีจุดที่น่าสงสัยที่อาจเข้าไปเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์เป็นการส่วนตัวเลย ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงไม่มีเหตุผลมารองรับการสอบสวนไช่หมิงเยวี่ย

ไป๋เสี่ยวหยวนหยิบรายงานของเผิงหูในวันนั้นออกมา

“อย่างเดียวที่สามารถใช้ได้คือรายงานของเผิงหู” ไป๋เสี่ยวหยวนมองไปที่ฉินเกอ “เผิงหูยอมรับว่าอาณาเขตทะเลของตนเองมีปัญหา แต่เขาไม่ใช่นักปรับสมดุลทางจิต การตัดสินแบบนี้ย่อมไม่มีผลอะไร แต่หากฉินเกอสามารถออกใบรับรองแพทย์ได้ว่าอาณาเขตทะเลของเผิงหูผิดปกติ พวกเราก็จะสามารถใช้ความผิดปกตินี้มาเป็นเหตุผลในการยื่นเอกสารขอสอบสวนเผิงหูได้”

เผิงหูอยู่ในฐานะแพทย์ของโรงพยาบาลฯ ที่ 267 เขาไม่เพียงเป็นคนเขียนรายงานด้วยตนเอง แต่ยังกล่าวด้วยว่าอาณาเขตทะเลของตนเองนั้นไม่ปกติ ซึ่งเรื่องผิดปกติแบบนี้สามารถส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อโรงพยาบาลฯ ที่ 267 และผู้ป่วยได้ ดังนั้นการยกเหตุผลนี้ขึ้นมาก็อาจทำให้การส่งเอกสารในการสืบสวนได้รับการอนุมัติ

หลังจากนั้นก็เหมือนกับที่เหยียนหงพูด…เป็นไช่หมิงเยวี่ยที่ทำให้เผิงหูผิดปกติ แล้วพวกเขาก็จะสามารถสอบสวนไช่หมิงเยวี่ยได้ตามที่กฎหมายกำหนด

ฉินเกอขมวดคิ้ว “แต่ว่าอาณาเขตทะเลของเผิงหูไม่ได้มีปัญหา ผมไม่สามารถทำเอกสารปลอมแล้วใส่ร้ายเขาได้”

ไป๋เสี่ยวหยวนกัดริมฝีปาก ลิปสติกที่เพิ่งทาถูกเธอเลียเข้าไปเล็กน้อย สีหน้าของเธอดูกังวลอย่างคาดไม่ถึง

“ฉันเคยค้นมาแล้ว ไม่ว่าหมอจะเป็นเซนติเนลหรือไกด์ แต่หากถูกวินิจฉัยว่าอาณาเขตทะเลไม่ปกติก็จะถูกยกเลิกใบอนุญาตประกอบโรคศิลป์และไม่สามารถเป็นหมอได้อีกตลอดไป” เธอพูดเสียงเบา “เผิงหูรู้ว่านี่คือผลลัพธ์สุดท้ายที่ร้ายแรงที่สุด แต่เขาก็ยังทำแบบนี้ เขายังคงเขียนรายงานตัวเองแบบนี้ ฉินเกอ เขาเตรียมรับผลที่เลวร้ายที่สุดไว้แล้ว”

ฉินเกอมึนงงจนพูดอะไรไม่ออก

เผิงหูละทิ้งอาชีพแพทย์ที่มีค่าของตนเองเพื่อเปิดโปงเรื่องของไช่หมิงเยวี่ย

บางทีเขาอาจจะเริ่มรู้ความลับในปีนั้นมาจากคำพูด ‘เพ้อเจ้อ’ ของไช่หมิงเยวี่ย ท่ามกลางความขัดแย้งมากมาย เผิงหูจึงเลือกวิธีการรายงานที่ซับซ้อน

ครั้งแรกที่ฉินเกอได้พบกับเผิงหูนั้นเขากำลังดื่มเหล้า ทว่าแววตาของเขาไม่ได้มีแววของความมึนเมาเลยแม้แต่น้อย เพราะนั่นคือหงซิงเอ้อร์กัวโถว ซึ่งความจริงแล้วไม่มีทางที่จะทำให้เขาเมาได้เลย เขาเพียงใช้เหล้าในการสร้างความกล้าเพื่อให้ตัวเองพูดเรื่องที่ไม่กล้าพูดออกมา

ช่วยผมด้วย…เผิงหูพูดกับฉินเกอแบบนั้น ตอนนี้ฉินเกอถึงได้เข้าใจความขมขื่นและความขัดแย้งของเขาว่าเกิดขึ้นเพราะเหตุใด รายงานของเผิงหูคือการผลักโดมิโนตัวแรกให้ล้ม ซึ่งเผิงหูก็คือคนที่ผลักมันด้วยมือของตัวเอง

ในปีนั้นไช่หมิงเยวี่ยทำอะไรที่ห้องผ่าตัดหมายเลข 6 กันแน่ เผิงหูเองก็พูดได้ไม่ชัดเจน แต่หากอาศัยสิ่งที่พวกเขาพบในตอนนี้คำตอบก็แทบจะมาจ่ออยู่ที่ปากแล้ว

เลือดที่ไหลออกมาในห้องผ่าตัด ทารกที่ทะลุผนัง เรื่องพวกนี้น่าจะเป็นภาพลวงตาที่ไช่หมิงเยวี่ยเห็น

ทารกพวกนั้นตายในมือของไช่หมิงเยวี่ย ดังนั้นไช่หมิงเยวี่ยถึงได้หวาดกลัวแบบนี้

พวกเขาไม่ได้ตายโดยธรรมชาติ ในปีนั้นไช่หมิงเยวี่ยกำจัดพวกเขาด้วยมือของเธอเอง

“ผมไม่สามารถออกใบรับรองแพทย์แบบนั้นได้” ฉินเกอไม่ลังเลเลยสักนิด “มันไม่เป็นความจริง และเป็นการฝ่าฝืนจรรยาบรรณวิชาชีพของนักปรับสมดุลทางจิต”

เขากวาดตามองคนทั้งสามที่อยู่เบื้องหน้า ซึ่งก็ไม่มีใครเห็นต่าง

“ลองคิดดูอีกทีว่ายังมีวิธีอื่นอีกไหม” เป็นครั้งแรกที่ฉินเกอรู้สึกว่าตนเองเป็นหัวหน้าของพวกเขา “เราไม่สามารถทำร้ายผู้บริสุทธิ์เพื่อเปิดเผยความผิดได้”

 

ฉินเกอนึกถึงแต่เรื่องของไช่หมิงเยวี่ยทั้งวัน หลังเลิกงานเขาก็พบว่าเซี่ยจื่อจิงเดินตามตนเองมาที่ลานจอดรถ ทำเอาเขารู้สึกตกใจ

“จะทำอะไร”

พอพูดจบเขาก็นึกขึ้นมาได้ทันทีว่าเมื่อช่วงเช้าของวันนี้ตนเองได้พลั้งปากพูดอะไรออกไป

เซี่ยจื่อจิงสะพายกระเป๋าเดินป่าใบใหญ่แบบที่ฉินเกอไม่เคยเห็นมาก่อน สีหน้าของเขาดูตื่นเต้นเล็กน้อย “ฉันต้องซื้อของขวัญสำหรับพบหน้าไหม ไปเป็นแขกบ้านนายครั้งแรก”

“กระเป๋าใบนี้มาจากไหน” ฉินเกอถาม

“กระเป๋าเดินทางของฉัน” เซี่ยจื่อจิงพูด “สองวันมานี้วางไว้ที่ป้อมยาม”

เขาเอากระเป๋าเดินป่ามาที่นี่ตั้งแต่วันแรก และยังพูดคุยกับคุณลุงที่ป้อมยามโดยตัดสินใจว่าจะพักอยู่ที่นี่สักสองสามคืน เมื่อคืนตอนเขาไปพักที่ห้องของถังชั่วก็เอากระเป๋าเดินใบนี้ไปด้วย พอมาทำงานวันนี้เขาก็เอากระเป๋าเดินกลับมาที่สำนักงานวิกฤตการณ์อีก

“คุณไม่เหนื่อยหรือไง” ฉินเกอหมดแรงมาก กระเป๋าเดินป่าไม่ใช่แค่ใบใหญ่ แต่ยังมีขอบและมุมด้วย ถึงแม้จะไม่รู้ว่าด้านในใส่อะไรไว้ แต่ดูแล้วน้ำหนักน่าจะไม่น้อยเลย

“แพนด้าของถังชั่วกลัวฉัน” เซี่ยจื่อจิงบอก “คืนนี้ฉันเลยตั้งใจว่าจะไปพักที่ป้อมยามต่อ”

ฉินเกอจ้องมองอีกฝ่าย พลันความสับสนก็แผ่ขยายมาจากก้นบึ้งของหัวใจ

เซี่ยจื่อจิงเชื่อฟังเขามาก เหมือนกับว่าอีกฝ่ายถอดหน้ากากที่ฉินเกอเคยพบมาก่อนหน้านี้ออกไป แค่ประโยคง่ายๆ เพียงหนึ่งประโยคก็ทำให้ฉินเกอใจอ่อน

“คุณก็ไปพักที่โรงแรมสิ” ฉินเกออดที่จะพูดไม่ได้ “เตียงของป้อมยามน่ะ คุณจะเหยียดขาให้ตรงยังไม่ได้เลยด้วยซ้ำ”

“ไม่จำเป็น” เซี่ยจื่อจิงบอก “ไม่แน่ว่าหลังจากหัวหน้าเกากลับมา ฉันก็ไปแล้ว”

“ไปที่ไหน”

“ไม่รู้ แต่นายไม่ได้อยากให้ฉันอยู่ที่แผนกปรับสมดุลฯ ไม่ใช่เหรอ”

ฉินเกอ “…”

ในใจของเขาไม่มีพายุหมุนระดับสามสิบแล้ว ตอนนี้คงเหลือเพียงความสงสารที่มีให้กับเซี่ยจื่อจิง เหมือนกับน้ำในทะเลสาบที่กระทบฝั่งอย่างนิ่มนวล แต่มันกลับทำให้ใจของฉินเกอสั่นสะเทือนอย่างแรง

“ไม่ได้หมายความว่าแบบนั้น” เขาพูดอย่างระมัดระวัง “ผมไม่ได้อยากไล่คุณไป”

ฉินเกอรู้ว่าตอนนี้ตัวเองกำลังใจอ่อน ซึ่งมันแย่มาก แต่…ให้ตายเถอะ คนคนนี้น่าสงสารเกินไป

เซี่ยจื่อจิงฉีกยิ้ม “งั้นโอเค ไปห้องนายกันเถอะ”

“คุณไปรถไฟฟ้า” ฉินเกอบอก “รถผมซ้อนไม่ได้”

หลังจากนั้นไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงได้แลกเบอร์โทรศัพท์ วีแชต* และอีเมลกับเซี่ยจื่อจิงเอาไว้

ระหว่างทางไปที่สถานีรถไฟใต้ดินความใจอ่อนของฉินเกอก็ค่อยๆ หายไป ก่อนที่เปลือกตาของเขาจะเริ่มกระตุก จู่ๆ เขาก็สัมผัสได้ถึงลางร้ายบางอย่างได้รางๆ…เหมือนว่าเขาจะถูกเซี่ยจื่อจิงจับไว้แล้ว

 

* วีแชต เป็นแอพพลิเคชั่นส่งข้อความและโซเชียลมีเดียของจีน

หน้าที่แล้ว1 of 2

Comments

comments

No tags for this post.
Continue Reading

More in everY

บทความยอดนิยม

everY

ทดลองอ่าน เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 Chapter 2.1-2.2 #นิยายวาย

ทดลองอ่าน เรื่อง เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 ผู้เขียน : MINTRAN แปลโดย : ทันบี ผลงานเรื่อง : 배타적 연애 금지구역 ถือเป็นลิขสิทธิ์...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 1-2

บทที่ 1 ฮ่องเต้หญิง   “ท่านพี่นำร้อง น้องหญิงคลอรับ ท่านพี่เสียงเพิ่งลับ น้องหญิงสลับขึ้นเวที เป็นมารดาอารี มีบุตรีกตัญญ...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน ร้อยเรียงรักเคียงฤทัย บทนำ – 1.2

บทนำ ความหลังของต้าลี่ 1   ฤดูหนาวในรัชศกต้าลี่ปีที่สิบเอ็ด โม่เป่ย ตำบลค่งหม่า สถานที่แห่งนี้คือประตูด่านสำคัญสุดท้ายทา...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 7-8

บทที่ 7 ค่าเดินทาง เมื่อภูตสุนัขดำคืนร่างเป็นสุนัขธรรมดาตัวหนึ่ง ภูตบุปผาสองตนนั้นก็ไม่อาจทำการใหญ่ ต่อให้ชาวหมู่บ้านป่า...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 3-4

บทที่ 3 เกิดใหม่   เวิ้งฟ้าดำสนิทปานน้ำหมึก เพียงมีดวงดาวบางตากระจัดกระจายบนม่านฟ้า ทอรัศมีอ่อนจางประเดี๋ยวเผยประเดี๋ยวเ...

community.jamsai.com