everY
ทดลองอ่าน ทะเลคลั่งภวังค์วิปลาส เล่ม 1 บทที่ 11-12 #นิยายวาย
ทดลองอ่าน เรื่อง ทะเลคลั่งภวังค์วิปลาส เล่ม 1
ผู้เขียน : เหลียงฉาน
แปลโดย : mykLiu
ผลงานเรื่อง : ทะเลคลั่งภวังค์วิปลาส
ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน
จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว
หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย
– – – – – – – – – – – – – – – – –
Trigger Warning
เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับการทำร้ายทางร่างกายและจิตใจ
มีการกล่าวถึงเลือด สภาพศพ สถานการณ์อันน่าขยะแขยง
กล่าวถึงการข่มขืนและการใช้ความรุนแรง
ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ
สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป
โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
** หมายเหตุ: ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **
– – – – – – – – – – – – – – – – –
บทที่ 11 เลือดและไวน์ 11
กระต่ายของฉินเกอไม่มีท่าทีหวาดกลัวแม้แต่น้อย มันรีบวิ่งลงจากบ่าของฉินเกอไปที่มือเหี่ยวย่นของไช่หมิงเยวี่ย
มันตัวเล็กมาก ดังนั้นฝ่ามือของผู้ใหญ่จึงเพียงพอที่จะรองรับตัวมันได้ทั้งตัว
ฉินเกอลูบหูและหลังของมัน จากนั้นก็วางมือของตนเองลงบนตัวกระต่ายแล้วหลับตาลง
วินาทีต่อมากระต่ายก็หายไป หมอกหนาสีขาวแผ่ออกมาจากฝ่ามือของฉินเกอและไช่หมิงเยวี่ยที่จับกันอยู่
กลิ่นอายของร่างวิญญาณของฉินเกอหนาแน่นขึ้น ไม่นานกลิ่นอายนั้นก็ตลบอบอวลไปทั่วห้อง
แม้กระทั่งเซี่ยจื่อจิงก็ยังรู้สึกเหมือนตนเองกำลังถูกโอบล้อมไว้ด้วยท้องทะเลอันอบอุ่น เขาสัมผัสได้ถึงภาวะทางอารมณ์ของฉินเกอและรับรู้ได้อย่างรวดเร็วว่าอีกฝ่ายกำลังประหม่า
เหมือนกับที่ฉินเกอลูบกระต่าย เซี่ยจื่อจิงยื่นมือออกไปลูบผมของฉินเกอเบาๆ และเนื่องจากฉินเกอกำลังล่องเรืออยู่ในอาณาเขตทะเล เขาจึงไม่มีทางรู้ได้เลยว่าเซี่ยจื่อจิงกำลังจับตัวเขาอยู่ เซี่ยจื่อจิงยืนซ้อนหลังของฉินเกอ คอยพยุงหลังของเขาเพื่อป้องกันเหตุบางอย่างที่อาจเกิดขึ้นโดยไม่คาดฝัน
ที่ด้านนอกห้องพักผู้ป่วยไช่อี้และเลขาฯ ของเขาชำเลืองมองกัน ไป๋เสี่ยวหยวนและถังชั่วยืนเฝ้าอยู่ที่หน้าประตูอย่างประหม่า พวกเขาทั้งหมดสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายบางๆ ที่แพร่กระจายออกมาจากห้องพักผู้ป่วย
“…ร่างวิญญาณของเขาคืออะไร” ไช่อี้ถาม
ไป๋เสี่ยวหยวนและถังชั่วไม่ได้ตอบกลับไป
“นิสัยน่ารักจริงๆ” ไช่อี้หัวเราะ “ไม่ธรรมดาเลย นักปรับสมดุลทางจิตเพียงหนึ่งเดียวของสำนักงานวิกฤตการณ์ที่มีความสามารถเป็นที่ยอมรับ”
ไป๋เสี่ยวหยวนยังคงเงียบ แต่ถังชั่วทนไม่ไหวแล้ว “ฉินเกอ…หัวหน้าฉินน่ะเก่งมาก ในบรรดานักปรับสมดุลทางจิตทั้งห้าคนของประเทศเขาคือคนที่เด็กที่สุด”
ไป๋เสี่ยวหยวนหันไปจ้องเขา ถังชั่วจึงรีบปิดปากพลางหันหน้าหนีไม่ยอมมองไช่อี้
ไช่อี้พยักหน้า หลังครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก็ถามต่อ “เขามีคู่ชีวิตแล้วหรือยัง”
ไป๋เสี่ยวหยวน “…”
ถังชั่ว “…”
ไช่อี้ “หาดูซิ”
เลขาฯ ของเขารีบพยักหน้าแล้วเริ่มกดโทรศัพท์ทันที
ฉินเกอไม่มีทางได้รู้ว่าภายในห้องพักผู้ป่วยและภายนอกเกิดอะไรขึ้น ทันทีที่เขาเข้าไปอยู่ในอาณาเขตทะเลของไช่หมิงเยวี่ยก็สัมผัสได้ถึงความหวาดกลัวทันที
เลือดที่ไหลออกมาจากผนังทั้งสี่ด้านของห้องผ่าตัด ทารกที่ทะลุออกมาจากผนัง หญิงเพิ่งคลอดที่กรีดร้องอยู่บนเตียงผ่าตัด และหมอที่ยืนถือมีดผ่าตัดอย่างนิ่งขรึม
ทุกอย่างที่เผิงหูเคยบรรยายให้เขาฟังตอนนี้ปรากฏขึ้นมาตรงหน้าเขาแล้ว
ฉินเกอยืนอยู่กลางห้องผ่าตัดหมายเลข 6 นี่เป็นความทรงจำเมื่อสามสิบปีก่อนของไช่หมิงเยวี่ย ภายในห้องยังไม่มีหน้าต่างที่ถูกเจาะขึ้นมาภายหลัง แสงของโคมไฟผ่าตัดเหมือนจะเป็นสีแดงส่องไปทางที่มีเลือด กลิ่นเลือดพุ่งขึ้นมาอย่างแรงจนเขาก้าวถอยหลัง เสียงของผู้ป่วยฟังดูทุกข์ทรมานจนฉินเกออดไม่ได้ที่จะถอยหลังไปอีกสองสามก้าว
เท้าทั้งสองข้างของเขาเหยียบย่ำอยู่ในแอ่งเลือด เมื่อขยับเท้าก็ทำให้เกิดเสียงเฉอะแฉะ
แอ่งเลือดท่วมสูงหนึ่งนิ้ว มันเกือบจะท่วมพื้นรองเท้าของเขา ห้องผ่าตัดทั้งห้องโชกไปด้วยเลือด อีกทั้งยังถูกบุกรุก แต่คุณหมอที่อยู่รอบเตียงผ่าตัดยังคงนิ่งเฉยราวกับพวกเขาไม่ได้ยินและไม่เห็นอะไรทั้งสิ้น
ฉินเกอไม่รอช้า เนื่องจากมีเวลาเพียงหนึ่งชั่วโมงเขาจึงจำเป็นต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการสะกดกลั้นความหวาดกลัวเอาไว้ถึงจะกล้าบังคับตัวเองให้เดินไปที่เตียงผ่าตัด
ทารกที่ทะลุผนังออกมาจ้องมองมาที่เขา ท่าทางเฉยเมย บริเวณรอบเบ้าตาว่างเปล่า ลูกตาดำกลอกไปมาอย่างบ้าคลั่ง
ฉินเกอไม่กล้ามองมากนัก เขาเดินไปที่เตียงผ่าตัดด้วยความยากลำบาก ขณะที่เสียงกรีดร้องดังขึ้นเรื่อยๆ
เพียงแต่บนเตียงผ่าตัดไม่มีคน บนนั้นว่างเปล่า มีเพียงชุดผู้ป่วยที่ขยับไปมาอย่างดิ้นรน
ช่วงท้องของชุดผู้ป่วยถูกผ่าออก หมอถือกรรไกรและมีดผ่าตัดยืนอยู่ด้านข้าง ดวงตาหลายคู่จ้องไปที่รูขนาดใหญ่ตรงกลางของชุดผู้ป่วย
ทารกหนึ่งคนกำลังพยายามคลานออกมาจากด้านใน
ทุกหนแห่งของอาณาเขตทะเลนี้ล้วนทำให้ฉินเกอรู้สึกขนพองสยองเกล้า
อาณาเขตทะเลของไช่หมิงเยวี่ยแปลกประหลาดมาก ไม่ว่าจะมีจิตใจแข็งแกร่งสักแค่ไหน หากต้องรับรู้เหตุการณ์แบบนี้เป็นสิบๆ ปี การที่จะเสียสติไปนั้นก็ถือเป็นเรื่องปกติ
ฉินเกอหันหน้ากลับไปมองหมอ เขาพบว่าทุกคนที่ก้มหน้าอยู่รอบเตียงผ่าตัดล้วนแต่มีใบหน้าเป็นไช่หมิงเยวี่ย
ใบหน้าที่ว่านั้นเป็นใบหน้าของไช่หมิงเยวี่ยเมื่อสามสิบปีก่อนตอนที่เธอยังไม่ถูกกาลเวลาและโรคภัยทรมาน มีเพียงสีหน้าที่นิ่งเฉยและไม่มีการเคลื่อนไหว
ฉินเกอถอยมาที่ประตูของห้องผ่าตัด เขาไม่มีทางเลือกนอกจากต้องโน้มน้าวให้ตนเองออกไปก่อน
ประตูห้องผ่าตัดเปิดออกอย่างง่ายดาย ฉินเกอเดินเซจนสะดุดล้มลงไป
เขาล้มลงไปในน้ำที่มีกลิ่นเหม็นคาว
ฉินเกออดที่จะตัวสั่นเทาไม่ได้ เขารีบยันตัวขึ้นมาและพบว่าตนเองยังคงอยู่ในห้องผ่าตัด
เขาเริ่มสังหรณ์ใจไม่ค่อยดี จึงรีบวิ่งไปที่ประตูทางเข้าแล้วเปิดประตูออกไปเสียงดัง
ด้านนอกประตูยังคงเป็นห้องผ่าตัดหมายเลข 6
ฉินเกอนิ่งอึ้งไป ไม่ว่าจะด้านหน้าหรือด้านหลังของเขาล้วนเป็นห้องผ่าตัดที่เหมือนกันหมด เสียงกรีดร้องที่เหมือนกัน ฉากที่เหมือนกัน
เขายังคงวิ่งไปข้างหน้าต่อ ผลักประตูบานแล้วบานเล่า
เขาเข้าไปในห้องผ่าตัดหมายเลข 6 ห้องแล้วห้องเล่า
ด้วยความที่เขาอยู่ในอาณาเขตทะเลกล้ามเนื้อจึงไม่รู้สึกเมื่อยล้า แต่หลังจากวิ่งไปได้สักพักฉินเกอก็ตัดสินใจหยุดวิ่ง
เขาเข้าใจแล้วว่าทำไมไช่หมิงเยวี่ยถึงกลัวมากจนร้องไห้และร้องขอให้เขา ‘ช่วย’ เธอ
เฉพาะคนที่มีความผิดปกติทางจิตขั้นรุนแรงเท่านั้นอาณาเขตทะเลถึงได้สร้างลูปที่ไม่มีที่สิ้นสุดขึ้น ในช่วงเวลาทั่วไปไช่หมิงเยวี่ยสามารถใช้ชีวิตได้อย่างปกติ แต่เมื่อเข้านอนในยามค่ำคืนเธอต้องตกอยู่ในความฝันอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง ซึ่งสิ่งต่างๆ ในอาณาเขตทะเลนั้นจะลอยอยู่เหนือจิตสำนึก กัดกินโลกแห่งความฝัน การนอนหลับ และอารมณ์ของเธอ
เมื่ออายุมากขึ้นการทำงานของประสาทและสมองก็จะเริ่มถดถอย อาณาเขตทะเลของเซนติเนลและไกด์จะต้องเกิดความผิดปกติขึ้นไม่มากก็น้อย บางคนก็สามารถรักษาอาณาเขตทะเลให้เสถียรเอาไว้ได้ แต่ดูเหมือนว่าจะไม่ใช่กับไช่หมิงเยวี่ย…อาณาเขตทะเลของเธอน่ากลัวมาก
ฉินเกอนึกถึงสิ่งที่เหยียนหงเคยพูดขึ้นมาก่อนหน้านี้ ไช่หมิงเยวี่ยมักพูด ‘เพ้อเจ้อ’ และคำพูด ‘เพ้อเจ้อ’ เหล่านี้เผิงหูก็เต็มใจที่จะรับฟังมัน
สิ่งที่เผิงหูได้ยินน่าจะเป็นเรื่องอาณาเขตทะเลของไช่หมิงเยวี่ยที่เธอเล่าตอนไม่มีสติ
แต่รสชาติของการวนเวียนอยู่ในห้องผ่าตัดซ้ำแล้วซ้ำเล่าไม่ได้ทำให้ฉินเกอมองเห็นถึงความลับที่แท้จริงของไช่หมิงเยวี่ย แต่ในขณะที่คิดว่าจะดำน้ำลงไปให้ลึกกว่านี้ หางตาของเขาก็สังเกตเห็นบางอย่างบนเตียงผ่าตัดที่แตกต่างออกไป
หมอที่หน้าตาเหมือนกับไช่หมิงเยวี่ยไม่ได้ถือมีดหรือกรรไกรผ่าตัดแล้ว เธออุ้มทารกและกำลังเอามือปิดจมูกกับปากของทารกเอาไว้
ฉินเกอไม่ได้ยินเสียงใดๆ นอกจากเสียงกรีดร้องสุดชีวิตจากความทุกข์ทรมาน ทารกคนนั้นดิ้นอยู่ในมือของไช่หมิงเยวี่ยสักพักหนึ่งก็แน่นิ่งไป
“เสียชีวิตแล้ว” ไช่หมิงเยวี่ยพูด
เมื่อเกิดความเงียบขึ้นอย่างกะทันหัน เสียงทั้งหมดก็หายไปในทันที
ไช่หมิงเยวี่ยที่กำลังอุ้มศพของทารกจ้องมองมาที่ฉินเกอ ทันใดนั้นเธอก็ตะโกนเสียงดัง
“ออกไป”
ผนังห้องละลายหายไปแล้ว ฉินเกอพบว่าตนเองกำลังตกลงไปด้านล่าง เขาทะลุผ่านเพดานและแอ่งเลือดจำนวนนับไม่ถ้วนลึกลงไปเรื่อยๆ
…ก่อจลาจล
เขานึกถึงสิ่งที่ฉินซวงซวงพูด ตอนที่ฉินซวงซวงเข้าใกล้กับความลับของไช่หมิงเยวี่ย อาณาเขตทะเลของเธอก็เริ่มก่อจลาจล บังคับให้ฉินซวงซวงรีบออกไป
นี่เป็นการปกป้องตนเองของไช่หมิงเยวี่ย
แต่นี่ก็อธิบายได้ว่าฉินเกอใกล้จะได้สัมผัสถึงศูนย์กลางจริงๆ ของมันแล้ว
เขาจำเป็นที่จะต้องรวบรวมพลังของร่างวิญญาณอีกครั้ง กลิ่นอายของความอ่อนโยนที่แข็งแกร่งเหมือนกับปุยนุ่นนับไม่ถ้วนล้อมอยู่รอบตัวเขา ไม่มีความรู้สึกเหนื่อยหรือเมื่อยล้า ฉินเกอปล่อยให้เจ้ากระต่ายปกป้องตัวเองโดยที่ไม่หยุดใช้สมาธิ
ผมมาเพื่อช่วยคุณ…ผมเป็นคนที่ไช่อี้พามาเพื่อช่วยให้คุณหลุดจากฝันร้าย
ในที่สุดระยะเวลาอันยาวนานก็สิ้นสุดลง
ฉินเกอล้มลงบนสนามหญ้า
หลังจากลุกขึ้นมาเขาก็ดูออกอย่างรวดเร็วว่านี่คือสนามหญ้าหน้าอาคารประวัติศาสตร์ของโรงพยาบาลฯ ที่ 267 มีม้านั่งหนึ่งตัวและต้นหลิวหลายต้นที่กำลังงอกงามในตอนนั้น
มีเงาคนมากมายยืนอยู่ใต้ต้นไม้ ทั้งหมดยื่นมือมาทางเขา ในมือนั้นมีจดหมายและซองสีแดงหลากหลายแบบ ใบหน้าของคนเหล่านั้นต่างประดับไปด้วยรอยยิ้มที่ดูอ้อนวอน ประหม่า และมึนงงอยู่ในที พวกเขาเหล่านั้นมีทั้งผู้ชายและผู้หญิง โดยคำแรกที่ทุกคนเปิดปากพูดขึ้นเสมอคือ ‘คุณหมอไช่’
หมอไช่…สามีโกหกฉัน ฉันไม่รู้ว่าเขาเป็นมนุษย์พิเศษ
หมอไช่…โรงพยาบาลบอกว่ามีโอกาสแปดสิบหกเปอร์เซ็นต์ที่เด็กจะเป็นไกด์ แต่พวกเราอยากได้เซนติเนลเท่านั้น
หมอไช่…ฉันติดเชื้อจากมนุษย์ใต้พิภพ ลูกของฉัน…ฉันไม่อยากให้เขาเกิดมาแล้ว ฉันไม่อยากให้กำเนิดลูกของมนุษย์ใต้พิภพ ฉันคงถูกคนอื่นหัวเราะแย่
หมอไช่…เป็นเด็กผู้หญิงไม่ได้หรอก พวกเราไม่อยากได้เด็กผู้หญิง
หมอไช่…เด็กคนนี้…คุณช่วยพวกเราหน่อยเถอะ เขาไม่มีมือ พวกเราเลี้ยงเขาไม่ได้หรอก
หมอไช่…สามีของฉันไม่ต้องการฉันแล้ว ฉันก็ไม่อยากได้เด็กแล้ว ฉันดูแลเขาไม่ไหวหรอก
หมอไช่…เด็กเป็นมนุษย์หมาป่า…ไม่ ฉันไม่ได้เต็มใจ ฉันไม่อยากคลอดลูกของคนที่ข่มขืนฉัน แต่มันสายเกินไปแล้วที่จะจัดการกับมัน
หมอไช่…คุณมีชื่อเสียงมาก ฉันได้ยินจากคนอื่นมาว่าคุณเป็นคนมีเมตตา ยินดีที่จะช่วยแก้ปัญหาคนที่น่าสงสารแบบพวกเรา
หมอไช่…ขอร้องคุณล่ะ ช่วยฉันด้วย
ช่วยฉันที เด็กคนนี้…จัดการกับเด็กคนนี้ที
มันง่ายมากเลย โปรดช่วยด้วย
มือของคนจำนวนนับไม่ถ้วนมุ่งตรงมาที่ฉินเกอ นิ้วมือขูดไปที่แขนของเขา ให้ความรู้สึกเปียกชื้นเหมือนกับโดนฝน
“คุณช่วยฉันได้จริงๆ ใช่ไหม”
เสียงหนึ่งดังขึ้นมาจากประตูทางเข้าของอาคารประวัติศาสตร์ของโรงพยาบาล
ตอนฉินเกอหันกลับไปดูคนที่ห้อมล้อมอยู่รอบตัวเขาก็หายไปหมดแล้ว อาคารประวัติศาสตร์ของโรงพยาบาลยังคงตั้งอยู่ตรงหน้าเขา ไช่หมิงเยวี่ยยืนตัวงอสั่นเทาอยู่ที่ด้านล่างของอาคาร ไม่มีเสียงของมนุษย์หรือเสียงลม มีเพียงเสียงพูดของเธอที่สั่นสะท้านไปด้วยความหวาดกลัว
“อย่าหลอกฉันนะ” เธอพูดเสียงเบา
นี่คือจิตสำนึกของไช่หมิงเยวี่ย เธอเปิดเผยความลับกับฉินเกอแล้ว ซึ่งความทรงจำพวกนั้นส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับ ‘เด็ก’
ฉินเกอไม่รู้จริงๆ ว่าจะเริ่มพูดอย่างไร ในใจของเขาเต็มไปด้วยความโกรธและความสับสน เมื่อได้พบกับภาพเสมือนภายในอาณาเขตทะเล ไม่ว่าจะคำว่ากล่าวหรือคำตักเตือนก็ดูเหมือนจะไร้ประโยชน์
ราวกับสัมผัสได้ถึงอารมณ์ของเขา ไช่หมิงเยวี่ยเม้มปากที่เหี่ยวย่น เธอพูดด้วยความยากลำบาก “ฉันกำลังช่วยเหลือผู้คน”
ฉินเกอไม่อยากคล้อยตามเธอ
“พวกนี้ยังไม่ใช่ศูนย์กลาง” เขาตัดสินใจทุ่มความสนใจทั้งหมดกับเรื่องตรงหน้า “คุณเริ่มสัมผัสได้ตอนไหนว่าอาณาเขตทะเลผิดปกติ”
ใบหน้าเหี่ยวย่นของไช่หมิงเยวี่ยกระตุกอยู่ครู่หนึ่ง เธอแสดงสีหน้าที่ไม่เป็นธรรมชาติออกมา
“นี่สำคัญมากครับ” ฉินเกอเสียงแข็ง
“…สามสิบสามปีก่อนมีชายคนหนึ่งส่งภรรยามาที่แผนกสูติ-นรีเวช เขาโทรศัพท์มาหาฉัน” หลังจากลังเลอยู่สักพักไช่หมิงเยวี่ยก็พูดขึ้นอย่างช้าๆ “เขาเป็น…คนสุดท้ายที่ฉันช่วยเหลือ”
ฉินเกอกำลังรอให้เธอพูดประโยคถัดไป แต่จู่ๆ เขาก็รู้สึกมึนงงกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้า
เขารู้สึกถึงอาการบ้านหมุนที่รุนแรงมาก และตอนที่ลืมตาขึ้นมาก็พบว่าตนเองตกลงมาจากเตียงผู้ป่วยของไช่หมิงเยวี่ยมานั่งอยู่ในอ้อมแขนของเซี่ยจื่อจิง
“หนึ่งชั่วโมงแล้ว” เซี่ยจื่อจิงบอก “นายกลับมาตรงต่อเวลามาก”
หมอกสีขาวในห้องพักผู้ป่วยหายไปแล้ว ฉินเกอไม่เหลือแรงแล้ว เขาสามารถล่องเรือได้เพียงหนึ่งชั่วโมงเท่านั้น หากนานกว่านี้อาจเกิดอันตรายได้
เสียงเคาะประตูดังขึ้น น้ำเสียงสุภาพของไช่อี้ดังขึ้นมาจากด้านนอกประตู เขาพูดอย่างไม่เกรงใจ “ผมเข้าไปแล้วนะ”
ตอนที่เขากำลังเปิดประตูเข้ามาไช่หมิงเยวี่ยที่อยู่บนเตียงผู้ป่วยก็มีแรงขึ้นมาทันที เธอตะโกนออกไปทีหนึ่ง “ออกไป!”
ไช่อี้ที่อยู่ตรงช่องว่างของประตูมีท่าทีสับสน แลดูเหมือนคนจนตรอก “แม่”
“ออกไป!” ไช่หมิงเยวี่ยตะโกนขึ้นมาอีกครั้ง เธอถอดหน้ากากออกซิเจนออกและหายใจหอบหนัก
ในที่สุดประตูก็ปิดลง ฉินเกอลุกขึ้นจากพื้น และขณะที่เพิ่งเดินมาถึงข้างเตียงผู้ป่วยเขาก็ถูกไช่หมิงเยวี่ยคว้าไว้
ในแววตาของหญิงชราเต็มไปด้วยความหวาดกลัว
“ชายคนนั้น…เป็นคนสุดท้ายที่ฉันช่วย…เขาอยากให้ฉันช่วยเขาฆ่าลูก” ไช่หมิงเยวี่ยหอบหายใจ เสียงนั้นราวกับลมที่พัดขึ้นมาจากคอของเธออย่างแหบแห้ง “แต่…ฉันดันชะล่าใจ…ฉันเลยโดนเด็กนั่นสาป”
ภายในใจของฉินเกอและเซี่ยจื่อจิงรู้สึกอึดอัด มือของฉินเกอจับอยู่กับมือของไช่หมิงเยวี่ย เขากลั้นใจพูดเสียงเบา
“ค่อยๆ พูดนะครับ”
“แค่อีกนิด…แค่อีกนิดเดียว…” มือของไช่หมิงเยวี่ยเหมือนกับคีม เธอจับฝ่ามือของฉินเกอไว้แน่นราวกับว่าเขาเป็นทารกที่สาปแช่งตัวเอง “แต่เขาไม่ตาย!”