ทดลองอ่าน ท่วงทำนองฝัน วันของดวงดาว เล่ม 3 บทที่ 47 #นิยายวาย – Jamsai
Connect with us

Jamsai

everY

ทดลองอ่าน ท่วงทำนองฝัน วันของดวงดาว เล่ม 3 บทที่ 47 #นิยายวาย

ทดลองอ่านเรื่อง ท่วงทำนองฝัน วันของดวงดาว เล่ม 3

ผู้เขียน :  จื้อฉู่ (稚楚)

แปลโดย : ปราณหยก

ผลงานเรื่อง : 恒星时刻 (Heng Xing Shi Ke)

ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน

จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว

หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย

– – – – – – – – – – – – – – – – – 

Trigger Warning

นิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องที่แต่งขึ้นจากจินตนาการของผู้เขียน

ไม่มีความเกี่ยวข้องกับบุคคล สถานที่ หรือเหตุการณ์จริงใดๆ

   

เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับการบรรยายถึงเลือดและสภาพศพ

การบูลลี่ บาดแผลทางใจในวัยเด็ก ความรุนแรงในครอบครัว

การทำร้ายทางร่างกายและจิตใจ อาการป่วยทางจิต

ความรุนแรง การสะกดรอยตาม มีการกล่าวถึงการฆ่าตัวตาย

และความหลากหลายของกิจกรรมทางเพศ

ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ

         

สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป

โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน

 

** หมายเหตุยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **

– – – – – – – – – – – – – – – – –

บทที่ 47 ความหึงหวงเริ่มก่อตัว

 

ฉินอีอวี๋ไม่ละเมอติดกันมาสองคืนแล้ว สำหรับหนานอี่แล้วนี่เป็นเรื่องดีสุดๆ แต่ยิ่งฉินอีอวี๋อยู่นิ่งมากเท่าไหร่ หนานอี่กลับยิ่งหลับสนิทได้ยากขึ้นเท่านั้น

ก่อนหน้านี้ทุกครั้งที่มีความจำเป็นต้องหันไปมองฉินอีอวี๋ หนานอี่มักจะมองรอยสักที่คอของอีกฝ่ายแทนการสบตา แต่หลังจากที่ได้ฟังฉินอีอวี๋เล่าถึงที่มาของรอยสักทั้งยังถูกนักร้องหนุ่มกอด หนานอี่ก็ไม่สามารถทำแบบนั้นได้อีก

คำพูดของฉินอีอวี๋ทำให้หนานอี่ไม่สามารถมองตาตัวเองในกระจกได้ เพราะพอมองแล้วเขาจะคิดถึงรอยสักของฉินอีอวี๋ คิดถึง ‘สิ่งที่อยากจดจำ’ กับ ‘สิ่งที่มองว่าสำคัญมาก’ ที่ฉินอีอวี๋พูด

ถ้อยคำเหล่านี้ห่างจากตัวเขาไปไกล หนานอี่ตั้งใจไล่ตามภาพที่ตัวเองสร้างขึ้นมานานมาก การที่อยู่ดีๆ ก็ถูกอีสเตอร์เอ้กปาใส่ ทำให้เขาไม่สามารถกลับไปทำตัวแบบเดิมได้อีก

นอกจากนี้หนานอี่ยังสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าหลังจากวันนั้นท่าทีของฉินอีอวี๋เปลี่ยนไปมาก แต่เขาไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร หนานอี่ทบทวนเรื่องราวทุกอย่างที่เกิดขึ้นในวันนั้นอย่างละเอียด พิจารณาทุกดีเทลอย่างถี่ถ้วน สุดท้ายก็ฟันธงว่าเป็นเพราะการกระทำจาบจ้วงของเขาเอง

เดิมทีมันควรจะเป็นการกอดปลอบกันเฉยๆ ถ้าฉินอีอวี๋จะรู้สึกไม่สบายใจก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้

หากคู่กรณีของเขาเป็นฉือจือหยาง หนานอี่จะต้องไปหาอีกฝ่ายเพื่อพูดคุยเคลียร์ใจกันทันที แต่เพราะคู่กรณีคือฉินอีอวี๋เลยทำให้หนานอี่ไม่สามารถจัดการเรื่องนี้อย่างตรงไปตรงมาได้

ถึงจะอยู่ในห้องซ้อมห้องเดียวกัน แต่พวกเขากลับเว้นระยะห่างจากกันไกลมาก ขนาดมีเสียงเครื่องดนตรีหลากหลายชนิดกับเสียงพูดคุยในโทนเสียงต่างๆ ขวางกั้น หนานอี่ก็ยังได้ยินเสียงฉินอีอวี๋เล่นกีตาร์ ท่วงทำนองที่เกิดจากปลายนิ้วของเขาก้าวข้ามสิ่งกีดขวางทุกอย่าง พุ่งตรงมาหามือเบสหนุ่มอย่างแม่นยำ

หนานอี่ถึงขั้นฟังออกด้วยว่าเมโลดี้ที่ฉินอีอวี๋เขียนมันมั่วซั่วมาก

ฉันทำให้ฉินอีอวี๋สับสนเหรอ หรือเพราะฉันพูดมากเกินไป

แต่หนานอี่ยังมีความลับอีกมากมายที่ควรจะสารภาพกับฉินอีอวี๋ ตัวอย่างเช่น เรื่องที่ฉินอีอวี๋ละเมอ เรื่องชุดนักเรียนที่ต้องคืนให้ฉินอีอวี๋ วิธีที่เขาใช้ตามหาตัวฉินอีอวี๋จนเจอจริงๆ และอีกหลายเรื่องมากๆ

หนานอี่กลับตัดสินใจว่าจะยังไม่พูดอะไร

เพราะไม่ว่าจะเป็นเรื่องของฉินอีอวี๋หรือความรู้สึกของตัวเขาเอง หนานอี่ยังมีคำถามอีกมากและยังสับสนอยู่ ซึ่งความน่ากลัวอยู่ที่เขาไม่ได้เฉลียวฉลาดอีกต่อไป มิหนำซ้ำยังไม่เข้าใจอะไรเลยด้วย เหมือนยืนอยู่กลางหมอกหนาทึบ สายตาพร่ามัว ความรู้สึกเลยว้าวุ่นไปหมด

หนานอี่เคยมั่นใจว่าสิ่งที่ตัวเองต้องการคือการฉุดมือของฉินอีอวี๋ให้กลับไปยืนอยู่บนจุดสูงสุดด้วยพละกำลังของตัวเอง

พอความปรารถนาเริ่มก้าวไปสู่ความเป็นจริง หนานอี่กลับพบว่าเรื่องมันไม่ได้หยุดอยู่แค่นี้

เพราะตัวเขาละโมบและเข้าใจยากกว่าที่ตัวเองคิด

หลังเดินออกมาจากห้องอาบน้ำ หนานอี่ได้รับอีเมลจากฉีโม่ ฉีโม่ยังคงพูดน้อยมากเหมือนเดิม เหมือนระบบคอมพิวเตอร์ที่แจ้งผลการวิเคราะห์ที่มีแต่เหตุและผลล้วนๆ

 

‘ตอนนี้อู่ที่จางจื่อเจี๋ยทำอยู่ปิดตัวไปแล้ว ภาระหนี้สินก็เข้าขั้นวิกฤต ใกล้ถึงเวลา’

 

นี่คือสัญญาณลงมือทำตามแผนของพวกเขา เป็นสัญญาณที่ช่วยเรียกสติของหนานอี่ได้พอดี ทำให้เขาดึงตัวเองออกมาจากห้วงความคิดที่แสนสับสน กลับมามีสติอย่างรวดเร็ว

ถ้าเขาเป็นแค่เด็กหนุ่มอายุสิบแปดปีธรรมดาๆ ที่นอกจากเรียนหนังสือก็ไม่มีเรื่องอื่นต้องทำ เขาคงใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการไตร่ตรองเรื่องของฉินอีอวี๋จนกระจ่าง แต่หนานอี่ไม่ใช่และไม่มีวันใช่

เขาจึงใช้เหตุผลกดทับความปรารถนาทั้งปวง ปล่อยวางประเด็นสำคัญที่เป็นโจทย์ยากนี้ และเลือกที่จะอยู่กับความสับสนมึนงงชั่วคราว

นอกจากความอ่อนล้าทางจิตใจและความขัดแย้งภายในแล้ว สุขภาพร่างกายของเขาก็ยิ่งแย่หนัก แม้แต่ยาหยอดตาก็ไม่สามารถช่วยบรรเทาอาการตาแห้งของเขาได้อีก ความรู้สึกนี้เหมือนสมัยเขาอยู่มัธยมต้นมาก พอแสงสีขาวจ้าจากหิมะแยงตา ตาก็แห้ง เจ็บ สายตาพร่ามัว

ไม่รู้หนานอี่รู้สึกไปเองหรือเปล่าว่าหลังกลับมาจากการซ้อมรอบล่าสุด ไฟเวทีประกวดเครซี่แบนด์ดูผิดไปจากเดิมมาก

ระหว่างที่เขากำลังคิด ประตูห้องซ้อมก็เปิดออก คนที่เข้ามาคืออาซวิ่นที่สะพายกีตาร์ใหม่ตัวหนึ่ง สวมชุดสีสันสดใสกว่าปกติ เขาส่งยิ้มมาทักทายหนานอี่

“มีนายคนเดียวเองเหรอ” อาซวิ่นพูดยิ้มๆ “มาเช้าจัง”

หนานอี่ขมวดคิ้วทันที ตามองจ้องใบหน้าของอีกฝ่าย

แต่อาซวิ่นกลับไม่มีปฏิกิริยาอะไร เขานั่งลงแล้วเริ่มปรับสาย ซ้อมกีตาร์ หลังจากนั้นคนอื่นๆ ก็ทยอยกันเข้ามาทำให้บรรยากาศภายในห้องซ้อมคึกคักขึ้น ทุกคนหยิบพาร์ตที่เขียนเสร็จมาถกกันอีกครั้ง แต่เนื่องจากสไตล์ของแต่ละคนมีความแตกต่างกัน ทำให้ถึงจะมีท่อนเท่ๆ แต่การมิกซ์ให้เข้ากันก็ยังเป็นเรื่องที่ทำได้ค่อนข้างยาก

ฉือจือหยางมาถึงเป็นคนสุดท้าย แต่เขาเอาข้อมูลล้ำค่ามหาศาลมาด้วย

“ฉันวานเพื่อนให้ช่วยสืบข่าวมา!” มือกลองหนุ่มดื่มน้ำอึกใหญ่ นั่งลงเล่าอย่างรีบด่วน “แผนของกลุ่มเอสคือพอเมิร์จรวมกันเสร็จจะเลือกนักดนตรีบางคนขึ้นมา ส่วนคนอื่นๆ ให้ไปทำแบ็กสเตจ เดาว่าพวกที่ไปทำแบ็กสเตจคงไม่ได้ขึ้นแสดง”

หลี่กุย “พวกเขาจะเอาแบบนี้จริงเหรอ…”

ซุ่ยซุ่ยยักไหล่ “ตำแหน่งซ้ำมีเยอะเกิน มันก็ทำอะไรไม่ได้จริงๆ”

หมิ่นหมิ่นนึกภาพสถานการณ์ของกลุ่มซีแล้วถอนหายใจ “แต่พวกเขามีนักดนตรีเก่งๆ เยอะ ไม่ว่าจะใช้วิธีคัดเลือกแบบไหนมันต้องมีคนถูกคัดออกอยู่ดี”

อาซวิ่นพยักหน้า

“ไม่ใช่แค่กลุ่มเอสที่เป็นแบบนี้” ฉือจือหยางว่า “ของกลุ่มเอฉันก็สืบข่าวมาเหมือนกัน พวกเขาก็มีไอเดียประมาณนี้ แต่โชคดีที่กลุ่มเอมีคนตำแหน่งซ้ำน้อยกว่ากลุ่มเอส”

สำหรับทุกคนในกลุ่มบี นี่ไม่ใช่ข่าวดีเลยจริงๆ เพราะในรายการแข่งขันเวลามีจำกัด เมื่ออีกสองกลุ่มกำหนดแผนคร่าวๆ ได้ภายในระยะเวลาสองวัน การทำเพลงก็ไม่ใช่เรื่องยากสำหรับพวกเขา เพราะพอผ่านอุปสรรคที่ยากที่สุดไปแล้ว งานต่อจากนี้ก็ฉลุย

ผิดกับพวกเขาที่ตอนนี้ยังติดแหง็กอยู่ในขั้นตอนการพูดคุยเนื่องจากความคิดเห็นไม่ตรงกัน แต่ละคนไม่อยากทิ้งโอกาสขึ้นแสดง ในขณะที่กลุ่มที่ดังกว่ากลับเลือกวิธีที่ดูเป็นจริงและเป็นไปได้มากกว่า ไม่ต้องสงสัยเลยว่าข่าวนี้เป็นการเตือนสติพวกเขาว่าเลิกตีกันได้แล้ว

เพราะเหตุนี้หลังจากฟังข่าวจากฉือจือหยางจบ ห้องซ้อมของกลุ่มบีก็เงียบกริบ ไม่มีใครพูดอะไร มีแต่เสียงเบสของหนานอี่ที่ดังแว่วออกมาจากลำโพง

“หรือไม่ก็เอาแบบนี้” ซุ่ยซุ่ยนอนแนบตัวไปกับโต๊ะ ใช้นิ้ววาดวงกลมบนโน้ตกีตาร์ พูดด้วยเสียงเกียจคร้าน “ตอนนี้เราเก็บมือกีตาร์สองคนไว้ได้ ไม่มีปัญหา ให้คนหนึ่งเป็นหลัก อีกคนเล่นเสริม แต่ไม่ว่ายังไงเราก็ไม่ต้องใช้มือเบสกับมือกลองเยอะขนาดนั้น ช่วงที่เขียนเพลงก็ถือโอกาสคัดไปพร้อมกัน ใครเล่นได้เข้ากว่าก็ให้คนนั้นขึ้นแสดง”

หลี่กุยที่เป็นมือกลองวงเดียวกับซุ่ยซุ่ยแย้งออกมาก่อนใครว่า “ถ้าจะใช้วิธีนี้เราต้องกำหนดเพลงก่อนถึงจะบอกได้ว่าเล่นเข้าหรือไม่เข้า ไม่งั้นก็เสียแรงเปล่า…ทุกคนมีเทคนิคเป็นของตัวเอง ไม่มีใครด้อยกว่าใคร”

“ฉันก็เสนอวิธีแก้ปัญหาให้แล้วไม่ใช่เหรอ” ซุ่ยซุ่ยนั่งตัวตรง “มัวแต่ติดแหง็กกันอยู่แบบนี้จะเขียนเพลงได้ยังไง”

เหยียนจี้รู้สึกว่าถ้าขืนยังคุยกันต่อมีหวังได้ของขึ้นกันแน่จึงเอ่ยว่า “พวกนายสองคนพูดมีเหตุผล จุดเริ่มต้นคือดีทั้งคู่ ฉันรู้สึกเหมือนกันว่าควรกำหนดเพลงก่อนค่อยตัดสินใจ แบบนี้น่าจะง่ายกว่า”

“จะกำหนดเพลงกันยังไง” ซุ่ยซุ่ยนับนิ้ว “สไตล์ของวงแอสแซสซิเนชันเป็นเวิลด์มิวสิก* หรือพูดอีกอย่างหนึ่งคือเป็นหรือเป็นแนวโฟล์กผสมพั้งก์นะ เมื่อก่อนเราสามคนเคยร้องทำเพลงแนวโพสต์ร็อก** เป็นหลักเหมือนกัน ส่วนวงเดอะเกรตโมเมนต์…”

ซุ่ยซุ่ยหันไปมองสี่สมาชิกวงเดอะเกรตโมเมนต์ “ฉันคงเอาสไตล์ใดสไตล์หนึ่งไปตีกรอบพวกนายไม่ได้ เพราะพวกนายเป็นวงน้องใหม่ แต่ดูจากสเตจล่าสุดอาจพูดได้ว่าเพลงของพวกนายเป็นสไตล์เดิมของฉินอีอวี๋ พวกนายอาจจะเขียนเพลงไปทางแนวกรันจ์หรือโพสต์พั้งก์ แต่ไม่ว่าจะเป็นแบบไหนทั้งหมดที่ว่ามานี้ก็เป็นสไตล์ที่แตกต่างกัน ถ้าฝืนจะเอาผสมกันมันจะเละตุ้มเป๊ะ”

ซุ่ยซุ่ยพูดไม่ผิด หนานอี่รู้ดีว่ากลยุทธ์ที่เซฟสุดในตอนนี้คือการทำเหมือนกลุ่มเอกับกลุ่มเอส คือตัดและคัดเอาคนที่เด่นที่สุดออกมาจากสามวงเพื่อฟอร์มวงกันไปสู้กับกลุ่มอื่น

แต่ประเด็นสำคัญอยู่ที่ใครจะเคาะว่าคนไหนคือคนที่เด่นที่สุด

หนานอี่ไม่รู้ว่ากลุ่มเอสกับกลุ่มเอตัดสินกันแบบไหน แต่มันจะต้องมีความขัดแย้งอย่างรุนแรงและมีคลื่นใต้น้ำแน่นอน

“ถ้าจำเป็นฉันไม่ขึ้นสเตจก็ได้” ซุ่ยซุ่ยว่า “ถึงฉันจะรู้ว่าโอกาสได้ขึ้นสเตจเป็นสิ่งสำคัญมาก แต่ฉันไม่อยากให้ทุกคนเอาแต่วนอยู่ที่เดิม เพราะถ้าอารมณ์เป็นแบบนี้ไม่มีทางเขียนเพลงดีๆ ได้หรอก”

เธอยังพูดไม่ทันจบ หลี่กุยก็แอบเขย่าแขนเสื้อเธอ ดูท่าเขาจะกลัวซุ่ยซุ่ยถูกตัดโอกาสขึ้นสเตจเอามากๆ

แต่ซุ่ยซุ่ยกลับไม่แคร์เลยสักนิด “ฉันพูดสิ่งที่อยากพูดหมดแล้ว ใครมีอะไรอยากพูดบ้างไหม พูดได้เลยนะ หรือไม่เราโยนเรื่องที่ต้องให้ฉันขึ้นสเตจทิ้งไปก่อน โฟกัสที่การเขียนเพลง พอเขียนเพลงเสร็จทุกอย่างจะเดินไปได้เอง”

หนานอี่รู้ดีว่ามันต้องมีคนพูดเรื่องพวกนี้ ซุ่ยซุ่ยเป็นแค่คนที่อาสารับบท ‘ตัวร้าย’ เท่านั้น

เพราะแบบนี้ชายหนุ่มจึงเลิกเงียบและสนับสนุนไอเดียของซุ่ยซุ่ย

“เธอพูดถูก เลิกยึดติดกับเรื่องจะได้ขึ้นสเตจหรือเปล่า หันไปโฟกัสที่การเขียนเพลงก่อนเถอะ”

ซุ่ยซุ่ยหันมามองหนานอี่แวบหนึ่ง เธอเม้มปาก ไม่ได้พูดอะไร จนทุกคนเดินไปกินข้าวพร้อมกัน หญิงสาวถึงไปขอบคุณหนานอี่เบาๆ

“ไม่เห็นจะมีอะไร” มุมปากหนานอี่ยกโค้ง “ฉันแค่พูดสิ่งที่คิดอยู่ในใจออกมาเท่านั้น”

ตอนเดินๆ อยู่ จู่ๆ หนานอี่ก็หยุดชะงักทำให้ซุ่ยซุ่ย อาซวิ่น ฉือจือหยางที่เดินตีคู่มากับเขาพลอยหยุดไปด้วย ทั้งสามคนหันหน้ามามองหนานอี่ แต่หนานอี่กลับหรี่ตาลงจ้องหน้าอาซวิ่น เขาเดินเข้าไปใกล้อาซวิ่นแล้วพูดเสียงเบา

“อาซวิ่น วันนี้นายดูไม่เหมือนเดิมเลยนะ”

อาซวิ่นกะพริบตาไม่พูดอะไร

“เหมือนเปลี่ยนเป็นอีกคน” หนานอี่จ้องมองเขาด้วยสายตาจับผิด

คำพูดนี้ทำให้สายตาของคนที่เหลือหันไปโฟกัสที่ตัวของอาซวิ่น เนื่องจากทุกคนไม่เข้าใจว่าสิ่งที่หนานอี่พูดหมายความว่าอะไร

จนซุ่ยซุ่ยนึกอะไรขึ้นมาได้เลยตีมือ ตั้งท่าจะพูด แต่ใครจะรู้ว่าอาซวิ่นจะชิงลงมือก่อนด้วยการพูดกับหนานอี่ด้วยรอยยิ้มว่า “นายเก่งมาก!”

น้ำเสียง ความเร็วในการพูด และสีหน้าท่าทางของเขาเปลี่ยนไป ชายหนุ่มมองจ้องตาของหนานอี่

“นายสังเกตเห็นตั้งแต่ตอนที่ฉันเดินเข้าไปในห้องซ้อมแล้วใช่ไหม สายตาที่นายมองฉันถึงได้ดูระแวง แต่ฉันว่าฉันไม่ได้หลุดโป๊ะออกไปเลยนะ มันเป็นเพราะอะไร รีบบอกฉันมาหน่อยซิว่านายเดาถูกได้ไง”

ฉือจือหยางทำหน้าเหวอ แต่ซุ่ยซุ่ยกลับทำหน้าเหนื่อยหน่าย ถอนหายใจยาว “เสี่ยวฉือ เลิกก่อกวนสักทีได้ไหม”

“เสี่ยวฉือ?”

ตอนนี้เองซุ่ยซุ่ยเพิ่งสังเกตเห็นว่าชื่อนี้บังเอิญไปซ้ำกับแซ่ของฉือจือหยาง เธอเลยต้องรีบอธิบายว่า “หมอนี่คือน้องชายฝาแฝดของอาซวิ่น พวกเขาคนหนึ่งชื่อหนีซวิ่น ส่วนอีกคนชื่อหนีฉือ”

“ที่แท้น้องชายที่อาซวิ่นพูดถึงคือนายนี่เอง” หนานอี่แปลกใจเนื่องจากนี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เจอกับฝาแฝดที่มีรูปร่างหน้าตาเหมือนกันแบบเป๊ะๆ ในชีวิตจริง แต่เรื่องนิสัยใจคอและสไตล์พวกเขาแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง

พอพวกที่เดินนำหน้าสังเกตเห็นความผิดปกติก็เข้ามามุง ถึงได้ยินหลี่กุยกับซุ่ยซุ่ยแนะนำน้องชายฝาแฝดของสมาชิกในวงให้ทุกคนรู้จักพอดี

“พี่ชายนายล่ะ?” ซุ่ยซุ่ยถามก่อนหันไปมองหลี่กุย “พวกเขาคงไม่ได้สลับตัวกันตั้งแต่เมื่อคืนใช่ไหม นี่นายไม่สังเกตเห็นเลยเหรอ”

หลี่กุยยีผมยาวของตัวเอง คิดหนักอยู่นาน “ฉัน…ฉันจำไม่ได้…”

“พี่ฉันยังนอนอยู่ในห้อง เมื่อเช้าฉันแอบเข้าไปในห้องพักของพวกนาย เห็นพี่นอนกรนครอกอยู่บนเตียงไม่ยอมตื่นเลยขังไว้ในห้องแล้วมาซ้อมแทน เขาจะได้หลับให้เต็มอิ่ม”

หนีฉือพูดรัวเร็วก่อนหันไปมองหน้าหนานอี่อีกครั้ง ท่าทางยังสนใจคนคนนี้ไม่หาย

“นายยังไม่ได้ตอบคำถามของฉันเลย ขนาดพวกเขาทุกคนยังไม่รู้ แล้วนายรู้ได้ไง”

หนีฉือพูดพลางขยับตัวเข้าใกล้แล้วชะโงกหน้ามาจ้องตาหนานอี่ ทันใดนั้นเขาก็ยิ้ม “ตานายเหมือนอำพันเลย…”

เห็นได้ชัดว่าระยะห่างแค่นี้มันเกินระยะปลอดภัยที่หนานอี่สามารถยอมรับได้ เขาจึงตั้งใจจะก้าวถอยหลัง แต่ใครจะรู้ว่าอยู่ดีๆ จะมีร่างหนึ่งก้าวพรวดออกมาขวางตรงหน้ามือเบสหนุ่ม

“ฐานะถูกเปิดเผยแล้ว ยังไม่รีบกลับกลุ่มของตัวเองไปอีกเหรอ”

หนานอี่คิดไม่ถึงว่าฉินอีอวี๋จะโผล่พรวดออกมา เขาเลยรู้สึกประหลาดใจ ขณะที่มองแผ่นหลังของฉินอีอวี๋พลางคิดในใจว่านี่น่าจะเป็นครั้งที่พวกเขาสองคนอยู่ใกล้กันที่สุดในรอบสองวันนี้

มือเบสหนุ่มมองไม่เห็นสีหน้าฉินอีอวี๋ แต่รับรู้ได้อย่างชัดเจนว่าน้ำเสียงของนักร้องหนุ่มผิดไปจากปกติ

พอเห็นว่าสายตาของหนีฉือยังไม่ยอมละจากใบหน้าของหนานอี่ ฉินอีอวี๋ก็หัวเราะพร้อมกับเอียงศีรษะเพื่อบังสายตาและบังคับให้อีกฝ่ายมองตัวเอง “พ่อหนูน้อย นายคงไม่ใช่สปายที่กลุ่มเอสส่งมาใช่ไหม”

พ่อหนูน้อย

ตอนที่ได้ยินคำนี้หนานอี่เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยจนเกือบมองไม่เห็น

มือเบสหนุ่มหมุนตัว แยกตัวเดินไปข้างหน้าทันที

“เฮ้ เสี่ยวอี่ รอฉันด้วยสิ” ฉือจือหยางยังดูเรื่องสนุกไม่พอ แต่หนานอี่เดินไปโรงอาหารแล้ว ทำให้เขาต้องเดินตาม

“คุณรู้ได้ไงว่าผมอยู่กลุ่มเอส” หนีฉือยิ้มเจ้าเล่ห์ “ฉินอีอวี๋ คุณรู้ว่าผมมาจากวงเอ็กซ์คิวท์เหรอ คุณคงไม่ได้ไปแอบฟังเพลงของวงเรามาใช่ไหม”

พอเห็นหนานอี่เดินหนีไป ฉินอีอวี๋ก็ขี้เกียจจะวุ่นวายกับอีกฝ่ายอีก “จำเป็นด้วยเหรอ ฉันได้ยินเสียงอยู่ทุกวัน คิดไม่ถึงว่านายจะเล่นกีตาร์ได้ดี ร้องเพลงใช้ได้ แถมยังสายตาดีด้วย”

หนีฉือไม่เข้าใจคำนี้

อะไรที่เรียกว่าสายตาดี

“นี่…”

แต่ฉินอีอวี๋ไม่รอให้หนีฉือถามก็ชิงหมุนตัว สอดมือทั้งสองข้างไว้ในกระเป๋าแล้วเดินตามหลังคนอื่นๆ ไปด้วยท่าทางไม่แยแส

เห็นได้ชัดว่าฝาแฝดเป็นอะไรที่น่าทึ่งมาก โดยเฉพาะนาย

ทั้งที่เกิดจากแม่คนเดียวกัน แต่ทำไมถึงต่างกันได้ขนาดนี้

ทำไมถึงมีคนที่ไม่รู้จักกาลเทศะแบบนี้ได้ อยู่ดีๆ ก็ชะโงกหน้าเข้ามาจ้องตาคนอื่น แถมยังพูดจาลามปาม บอกว่าตาเหมือนอำพันอีก คิดว่ากำลังเล่นละครอยู่หรือไง ทำไมถึงไม่เล่นให้ใหญ่กว่านี้อีกหน่อยล่ะ

ฉินอีอวี๋โมโหจนกินข้าวไม่ลง ได้แต่เอาตะเกียบจิ้มข้าวในชาม

“นายเป็นบ้าอะไรอีกล่ะเนี่ย” ฉือจือหยางปรายตามองเขาแวบหนึ่ง “อยากทำโมจิหรือไง”

ฉินอีอวี๋ขี้เกียจต่อปากต่อคำด้วย เขามองหนานอี่ที่นั่งอยู่ข้างฉือจือหยางแล้วสังเกตเห็นว่าอีกฝ่ายเหมือนจะไม่ค่อยอยากอาหารเหมือนกัน เพราะเขาแทบจะไม่ได้แตะอาหารในถาดเลย รวมถึงเนื้อที่ปกติมือเบสหนุ่มชอบกินที่สุดด้วย

นักร้องหนุ่มยังอยากแอบมองตาหนานอี่สักแวบหนึ่งเพื่อดูว่าวันนี้ตาของหนานอี่จะยังเจ็บอยู่หรือเปล่า แต่ยังไม่ทันได้มอง หนานอี่ก็ลุกขึ้นพลางพูดเสียงเบาว่า “ฉันอิ่มแล้ว” แล้วยกถาดเดินจากไป เขาเลยอดมอง

ฉินอีอวี๋เสียใจมาก

เขาถึงขั้นอยากไปให้หมิ่นหมิ่นทำนายดวงด้วยไพ่ทาโรต์ให้…เพราะหมิ่นหมิ่นเป็นมือโปรเรื่องการดูดวงด้วยไพ่ทาโรต์ ฉินอีอวี๋อยากดูดวงให้รู้ว่าสองวันนี้ดวงเขาตกหรือไง ทำไมถึงได้ทำอะไรติดขัดไปหมดแบบนี้

 

เมื่อคืนก่อนตอนที่เห็นอีเมลจากเพื่อนเก่า ฉินอีอวี๋เซอร์ไพรส์มากเลยติดต่อไปหาเพื่อนคนนั้นจนได้รูปทั้งหมดในพิธีจบการศึกษาที่เขาไม่ได้ไปเข้าร่วมมา นักร้องหนุ่มเข้าใจว่าตนกำลังจะรู้ตัวจริงของ ‘เจ้าผีน้อย’ แล้วปิดคดีที่ค้างคามาอย่างยาวนานหลายปีนี้สำเร็จ แต่เรื่องมันกลับไม่ง่ายอย่างที่เขาคิด

เพราะในไฟล์เอกสารที่บีบอัดมานั้นมีรูปทั้งหมดหนึ่งพันสามร้อยสิบสี่รูป ฉินอีอวี๋เปิดดูทั้งหมดหนึ่งรอบ นอกจากรูปโคลสอัพหน้าของโจวไหวที่เพื่อนเก่าแชร์มา เขาก็เจอรูปที่น่าสงสัยว่าอาจมีเจ้าผีน้อยอยู่แค่ใบเดียว

เนื่องจากเป็นภาพที่ถ่ายจากระยะไกลมาก เจ้าผีน้อยเลยเป็นแค่เงาตรงขอบเฟรม แถมยังถูกต้นไม้บังไปครึ่งหนึ่ง ฉินอีอวี๋ซูมภาพแล้วซูมภาพอีก แต่ภาพเบลอสุดๆ อย่าว่าแต่จะเห็นหน้าชัดๆ เลย ขนาดโครงหน้ายังเลือนราง

แต่เขาก็ไม่ถึงกับไม่ได้อะไร เพราะอย่างน้อยตอนนี้ฉินอีอวี๋ก็รู้แล้วว่าเจ้าผีน้อยไม่ได้หายตัวไปจริงๆ เพราะอีกฝ่ายโผล่มาในพิธีจบการศึกษาของชั้นมัธยมปลายปีสาม แถมยังใส่เสื้อนักเรียนของฉินอีอวี๋มาด้วย คาดว่าอีกฝ่ายคงอยากมาเจอเขาเพื่อคืนเสื้อให้

ที่แท้เด็กคนนี้เคยรวบรวมความกล้าตัดสินใจมาสารภาพเรื่องทุกอย่าง แต่เสียดายที่ทุกอย่างไม่ได้เป็นอย่างที่ตั้งใจไว้

ช่วงเวลาสำคัญในชีวิตฉินอีอวี๋มีหลายครั้งที่พลาดไปแบบฉิวเฉียดราวกับโชคชะตาได้กำหนดไว้ หลังผ่านประสบการณ์มามากมาย เขาไม่ได้ดื้อรั้นหัวแข็งเหมือนเมื่อก่อน กอปรกับเรื่องราวหลายอย่างในโลกใบนี้ยิ่งอยากรู้ อยากยึดไว้ในมือแน่นๆ มากเท่าไหร่ มันจะยิ่งเลื่อนหลุดมือไปไวมากขึ้นเท่านั้น

การที่ไม่ยึดติดอะไร ไม่ว่าอะไรก็ช่างมัน ถึงจะใช้ชีวิตได้สบายขึ้นหน่อย

นี่คือหลักการใช้ชีวิตที่เขายึดถือมาตลอดหลายปีนี้

แต่ระหว่างที่กำลังใช้ความคิด ฉินอีอวี๋กลับคอยเอาแพตเทิร์นเดียวกันนี้เข้าไปใส่ในตัวหนานอี่อย่างไม่มีเหตุผล

หรือหนานอี่จะเป็นคนที่ ‘คลาดกันไปแบบฉิวเฉียด’ ในชีวิตของเขาเหมือนกัน

นาทีนั้นฉินอีอวี๋รู้สึกรับไม่ได้

บางทีเขาคงจะชินกับการที่มีหนานอี่อยู่ข้างๆ คอยเขียนเพลงกับเขา ใช้ชีวิตร่วมกับเขา แต่สักวันการประกวดนี้ก็ต้องจบลง พวกเขาต้องออกไปจากค่ายเครซี่แบนด์ ออกไปจากโลกที่เต็มไปด้วยกล้องวงจรปิดราวกับชีวิตมหัศจรรย์ ทรูแมน โชว์* เพื่อกลับสู่ชีวิตจริง ถึงตอนนั้นเขาจะซ้ำรอยเดิมอีกหรือเปล่า ฉินอีอวี๋จะค่อยๆ ห่างเหินจากเพื่อนๆ ในวงเหมือนตอนอยู่กับวงดิสออเดอร์คอร์เนอร์ มีปากเสียงกับหนานอี่เรื่องการทำเพลงเพลงหนึ่ง ทำสงครามเย็นกันเรื่องคอนเซ็ปต์เพลง ตีกันจนเข้าหน้ากันไม่ติด ทำลายกีตาร์ ขว้างปาข้าวของ ชกต่อย สุดท้ายพอหนานอี่ทนความเพี้ยนของเขาไม่ไหว พวกเขาก็จะต่างคนต่างไปหรือเปล่า

มันจะเป็นแบบนี้ไหม

สำหรับฉินอีอวี๋ นี่คือเรื่องสยองขวัญที่เขาไม่เคยเจอ

ทั้งที่ตอนออกจากวงดิสออเดอร์คอร์เนอร์ เขาไม่ได้รู้สึกเลยว่ามันเป็นความผิดของตัวเอง แต่กลับรู้สึกว่าตัวเองหูหนวกตาบอด มอบความจริงใจให้ผิดคน แต่ทำไมพอเปลี่ยนคู่กรณีเป็นหนานอี่ เขาจึงรู้สึกหวาดกลัวแบบนี้

ฉินอีอวี๋เริ่มทบทวนตัวเอง

ถ้าฉันเป็นคนนิสัยแย่มากจริงๆ จะมีสักวันที่หนานอี่ทนฉันไม่ไหวหรือเปล่า

“ขอโทษ!”

อยู่ดีๆ ความคิดก็ถูกเสียงหนึ่งขัดจังหวะทำให้ฉินอีอวี๋ที่กำลังนั่งเหม่ออยู่ที่หน้าคีย์บอร์ดคอนโทรลเลอร์ภายในห้องซ้อมต้องเงยหน้าขึ้นทันควัน ภาพที่เข้ามาอยู่ในระยะสายตาของเขาคืออาซวิ่นที่กำลังโค้งคำนับ

รอบนี้เป็นอาซวิ่นตัวจริง น้ำเสียงตะกุกตะกักกับใบหน้าแดงก่ำของเขายืนยันได้

“ฉัน…ทั้งหมดเป็นเพราะฉันหลับเพลิน น้องชายฉันถึงได้ฉวยโอกาสแกล้ง ฉันต้องขอโทษจริงๆ” อาซวิ่นยืดตัวขึ้น “แถมฉันได้ยินมาว่าวันนี้ทุกคนแตกคอกันเพราะเรื่องเขียนเพลง ฉัน…ฉันชอบไวบ์ของกลุ่มบีมากๆ เลยไม่อยากให้ทุกคนต้องมีช่องว่างระหว่างกันเพราะการแข่งขัน”

นั่นสิ ไอ้ความห่างเหินสมควรตาย

ฉินอีอวี๋ฟุบตัวลงบนโต๊ะอย่างหมดอาลัยตายอยาก ใบหน้าซบลงในวงแขนพร้อมถอนหายใจแรงๆ

หนานอี่ได้ยินเสียงถอนหายใจชัดถนัดหูเลยหันไปมองนักร้องหนุ่มแวบหนึ่ง แต่ไม่นานก็ดึงสายตากลับคืน

“ฉันมีไอเดียหนึ่ง…คิดไว้นานมากแล้ว” อาซวิ่นกะพริบตาช้าๆ ก่อนหมุนตัวเดินไปนอกห้องซ้อม

มีเสียงติงตังดังมาจากประตู และวินาทีต่อมาอาซวิ่นก็ปรากฏตัวอีกครั้ง เขาหอบเบียร์สองลังเดินเข้ามาในห้องซ้อมด้วยท่าทางที่ฟ้องว่าลังหนักเอาเรื่อง

“ฉันอยากเลี้ยงเบียร์ทุกคน…เรามาคุยกันเถอะ!”

พอได้ยินแบบนี้ฉินอีอวี๋ก็เงยหน้าขึ้นทันทีพร้อมกับดวงตาเป็นประกายดูมีชีวิตชีวาขึ้นมาทันควัน

* เวิลด์มิวสิก (World Music) เป็นดนตรีทุกประเภทที่เกิดจากวัฒนธรรมต่างๆ โดยนักดนตรีท้องถิ่นซึ่งไม่ใช่ประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาหลัก

** โพสต์ร็อก (Post Rock) เป็นแนวเพลงที่ต้องการทดลองดนตรีแบบใหม่ๆ ของเครื่องดนตรีร็อก มักทำเป็นเพลงบรรเลง โดยกำเนิดช่วงปลายทศวรรษ 80

* ชีวิตมหัศจรรย์ ทรูแมน โชว์ (The Truman Show) เป็นภาพยนตร์ที่ตัวเอกใช้ชีวิตอยู่ในโลกที่ถูกสร้างขึ้นและถูกถ่ายทอดสดตลอดเวลาโดยที่เขาไม่รู้ตัว

  

โปรดติดตามตอนต่อไป

Comments

comments

No tags for this post.
Continue Reading

More in everY

บทความยอดนิยม

everY

ทดลองอ่าน เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 Chapter 2.1-2.2 #นิยายวาย

ทดลองอ่าน เรื่อง เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 ผู้เขียน : MINTRAN แปลโดย : ทันบี ผลงานเรื่อง : 배타적 연애 금지구역 ถือเป็นลิขสิทธิ์...

ชาตินี้ข้าจะรักท่านให้มาก

ทดลองอ่าน ชาตินี้ข้าจะรักท่านให้มาก บทที่ 67-68

บทที่ 67 ถึงจะเป็นช่วงพักกลางวัน ทว่าหวาหยางกลับไม่อาจข่มตาหลับ นางนอนอยู่บนเตียงร่วมกับชีฮองเฮา ประเดี๋ยวก็พูดจาอิงแอบอ...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน สานวาสนากับท่านอาของอดีตคู่หมั้น บทที่ 71-73

บทที่ 71 จีเสวียนเค่อใช่ว่าจะมีวรยุทธ์เก่งกาจ ทว่าเขาพาคนมามากมาย คนจากสำนักบูรพาเห็นสถานการณ์ไม่สู้ดีนักจึงล่าถอยอย่างร...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน สานวาสนากับท่านอาของอดีตคู่หมั้น บทที่ 80-81

บทที่ 80 เสียงของกู้เจี้ยนหลีค่อยๆ เบาลงเรื่อยๆ ถึงท้ายประโยคก็แทบไม่ได้ยินแล้ว นางก้มหน้าลง มือกำชายเสื้ออย่างเก้อกระดา...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน สานวาสนากับท่านอาของอดีตคู่หมั้น บทที่ 74-76

บทที่ 74 กู้เจี้ยนหลีละล่ำละลักพูด “หากยังไม่กลับอีกจะสายเกินไปแล้ว ท่านพ่อ ครั้งหน้าลูกจะไปเยี่ยมที่จวนอ๋องนะเจ้าคะ จี้...

community.jamsai.com