ทดลองอ่าน ท่วงทำนองฝัน วันของดวงดาว เล่ม 3 บทที่ 52 #นิยายวาย – Jamsai
Connect with us

Jamsai

everY

ทดลองอ่าน ท่วงทำนองฝัน วันของดวงดาว เล่ม 3 บทที่ 52 #นิยายวาย

ทดลองอ่านเรื่อง ท่วงทำนองฝัน วันของดวงดาว เล่ม 3

ผู้เขียน :  จื้อฉู่ (稚楚)

แปลโดย : ปราณหยก

ผลงานเรื่อง : 恒星时刻 (Heng Xing Shi Ke)

ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน

จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว

หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย

– – – – – – – – – – – – – – – – – 

Trigger Warning

นิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องที่แต่งขึ้นจากจินตนาการของผู้เขียน

ไม่มีความเกี่ยวข้องกับบุคคล สถานที่ หรือเหตุการณ์จริงใดๆ

   

เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับการบรรยายถึงเลือดและสภาพศพ

การบูลลี่ บาดแผลทางใจในวัยเด็ก ความรุนแรงในครอบครัว

การทำร้ายทางร่างกายและจิตใจ อาการป่วยทางจิต

ความรุนแรง การสะกดรอยตาม มีการกล่าวถึงการฆ่าตัวตาย

และความหลากหลายของกิจกรรมทางเพศ

ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ

         

สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป

โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน

 

** หมายเหตุยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **

– – – – – – – – – – – – – – – – –

บทที่ 52 จุดตัดของความทรงจำ

 

กว่าหนานอี่จะกลับไปถึงค่ายเครซี่แบนด์ก็ดึกแล้ว ตอนนี้เกือบจะตีหนึ่ง

หนานอี่กลัวว่าจะรบกวนฉินอีอวี๋ เลยแค่กลับห้องพักไปวางของโดยไม่ได้เข้าไปในห้องนอนแล้วตรงไปที่ห้องซ้อมเลย

พอเปิดประตูเขาก็เห็นซุ่ยซุ่ยกับหลี่อินกำลังเขียนเพลงอยู่ในห้อง พอทั้งคู่เห็นหนานอี่กลับมาก็วางกีตาร์

“นายกลับมาแล้วเหรอ ตาเป็นไง หมอว่าไงบ้าง”

“หมอสั่งว่าให้พยายามเลี่ยงแสง” หนานอี่ไม่ได้พูดเยอะเกินความจำเป็น แล้วเข้าประเด็นทันที “ความจริงเมื่อวานฉันเกือบเขียนเพลงเสร็จแล้ว แต่มีส่วนหนึ่งที่อาจต้องให้พวกเธอช่วยดูหน่อย”

“เอาสิ”

หนานอี่อธิบาย “เพลงที่เรียบเรียงอยู่ตอนนี้จะใช้ไลน์เบสคู่ที่มีจังหวะซับซ้อน ซึ่งหนึ่งในนั้นเป็นไลน์เบสหลักเล่นทั้งเพลง ฉันขอแนะนำให้ซุ่ยซุ่ยเป็นคนเล่น เพราะจังหวะกับเมโลดี้ของเธอนิ่งมาก เหมาะจะเล่นคุมจังหวะของเพลงนี้ที่การเรียบเรียงมีความซับซ้อน ถ้าไลน์เบสนี้ไม่นิ่ง มันจะให้ฟีลยุ่งเหยิงไปหมด”

ซุ่ยซุ่ยผงกศีรษะ “วางใจได้ ถึงฉันไม่ได้นอนก็ต้องซ้อมให้ขึ้นใจให้ได้”

หนานอี่ฟังแล้วโค้งมุมปากยิ้มๆ “ไม่ต้องสาบานแรงขนาดนี้”

หลี่อินขำเหมือนกัน “นายปล่อยมุกหน้าตายเป็นด้วย”

“นี่ฉันซีเรียสต่างหาก” หนานอี่เลิกคิ้ว พูดต่อว่า “อีกไลน์หนึ่งจะยากกว่า เพราะฉันเอาไลน์เบสที่หลี่อินเขียนมาผสมกับของฉัน มันเลยค่อนข้างจะกระโดด ฉันคิดว่าจะยกพาร์ตนี้ให้เธอ”

หลี่อินประหลาดใจ “แต่…นายจะได้เล่นน้อยลงไม่ใช่เหรอ แถมไม่ได้ร้องคอรัสด้วย ทั้งที่ส่วนใหญ่นายเป็นคนเขียนเพลง”

หนานอี่ไม่แคร์เรื่องนี้เลยสักนิด “สิ่งที่พวกเราต้องการคือผลลัพธ์ภาพรวม ไม่ใช่ใครได้เล่นเยอะเล่นน้อย อาซวิ่นสละตำแหน่งนักร้องนำแล้วไม่ใช่เหรอ แถมตัวฉันก็ยังไม่ถือว่าเสียสละนะ เพราะยังมีเบสยืนพื้น ถ้าเพิ่มมากเกินไปอีกจะเละ ท่อนที่ใช้ฟิงเกอร์พิกกิ้งนี้เขียนขึ้นเพื่อเธอ ฉันรู้ว่าเธอจะเล่นได้ดีมาก”

หนานอี่เห็นหลี่อินกับซุ่ยซุ่ยเป็นห่วงการจัดแบบนี้เลยหมุนปากกาในมือ เขาหยุดนิ่งไปสองสามวินาทีก่อนจะช้อนตาขึ้นมองสองสาว กล่าวเสียงหนักแน่น “พวกเธอรู้ไหม ฉันชอบมากที่ได้ทำงานกับพวกเธอ”

การเปลี่ยนประเด็นที่ค่อนข้างไวนี้ทำให้ทั้งคู่ชะงัก

“ฉันดูเป็นคนที่ทำงานด้วยยากมากใช่ไหม ทุกคนรู้สึกว่าฉันเป็นพวกรักสันโดษ” หนานอี่พูดพลางยกมุมปากขึ้นยิ้ม “แต่ความจริงฉันชอบคิดไลน์เบสยุ่งยาก ซึ่งการจะทำมันออกมาด้วยตัวคนเดียวผลลัพธ์จะไม่ค่อยโอเค มันต้องมีคนมาทำด้วย การประกวดรอบนี้ทำให้ฉันมีโอกาสให้คนเก่งๆ มาทำตามไอเดียของฉัน เป็นโอกาสที่หาได้ยากมาก ฉันมั่นใจว่าพวกเธอจะไม่ทำให้ฉันผิดหวัง”

คำพูดนี้อยู่เหนือการคาดการณ์ของหลี่อินกับซุ่ยซุ่ย

ก่อนหน้านี้ทุกคนต่างคิดกันไปก่อนแล้วว่าหนานอี่เป็นพวกวันแมนโชว์ เข้าหายาก แต่ดูจากตอนนี้นั่นกลับเป็นแค่คาแร็กเตอร์ตามลักษณะนิสัยของเขา เพราะพอเริ่มเขียนเพลงกันจริงๆ พวกเขาก็พบว่าไม่ว่าจะเป็นไลน์เบส คอนเซ็ปต์ของเพลงนี้ การแต่งเมโลดี้ หนานอี่ล้วนเข้ามามีส่วนด้วยทุกอย่าง ต่างจากฉินอีอวี๋ที่เกิดมาเป็นเซ็นเตอร์ ทำให้หนานอี่ได้กลายมาเป็นจุดศูนย์กลางของกลุ่มแบบเนียนๆ โดยไม่ทันรู้ตัว

หลี่อินยิ้ม “ตอนนี้ฉันรู้แล้วว่าทำไมฉินอีอวี๋ถึงเข้าวงนาย”

หนานอี่เอียงศีรษะ

“เพราะนายเหมือนหมาป่าจริงๆ” ซุ่ยซุ่ยพูดโพล่งออกมา

“ทำไมเหรอ” หนานอี่ชักอยากรู้ เพราะฉินอีอวี๋ก็พูดแบบนี้เหมือนกัน

“หมาป่าภายนอกดูสันโดษ แต่ความจริงเป็นสัตว์ฝูง แถมจ่าฝูงยังเกิดมาพร้อมคาริสม่าเพื่อนำฝูง” หญิงสาวพูดยิ้มๆ “นายก็เหมือนกัน ภายนอกดูสันโดษ แต่ความจริงเป็นคนที่เก่งเรื่องการวางแผนมาก”

เหรอ อาจเพราะเขามีความอยากควบคุมรุนแรงมาก

หนานอี่หัวเราะเบาๆ ดึงที่ปิดตาออกเพื่อหยอดยาที่หมอจ่ายให้ มือเบสหนุ่มหลับตาลง “พวกเธอก็ชมกันเกินไป”

เขาไม่ได้คุยต่อและใช้เวลาสองชั่วโมงไปกับการปรับทิศทางภาพรวมของเบสตามเมโลดี้ เสร็จแล้วก็อยู่ซ้อมด้วย เวลาผ่านไปจนดึกมากหลี่อินกับซุ่ยซุ่ยจึงกลับห้องพักหญิงไปพร้อมกัน เหลือหนานอี่อยู่ฟังเสียงกีตาร์ของอาซวิ่นกับเมโลดี้ที่เหยียนจี้เขียนเพื่อขบคิดว่าจะผสานกันยังไง

หนานอี่เขียนเพลงจนลืมเวลาทำให้เวลาสองชั่วโมงครึ่งผ่านไปอีกครั้ง

เวลาตีห้าครึ่งท้องฟ้าข้างนอกยังมืดอยู่ หนานอี่เริ่มรู้สึกแสบตา แต่ถ้าจะกลับไปนอนเขาก็กลัวจะทำให้ฉินอีอวี๋ตื่นเลยฟุบหน้าลงบนโต๊ะแล้วงีบหลับไปเลย

 

ฉินอีอวี๋ไม่ได้หลับสนิทเลยทั้งคืน เขาหลับๆ ตื่นๆ จนถึงตีห้าก็ตื่นขึ้น พอลืมตาฉินอีอวี๋ก็หันหน้าไปมองเตียงหนานอี่ทันที

ที่นอนเรียบเนี้ยบ ผ้าห่มพับเป็นก้อนเต้าหู้ ฟ้องว่าเจ้าตัวไม่ได้กลับมา

ฉินอีอวี๋เลยเลิกนอนต่อ เขาโทษว่าที่คุณภาพการนอนของตัวเองย่ำแย่เป็นเพราะวิดีโอคอลล์จากโจวไหว

เพราะพอเห็นรูปใบนั้นเขาก็ให้โจวไหวพลิกดูอีกด้านหนึ่ง พบว่าด้านหลังมีข้อความที่คู่รักชาวต่างประเทศคู่นั้นเขียนไว้ ถึงจะอ่านไม่ออกว่าเป็นภาษาอะไร แต่วันที่ที่ระบุไว้นั้นชัดเจนมาก

‘วันที่สิบสี่เดือนกุมภาพันธ์ ปี 2022’ โจวไหวตกใจ ‘พวกเขามากันวันวาเลนไทน์!’

แฟนหนุ่มของโจวไหวที่ยืนงงอยู่ข้างๆ เอ่ยถามเสียงเบาว่า ‘มือเบสคนนี้คบกับพี่ชายคุณเหรอครับ’

‘ผายลม!’

ฉินอีอวี๋พูดโพล่งออกไปอย่างเดือดดาล ทำเอาสองคนที่อยู่ปลายสายสะดุ้ง แต่ไม่มีใครพูดอะไร เหมือนมีคนเปิดโหมดเงียบ

‘ไม่เอาน่า นายจะของขึ้นทำไม’

‘ทำไมฉันจะของขึ้นไม่ได้ พี่ชายนายอายุตั้งเท่าไหร่ ปี 2022 หนานอี่ยังเป็นผู้เยาว์อยู่เลย!’ ฉินอีอวี๋แถ ‘แชร์รูปมาให้ฉันด้วย’

‘พิลึกจริง ฉันว่าหมอนี่ไม่ธรรมดาเลยนะ ทั้งที่ไม่มีใครหาตัวนายเจอ แต่เขากลับคอยเทียวไล้เทียวขื่อจนเจอเป้าหมาย ถึงขั้นที่มาเจอร้านของฉันด้วย ทั้งที่ตอนนั้นฉันทะเลาะกับพ่อแม่ พ่อแม่เลยยังไม่รู้เรื่องร้านของฉันด้วยซ้ำ…’

ไม่รอให้โจวไหวพูดจบ สายก็ถูกตัดไป ซึ่งขัดใจโจวไหวเป็นที่สุด

ฉินอีอวี๋ซูมภาพเพื่อดูอย่างละเอียด พบว่าที่ข้างมือของหนานอี่มีหน้ากากกับถุงมือเล่นสกีสีดำ แม้ภาพจะเลือนมาก แต่ถ้ามองดูให้ดีๆ จะเห็นว่าชายหนุ่มใส่เสื้อซับเหงื่อแขนยาวสีดำอยู่ข้างใน

หนานอี่ไปเล่นสกีเหรอ

แถมยังบังเอิญไปเจอหลินอี้ชิงที่เป็นคนที่ไม่มีงานอดิเรกอย่างอื่นนอกจากเล่นสกี ปกติหลินอี้ชิงจะทำตัวเหมือนดอกไม้บนยอดเขาสูง นอกจากทำงานแล้วก็ทำงานอย่างเดียว

การที่หลินอี้ชิงนั่งกินอาหารร่วมโต๊ะกับเด็กมัธยมปลายคนหนึ่งจึงเป็นเรื่องที่ผิดปกติอย่างมาก

แต่เรื่องประหลาดที่สุดคือตอนกลับไปที่โรงเรียนครั้งล่าสุด หนานอี่เล่าว่าเขาตามหาฉินอีอวี๋เจอได้ยังไง ฉินอีอวี๋เล่าถึงหลินอี้ชิง แถมยังบอกหนานอี่ว่าพี่ชายต่างแซ่ของโจวไหวเป็นคนช่วยเคลียร์เรื่องรถชน ช่วยจัดการเรื่องการผ่าตัดและปิดข่าว แต่ตอนนั้นหนานอี่กลับไม่มีปฏิกิริยาอะไรเลย

ด้วยไอคิวของหนานอี่ ถ้าเขารู้จักหลินอี้ชิง ย่อมต้องรู้เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างหลินอี้ชิงกับโจวไหว

แสดงว่าเรื่องนี้จะต้องมีบางสิ่งที่ฉินอีอวี๋ไม่รู้

ก่อนหน้านี้เซ้นส์ของฉินอีอวี๋บอกว่าหนานอี่มีเรื่องแอบซ่อนอยู่ และตอนนี้ข้อสันนิษฐานนั้นได้รับการพิสูจน์ ทำให้เขารู้สึกว่าน่าสนใจ

ที่แท้ขนาดเขาเรียนจบชั้นมัธยมปลายแล้วก็ยังเล่นเกมแมวจับหนูกับเจ้าผีน้อยอยู่

ฉินอีอวี๋ไม่คิดจะเอาเรื่องนี้ไปคุยกับหนานอี่ตรงๆ เพราะมันน่าเบื่อเกินไป ตอนเที่ยงคืนฉินอีอวี๋โทรไปหาหลินอี้ชิง แต่เจ้าคนธุระเยอะนั่นไม่รับสายตามคาด

บางทีหลินอี้ชิงอาจจะกำลังนั่งเครื่องบินไปที่ไหนสักแห่ง พอเครื่องแลนดิ้งเขาก็จะไปคุยเรื่องการลงทุนกับการซื้อขายต่อ

ฉินอีอวี๋เลยถล่มส่งข้อความไปให้หนุ่มหล่องานเยอะคนนี้พร้อมแนบรูปถ่ายใบนั้นไปให้ด้วย เสร็จแล้วฉินอีอวี๋ก็จ้องมองเวลาที่ระบุอยู่ในรูปถ่ายเพื่อนึกย้อนว่าตอนนั้นตัวเองกำลังทำอะไร

ฤดูหนาวปี 2022 ฉินอีอวี๋อยู่ยูนนาน ในหมู่บ้านเล็กๆ แห่งหนึ่งริมแม่น้ำหลานชาง ตัวเขาในตอนนั้นเพิ่งจะใช้ชีวิตที่นั่นได้หนึ่งเดือนกว่า ได้ฉลองตรุษจีนในบ้านคนแปลกหน้าเป็นครั้งแรกในชีวิต

เดือนกันยายนปีก่อนหน้านั้นเขาประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ พอเดือนตุลาคมก็ถูกประกาศ ‘ขับออกจากวงและยกเลิกสัญญา’ อย่างเป็นทางการ เดือนธันวาคมได้รับการคอนเฟิร์มว่าไม่สามารถฟื้นฟูทักษะการเล่นกีตาร์ได้อีกเลยเริ่มดื่มเหล้าอย่างหนัก ต้องเข้าโรงพยาบาล รักษาอาการทางจิต แต่เพราะทนไม่ไหวเลยหนีออกมา สุ่มซื้อตั๋วรถหนีไปถึงชายแดน

ตอนแรกฉินอีอวี๋แค่อยากหาสถานที่สักแห่งเพื่อหลบหนีความวุ่นวาย ซึ่งคนที่ไม่เหลืออะไรเลยอย่างเขาเหมาะจะไปอยู่ในที่ที่ไม่มีใครรู้จักที่สุด ที่นั่นไม่มีใครมองเขาด้วยสายตาเสียอกเสียใจ ไม่มีใครเห็นใจเขา ทุกคนรู้แค่ว่าฉินอีอวี๋คือนักศึกษาจากเมืองใหญ่ เก่งเลข พูดภาษาอังกฤษได้

เขาเศร้าอยู่หนึ่งสัปดาห์ แล้วกลางดึกคืนหนึ่งฉินอีอวี๋เกิดนอนไม่หลับเลยนึกอยากปีนเขาไปดูพระอาทิตย์ขึ้น แต่พอปีนเขาขึ้นไปได้ครึ่งทางก็ได้ยินเสียงฝีเท้าดังสวบสาบ ฉินอีอวี๋ผู้กลัวผีตกใจร้องลั่น แต่ใครจะรู้ว่าเสียงนั้นจะเป็นเด็กสองคนที่จูงมือกัน คนโตอายุสิบขวบ ส่วนคนเล็กอายุห้าขวบ

รองเท้าของพวกเขาเสียดสีกับถนนบนภูเขาจนขาด ขนาดเย็บปะแล้ว นิ้วเท้ายังโผล่ออกมาจากรองเท้าตั้งครึ่ง เด็กสองคนสะพายกระเป๋า มือถือไฟฉายหนึ่งกระบอกที่แบตฯ หมดแล้ว

หลังจากนั้นฉินอีอวี๋ถึงได้รู้ว่าพวกเขากำลังจะไปโรงเรียน และเพื่อไม่ให้ไปโรงเรียนสายเด็กทั้งคู่เลยต้องตื่นตั้งแต่ตีสามเพื่อออกเดินทางตอนตีสี่

วันนั้นฉินอีอวี๋เดินตามหลังเด็กสองคนไปทีละก้าว ข้ามเขาข้ามดอย จนท้องฟ้าเปลี่ยนจากมืดเป็นสว่าง จากทางเดินบนภูเขาเปลี่ยนเป็นถนนรถวิ่ง สุดท้ายก็มาถึงโรงเรียนโทรมๆ ที่อยู่ห่างไกล

ตอนที่ยืนอยู่หน้าประตู ฉินอีอวี๋พลันตระหนักได้ว่าความยากลำบากทั้งมวลในชีวิตของตัวเองเหมือนจะเป็นแค่เสียงคร่ำครวญของชนชั้นกระฎุมพี* โดยไม่มีความรู้สึกที่แท้จริง

แม้เขาจะไม่ได้เห็นพระอาทิตย์ขึ้น แต่ได้เห็นสิ่งที่มีค่ามากกว่านั้น

ฉินอีอวี๋จึงปักหลักอยู่ที่นั่น เจอบ้านหลังเล็กโทรมๆ หลังหนึ่งซึ่งเจ้าของออกไปทำงานต่างถิ่นนานแล้ว บ้านจึงถูกทิ้งร้าง เขาทำความสะอาดอย่างง่ายๆ ไปหาช่างไม้ในหมู่บ้านเพื่อซื้อโต๊ะเก้าอี้ จากนั้นก็ขี่รถเข้าไปในหมู่บ้านเพื่อเอากระดานดำเก่าๆ แผ่นหนึ่งกลับมา เปิดเป็นห้องเรียนเล็กๆ ที่ดูไม่ค่อยเป็นรูปเป็นร่าง

วิชาแรกที่เขาสอนคืออิสรจร** มีเด็กมาเรียนแค่คนเดียว เด็กน้อยไม่เคยเรียนหนังสือ ไม่รู้จักตัวอักษรสักตัว ฉินอีอวี๋เลยสอนให้เขาเขียนตัวอักษรคุน*** ทีละขีดอยู่นานมาก

พอเลิกเรียนกลับบ้านเด็กน้อยเอาเรื่องนี้ไปเล่าให้เพื่อนกับผู้ใหญ่ฟังว่ามีครูเป็นพี่ชายผมหยักศกคนหนึ่งสอนให้เขาเขียนตัวอักษรที่ยากมากๆ ที่แปลว่าปลายักษ์

เรื่องนี้ถูกเล่าต่อๆ กันไปจากหนึ่งเป็นสิบ จากสิบเป็นร้อย ทำให้ฉินอีอวี๋กลายเป็นต้าอวี๋ (ปลายักษ์) ไปอย่างไม่มีเหตุผล และเมื่อมันกลายเป็นชื่อเรียกอย่างเอ็นดูของพวกผู้ใหญ่ ต้าอวี๋เลยลดเกรดลงเป็นเสี่ยวอวี๋ (ปลาน้อย) มีนักเรียนเยอะขึ้นเรื่อยๆ จนห้องเรียนขนาดเล็กคึกคัก

วันที่สิบสี่เดือนกุมภาพันธ์ คืนวันที่หกของเทศกาลตรุษจีน ฉินอีอวี๋น่าจะกำลังกินข้าวอยู่ในบ้านของผู้ปกครองคนหนึ่ง อาจจะกำลังกินซีโต้วเฝิ่นเอ่อซือ**** ที่เขาชอบที่สุดอยู่ นักร้องหนุ่มเลิกดื่มเหล้าไปนานมากแล้ว เพราะคนรอบตัวชอบดื่มชาและมักจะเก็บใบชาที่ดีที่สุดไว้ให้เขา ฉินอีอวี๋ดื่มเท่าไหร่ก็ไม่หมด

ทุกๆ สองสามวันเขาจะได้รับของขวัญ บางครั้งเป็นดอกไม้ บางครั้งเป็นชามกระเบื้อง แถมยังมีของอร่อยๆ สารพัดอย่าง ทั้งหมดเป็นสินค้าท้องถิ่นที่เต็มไปด้วยรสชาติ ทั้งเปรี้ยว เผ็ด หวาน

มีครั้งหนึ่งนักเรียนคนหนึ่งที่ชื่อพ่าเหยียนเอาของขวัญสองถุงมาส่งให้เขา ถุงหนึ่งเป็นขนมของทางอวิ๋นหนานสารพัดอย่างที่พ่อของพ่าเหยียนเอากลับมาจากในเมือง ส่วนอีกถุงหนึ่งนั้นแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง

ฉินอีอวี๋ยังจำภาพตอนที่เขาเปิดถุงใบนั้นได้

มันเป็นถุงพลาสติกสีดำขนาดใหญ่ ข้างในมีขนมสองกล่องที่ห่อด้วยกระดาษไขและมัดด้วยเชือกป่าน กับถุงผ้าใบใหญ่ที่ตุงแน่นอีกหนึ่งใบ

ขนมถูกห่ออย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยอย่างที่สุด กระดาษไขสีน้ำตาลอ่อนสะอาดสวย ไม่มีรอยย่นเลยสักนิด พอฉินอีอวี๋แกะห่อก็ได้กลิ่นเปรี้ยวหวานที่คุ้นเคย

มันคือซานจา

ข้างในมีขนมอบกรอบไส้ซานจาเรียงเป็นชิ้นๆ อย่างเป็นระเบียบ

เขากินไปแค่คำเดียวก็รู้สึกเหมือนได้ย้อนเวลากลับไปสมัยเรียนที่ได้กินขนมถังหูลู่ทุกวัน นั่นเป็นครั้งแรกที่ฉินอีอวี๋พบว่าที่แท้ตัวเองคิดถึงบ้าน และที่แท้ซานจาอร่อยขนาดนี้

แถมของที่อยู่ในถุงผ้าก็เป็นอะไรที่อยู่เหนือความคาดหมายของเขายิ่งกว่านั้นมาก เพราะมันคือหมอนหนึ่งใบ

ตอนนั้นมีชาวบ้านคนหนึ่งเดินผ่านมาเห็นหมอนในมือของเขาเลยเดินมายกกะน้ำหนักดู ก่อนจะเลาะตะเข็บข้างออก เทไส้ข้างในออกมาใส่มือเล็กน้อย

‘โอ้ นี่มันเปลือกบักวีต* กับลาเวนเดอร์ตากแห้งนี่นา’ ภายใต้แสงแดดในช่วงตรุษจีน ชาวบ้านคนนั้นเขม้นมองอย่างละเอียด ‘เลือกมาแต่ที่ดีที่สุดซะด้วย เธอดูสิ แต่ละเม็ดสวยๆ ทั้งนั้น ไม่มีเม็ดไหนเสียเลย แบบนี้แหละนอนสบาย’ ชาวบ้านคนนั้นเก็บไส้หมอนกลับเข้าที่ก่อนยัดหมอนใส่มือของฉินอีอวี๋ ‘มันดีต่อคอเธอ ช่วยให้หลับสบาย’

สัญชาตญาณของฉินอีอวี๋บอกว่านี่ไม่ใช่ของในถิ่นนี้ เขาจับตัวพ่าเหยียนมาถามซ้ำๆ แต่เด็กน้อยเอาแต่บอกว่าเพื่อนพ่อของเขาเอากลับมาจากต่างถิ่น พวกเขารู้สึกว่าของพวกนี้เป็นของดีเลยเอามาให้คุณครู

ฉินอีอวี๋ในตอนนั้นเชื่อสนิทใจ

 

ตอนตีสามฉินอีอวี๋ได้รับข้อความจากหลินอี้ชิงคนงานยุ่งพูดน้อย ทั้งที่นักร้องหนุ่มส่งไปสิบกว่าข้อความ แต่หลินอี้ชิงตอบกลับมาแค่ข้อความเดียวว่า

 

คนบ้างานรักสะอาด เรารู้จักกันตอนไปสกี เขาเข้าหาฉันเพื่อตามหาโจวไหว

 

ข้อความสั้นๆ นี้ฉินอีอวี๋ใช้เวลาอ่านถึงหนึ่งนาทีเต็มๆ เพราะสงสัยว่าตัวเองจะตาลาย ความง่วงงุนหายหมด

เขาหาใครนะ โจวไหวเหรอ

แต่พอเขาพิมพ์ข้อความรัวๆ เตรียมจะตอบหลินอี้ชิง อีกฝ่ายกลับทิ้งระเบิดมาอีกครั้ง

 

คนบ้างานรักสะอาด ฉันว่าโจวไหวคงไปหลอกให้เขาหลง เขาเลยตามฉันไปถึงยุโรป หรือไม่จริง?

 

ใคร ใครหลอกให้ใครหลง

ไอ้โง่นั่นน่ะนะ?

ฉินอีอวี๋โมโหจนลบข้อความที่พิมพ์เสร็จทิ้งหมด เริ่มพิมพ์ใหม่ แต่คิดไม่ถึงว่าระเบิดลูกที่สามจะมาไวกว่า

 

คนบ้างานรักสะอาด ฉันเช็กประวัติเขาแล้ว เขาอยู่โรงเรียนมัธยมที่เดียวกับโจวไหว บางทีหมอนั่นอาจจะแอบรักโจวไหวสมัยเรียนหนังสืออยู่ล่ะมั้ง

เพื่อนเก่าโรคจิตของโจวไหว เขาตามหาฉัน! ฉันหลอกเขาให้หลงเอง!! คนที่หมอนั่นแอบรักคือฉันต่างหาก!!!

 

บ้าเรอะ หนานอี่อยู่โรงเรียนมัธยมที่เดียวกับโจวไหวเหรอ งั้นเขาก็อยู่โรงเรียนเดียวกับฉันเหมือนกัน เป็นรุ่นน้องของฉันต่างหาก ในวันที่หิมะตกหนักฉันก็เป็นคนสั่งสอนเจ้าพวกลูกหมาที่รังแกเขา เป็นฉันที่ทบทวนหนังสืออยู่ในห้องเรียนห้องเดียวกับเขา แถมยังนอนบนดาดฟ้าด้วยกันอีก

หนานอี่จะไม่แอบรักพี่ชายรูปหล่อที่มีอารมณ์ขัน มีเสน่ห์ แถมยังเล่นกีตาร์เก่งอย่างฉัน แต่ไปแอบรักโจวไหวได้ยังไง

นายคนบ้างานทำงานจนสมองพังแล้วมากกว่า

ตอนแรกฉินอีอวี๋เข้าใจว่าเรื่องจะจบแค่นี้ แต่คิดไม่ถึงว่าหลินอี้ชิงผู้แสนเย็นชาจะตอบกลับมาอีก

 

คนบ้างานรักสะอาด อ้อเหรอ ไม่เห็นเขาพูดถึงนายเลย

 

ฉินอีอวี๋ทรุดฮวบ

เขาทนเก็บความรักนี้ไว้เป็นความลับอีกต่อไปไม่ไหวแล้ว ตอนนี้เขาอยากประกาศให้ทั้งโลกรู้ว่าหนานอี่ชอบเขา รักเขา กำลังปลูกต้นรักกับเขา!

ฉินอีอวี๋ไม่อยากคิดถึงเรื่องพวกนี้อีกจึงเอาผ้าห่มคลุมโปง บังคับตัวเองให้หลับ แต่หลับได้ไม่นานก็ตื่น

เขาฝันว่าหนานอี่กลับมาเล่าให้ฟังว่าตัวเองเจ็บตา ฉินอีอวี๋ปวดใจเลยลุกขึ้นจากเตียง โทรหาหลินอี้ชิงเพื่อขอให้เขาช่วยหาจักษุแพทย์ที่เก่งที่สุดให้

ผลคือหลินอี้ชิงพูดใส่หน้าเขาว่า ‘หมอนั่นคงไม่ใช่คนที่พยายามตามหาโจวไหวหรอกใช่ไหม’

ทำเอาฉินอีอวี๋โมโหจนตื่น

ฉินอีอวี๋โกรธจนนอนต่อไม่ไหวเลยเปิดรูปเจ้ากรรมใบนั้นขึ้นมาซูมแล้วซูมอีก เมื่อก่อนเขาเคยได้ยินใครต่อใครพูดกันว่าคนที่มีความรักมักทำตัวเป็นเชอร์ล็อก โฮล์มส์* ตอนนั้นฉินอีอวี๋ไม่เชื่อและมองว่าคนแบบนั้นเป็นพวกว่างงาน แต่พอมาดูตัวเองตอนนี้ มันกลับเป็นคติเตือนใจที่จริงสุดๆ

เมื่อกี้นักร้องหนุ่มเกือบเสิร์ชชื่อแบรนด์ชุดกีฬาระบายอากาศที่หนานอี่ใส่แล้ว ฉินอีอวี๋คิดว่ารอบนี้คงไม่เจอเรื่องอะไรใหม่ แต่ใครจะรู้ว่าคราวนี้ความสนใจของเขาจะเปลี่ยนไปมองจ้องดีเทลหนึ่งที่เคยมองข้าม

เขาหรี่ตามองเครื่องหมายสามเหลี่ยมกลับหัวสีแดงอันเล็กบนหน้าอกของหนานอี่ ตอนแรกฉินอีอวี๋เข้าใจว่ามันคือโลโก้ชุดกีฬาแบบระบายอากาศเลยไม่ได้ดูให้ละเอียด มาตอนนี้เขาถึงเพิ่งสังเกตเห็นแสงสะท้อนน้อยๆ จากโลหะที่พันอยู่บนคอของหนานอี่

นั่นคือจี้ห้อยคอ

ฉินอีอวี๋ซูมภาพเต็มพิกัดแล้วหัวคิ้วที่ขมวดมุ่นก็คลายทันที

นี่มัน…ปิ๊กกีตาร์ของฉันไม่ใช่เหรอ

ปิ๊กกีตาร์สีแดง สลักชื่อของเขาในรูปแบบพินอินกับวันเกิด

ฉินอีอวี๋หายจิตตกแล้วกลับมาอารมณ์ดีภายในระยะเวลาไม่กี่นาทีสั้นๆ เขาสดชื่น กระปรี้กระเปร่า พอล้างหน้าแปรงฟัน แต่งตัวเสร็จก็วิ่งไปที่ห้องซ้อมตั้งแต่ตอนหกโมงกว่า

 

คิดไม่ถึงว่าพอผลักประตูเปิด ฉินอีอวี๋จะเห็นหนานอี่ที่ฟุบหลับอยู่บนโต๊ะ

ทำไมถึงไม่กลับไปนอนที่ห้อง

ฉินอีอวี๋เดินย่องเข้าไปถอดเสื้อแจ็กเก็ตตัวหนาของตัวเองออกห่มให้หนานอี่ ก้มตัวเอียงหน้าเข้าไปใกล้ แต่มองไม่เห็นใบหน้าของหนานอี่ ฉินอีอวี๋ได้ยินเสียงลมหายใจเป็นจังหวะสม่ำเสมอหนักแน่นของมือเบสหนุ่ม หนานอี่นอนหลับเหมือนเด็ก

ฉินอีอวี๋แนบหน้าเข้าไปหาตามสัญชาตญาณจนเกือบจูบหูของหนานอี่ แต่โชคดีที่เขารั้งม้าไว้ที่ปากเหว* ก่อน เพราะฉุกคิดได้ว่าที่นี่มีกล้องเลยฝืนตัวผละห่างออกไป แกล้งทำเป็นช่วยจัดผมให้หนานอี่

ดอกไม้ที่ติดอยู่บนยางรัดผมล่ะ

แย่ล่ะสิ ดอกไม้นั่นคงถูกเจอแล้วโยนทิ้งไปแล้วแหงๆ

ฉินอีอวี๋ถอนหายใจ เนื่องจากหนานอี่นั่งอยู่ เขาจึงเอียงศีรษะมองโน้ตกับเนื้อร้องที่หนานอี่เขียนไว้อย่างตั้งใจ จนอ่านไปถึงส่วนที่ถูกหนานอี่ใช้แขนทับไว้ มือของหนานอี่พลันกระตุก

ตื่นแล้วเหรอ

หนานอี่ยันร่างกายท่อนบนขึ้นอย่างสะลึมสะลือ ก้มศีรษะลง เพราะแสงจ้ามากทำให้ลืมตาไม่ได้ และเหมือนแขนจะเป็นเหน็บ มือเบสหนุ่มจึงกางนิ้วออกด้วยความยากลำบาก

“แขนชาเหรอ” ฉินอีอวี๋กระซิบถาม

หนานอี่หันหน้ามาช้าๆ ปรือตาขึ้นเล็กน้อย เขาหยีตาเพ่งมองอยู่สักพักโดยนึกว่าตัวเองกำลังฝัน

ฉินอีอวี๋จะมาอยู่ที่นี่เช้าขนาดนี้ได้ไง

นี่ต้องเป็นฝันแน่ๆ

หนานอี่ที่นอนหลับไม่เต็มอิ่มหลับตาลงอีกครั้ง ศีรษะโอนไปเอนมา ทิ้งตัวลง หน้าผากพิงไหล่ของฉินอีอวี๋ ลมหายใจกลับเข้าสู่ภวังค์อีกครั้ง

การที่หนานอี่เป็นฝ่ายรุกอย่างหาได้ยากนี้ทำให้ฉินอีอวี๋นิ่งงันไปหนึ่งวินาที ความรู้สึกพุ่งทะยานขึ้นฟ้า เขาฉวยโอกาสนี้ดึงมือของหนานอี่ที่วางอยู่บนโต๊ะลงไปข้างล่างเพื่อใช้มือทั้งสองข้างนวดให้

“แบบนี้จะได้หายชา” เขาพูดเบาๆ

คำพูดประโยคนี้ทำให้หนานอี่รู้สึกผิดปกติขึ้นมาทันที

ทำไมมันถึงเหมือนจริงขนาดนี้

กลิ่นก็…

มือเบสหนุ่มที่หลับตาอยู่ยกศีรษะขึ้นเล็กน้อย ปลายจมูกกดไหล่ของฉินอีอวี๋ หนานอี่สูดกลิ่นอย่างตั้งใจหลายครั้งแล้วลืมตาพรึบเพราะฉินอีอวี๋แอบดึงมือเขาไปประสานมือเข้าด้วยกัน

“ตื่นแล้วเหรอ”

ฉินอีอวี๋กลั้นหัวเราะ เขาปรายตาไปมองกล้องแวบหนึ่งก่อนส่งสายตาให้อีกฝ่าย

สมองของหนานอี่ทำงานช้าถึงเพิ่งได้สติ เขาผละจากไหล่ของฉินอีอวี๋ ก้มตัวลง ยกมือทั้งสองข้างขึ้นกดขมับ สีหน้าเหมือนคนที่กำลังเสียใจอย่างแรงกับสิ่งที่เพิ่งทำไป

แต่ใครจะคิดว่าพอหนานอี่ก้มตัว ดอกไม้ดอกหนึ่งก็ร่วงพลิ้วลงมาจากอกเสื้อ ตกลงสู่พื้น

เขาตั้งท่าจะก้มลงเก็บแต่ช้าไปหนึ่งก้าว ฉินอีอวี๋ชิงเก็บก่อน พอหนานอี่ยืดตัวลุกขึ้นอีกครั้ง กุหลาบดอกน้อยที่ชื่อเหมือนราศีสิงห์ก็ตกอยู่ในมือของฉินอีอวี๋แล้ว

ฉินอีอวี๋ไม่ได้ส่งเสียง แค่ขยับปากบอกเขาว่า ‘นายไม่ได้เอาทิ้ง’

วินาทีต่อมาฉินอีอวี๋ก็เอาดอกไม้สีชมพูดอกนั้นทัดหูของหนานอี่ด้วยหน้าระรื่น

เป็นรอยยิ้มที่ดูสดใสเหมือนเด็กๆ แฝงไว้ด้วยความภาคภูมิใจ ดวงตาสีดำสนิทโค้งเป็นพระจันทร์เสี้ยวสองดวงแต่สุกสว่างมาก ใบหน้ายิ้มแย้มนี้เรียกความนิยมและทำร้ายหัวใจผู้คนได้ไม่รู้ตั้งเท่าไหร่ ตอนอยู่ในโรงเรียนฉินอีอวี๋ก็ยิ้มแบบนี้ ตอนอยู่บนเวทีเขาก็ยิ้มแบบนี้ ขนาดไปหลบอยู่ในหุบเขาที่เต็มไปด้วยดอกไม้ นอนอยู่ท่ามกลางแกะภูเขา ฉินอีอวี๋ก็ยิ้มแบบนี้ไม่เคยเปลี่ยน

หนานอี่ดึงมือที่ถูกฉินอีอวี๋จับไว้กลับมากำเป็นหมัด เมื่อตื่นเต็มตาเขาพลันตระหนักได้ว่าการทำแบบนี้มันเสี่ยงมากแค่ไหน เพราะที่นี่ไม่ใช่ห้องนอน แต่เป็นห้องซ้อมที่มีกล้องติดตั้ง

“คุณมาเช้าจัง”

ฉินอีอวี๋ผงกศีรษะ “ใช่ นายเป็นไงบ้าง ตาพอไหวไหม”

“พอไหวอยู่ ไม่เป็นไร” หนานอี่คิดถึงการสัมผัสแบบแอบกิ๊กกันเมื่อครู่แล้วเสียวไส้ไม่หาย เขาเอาดอกไม้ที่หูออกวางลงบนโต๊ะ “คุณมาพอดี อยากลองไลน์เบสที่ผมเขียนหน่อยไหม”

ฉินอีอวี๋พยักหน้า “เอาสิ”

แต่พอหนานอี่หยิบเบสขึ้นมา ก้มหน้าเช็กดู จู่ๆ เขากลับได้ยินคำถามใหม่จากฉินอีอวี๋

เสียงเบามาก แถมไม่ให้โอกาสตั้งตัว

“หนานอี่ นายเคยไปยูนนานหรือเปล่า”

 

* ชนชั้นกระฎุมพี หรือชนชั้นกลาง คือกลุ่มคนที่มีทรัพย์สินส่วนตัวและประกอบธุรกิจขนาดเล็กด้วยตนเอง

** อิสรจร เป็นบทแรกในคัมภีร์เต๋าของจวงจื่อ กล่าวถึงการใช้ชีวิตอย่างเป็นอิสระไร้พันธนาการ

*** คุน (鲲) คือปลาในอิสรจร ก่อนจะกลายเป็นนกโบยบินไปไกลแสนไกล เพื่อสื่อถึงแนวคิดในการหลุดพ้นจากกรอบความคิดและความเชื่อ

**** ซีโต้วเฝิ่นเอ่อซือ เป็นก๋วยเตี๋ยวยูนนาน เส้นทำมาจากข้าว มีน้ำซุปที่ได้จากการต้มแป้งถั่วลันเตา

* เปลือกบักวีต มักถูกนำมาใช้เป็นไส้หมอนเพื่อสุขภาพ

* เชอร์ล็อก โฮล์มส์ (Sherlock Holmes) เป็นตัวละครนักสืบชื่อดังที่มาจากนิยายชุดในชื่อเดียวกัน เขียนโดยเซอร์ อาร์เธอร์ โคแนน ดอยล์ (Sir Arthur Conan Doyle)

* รั้งม้าไว้ที่ปากเหว เป็นสำนวน หมายถึงห้ามการกระทำได้ทันก่อนจะเกิดปัญหา

  

โปรดติดตามตอนต่อไป

Comments

comments

No tags for this post.
Continue Reading

More in everY

บทความยอดนิยม

everY

ทดลองอ่าน เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 Chapter 2.1-2.2 #นิยายวาย

ทดลองอ่าน เรื่อง เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 ผู้เขียน : MINTRAN แปลโดย : ทันบี ผลงานเรื่อง : 배타적 연애 금지구역 ถือเป็นลิขสิทธิ์...

ชาตินี้ข้าจะรักท่านให้มาก

ทดลองอ่าน ชาตินี้ข้าจะรักท่านให้มาก บทที่ 67-68

บทที่ 67 ถึงจะเป็นช่วงพักกลางวัน ทว่าหวาหยางกลับไม่อาจข่มตาหลับ นางนอนอยู่บนเตียงร่วมกับชีฮองเฮา ประเดี๋ยวก็พูดจาอิงแอบอ...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน สานวาสนากับท่านอาของอดีตคู่หมั้น บทที่ 71-73

บทที่ 71 จีเสวียนเค่อใช่ว่าจะมีวรยุทธ์เก่งกาจ ทว่าเขาพาคนมามากมาย คนจากสำนักบูรพาเห็นสถานการณ์ไม่สู้ดีนักจึงล่าถอยอย่างร...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน สานวาสนากับท่านอาของอดีตคู่หมั้น บทที่ 80-81

บทที่ 80 เสียงของกู้เจี้ยนหลีค่อยๆ เบาลงเรื่อยๆ ถึงท้ายประโยคก็แทบไม่ได้ยินแล้ว นางก้มหน้าลง มือกำชายเสื้ออย่างเก้อกระดา...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน สานวาสนากับท่านอาของอดีตคู่หมั้น บทที่ 74-76

บทที่ 74 กู้เจี้ยนหลีละล่ำละลักพูด “หากยังไม่กลับอีกจะสายเกินไปแล้ว ท่านพ่อ ครั้งหน้าลูกจะไปเยี่ยมที่จวนอ๋องนะเจ้าคะ จี้...

community.jamsai.com