everY
ทดลองอ่าน ท่วงทำนองฝัน วันของดวงดาว เล่ม 1 บทที่ 1-2 #นิยายวาย
ทดลองอ่านเรื่อง ท่วงทำนองฝัน วันของดวงดาว เล่ม 1
ผู้เขียน : จื้อฉู่ (稚楚)
แปลโดย : ปราณหยก
ผลงานเรื่อง : 恒星时刻 (Heng Xing Shi Ke)
ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน
จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว
หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย
– – – – – – – – – – – – – – – – –
Trigger Warning
นิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องที่แต่งขึ้นจากจินตนาการของผู้เขียน
ไม่มีความเกี่ยวข้องกับบุคคล สถานที่ หรือเหตุการณ์จริงใดๆ
เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับการบรรยายถึงเลือดและสภาพศพ
การบูลลี่ บาดแผลทางใจในวัยเด็ก ความรุนแรงในครอบครัว
การทำร้ายทางร่างกายและจิตใจ อาการป่วยทางจิต
การสะกดรอยตาม และความรุนแรง
ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ
สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป
โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
** หมายเหตุ: ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **
– – – – – – – – – – – – – – – – –
บทที่ 1 บอกปัดตั้งแต่หน้าประตู
‘ไอ้มือเบสนั่นดังแน่นอน’
หลังเกิดเรื่องโจวไหวสงสัยว่านี่จะเป็นข้อความปลอมที่ทำให้ดีใจเก้อ แต่หลังจากที่เขาได้รับข้อความนี้ไม่ถึงสามวินาทีไฟในไลฟ์เฮ้าส์* ก็ดับพึ่บ การแสดงหยุดชะงัก ความคึกคักสนุกสนานเมื่อครู่ถูกดูดหายเข้าไปในความมืด ทุกอย่างเงียบสนิทจนทำให้ทุกคนอารมณ์ค้าง
“ฟัค! ไฟดับเหรอ”
เสียงนี้ทำลายความเงียบและปลุกเสียงวิพากษ์วิจารณ์ให้ดังเซ็งแซ่ขึ้นมา
สิ่งที่ดับลงไปไม่ใช่ไฟฟ้า แต่เป็นอนาคตของวงดนตรีที่อยู่บนเวทีต่างหาก โจวไหวคิด
“ริสต์แบนด์ก็ดับเหมือนกัน เท่ากับพวกเราโหวตคะแนนกันเสียเปล่าเหรอ ถ้าไฟมาแล้วทุกอย่างจะกลับเป็นเหมือนเดิมไหม”
“แล้วถ้ามันไม่กลับเป็นเหมือนเดิมล่ะ การออดิชันเปิดให้โหวตได้ทั้งหมดสามคะแนน ฉันยังต้องโหวตให้วงที่ฉันชอบอีกนะ!”
“ถ้ากลับเป็นเหมือนเดิมไม่ได้ฉันก็ไม่โหวตซ้ำแล้ว ใครใช้ให้พวกเขาดวงซวยกันเองล่ะ”
สำหรับการแสดงสดบรรยากาศคือทุกสิ่ง เมื่อไฟถูกน้ำสาดจนดับก็หมดอารมณ์ ต่อให้เป็นเทพยดาจากสวรรค์ชั้นฟ้าก็ช่วยกอบกู้ทุกอย่างกลับคืนมาไม่ได้
ยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้คะแนนโหวตที่สามารถตัดสินแพ้ชนะก็กลายเป็นศูนย์ไปหมดแล้ว
ซวยแท้
ตอนนี้ไลฟ์เฮ้าส์ที่ถูกปิดเพื่อจัดงานออดิชันกลายเป็นกล่องมืดๆ ทั้งอึดอัดและมองไม่เห็นอะไร คำวิจารณ์ในแง่ลบที่เกิดขึ้นซ้ำๆ ไม่ต่างจากการเหยียบเท้ากันไปมาทำให้ผู้คนยิ่งหงุดหงิดรำคาญใจ
‘ไอ้มือเบส’ ที่ในข้อความพูดถึงยังยืนอยู่บนเวที เทียบกับเพื่อนร่วมทีมอีกสองคนแล้วเขาดูนิ่งจนดูเหมือนคนนอก มือข้างหนึ่งจับคอของเบสและมืออีกข้างหนึ่งวางพาดบนไมค์ด้วยท่วงท่าสบายๆ แต่ยังคงใช้นิ้วเคาะไมค์เบาๆ
ด้านข้างเวทีมีแสงจากไฟฉาย คาดว่าสตาฟฟ์คงกำลังตรวจเช็กต้นตอของเรื่องอยู่ ลำแสงเล็กแคบขยับไปมารอบๆ ส่องให้เห็นนักดนตรี แม้จะเห็นหน้าไม่ชัด ทว่าแสงจากไฟฉายก็ทำให้เห็นเค้าโครงรูปร่างได้เลือนๆ ว่าคนคนนี้ดูโดดเด่น
มีพรสวรรค์และหน้าตาดีขนาดนี้ ต่อให้ไม่อยากดังก็ยากมาก เหมือนฉินอีอวี๋ตอนเข้าวงการใหม่ๆ
เสียดายที่วงของหมอนี่โคตรโชคร้ายถึงได้เจอแต่เรื่องที่เหนือการควบคุม ไม่ผ่านการออดิชันมีสิทธิ์แท้งตั้งแต่ยังไม่ทันได้แจ้งเกิด
ฉับพลันนั้นมือของมือเบสที่วางพาดอยู่บนไมค์ก็ยกสูงขึ้นเล็กน้อย มือเบสขยับนิ้วให้ฝูงชนที่ออกันอยู่ด้านล่างเวทีคล้ายกำลังโบกมือหรือส่งสัญญาณลับบางอย่าง
ดูเหมือนคนที่เขาส่งสัญญาณให้…ก็คือคนที่อยู่ข้างๆ โจวไหวนี่เอง
ตอนที่มือเบสทำการแสดงสดเมื่อกี้ ในสมองของโจวไหวมีความคิดหนึ่ง…คือไอ้หมอนี่มันเงียบขรึม พูดน้อยเหลือเกิน แต่เหมือนมือกับดวงตาจะพูดได้
สิ่งนี้ทำให้โจวไหวคิดถึงเมื่อห้าวันก่อน ตอนที่เขาเจอกับมือเบสคนนี้ครั้งแรก
วันนั้นโจวไหวไปรับจดหมายที่ไปรษณีย์แล้วได้รับโทรศัพท์ระหว่างทาง ขณะขับรถกลับไปที่ร้านสักเขาเล่นมุกกับปลายสายว่า
“ไม่ใช่พวกทวงหนี้ แต่เขาหาบ้านนายเจอแล้ว…”
เมื่อใกล้ถึงที่หมายโจวไหวเอารถไปจอดไว้ในช่องจอดรถในซอยก่อนเปิดจดหมายอ่าน เขารู้สึกเหมือนหัวใจถูกถ่วงหนักลง ก่อนจะเก็บจดหมายกลับเข้าซองโดยไม่พูดอะไรสักคำและซ่อนจดหมายไว้ในคอนโซลรถ
เพื่อไม่ให้ถูกจับพิรุธได้ โจวไหวจึงพูดเสียงอวดโอ่กว่าปกติว่า “นี่นายเจอพวกสตอล์กเกอร์หรือไง!”
พอโจวไหวก้าวลงจากรถก็มีกลิ่นหอมหวานลอยมากระทบฆานประสาท
“โฮ่ มันเทศเผานี่หอมจริงๆ” เขาเปลี่ยนเรื่องอย่างรวดเร็วและพูดอย่างหาเรื่องว่า “นายเป็นพวกคลั่งรักหรือไง เรื่องผ่านมาตั้งนานเท่าไหร่แล้วยังอุตส่าห์จำได้อีก”
ปลายสายสบถด่ามาหนึ่งประโยค โจวไหวหัวเราะร่วน แล้วพอเงยหน้าขึ้นก็เห็นแผงขายของเล็กๆ แต่พอโจวไหวเห็นรูปร่างหน้าตาเจ้าของแผงเขาก็เผลอหยุดเท้า
“เชี่ย สมัยนี้คนหล่อๆ เขาออกมาตั้งแผงขายของกันแล้วเหรอ”
คนแก่ขาไม่ดีคนหนึ่งกำลังจะเดินไปที่แผงนี้เหมือนกัน โจวไหวเลยเปิดทางให้เขาไปก่อน ส่วนตัวเองรออยู่ด้านหลังเพื่อพิจารณาหนุ่มหล่อตรงหน้า
ชายหนุ่มคนนี้เงียบผิดปกติ ขนาดมีลูกค้ามาก็ยังเอาแต่เงียบ
เขาสวมชุดสีดำ หมวกเบสบอลสีเทาเข้มกดปีกหมวกต่ำจนบังหน้าไปครึ่งหนึ่ง แต่ขนาดเขาใส่เสื้อแจ็กเก็ตขี่มอเตอร์ไซค์เก่าๆ ก็ยังดูสะดุดตามาก หล่อเหมือนนายแบบ หุ่นดี เอวบาง ขายาว
แถมผมก็ยาวมากเหมือนกัน
ตอนที่ชายหนุ่มก้มหน้า โจวไหวเห็นผมที่เขารวบไว้ด้านหลังกับต่างหูสีเงินที่หูขวา พระอาทิตย์ในช่วงปลายหน้าร้อนส่องแสงสะท้อนต่างหูให้เปล่งประกาย
โจวไหวจ้องมองเขาอย่างจริงจังแล้วพลันรับรู้ได้ว่าคนแก่ที่เข้าไปเป็นลูกค้าที่หน้าแผงไม่ได้พูดอะไรเลย แม้จะอ้าปาก แต่กลับยื่นมือออกไปทำภาษามือด้วยสีหน้าลำบากใจ
หนุ่มหล่อหน้าตาเย็นชาตรงหน้ามองคนแก่อยู่พักหนึ่งแล้วดึงมือออกจากกระเป๋าเสื้อมาส่งภาษามือกับอีกฝ่ายอย่างคล่องแคล่ว
“ฟัค”
โจวไหวยังไม่ได้ตัดสาย
คนปลายสายพูดเสียงเกียจคร้าน “เป็นอะไรไป มันเทศเผาเกิดมีขางอกออกมาหนีตามหนุ่มหล่อไปแล้วหรือไง”
“หน้าตาก็ดี” เพราะคิดว่าอีกฝ่ายไม่ได้ยินเสียง โจวไหวจึงพูดเสียงทอดถอนใจอย่างไม่มีการหลบเลี่ยง “ดันหูหนวกเป็นใบ้ได้ น่าเสียดายจริงๆ”
พอคนแก่ที่เข้าไปซื้อของที่แผงจ่ายเงินเสร็จก็จากไป โจวไหวยื่นมือไปชี้เตาเผาและชูนิ้วบอกว่าหนึ่ง เขานิ่งเล็กน้อย ทำมือบอกให้พ่อค้ารอเดี๋ยวเพื่อสอบถามคนที่ปลายสาย
“ฉินอีอวี๋ นายจะเอามันเทศเผาด้วยไหม”
โจวไหวไม่ทันสังเกตเห็นว่าหนุ่มหล่อตรงหน้าเงยหน้าขึ้นทันที
“ไม่เอาล่ะ เดี๋ยวกินแล้วหยุดไม่อยู่”
โจวไหวเบะปาก แต่พอตั้งใจจะทำนิ้วบอกว่าหนึ่งอีกครั้ง ใครจะรู้ว่ามีพี่ชายคนหนึ่งวิ่งมาขอบคุณพ่อค้าหนุ่มหล่อไม่ขาดปาก
“ขอบใจที่ช่วยดูแผงให้นะพ่อหนุ่ม ช่วงนี้ในซอยนี้มีนักท่องเที่ยวเยอะเลยต้องต่อแถวเข้าห้องน้ำกัน”
หนุ่ม ‘ใบ้’ สุดหล่อพูดเสียงต่ำ “ไม่เป็นไรครับ”
ฟัค
เขาพูดได้??
แถมเสียงยังหล่อด้วย!
“เจ้าของร้านกลับมาแล้ว” เขาพูดทิ้งท้ายก่อนหมุนตัวเดินจากไป “คุณซื้อกับเขาได้เลยครับ”
ในชีวิตนี้โจวไหวไม่เคยอับอายขายหน้ามากขนาดนี้มาก่อน
ระหว่างที่เขายังอึ้งอยู่ น้ำเสียงของฉินอีอวี๋ที่อยู่ในสายก็พลันเปลี่ยนเป็นจริงจังขึ้น ทั้งยังฟังดูหงุดหงิดเล็กน้อย
“เจ้าอ้วนนั่นมาหาเรื่องอีกแล้ว นายอย่าเพิ่งกลับร้านนะ เหลือมันเทศเผาให้ฉันด้วย”
ฉินอีอวี๋วางสายแล้วนวดขมับ ปั้นหน้าทะเล้นเกาะเคาน์เตอร์พลางโบกมือให้นักเลงท้องถิ่น “สวัสดีตอนเช้าครับ มาโชว์พาวอีกแล้วเหรอ ตอนนี้ไหวจื่อไม่อยู่ ไว้มาวันหลังดีไหม”
“มาพ่องสิ!” เจ้าอ้วนกระชากคอเสื้อเขาพลางอ้าปากทักทายบรรพบุรุษเป็นชุด แต่พูดๆ ไปมันก็วนเวียนอยู่แค่สามเรื่องคือ…ลายสักไม่สวย เอาเงินคืนมา ไม่งั้นมีเรื่อง!
นี่เป็นรอบที่เท่าไหร่ของเดือนนี้แล้วเนี่ย
ร้านโทรมๆ แห่งนี้ก็ไม่มีลูกค้าอยู่แล้ว แค่มองดูก็รู้ว่าไม่มีเงินให้รีดไถ
ฉินอีอวี๋ฉีกยิ้ม “ลายสักไม่สวยตรงไหนเหรอครับ ขอผมดูหน่อยได้ไหม”
“ตรงนี้ แกแหกตาดู!” มันถกเสื้อให้เขาดูจริงๆ
ภาพนี้เหมือนจะทำร้ายสายตา ชายหนุ่มจึงหรี่ตาลงทันที
“จะพูดยังไงดี…” ฉินอีอวี๋พิงเคาน์เตอร์พูดยิ้มๆ “ภาพที่วาดบนกระดาษกับภาพที่วาดบนเนื้อหมูไม่มีทางเหมือนกันอยู่แล้ว แต่มันก็ดูใกล้เคียงอยู่นะครับ คุณก็หยวนๆ หน่อยเถอะ”
เจ้าอ้วนด่ากราด “แกบ้าไปแล้วหรือไง!”
ใครจะรู้ว่าฉินอีอวี๋จะถือโอกาสจบเรื่องนี้ทันที “อะไรกัน นี่คุณรู้จักผมดีขนาดนี้เชียวเหรอ! การที่คุณดูผมออกแบบนี้แสดงว่าเรารู้ใจกันสินะครับ!”
ฉินอีอวี๋จับมือเจ้าอ้วนเขย่าแรงๆ
เจ้าอ้วนสะบัดมือออกอย่างแรงด้วยความโมโห ก่อนจะคว้าขวดสีที่อยู่ข้างเคาน์เตอร์ปาใส่หน้าฉินอีอวี๋ “กูจะกระทืบมึง!”
นิสัยหมาๆ
ฉินอีอวี๋ขี้เกียจหลบเลยไม่แม้แต่จะช้อนตาขึ้นมอง เขาเตรียมตัวถูกฟาดแล้วล้มลงบนพื้นเพื่อแกล้งตาย
คนที่ต่อยตีเป็นจะรู้ว่าโดนตรงไหนแล้วไม่ตาย
แต่ขวดแก้วนั่นกลับไม่ได้ฟาดลงมาอย่างที่ฉินอีอวี๋คาดการณ์ไว้
เขาคงไม่ได้เมาค้างจนประสาทรับรู้ความเจ็บปวดมีปัญหาไปแล้วใช่ไหม
“แม่งเอ๊ย มึงเป็นใครวะ…”
หืม?
ฉินอีอวี๋ช้อนตาขึ้นมองแล้วเห็นมืออวบๆ ของเจ้าอ้วนค้างอยู่กลางอากาศเพราะถูกมือเรียวสวยขาวผ่องข้างหนึ่งจับไว้
พอเจ้าอ้วนเปิดปาก มันก็ถูกเหวี่ยงอย่างแรงจนตัวโงนเงนถอยหลังไปสองสามก้าวเหมือนกำแพงใกล้พัง จากนั้นก็หงายหลังตึง และในจังหวะที่เจ้าอ้วนยังตั้งตัวไม่ได้ เท้าข้างหนึ่งของผู้มาใหม่ก็เตะฟึ่บ
“แม่ง!”
มองเผินๆ ไม่แรงมาก แต่กลับทำให้เจ้าอ้วนล้มลงบนพื้นจนหลังชนพวกลูกน้องได้ เนื้ออวบอูมบนหน้าย่นเป็นก้อน
เจ้าอ้วนเจ็บที่ท้อง สมองมีเสียงดังวิ้ง แต่ยังไม่ทันที่มันจะได้ลุกขึ้น อีกฝ่ายก็เดินมาก้มตัวดึงคอเสื้อของเขาแล้วลากออกจากร้านไปด้วยมือข้างเดียว
ท่าทางนั้นดูสบายๆ มาก เหมือนลากสุนัขตัวหนึ่ง
ฉินอีอวี๋เผลอเลิกคิ้ว เพราะผู้มาใหม่ดูคล่องพอๆ กับฆาตกรโรคจิตในหนัง หากเขาจำไม่ได้ว่าอีกฝ่ายเป็นใครก็คงขวัญกระเจิงไปแล้ว
เจ้าอ้วนนั่งแปะอยู่บนพื้นแบบเห็นดาว ลำคอถูกคอเสื้อรัดจนแดง ต้องใช้เวลาอยู่สองสามวินาทีกว่าเจ้าอ้วนจะกลับมาได้สติแล้วเริ่มด่า “ไอ้หมาตัวไหนวะ! มึง…”
พูดยังไม่ทันจบอีกฝ่ายก็ยกเท้าขึ้นมาอีกครั้ง ทำเอาเจ้าอ้วนหงอไปทันที เจ้าอ้วนยกมือขึ้นกันตามสัญชาตญาณ เลิกส่งเสียงไปโดยปริยาย
ขาข้างนั้นของผู้มาใหม่จึงไม่ได้เตะร่างเจ้าอ้วน และถูกวางกลับลงไปที่เดิม
เจ้าอ้วนที่ตั้งใจมาขูดรีดแต่ไม่ได้อะไรติดมือกลับไปเกาะกรอบประตูเพื่อลุกขึ้นยืน สายตาชำเลืองมองไปด้านหลังอย่างตั้งใจจะก่นด่าฉินอีอวี๋ด้วยสีหน้าดุดันสักสองสามประโยค แต่ไอ้หมอนั่นดันยิ้มน้อยๆ และโบกมือให้เขาอย่างเจ้าเล่ห์
วินาทีต่อมาหนุ่มหล่อตรงหน้าก็เอียงคอมาบังสายตาของเจ้าอ้วนในระยะใกล้มาก นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเงยหน้าขึ้นมองคนคนนี้ตรงๆ
ใต้ปีกหมวกมองเห็นตรงกระดูกคิ้วด้านซ้ายมีหมุดสีเงิน หนึ่งเม็ดบนและอีกหนึ่งเม็ดล่างเปล่งประกายโลหะคมปลาบ
สายตาคู่นี้ทำเอาเจ้าอ้วนตัวสั่น
ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนเรียวยาวมีจุดเทาที่กลางม่านตา ดูคล้ายดวงตาของสัตว์ร้ายอย่างยิ่ง
“ฉันมาได้ทุกวัน” สีหน้าของหนุ่มหล่อไร้ซึ่งอารมณ์ความรู้สึก เขาพูดเสียงเบามาก “เจอกันพรุ่งนี้เลยไหม”
หากคนไม่รู้เรื่องมาได้ยินประโยคนี้คงรู้สึกว่ามันเหมือนคำเชื้อเชิญที่แสนอบอุ่น
โจวไหววิ่งกระหืดกระหอบกลับมาเจอเจ้าอ้วนเดินกะเผลกออกจากซอย มันเดินพลางบ่นขรมจนไม่สังเกตเห็นโจวไหว
โจวไหวรู้สึกแปลกๆ แต่พอเดินเข้าไปในร้านเขาก็ต้องแปลกใจหนักกว่าเดิม
“เอ๋? นี่มันหนุ่มใบ้สุดหล่อที่ไปช่วยขายมันเทศเผาเมื่อกี้ไม่ใช่เหรอ”
ฉินอีอวี๋กำลังชูนิ้วโป้ง พอได้ยินโจวไหวพูดแบบนี้เขาก็อารมณ์ดี “ที่แท้ก็เป็นนายนี่เอง ไม่สิ ทำไมถึงเป็นนายอีกแล้วล่ะ”
“เอ๋?” คำพูดประโยคนี้ทำให้โจวไหวรู้สึกทะแม่งๆ “พวกนายสองคน…รู้จักกันเหรอ”
“หมอนี่คือคนที่ฉันเล่าให้นายฟังว่าเขาไปตามตัวฉันที่บ้านไง”
เวลานี้เจ้าของเรื่องมายืนอยู่ตรงประตูแล้ว ฉินอีอวี๋ยกมุมปากโค้งเป็นรอยยิ้มขณะหันไปมองอีกฝ่าย “หนานอี่ใช่ไหม”
ชื่อนี้จำง่ายมาก
โจวไหวได้ยินแล้วทำตาโต หันไปทำปากว่า ‘เจ้าหนูคนนั้นเหรอ’ กับฉินอีอวี๋
“เจ้าหนูบ้านนายสิ” ฉินอีอวี๋คว้ากล่องทิชชูที่อยู่ข้างมือมาปาใส่
หนานอี่ได้ยินเต็มสองหูแต่แกล้งทำเป็นไม่ได้ยิน สนใจแต่คำพูดประโยคก่อนหน้าที่ฉินอีอวี๋พูดกับตนด้วยน้ำเสียงราบเรียบเหมือนคนที่มีเรื่องวิวาทเมื่อกี้เป็นคนอื่น
“ผมมาหาคุณเลยถือโอกาสช่วย”
ฉินอีอวี๋ไม่ได้รู้สึกซาบซึ้งใจจนจะเอาตัวเองตอบแทนบุญคุณคนที่เข้ามาให้ความช่วยเหลือเพียงครั้งเดียว
ชายหนุ่มบิดขี้เกียจ “ขอบใจที่นายผ่านมาเห็นความอยุติธรรมแล้วเข้ามาช่วย แต่ฉันทำตามคำขอของนายไม่ได้ คราวก่อนฉันพูดชัดเจนแล้ว”
พูดถึงเรื่องคราวก่อนฉินอีอวี๋ยังรู้สึกปวดหัวอยู่เลย เหมือนเขาไม่ได้พบเจอกับคู่ปรับที่ตึงมือขนาดนี้มานานมาก
ทุกครั้งหนานอี่จะโผล่มาแบบไม่ให้เขาได้ตั้งตัว โดยเฉพาะสัปดาห์ที่แล้วหนานอี่ทำให้เขาตกใจหนักยิ่งกว่านี้อีก
เพราะวันนั้นฉินอีอวี๋ยังไม่ตื่นก็ต้องฝืนแหกขี้ตาขึ้นมาเปิดประตู เห็นหมอนี่ใส่ชุดสีดำมายืนอยู่หน้าประตู แถมยังใส่หมวกเหมือนวันนี้เป๊ะ
โถงทางเดินมืดจนมองไม่เห็นหน้า แถมขวดเหล้าที่เขาถือไว้ในมือก็เปล่งประกาย
ปฏิกิริยาแรกของฉินอีอวี๋คือ ‘นายมาทวงหนี้เหรอ’
‘เปล่า’ อีกฝ่ายโยนขวดเหล้ากลับคืนที่เดิม…คือลังใส่ขยะหน้าประตูแล้วปัดมือ
ฉินอีอวี๋โล่งใจ ยกมือขึ้นลูบอก
‘แล้วทำไมถึงทำหน้าตาแบบนี้ ขวัญกระเจิงหมด’
ถึงเขาจะมองใบหน้าครึ่งที่พ้นปีกหมวกออกมาได้ไม่ชัด แต่ฉินอีอวี๋กลับประทับใจในคำตอบของหนานอี่มาก
‘มันเป็นมาตั้งแต่เกิด’
หนานอี่ไม่ได้มองหน้าฉินอีอวี๋ตรงๆ เอาแต่จ้องรอยสักที่คอของเขา จากนั้นก็เลื่อนสายตาลงไปหยุดที่รอยสักที่ข้อมือ ก่อนแนะนำตัวแบบปุบปับว่า ‘ผมชื่อหนานอี่’
วันนั้นฉินอีอวี๋ยังไม่ตื่นดี ข้อมูลที่หนานอี่ยืนป้อนให้เขาอยู่ตรงหน้าเหมือนหุ่นยนต์นั้นเขาถึงได้ยินเพียงไม่กี่ประโยคและจำได้แต่ชื่อของอีกฝ่าย
รวมถึงคำขอว่าอยากให้ฉินอีอวี๋ไปร่วมวงของตัวเอง
ร่วมวง?
แบบนี้มาทวงหนี้เขาเลยดีกว่า
ฉินอีอวี๋หัวเราะฮ่าๆ เหมือนได้ยินเรื่องตลกขบขัน ‘ฉันได้ยินคำว่าวงก็ขนลุกแล้ว เลิกพูดเถอะ เดี๋ยวฉันอ้วกใส่รองเท้านาย’
การที่อีกฝ่ายขุดดินสามฉื่อ* เพื่อกระชากตัวเขาออกไปแบบนี้ถือว่าบ้าเอาเรื่องทีเดียว
แน่นอนว่าเมื่อสองสามปีก่อน ฉินอีอวี๋มีแฟนคลับที่คลั่งไคล้เขาจำนวนไม่น้อย
มีทั้งแบบแอบไปดักซุ่มอยู่ที่ลานจอดรถในคอนโดฯ ของเขา แบบที่วิ่งมาพังประตูห้องพักในโรงแรมของเขา แบบที่วิ่งมาหลังเวทีแล้วถอดเสื้อผ้ากระโจนใส่เขา เอาเพี้ยนแค่ไหนก็มีทั้งนั้น ต่อมาเมื่อฉินอีอวี๋ถูกเตะออกจากวงก็ยังมีค่ายกับโปรดิวเซอร์อีกหลายคนที่พยายามคิดหาทางจับเขาเซ็นสัญญาด้วยวิธีบีบบังคับและหลอกล่อ ต่อให้เขาพยายามหลบแค่ไหนก็ไม่พ้น แถมยังมีพวกโรคจิตที่ผันตัวจากแฟนคลับไปเป็นแอนตี้แฟนคอยตามสะกดรอยและเอาแผ่นซีดีของวงเก่ามาปาใส่หน้าเขา
เป็นครั้งแรกที่ฉินอีอวี๋ได้รู้ว่าหากใช้แรงมากพอแผ่นซีดีก็สามารถเรียกเลือดได้เหมือนกัน
ฉินอีอวี๋ในตอนนั้นใช้มือเช็ดเลือดบนหน้าผากแล้วอดเอ่ยอย่างทอดถอนใจไม่ได้ว่า ‘ฟัค แผ่นซีดีนี่คุณภาพดีจริงๆ’
ตอนยังไม่พูดถึงเรื่องวง ทุกอย่างก็ยังดี แต่พอพูดถึงเรื่องวงแล้วเรื่องน่าหงุดหงิดทั้งหลายก็ถูกรื้อฟื้นขึ้นมาตามฤทธิ์แอลกอฮอล์
แม้ว่าทุกอย่างจะผ่านไปนานมากจนเขาเป็นเหมือนคนที่ตายจนไม่อาจจะตายได้อีก นอกจากติดแหง็กอยู่ในช่วงดื่มน้ำแกงยายเมิ่ง** ที่สะพานไน่เหอ*** และเพราะอยากจะลืมเรื่องราวทุกข์ระทมทั้งหลายให้หมดเขาจึงดื่มน้ำแกงอย่างดุดันจนตัวเองสำลัก
ฉินอีอวี๋เกือบอาเจียนออกมาจริงๆ
ทั้งที่เวลาคิดถึงวงเขาควรจะคิดถึงเสียงกีตาร์ไฟฟ้า แต่ในสมองกลับเต็มไปด้วยเสียงหวอของรถพยาบาล
ชายหนุ่มพูดอย่างรวบรัดว่า ‘อย่ามาดักรอฉันที่บ้านอีก ไม่งั้นฉันจะแจ้งความ’
พูดไปแล้วก็แปลก ฉินอีอวี๋กะว่าหนานอี่จะต้องมาตามตื๊อเขาอีกสักสองสามวัน ทำให้ทุกครั้งที่เขาเปิดประตูจะต้องเตรียมใจให้พร้อมก่อน แต่หมอนั่นกลับไม่เคยกลับมาอีกจริงๆ
ผ่านไปสองสามวันจนฉินอีอวี๋เข้าใจว่าหนานอี่คงยอมรับความจริงได้แล้ว
ใครจะไปคิดได้ว่าหนานอี่จะมาเจอร้านของโจวไหว
หนานอี่หาร้านของโจวไหวเจอได้ยังไง เรื่องนี้ทำให้ฉินอีอวี๋แปลกใจมาก หมอนี่น่าจะไปทำงานเป็นสายลับมากกว่ามาตั้งวงดนตรีอีก
“คุณไปดูวงเรา…”
คำว่าซ้อมยังไม่ทันหลุดออกมาจากปาก ฉินอีอวี๋ก็ตัดบทอย่างไร้เยื่อใยว่า “ไม่ได้”
“ทำไม”
“ถ้าต้องใช้ชีวิตแบบตั้งคำถามกับทุกเรื่องคงเหนื่อยตาย”
ฉินอีอวี๋ยังไม่ช้อนตาขึ้นมามองเลย “ถ้านายมาที่นี่เพราะเรื่องนี้ ฉันก็คงได้แต่บอกนายว่าไม่ว่านายจะมาสักกี่ครั้ง ฉันก็จะตอบแบบเดิมคือไม่”
ทั้งสองคนยืนเผชิญหน้ากันโดยไม่พูดอะไร
การเป็นเพื่อนสนิทกันมานานหลายปีทำให้โจวไหวรู้จักฉินอีอวี๋ดีว่าอีกฝ่ายผ่านเรื่องราวมามากมายจนไม่ใช่คนเดิมอีกต่อไป
กับเรื่องอื่นฉินอีอวี๋ยังพอทำตัวเลอะเลือนได้ แต่ถ้าจะให้เขากลับไปทำวง ชาตินี้ไม่มีทาง
ช่วงปลายฤดูร้อน ลมร้อนพัดใบไม้ใบหนึ่งให้หมุนลอยเข้ามาในร้านและตกลงที่ข้างเท้าของหนานอี่
ชายหนุ่มก้มหน้ามองแวบหนึ่ง “แล้วเรื่องอื่นล่ะ”
“เรื่องอื่น? นายนี่มันเรื่องเยอะจริงๆ”
ฉินอีอวี๋มีรอยยิ้มไม่ยี่หระและพูดจาเพ้อเจ้อตามความเคยชินว่า “คงไม่ใช่จะให้ฉันสักให้นายหรอกใช่ไหม เมื่อกี้นายก็เห็นหมอนั่นแล้วไม่ใช่เหรอ หรือถ้าคุณลูกค้าผู้แสนดีของฉันจะสักจริงๆ ก็อย่ามาหาเรื่องฉันอย่างเขาเลยนะ มันช้ำใจน่ะ”
โจวไหวทนให้คนอื่นด้อยค่าผลงานของตัวเองไม่ไหวเลยชักสีหน้าทันที “เฮ้ย ไอ้นี่…”
“รูปนั้นคุณไม่ได้สัก” หนานอี่ชิงพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
ฉินอีอวี๋ย่นหัวคิ้ว “นายรู้ได้ไง”
เพราะคุณวาดรูปได้ห่วยกว่าเด็กอนุบาล แล้วจะสักลายลงบนร่างกายมนุษย์ได้ยังไง
หนานอี่ไม่ได้ตอบคำถามของฉินอีอวี๋ แต่เบือนหน้าไปมองต่างหูที่แขวนเป็นแถวบนผนัง
“ช่วยเจาะหูให้ผมหน่อยสิ”
ฉินอีอวี๋คิดยังไงก็คิดไม่ออกว่าหนานอี่จะขอเรื่องง่ายๆ แบบนี้
“เอาสิ แค่นายจ่ายเงินมาก็พอ จะเจาะเดี๋ยวนี้เลยใช่ไหม”
“ยังครับ”
“แล้วจะเจาะเมื่อไหร่”
“เร็วๆ นี้”
หนานอี่พูดจบก็หมุนตัวเดินจากไป
หมอนี่เล่นเกมปริศนาทายอะไรอยู่เนี่ย
“นี่ ต่อไปนายอย่ามาที่นี่อีกนะ เพราะอีกหน่อยฉันจะไม่อยู่ที่นี่แล้ว”
แต่หนานอี่ไม่พูดอะไรและไม่ได้หันหน้ากลับมามองด้วย
ฉินอีอวี๋มองแผ่นหลังของชายหนุ่มแล้วก็ใจลอยอยู่นาน ในชั่วพริบตาหนึ่งเขาพลันรู้สึกว่าอีกฝ่ายหน้าตาคุ้นๆ เหมือนเขาเคยเจอที่ไหนมาก่อนแต่กลับนึกไม่ออก
ฉินอีอวี๋ถึงขั้นมีความคิดแปลกๆ ผุดขึ้นมาว่าอยากถอดหมวกของหมอนี่ออกจะได้มองหน้าเขาได้ชัดๆ เต็มๆ ว่าหนานอี่หน้าตายังไง เพื่อที่เขาจะได้หลบอีกฝ่ายได้ดีกว่าเดิม
ฉินอีอวี๋พยายามหาข้ออ้างที่ฟังขึ้นให้ความอยากรู้อยากเห็นที่ไม่มีที่มานี้
แต่แน่นอนว่าเขายังไม่ทันได้ทำอย่างใจคิด หนานอี่ก็เดินหนีไปก่อนแล้ว
พอเกิดเรื่องร้านก็เละเทะ โจวไหวถอนหายใจ
“นายว่านายเป็นตัวซวยหรือเปล่า นายเพิ่งมาดูร้านให้ฉันแค่สองสามวันก็เรียกภูตผีปีศาจมาเป็นฝูง…เฮ้อ นายสอนเด็กเล็กร้องเพลงอยู่ไม่ใช่เหรอ รีบไปสิ วัดเล็กๆ ของฉันรับหลวงพ่อองค์ใหญ่อย่างนายไม่ไหวหรอก*”
“คลาสทฤษฎีดนตรี งี่เง่าชะมัด” ฉินอีอวี๋เก็บขวดสี “ฉันบอกนายแล้วไม่ใช่เหรอว่าเมื่อสองวันก่อนเถ้าแก่กลับไปบ้านเดิมเลยไม่ได้จัดคลาสให้ฉัน วันมะรืนเขาถึงจะกลับ”
“โอเค”
อยู่ดีๆ โจวไหวก็นึกถึงจดหมายฉบับนั้นขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย เลยถามเสียงค่อยว่า “มีเรื่องอะไรหรือเปล่า สองสามวันนี้พวกทวงหนี้มาหานายอีกเหรอ”
“เปล่า ฉันเพิ่งย้ายบ้านมาแค่ไม่กี่วัน พวกนั้นยังตามฉันไม่เจอ” ฉินอีอวี๋ตอบอย่างไม่ใส่ใจแล้วฉุกคิดถึงชายหนุ่มคนเมื่อกี้ขึ้นมา
ถ้าหมอนั่นไม่เป็นสายลับ ไปทำงานในบริษัทเร่งรัดหนี้สินก็ดี รับรองว่าต้องได้แชมป์นักทวงหนี้แน่นอน
“เหรอ” โจวไหวฝืนกลืนถ้อยคำกลับลงคอ
ฉินอีอวี๋สังเกตเห็นว่าเขาทำตัวแปลกๆ “เป็นอะไรไป”
โจวไหวไม่มองหน้าอีกฝ่าย “ไม่ได้เป็นอะไร แค่ถามไปเรื่อย”
เขาก้มตัวกวาดเศษกระจก แต่คิดไม่ถึงว่าจะเก็บกระเป๋าใส่การ์ดสีดำใบหนึ่งได้จากมุมผนัง โจวไหวหยิบมาดูแล้วโยนใส่หน้าอกฉินอีอวี๋
“ทำไมไอ้หนุ่มหน้าหล่อนั่นถึงได้ทิ้งของไว้เกลื่อนแบบนี้นะ”
ฉินอีอวี๋รับของไว้ตามสัญชาตญาณ
กระเป๋าใส่การ์ดดูผ่านการใช้งานมาพอสมควรแล้ว มันเป็นสีดำ ตรงมุมล่างขวาปักตัวอักษร NY แบบพิมพ์ใหญ่
เป็นงานสั่งทำ มีความเป็นไปได้แปดสิบเปอร์เซ็นต์ว่าคงเป็นของที่ได้จากผู้หญิง
ฉินอีอวี๋รูดซิปเปิดออกดูก็พบว่าข้างในมีบัตรเดบิตสองสามใบและมีบัตรเข้าสอบวิชาภาษาอังกฤษพับอยู่หนึ่งใบ ตรงช่องชื่อของผู้เข้าสอบเป็นชื่อของหนานอี่กับมหาวิทยาลัยที่เขาเรียนอยู่…เป็นมหาวิทยาลัยที่ฉินอีอวี๋คุ้นเคยที่สุด
เวลาสอบคือเช้าวันพรุ่งนี้
โจวไหววางมือประสานไว้บนหัวไม้กวาด พูดยิ้มๆ “ไอ้หยา บังเอิญจัง อยู่มหาวิทยาลัยเดียวกับนายซะด้วย”
ฉินอีอวี๋ขี้เกียจจะสนใจเลยยัดบัตรเข้าสอบกลับคืนที่เดิมแล้วรูดซิปปิดกระเป๋า โยนมันไว้บนเคาน์เตอร์แล้วกลับไปงีบที่เก้าอี้ต่อ
“ดูเป็นของสำคัญนะ บางทีอีกเดี๋ยวเขาคงกลับมาเอา”
ฉินอีอวี๋ปรือตาลง พูดในใจว่าใครจะรู้
หนานอี่บอกว่าจะมาทุกวัน แถมยังบอกว่าพรุ่งนี้เจอกัน
แต่ฉินอีอวี๋ก็บอกเขาว่าไม่ต้องมา ทว่าเจ้าหนุ่มนั่นดูจะเป็นคนรักษาคำพูดมาก
ฉินอีอวี๋บีบมือซ้ายตามความเคยชินแล้วพลิกตัว ขี้เกียจคิดต่อ
หนานอี่กลับไปที่มหาวิทยาลัย พอจอดรถเรียบร้อยก็หยิบบัตรประชาชนกับบัตรนักศึกษาออกมาจากกระเป๋า ตั้งใจว่าจะเก็บไว้ที่ช่องในกระเป๋า แต่พอเขาหันหน้าไปก็เจอฉือจือหยาง…กับผมสีขาวที่เพิ่งย้อมมาใหม่ดูเด่นสะดุดตามาก
ฉือจือหยางนั่งอยู่บนขอบแปลงดอกไม้คล้ายรออยู่นานแล้ว พอสบตากันฉือจือหยางก็กระเด้งตัวลุกขึ้นวิ่งเหยาะๆ มาจนผมปลิว เปียเล็กๆ ที่อยู่ด้านหลังสะบัดไปมาเหมือนหาง
เขารู้ว่าหนานอี่ไปหาฉินอีอวี๋เลยโดดเรียนมาหา เพราะเวลาเหลือน้อยจนไฟลนก้นแล้ว
พอเห็นหนานอี่ไม่พูด ฉือจือหยางก็ซักไซ้อย่างใจร้อนว่า “สำเร็จไหม เขาว่าไงบ้าง แล้วเขาจำนายได้หรือเปล่า”
เมื่อเจอกับสามคำถามนี้หนานอี่ไม่รู้ว่าจะตอบคำถามไหน เพราะเขารู้สึกว่ามันคล้ายๆ กันไปหมด
“ยัง”
ยังไม่สำเร็จ และฉินอีอวี๋ไม่ได้พูดอะไรเลย
ส่วนเรื่องที่ว่าฉินอีอวี๋จำหนานอี่ได้ไหม
หนานอี่ไม่เคยตั้งใจจะทำให้ฉินอีอวี๋จำเขาได้ด้วยซ้ำ
ยังไม่ทันได้เศร้าใจ ฉือจือหยางก็เห็นหนานอี่ยัดบัตรประชาชนใส่กระเป๋าก็นิ่วหน้า “อ้าว กระเป๋าใส่การ์ดของนายล่ะ?” ปกติหนานอี่จะพกกระเป๋าใส่การ์ดติดตัวตลอด
หนานอี่สะพายกระเป๋า พูดเสียงเรียบ “หาย”
“หาย?” นั่นมันเป็นกระเป๋าใส่การ์ดที่คุณยายของเขาทำให้เองกับมือเลยนะ!
ในฐานะเพื่อนสมัยเด็ก ฉือจือหยางร้อนใจมากกว่าหนานอี่เองเสียอีก เขารีบถามว่า “งั้นทำไงดี นายไปทำหายที่ไหน จำได้ไหม แล้วจะหาเจอไหมเนี่ย”
“อืม” น้ำเสียงของหนานอี่ฟังดูนิ่งตลอด “เดี๋ยวก็มีคนเอามาคืน”
* ไลฟ์เฮ้าส์ (Live House) คือสถานที่จัดแสดงดนตรีสดขนาดย่อม โดยทั่วไปมีลักษณะคล้ายบาร์ แต่ไม่มีโต๊ะเก้าอี้มากนัก เน้นพื้นที่โล่งสำหรับผู้ชมยืนชมการแสดง
* ขุดดินสามฉื่อ ส่วนใหญ่เป็นการอธิบายการค้นหาบางสิ่งเป็นวงกว้าง ค้นทุกหนทุกแห่ง
** น้ำแกงยายเมิ่ง หรือน้ำเบญจรส คือน้ำที่วิญญาณต้องดื่มเพื่อให้ลืมความทรงจำทั้งหมดก่อนข้ามสะพานไน่เหอ
*** สะพานไน่เหอ เป็นสะพานที่เชื่อมชายฝั่งทั้งสองของแม่น้ำลืมเลือนเข้าไว้ด้วยกัน ก่อนข้ามสะพานจะเป็นช่วงเวลาสุดท้ายที่คนตายจะยังมีความทรงจำของชาตินี้อยู่
* วัดเล็กรับหลวงพ่อองค์ใหญ่ไม่ไหว เปรียบเปรยถึงสถานที่คับแคบหรือไม่มีคุณสมบัติพอที่จะรองรับคนมีความสามารถหรือผู้สูงส่ง
Comments
