everY
ทดลองอ่าน ท่วงทำนองฝัน วันของดวงดาว เล่ม 1 บทที่ 1-2 #นิยายวาย
บทที่ 2 หนทางสู่ความสุขนั้นมักเต็มไปด้วยอุปสรรค
เวลาสองทุ่ม
อีกสิบสองชั่วโมงจะสอบ
และอีกห้าวันจะยุติการลงทะเบียนสมัครเข้าไปออดิชันของเครซี่แบนด์
ฉือจือหยางรีเฟรชหน้าลงทะเบียนกับหน้าประกาศรับสมัครจนปวดตาแล้วถึงค่อยเงยหน้าขึ้นมองหนานอี่ที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกล…ชายหนุ่มยืนพิงต้นไหวซู่ ตามองออกไปนอกประตูรั้ว ปีกหมวกกดต่ำบังไปครึ่งหน้าทำให้ดูเหมือนสายลับที่ถูกว่าจ้างให้มาทำภารกิจบางอย่าง
เขาไม่เข้าใจเลยจริงๆ ว่าทำไมหนานอี่ถึงมารออยู่ที่นี่แทนที่จะไปรอตรงประตูใหญ่ และทำไมถึงต้องมาแอบอยู่ที่หลังป้อมยาม มหาวิทยาลัยแห่งนี้มีประตูหลายแห่ง ใครจะรู้ว่าฉินอีอวี๋จะโผล่มาทางประตูไหน
การเฝ้าตอรอกระต่าย* แบบนี้มันเวิร์กจริงๆ เหรอ
ฉือจือหยางใช้โทรศัพท์มือถือเข้าเพจนั้นเพจนี้แล้วเผลอเข้าไปในเวยป๋อ** เขาปรายตามองข่าวบันเทิงที่ถูกโพสต์โดย YXH*** บังเอิญว่ามันเป็นคลิปแอบถ่ายตอนที่เฉินอวิ้น คุณชายบริษัทเฉิงหงเอ็นเตอร์เทนเมนต์กับดาราสาวชื่อดังจูบกันในลานจอดรถชั้นใต้ดิน
แค่เห็นหน้านี้กับชื่อนี้ฉือจือหยางก็รู้สึกรังเกียจจนสบถด่าออกมาเบาๆ หนึ่งประโยค เขาจัดการบล็อกข่าวนี้และภาวนาขอให้หนานอี่อย่าปัดมาเจอสิ่งอัปมงคลนี้เลย
ภาพในอดีตผุดขึ้นมาให้ฉือจือหยางเห็นอย่างไม่มีเหตุผล…ในซอยตันหลังประตูทิศเหนือของโรงเรียนมัธยมต้นที่ทั้งมืดและแคบ เงาของคนเจ็ดแปดคนกลืนหายไปในความมืด ปิดทางรอดทั้งหมด ฉือจือหยางปีนข้ามกำแพงแล้ววิ่งสุดชีวิต แต่พอเขาไปถึงทุกอย่างก็จบลงแล้ว
คนต่างล้มกันระเนระนาด เงาดำของใครคนหนึ่งคุกเข่าข้างหนึ่งลงกดหน้าอกคนบนพื้นอย่างแรง ท่ามกลางเสียงหอบหายใจฉือจือหยางได้ยินเสียงอ้อนวอน เสียงนั้นเป็นของเฉินอวิ้น
‘เสี่ยวอี่!’
วินาทีที่ฉือจือหยางตะโกนออกไป เงาดำพลันลดหมัดลงแล้วลุกขึ้นยืน ชายหนุ่มหยุดนิ่งอยู่ครู่หนึ่งก่อนค่อยๆ เดินมาหาเขา ท่าทางนิ่งสงบของอีกฝ่ายให้ความรู้สึกหนักอึ้งยิ่งกว่าความมืด ไฟริมทางที่เสียแล้วเดี๋ยวติดเดี๋ยวดับ แสงกะพริบสาดส่องใบหน้าของหนานอี่
ใบหน้าที่ไร้อารมณ์ความรู้สึกนั้นเปื้อนเลือด
ฉือจือหยางจดจำภาพนี้ได้เสมอ
หึ่งๆ
เจ้ายุงที่ไม่รู้จักกาลเทศะตัวหนึ่งดึงฉือจือหยางออกมาจากห้วงความทรงจำแล้วมาหยุดอยู่บนหลังมือซ้ายของเขา
เพียะ…
ตบเดียวถึงตาย ซากยุงแบนแต๊ดแต๋อยู่กลางรอยสักรูปพระอาทิตย์บนหลังมือของเขาพอดี
ยุงเดือนเก้าร้ายกว่ายุงในช่วงที่อากาศร้อนจัดเสียอีก
ในระยะสายตาฉือจือหยางเห็นหนานอี่ผละออกจากต้นไหวซู่แบบปุบปับแล้วก้าวไปทางป้อมยาม
ฉือจือหยางมองตามอีกฝ่ายไปแล้วลุกพรวดขึ้นมายืน “เชี่ย มาจริงเหรอ”
แต่เขานั่งยองจนขาชาเลยตามไปไม่ได้ ได้แต่มองหนานอี่เดินอ้อมหลังป้อมยามไปที่ประตูเพื่อดักหน้าฉินอีอวี๋ที่ตั้งใจเอาของที่เก็บได้มาส่งคืนแล้วจากไป
ไม่ได้เจอฉินอีอวี๋ในสภาพเป็นผู้เป็นคนมานานจนฉือจือหยางรู้สึกว่าเขาไม่ได้เห็นคนคนนี้มาหลายวัน
ครั้งล่าสุดที่เขาเห็นฉินอีอวี๋คือเมื่อสี่ปีก่อน ในการแสดงที่ไลฟ์เฮ้าส์ของ RS พอฉินอีอวี๋ร้องเพลงไปได้ครึ่งหนึ่งก็ตีกับมือกลองแล้วทุบเบส Fender MB รุ่นลิมิเต็ดอีดิชั่นจนงานเละเทะ
คิดไม่ถึงว่าคนเก่งที่มีความลำพองในอดีตคนนั้นจะหายตัวไปนานขนาดนี้ มิหนำซ้ำวันนี้ยังโผล่มาในลักษณะนี้อีก
เมื่อกี้ตอนที่ได้ยินฉินอีอวี๋ทัก รปภ. หนานอี่ก็รู้สึกเหมือนกำลังเล่นเกม เขารีสตาร์ตและรีโหลดซ้ำแล้วซ้ำอีก
เนื่องจากบทสนทนาของพวกเขาแทบจะเหมือนภาพที่อยู่ในหัวพอดี ฉินอีอวี๋เป็นคนปากเสียติดจะกวนๆ หน่อยๆ แต่กลับให้ความรู้สึกน่าเอ็นดูมาก
นี่เป็นประตูข้างของมหาวิทยาลัยที่ฉินอีอวี๋ใช้เข้าออกบ่อยที่สุด แถม รปภ. ที่สนิทกับเขายังเข้าเวรอยู่ที่ประตูนี้ด้วย
เมื่อสองสามวันก่อนตอนที่กลับมาเจอกันอีกครั้ง หนานอี่สามารถร่ายความเปลี่ยนแปลงของฉินอีอวี๋ในใจได้อย่างชัดเจน เหมือนนับสมบัติในบ้าน*…ว่าอีกฝ่ายผอมลง ผมหยักศกนิดๆ แต่ยาวขึ้นเยอะ ผิวคล้ามแดด ไม่ได้ใส่ห่วงปาก แสดงว่าเจ้ารูเล็กๆ นั่นตันแล้วเหรอ และบนตัวมีรอยสักเพิ่มขึ้นมาอีกอย่างน้อยสามแห่ง
จุดที่มองเห็นได้ชัดเจนที่สุดแต่เล็กที่สุดคือแววตาของฉินอีอวี๋ที่เปลี่ยนไป
สิ่งเหล่านี้เหมือนจะเตือนหนานอี่ว่าคนคนนี้คือฉินอีอวี๋ตัวจริง ไม่ใช่ฉินอีอวี๋ที่มีตัวตนอยู่แค่ในความทรงจำของเขาและไม่ใช่ฉินอีอวี๋ที่มีชีวิตอยู่ในสมองของเขามานานหลายปี
แต่ถ้าสลัดรายละเอียดพวกนี้ทิ้งไป ฉินอีอวี๋ก็เหมือนจะไม่มีอะไรเปลี่ยนเลย อย่างน้อยหนานอี่ก็สามารถคาดการณ์ได้อย่างชัดเจนว่าฉินอีอวี๋จะทำอะไรและจะพูดแบบไหน
ตัวอย่างเช่นตอนนี้ที่ฉินอีอวี๋รู้ตัวว่าถูกเขาดักรอที่นี่
“ฉันว่านะรุ่นน้อง…” ฉินอีอวี๋แสดงท่าทีโกรธจนขำเหมือนภาพจำลองในสมองของเขา “นายนี่มันทุ่มสุดตัวจริงๆ”
หนานอี่เป็นคนที่ถูกกระตุ้นความรู้สึกได้ยากมาก แต่พอได้ยินคำว่า ‘รุ่นน้อง’ หางตาของเขากลับกระตุกอย่างหลุดการควบคุม เขาบอกตัวเองว่ารุ่นน้องคนนี้ไม่ใช่คนเดียวกับรุ่นน้องคนนั้น
ในสายตาของฉินอีอวี๋ พวกเขาคือคนแปลกหน้าที่เพิ่งรู้จักกันได้ไม่ถึงหนึ่งสัปดาห์ และตอนนี้ก็แค่มีป้าย ‘เพื่อนร่วมสถาบัน’ ติดเพิ่มเข้ามาเท่านั้น
สายตาของหนานอี่ไปหยุดอยู่ที่ไฝบนแก้มของฉินอีอวี๋ก่อนเลื่อนต่ำลงไปมองรอยสักที่ลูกกระเดือกของเขา
“ผมต้องการคุณ” หนานอี่พุ่งเข้าประเด็นทันที
ฉินอีอวี๋ชะงักไปหนึ่งวินาที แต่ไม่นานเขาก็หัวเราะเหมือนได้ยินเรื่องขำขัน เนื่องจากเขานึกได้ว่าตอนเจอกันครั้งแรกหนานอี่ก็พูดแบบนี้เหมือนกัน
หนานอี่บอกว่าวงของเขาต้องการนักร้องนำที่เล่นกีตาร์เป็น ซึ่งคำว่าต้องการนี้มีแต่จะทำให้ฉินอีอวี๋อยากเผ่นหนีมากกว่าเดิม
“ตรงดี”
ดวงตาที่เป็นเส้นโค้งของฉินอีอวี๋ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นราบเรียบ “แต่มันเกี่ยวอะไรกับฉัน”
เห็นได้ชัดมากว่าหนานอี่ไม่ได้รู้สึกอะไรกับการแสดงออกของอีกฝ่าย ถึงขั้นไม่แสดงอารมณ์ใดๆ ออกมาเลย ชายหนุ่มแค่นิ่งไปนิดหนึ่งแล้วพูดต่อในสิ่งที่เขาต้องการสื่อ
“เร็วๆ นี้จะมีการประกวดเครซี่แบนด์ พวกเราอยากสมัครเข้าร่วม แต่ตอนนี้ยังขาดมือกีตาร์”
เขายัดโปสเตอร์ใส่มือของฉินอีอวี๋ในจังหวะที่ฉือจือหยางวิ่งมายืนห่างจากพวกเขาไปประมาณสี่ถึงห้าเมตร
หนานอี่ชี้นิ้วไปที่ฉือจือหยางแล้วแนะนำว่า “เขาเป็นมือกลอง ส่วนผมเป็นมือเบส ห้องซ้อมอยู่แถวนี้ ผมรู้ว่าตอนนี้คุณยังไม่อยากเข้าร่วมวงเรา แต่คุณลองไปดูการซ้อมก่อนได้ ถ้าไม่รีบ”
ฉินอีอวี๋ปรายตามองโปสเตอร์แล้วเลื่อนสายตาไปที่มือกลองซึ่งย้อมผมเป็นสีขาวทั้งหัว สุดท้ายก็หันกลับมามองหนานอี่ เขาเกือบหัวเราะออกมา
หมอนี่พิลึกคนจริงๆ จะบอกว่าหัวรั้นก็ได้ ทว่าก็ฉลาดด้วย ถึงวางแผนให้ฉันมาที่นี่ได้ แต่ถ้าจะบอกว่าคนคนนี้เจ้าเล่ห์ก็ไม่ใช่ ทักษะการพูดล็อบบี้ของเขากากมาก ไม่มีทางหลอกคนให้เข้าร่วมด้วยได้เลย
นอกจากนี้ฉินอีอวี๋สังเกตเห็นว่าต่อให้พวกเขาเจอกันมาสามครั้งแล้ว เขาก็ยังจำหน้าหนานอี่ได้ไม่ชัดเลย เนื่องจากอีกฝ่ายเอาแต่ใส่หมวกปิดหน้าปิดตาตลอด เขาจึงได้แต่มองปากของชายหนุ่มพูดนั่นพูดนี่ แม้รูปปากของหนานอี่จะสวยและเหมาะกับหมุดปากก็ตาม
ไม่ถูกสิ นี่ออกนอกประเด็นแล้ว
ฉินอีอวี๋ปัดความคิดประหลาดๆ ในสมองออกไปเพื่อย้อนกลับมาที่ประเด็นสำคัญ
“ฉันไม่รีบก็จริง แต่ขอโทษด้วยที่ฉันมันเป็นขยะเลยไม่สนใจมือกลอง มือเบส หรือวงดนตรีอะไรทั้งนั้น”
ชายหนุ่มขยำโปสเตอร์เป็นก้อนกลมแล้วกระแทกไหล่ของหนานอี่ให้เปิดทาง พูดเสียงเกียจคร้าน “ขยะก็มีสิทธิ์อยากอยู่ในถังโดยไม่ถูกเก็บกลับมาเหมือนกัน”
ฉินอีอวี๋เดินจากไป ทิ้งภาพแผ่นหลังไว้ให้หนานอี่
“ทำวงอะไรกัน ตั้งใจเรียนหนังสือดีกว่านะครับ น้องเฟรชชี่”
ฉือจือหยางรับรู้ได้ว่ามีเรื่องสนุกให้ดูแล้วจริงๆ
เมื่อสองสามปีก่อนภาพลักษณ์ในด้านลบของฉินอีอวี๋ได้เข้าไปอยู่ในจิตใจของผู้คนพอๆ กับดนตรีของเขา…ทั้งความโรคจิต หัวแข็ง หลงตัวเอง เอาแน่เอานอนไม่ได้ ชอบกดข่มทีมงาน ทำตัวไม่เหมาะสมอย่างที่สุด ฉินอีอวี๋เป็นเหมือนพายุเฮอร์ริเคนที่อยู่ดีๆ ก็ผุดขึ้นมาพัดทุกอย่างจนหมดสิ้นแล้วหายไปอย่างไร้ร่องรอยในชั่วพริบตา เหลือแต่ซากระเกะระกะเกลื่อนพื้น
เหตุผลที่เขาหายตัวไปนั้นไม่ชัดเจนและไม่มีใครรู้ แม้แต่หนานอี่เองก็ไม่รู้เหมือนกัน
หนานอี่มาที่มหาวิทยาลัยแห่งนี้ก็เพื่อตามหาฉินอีอวี๋ แต่สิ่งที่เขาได้คือข่าวการพักการเรียนของอีกฝ่าย
จากนั้นเขาก็เห็นว่าวงเก่าของฉินอีอวี๋มีการเปลี่ยนตัวนักร้องนำกับมือกีตาร์แล้วเดินหน้าต่อ เหมือนอีกหลายๆ วงที่มีการเปลี่ยนตัวสมาชิก เพียงแต่ไม่มีใครสามารถลบตัวตนของฉินอีอวี๋ได้ ความสำเร็จที่เขาสร้าง เศษซากที่เขาทิ้งไว้ การร้องที่มีเอกลักษณ์กับสไตล์ที่เขาครีเอต แฟนคลับที่รักเขาสุดใจกับแอนตี้แฟนที่ชังน้ำหน้าเขา…ทุกอย่างเหมือนถูกนาบด้วยเหล็กที่ถูกเผาจนร้อนจัด ทิ้งเครื่องหมายที่เป็นนิรันดร์เอาไว้
อาจเพราะตัวตนของฉินอีอวี๋นั้นอันตรายมากเลยไม่เหมาะจะแทรกเข้าไปในวงไหน จนถึงตอนนี้ในช่องคอมเมนต์เพลงที่พวกเขาใช้เดบิวต์ก็ยังมีคอมเมนต์ชื่นชมสรรเสริญแต่รุนแรงเลือดสาด
‘ไม่ว่าฉินอีอวี๋จะไปโผล่ที่ไหน ที่นั่นจะโดน ‘ออร่าคำสาป’ ของเขา’
ฉือจือหยางเคยพูดไว้นานแล้วว่าคนแบบนี้ไม่มีทางถูกหนานอี่สอยมาร่วมวงได้หรอก เพราะอัจฉริยะผู้สร้างตำนานคนไหนจะยอมลดตัวมาตั้งต้นกับคนหน้าใหม่ แถมคนคนนั้นยังเป็นฉินอีอวี๋ที่ไม่เคยแคร์ใครอีกต่างหาก การเอาชื่อนี้มาผูกกับประโยคนี้จึงเหมือนเรื่องชวนหัว
แต่หนานอี่ไม่เคยฟัง
“ไม่นะ ทำไมเขาถึงเป็นคนแบบนี้! ฉัน…” พอคิดถึงความยึดมั่นถือมั่นที่หนานอี่มีต่อฉินอีอวี๋แล้ว ฉือจือหยางก็กลืนคำหยาบกลับลงคอไป “เราหาคนอื่นก็ได้!”
แต่หนานอี่ดูไม่เหมือนคนแพ้ แค่ดวงตาฉายแววฉงน
ชายหนุ่มยืนอยู่ที่เดิมสักพักก็หมุนตัวไปหยิบกระเป๋าใส่การ์ดกลับมาจากป้อมยาม เขาไม่ตอบรับและไม่ปฏิเสธคำพูดของฉือจือหยาง “กลับกันก่อนเถอะ พรุ่งนี้ยังมีคลาสอีกไม่ใช่เหรอ”
“ก็ได้” ฉือจือหยางถอนหายใจ “ไม่เป็นไรนะ ไม่ใช่เขาก็ได้”
พูดจบฉือจือหยางก็รู้สึกว่าการพูดแบบนี้มันไม่ค่อยดีและไม่ช่วยปลอบประโลมจิตใจ แต่เดิมทีหนานอี่ไม่ได้ต้องการคำปลอบใจอยู่แล้ว เขาจึงเปลี่ยนเรื่องคุย “วันนี้นายจะไปรับจ็อบที่ 029 หรือเปล่า สายขนาดนี้แล้ว พรุ่งนี้ยังมีสอบอีกจะอ่านหนังสือยังไง”
029 เป็นคลับขนาดใหญ่แห่งหนึ่งที่อยู่แถวๆ มหาวิทยาลัย เนื่องจากบ้านเกิดของเถ้าแก่เนี้ย* อยู่ซีอาน เธอเลยเอาเบอร์ขึ้นต้นประจำจังหวัดมาเป็นชื่อร้าน
“ไม่ต้องอ่านหรอก” หนานอี่เช็กของในกระเป๋าเก็บการ์ด พอรู้ว่าไม่มีอะไรหายไปก็โยนมันใส่กระเป๋า “ฉันเปลี่ยนกะไปบ่ายวันพรุ่งนี้แล้ว พอสอบเสร็จก็ไม่มีคลาส”
ไอ้หมอนี่เปลี่ยนกะงานพาร์ตไทม์เพราะตั้งใจจะรอฉินอีอวี๋อยู่ที่หลังป้อมยามประตูนี้ทั้งคืนจริงๆ
ฉือจือหยางเกาศีรษะ
ตอนแรกเขาตั้งใจจะสารภาพเรื่องที่ตัวเองโพสต์รับสมัครนักดนตรี แต่เห็นได้ชัดว่าหนานอี่ในตอนนี้คงไม่อยากได้ใครอื่นนอกจากฉินอีอวี๋
“โอเค งั้นพรุ่งนี้เจอกันที่ห้องซ้อม” ฉือจือหยางบริหารแขนเล็กน้อย “เหมือนว่าช่วงนี้ฉันคงซ้อมหนักเกินไป แขนเลยปวดจนยกไม่ขึ้น ต้องกลับไปทายาก่อน นายกลับบ้านแล้วก็อย่าซ้อมเบสอีกล่ะ พักผ่อนเร็วๆ”
“อืม” หนานอี่ทำเหมือนไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น เขาตบไหล่ฉือจือหยางแล้วส่งยิ้มให้
หนานอี่มีฟันเขี้ยวทั้งสี่ที่ยาวและแหลมคมกว่าคนปกติ เข้ากับหางตาที่ยกสูงและดวงตาสีอ่อนที่หาได้ยาก เมื่อนำทุกอย่างมาผสมกันก็กลายเป็นความดิบเถื่อนที่ดูควบคุมได้ยาก แต่คนที่มีฟันแบบนี้จะมีลักยิ้มกันเกือบทุกคน หนานอี่ก็มีเหมือนกัน เพียงแต่ลักยิ้มของหนานอี่บางมากและมีแค่ที่ด้านขวาด้านเดียว เวลาเขายิ้มจะมีลักยิ้มโผล่ออกมาให้เห็นแบบเลือนๆ
“ทันอยู่แล้ว สบายใจได้”
เนื่องจากหอพักอยู่ไกลหนานอี่ต้องขี่รถกลับ ตอนที่ผ่านทางม้าลายเขาได้ยินเสียงแว่วในหัวเป็นเสียงชนดังสนั่นประสานกับเสียงหวอของรถพยาบาล แม้เวลาจะผ่านมาหลายปี แต่เขาก็ยังคงปรับตัวให้ชินไม่ได้ ต้องใส่หูฟังเสมอ และบังเอิญว่าเพลงแรกที่เขาเปิดเป็นเพลงเก่าของฉินอีอวี๋
เสียงแว่วนั้นค่อยๆ ถูกเสียงของฉินอีอวี๋กลบทับและพอเขากำลังจะถึงหอพักเสียงนั่นก็หายไป
หนานอี่ไม่เข้าใจว่าทำไมฉินอีอวี๋ถึงไม่ร้องเพลงต่อ
การสังเกตและการวิเคราะห์พฤติกรรมเป็นสิ่งที่หนานอี่ทำไปตามความเคยชิน เนื่องจากเบื้องหลังพฤติกรรมของมนุษย์ทุกคนล้วนมีแรงขับเคลื่อนและเหตุผลที่สามารถนำมาจำแนกแยกแยะ ยิ่งวิเคราะห์ได้มากเท่าไหร่ก็จะยิ่งมองเห็นภาพได้ชัดและควบคุมได้มากขึ้น
สมองของเขาวาดภาพทั้งหมดของฉินอีอวี๋ขึ้นมาเหมือนการต่อจิ๊กซอว์ ถึงได้ไปพูดจาโน้มน้าวอีกฝ่ายแบบนั้น แต่มันอาจขาดเบาะแสสำคัญบางอย่าง ผลลัพธ์ที่ได้จึงไม่เป็นอย่างที่หวัง
ซึ่งหนานอี่จะต้องรู้ให้ได้ว่ามันเป็นเพราะอะไร
เที่ยงวันถัดมาฉินอีอวี๋กินไอศกรีมพลางเดินเรื่อยเปื่อยอยู่บนถนนซีซื่อ พอเดินมาถึงโบสถ์ซีสือคู่* เขาก็ได้รับข้อความจากโจวไหว
ไหวจื่อ นายพูดถึงการประกวดอะไรนะ เครซี่แบนด์ใช่ไหม ฉันไปเช็กดูมาแล้วนะ มันดังเอาเรื่องเลยทีเดียว
ไหวจื่อ ได้ยินว่าหนึ่งในนักลงทุนที่อยู่เบื้องหลังคือค่ายเฉิงหง เพราะงั้นขอแค่นายเข้าร่วมการออดิชันก็ได้เงินแล้ว ถ้าได้รางวัลก็จะได้เงินเยอะขึ้นไปอีก ขนาดที่สามยังได้เงินเป็นล้าน นอกจากชนะจะได้เงินรางวัลเป็นตัวเลขสูงลิบแล้ว ทั้งวงยังจะได้เซ็นสัญญากับค่าย ZIA ที่อยู่ในเครือของเฉิงหง ได้ออกแสดงเป็นวงรองสุดท้ายในสามงานเทศกาลดนตรีขนาดใหญ่พอๆ กับที่นายเคยไปเล่นเลย
ฉินอีอวี๋คาบไอศกรีมไว้ในปากขณะพิมพ์ตอบ
อวี๋ งานประกวดแบบนี้มีน้อยนักเหรอ ไม่เห็นจะมีอะไรเลย
ไหวจื่อ นายอย่ามาพูดเลย พี่ชายคนหนึ่งของฉันมีไลฟ์เฮ้าส์อยู่ในปักกิ่งสองแห่ง ไลฟ์เฮ้าส์แห่งหนึ่งของเขาได้รับข้อเสนอให้เป็นสถานที่จัดงานออดิชัน ที่ที่นายทำการแสดงครั้งแรก ดรีมไอแลนด์ นึกออกไหม
อวี๋ หยางซีเหรอ จำได้สิ หยางซีเขาก็เหมือนนายใช่ไหม ฉันล่ะอยากรู้จริงๆ ว่าเกย์อย่างพวกนายมีแรงดึงดูดพิเศษอะไรต่อกันหรือเปล่า ถึงได้เหมือนนกกระจอกที่ชอบอยู่รวมกันเป็นฝูงในสวนสาธารณะเป่ยไห่**
ไหวจื่อ พูดบ้าอะไรฮะ พ่อชายแท้
ฉินอีอวี๋ส่งอีโมจิหน้ากลมๆ เหลืองๆ ท่าทางชั่วร้ายเพื่อทำให้โจวไหวขยะแขยงจนยอมกลับเข้าประเด็น
ไหวจื่อ …
ไหวจื่อ ได้ยินว่าการประกวดครั้งนี้ไม่เหมือนครั้งก่อนเพราะมีลูกเล่นเยอะ ไม่แน่ว่านายอาจคัมแบ็กจริงๆ ก็ได้
ไหวจื่อ รับรองว่าจะต้องมีคนคัฟเวอร์เพลงนาย
อวี๋ อย่าเลย ทำไมต้องเพลงฉันด้วยล่ะ ระวังถูกทนายฟ้องเอานะ
ฉินอีอวี๋ในตอนนี้ไม่เหมือนตอนที่เพิ่งเกิดเรื่องใหม่ๆ เพราะฉินอีอวี๋ในตอนนี้สามารถพูดเรื่องระยำตำบอนพวกนี้ได้เป็นปกติ ถึงขั้นสามารถเอามันมาคุยเล่นกับโจวไหวได้ด้วย
เพราะเขาไม่ได้ติดใจอะไรอีกแล้ว
ไหวจื่อ แม่แกสิ นั่นมันเพลงของนายนะเฟ้ย!
อากาศดีมาก สายลมพัดยอดไม้อย่างอ่อนโยน โบสถ์ที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกลเริ่มประกอบพิธีทางศาสนา มีเสียงคณะขับร้องประสานเสียงดังแว่วมา ให้ความรู้สึกศักดิ์สิทธิ์และสุขสงบ ฉินอีอวี๋หรี่ตา ทิ้งตัวลงนอนบนพื้นทางเดิน คนเดินเท้าที่เดินผ่านไปมาพากันปรายตามอง แต่ฉินอีอวี๋ไม่ใส่ใจ เพราะเขาแค่อยากอาบแดดเหมือนปลาตายเท่านั้น
ที่ข้างถนนมีเจ้าหน้าที่รักษาความสะอาดคนหนึ่ง พอเขาเห็นฉินอีอวี๋เป็นแบบนี้ก็เอ่ยถามอย่างมีน้ำใจว่า “พ่อหนุ่มไม่เป็นไรใช่ไหม!”
“ไม่เป็นไรครับ คุณสบายใจได้! ผมสติไม่ดี!”
เจ้าหน้าที่รักษาความสะอาดทำไม้กวาดร่วงลงพื้นจนเกิดเสียง
ท่ามกลางแสงแดดจัดจ้า วินาทีที่ถูกเสียงดังเซ็งแซ่โอบล้อม ฉินอีอวี๋ได้ย้อนกลับไปในอดีต ความรู้สึกตอนที่นอนอยู่บนดาดฟ้าสมัยเรียนมัธยมปลายกับความรู้สึกในตอนนี้ไม่ได้ต่างกันเลย
เมื่อมือถือสั่นความรู้สึกอันคุ้นเคยนี้ก็ถูกทำลาย
ซึ่งเขารู้อยู่แล้วว่าการที่อยู่ดีๆ โจวไหวก็ส่งข้อความมาตั้งเยอะตั้งแยะ พูดนั่นพูดนี่ก็เพื่อกลบเกลื่อนเรื่องอื่น
ไหวจื่อ ฉันแค่จะบอกให้นายระวังตัวเอาไว้หน่อย อย่าถูกใครหลอกใช้ นายก็รู้ใช่ไหมว่าทำไมหนุ่มหล่อนั่นถึงพยายามตามหานาย ถ้าเขาดึงคนจากวงดังที่โดนกระแสวิจารณ์อย่างหนัก แถมยังดังสุดๆ ไปเดบิวต์วงได้ ไม่ว่าจะชนะหรือไม่ชาร์ตก็ต้องขึ้น ยิ่งนายทั้งดังทั้งเก่งเบอร์นี้ ใครมันจะไม่อยากเกาะกระแส
เดิมทีโจวไหวไม่ได้ตั้งใจพูดจาไม่น่าฟังแบบนี้ แต่เขาทนเห็นเพื่อนต้องล้มลุกคลุกคลานและถูกผีดูดเลือดตัวใหม่ตามตื๊อไม่ได้
ในที่สุดก็มีคำว่า ‘คู่สนทนากำลังพิมพ์ข้อความ…’ ขึ้นมาในหน้าต่างการสนทนา
ดูท่าคำนี้จะโดนใจนายล่ะสิ
อีกเดี๋ยวต้องมีบทความพร่ำรำพันกับเขาเด้งขึ้นมาแน่นอน
แต่สุดท้ายโจวไหวกลับได้รับข้อความแค่ประโยคเดียวว่า
อวี๋ นายพูดถูก ฉันโคตรเจ๋งเลย
* เฝ้าตอรอกระต่าย เป็นสำนวน หมายถึงนั่งรอให้โชคลาภหรือโอกาสลอยมาหา มีตำนานเล่าว่าในสมัยจั้นกั๋วมีชาวนาเห็นกระต่ายตัวหนึ่งวิ่งมาชนตอไม้ตาย เขาจึงไม่ไปทำนา นั่งรอให้กระต่ายวิ่งมาชนตอไม้ตายอีก
** เวยป๋อ คือแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียอย่างหนึ่งของจีน คล้ายกับเฟซบุ๊ก
*** YXH คือบัญชีที่มักจะโพสต์ข้อความที่สร้างความเสียหายแก่บุคคลดังหรือสร้างความแตกแยกระหว่างกลุ่มแฟนคลับ
* เหมือนนับสมบัติในบ้าน เป็นสำนวน หมายถึงรู้เรื่องนั้นๆ อย่างละเอียดชัดเจนราวกับกำลังนับสิ่งของมีค่าในบ้านของตัวเอง
* เถ้าแก่เนี้ย เป็นภาษาจีนแต้จิ๋ว ใช้เรียกภรรยาของเถ้าแก่หรือผู้หญิงที่เป็นเจ้าของกิจการ
* โบสถ์ซีสือคู่ (Church of the Saviour) เป็นโบสถ์คาทอลิกที่มีชื่อเสียงและเก่าแก่แห่งหนึ่งในปักกิ่ง
** สวนสาธารณะเป่ยไห่ (Beihai Park) เป็นหนึ่งในสวนสาธารณะที่มีชื่อเสียงและเก่าแก่ที่สุดในปักกิ่ง ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของพระราชวังต้องห้าม
โปรดติดตามตอนต่อไป…
Comments
