everY
ทดลองอ่าน ท่วงทำนองฝัน วันของดวงดาว เล่ม 1 บทที่ 3-4 #นิยายวาย
บทที่ 4 สาดไฟอันเดือดพล่าน
ตอนเช้าหนานอี่ออกจากสนามสอบก่อนเวลาแล้วสะพายกระเป๋าไปทำงาน
ชายหนุ่มมีธุระรัดตัว พอทำงานพาร์ตไทม์เสร็จก็ต้องตรงไปซ้อมดนตรีต่อ ไม่มีเวลาย้อนกลับไปที่มหาวิทยาลัย เขาเลยถือกีตาร์จากหอพักยาวไปจนถึงคลับ 029
เมื่อเปิดล็อกเกอร์เปลี่ยนเสื้อผ้าของพนักงานก็มีซองจดหมายสีชมพูซองหนึ่งร่วงลงมา บนซองแปะสติ๊กเกอร์รูปหัวใจไว้ด้วย หนานอี่เก็บซองจดหมายขึ้นมาแต่ไม่ได้เปิดอ่าน เขาเก็บมันกลับเข้าไปในล็อกเกอร์เหมือนไม่เคยเห็นมาก่อน
พอเก็บกีตาร์ ใส่ยาหยอดตา เปลี่ยนเสื้อผ้า และใส่แว่นเรียบร้อย หนานอี่ก็ไปยังโซนยิงธนูที่ตัวเองทำงานอยู่
ที่นี่เป็นคลับใหญ่ที่สุดในละแวกนี้ มีกิจกรรมหลายอย่าง ทั้งบิลเลียด โบว์ลิ่ง เกมวีอาร์**…และยิงธนู หนานอี่ผ่านการสัมภาษณ์เลยได้มาฝึกยิงธนูที่นี่ฟรี แถมยังหาเงินพิเศษได้ด้วย
ตอนแรกฟางเจี๋ยที่เป็นเถ้าแก่เนี้ยไม่อยากได้นักศึกษาปีหนึ่งเพราะเรื่องเยอะแถมยังไม่ทนงาน แต่หลังจากหนานอี่ยิงธนูไปสิบดอก เธอก็รับเขาเข้าทำงานทันที
มีใครบ้างที่ไม่อยากจ้างโค้ชหนุ่มด้วยเรตค่าจ้างเท่ากับงานพาร์ตไทม์ทั่วไป
เทียบกับกิจกรรมอื่นๆ กิจกรรมยิงธนูไม่ได้เป็นที่นิยม หนานอี่คิดว่าถ้าลูกค้าไม่เยอะเขาก็จะได้เก็บตัวฝึกซ้อม แต่คิดไม่ถึงว่าจะมีคนมาเยอะกว่าที่คิด แถมแต่ละคนยังเป็นมือใหม่ต่อแถวกันมาเรียน
“เพิ่งจะมาเป็นแบบนี้หลังจากที่นายมาทำงานที่นี่แล้วนั่นแหละ” เพื่อนร่วมงานบอก “เมื่อก่อนวันๆ หนึ่งมีอย่างมากสุดก็แค่สี่ห้าคนเอง”
“เหรอครับ”
ที่เขาพูดประโยคนี้ออกไปไม่ใช่เพราะนึกสงสัยจริงๆ แต่มันเป็นแค่ทริกที่เขามักจะใช้เวลาที่อยากยุติบทสนทนา
ช่วงที่ว่างจากการสอนยิงธนู หนานอี่จะเฝ้าสังเกตลูกค้าทุกคนที่มาคลับ โดยเฉพาะคนที่มาหาเจ้าของคลับ
“โค้ช รอใครอยู่หรือเปล่าคะ”
นักศึกษาสาวที่เข้าแถวอยู่ตั้งใจหยอกเขาเล่น
หนานอี่ไม่ตอบ มุมปากยกโค้งเป็นรอยยิ้ม ดวงตาที่อยู่หลังกรอบแว่นยังคงไม่แสดงอารมณ์ความรู้สึกใดๆ เหมือนเดิม
เวลาห้าโมงครึ่งเขาเหลือบไปเห็นเงาคุ้นตาของใครคนหนึ่งอยู่ในโซนบิลเลียด แม้จะไม่ใช่เป้าหมาย แต่ก็ถือได้ว่าเซอร์ไพรส์อยู่ดี
เป็นฉินอีอวี๋ แต่ดูจากท่าทางแล้วอีกฝ่ายเหมือนจะถูกโจวไหวลากมาหมกตัวอยู่ที่โซฟาทั้งที่ง่วงจนตาแทบปิด ถึงชายหนุ่มจะสวมมาสก์อยู่แต่หนานอี่ก็ยังคงจำเขาได้
สมัยอยู่มัธยมปลายฉินอีอวี๋ชอบเล่นบิลเลียด แถมยังเชี่ยวชาญมาก สามารถเอาชนะคู่แข่งได้อย่างไม่เปลืองแรง และที่ผ่านมาฉินอีอวี๋ก็ชอบทำสิ่งที่ตัวเองเก่งอยู่เสมอ แต่ตอนนี้ชายหนุ่มกลับไม่ยอมขยับตัว แค่มองก็รู้ว่าอารมณ์ไม่ดีเอามากๆ
ที่นี่เปิดเพลงแนวอิเล็กโทร* เสียงดังสนั่น ฉินอีอวี๋เลยนอนไม่หลับ เขาฝืนยันตัวลุกขึ้นมานั่ง ใช้ศอกทั้งสองข้างยันหัวเข่าและใช้มือเท้าคางตัวเอง ผมลอนสีน้ำตาลฟูยุ่งปัดเป๋ไปมาทำให้เขาดูคล้ายเด็กมัธยมปลายมากกว่าเด็กมัธยมปลายตัวจริงเสียอีก
ทักษะการเล่นบิลเลียดของโจวไหวนั้นไม่เข้าขั้นเลย
แต่ฉินอีอวี๋กลับไม่สนใจ เขากวาดสายตามองไปรอบๆ แล้วมาหยุดอยู่ที่โซนยิงธนู ก่อนจะนิ่งค้างแล้วหรี่ตาลง
ถึงจะเห็นแค่ข้างหลัง แต่ฉินอีอวี๋ก็มั่นใจมากว่าคนคนนั้นคือหนานอี่
นี่หนานอี่สะกดรอยตามเขามาอีกแล้วเหรอ
ทำไมอีกฝ่ายถึงเก็งสถานที่ที่จะพบตัวเขาได้แม่นเบอร์นี้
ทั้งที่ตนกำลังจะหายไปจากหน้าสื่อแล้ว
ดูเหมือนฉินอีอวี๋จะถูกตื๊อจนเริ่มมีเซ้นส์บางอย่าง ทว่าชายหนุ่มก็ปฏิเสธคำนี้อย่างรวดเร็ว เพราะถ้าเทียบกับแฟนคลับคลั่งรักในอดีตของเขา หนานอี่นิ่งกว่า รู้จักกาลเทศะมากกว่า เรียกว่าเป็นการ ‘ตามตื๊อ’ ไม่ได้
ไม่นานฉินอีอวี๋ก็สังเกตเห็นชุดทำงานของเจ้าหน้าที่โซนยิงธนูสีขาวที่หนานอี่สวมอยู่ ทำให้เขารู้ว่าตัวเองเข้าใจผิด เพราะหนานอี่แค่มาทำงานพาร์ตไทม์ที่นี่เท่านั้น
แต่มันจะบังเอิญเกินไปแล้ว
พออีกฝ่ายใส่แว่นก็ดูเหมือนนักศึกษาจริงๆ
เพราะหนานอี่ชอบเอาผมปิดหน้าและใส่หมวกเป็นประจำ แม้พวกเขาจะเจอกันหลายครั้ง แต่ฉินอีอวี๋กลับยังไม่เคยเห็นหน้าอีกฝ่ายชัดๆ เลย
เมื่อความง่วงลดลงฉินอีอวี๋ก็คอยมองไปทางโซนยิงธนูเป็นระยะ แล้วก็ต้องแปลกใจเมื่อพบว่าหนานอี่ยิงธนูเก่งมาก เพียงแต่นักเรียนที่อยู่ข้างๆ ไม่ค่อยตั้งใจ เอาแต่คอยมองเขาตลอด
แบบนี้จะไปยิงเข้าเป้าได้ยังไง
ในบรรดาคนเหล่านั้น รวมถึงตัวฉินอีอวี๋เองด้วย คงมีแต่หนานอี่คนเดียวที่ตั้งอกตั้งใจถึงขั้นไม่มองมาทางด้านนี้เลย หนานอี่จึงน่าจะไม่รู้ว่าฉินอีอวี๋อยู่ที่นี่ด้วยราวกับคนที่วางแผนไปดักรอฉินอีอวี๋ที่ประตูทางเข้ามหาวิทยาลัยเมื่อเย็นวานไม่ใช่เขา
การที่หนานอี่ไม่ยอมปล่อยมือจากเขาและพยายามคิดหาทางมาตกเขาให้ติดเบ็ด บอกให้รู้ว่าหนานอี่เป็นคนหัวแข็งพอตัว
“นี่” โจวไหวพยายามคุยกับฉินอีอวี๋เป็นรอบที่สาม
ในที่สุดคราวนี้อีกฝ่ายก็หันมา “มีอะไร”
“นายมองอะไรอยู่ ทำไมถึงทำหน้าฟินขนาดนั้น” โจวไหวมองตามสายตาของฉินอีอวี๋ไปแล้วเห็นแผ่นหลังของหนานอี่ได้แต่ไกล “เอ๋? นั่นมันหนุ่มหล่อขายาวคนนั้นนี่! เขาทำผมทรงนี้แล้วดูดีนะ ฉันก็อยากทำบ้าง นั่นมันทรงวูล์ฟคัตปะ”
“นายก็ทำทรงด็อกคัตสิ จะได้ไม่ต้องเสียเงิน เซฟดีออก”
“ไอ้หอกหัก!”
ฉินอีอวี๋หลบไม้บิลเลียดที่โจวไหวฟาดมา “ก็ฉันบอกแล้วว่าไม่อยากมา แต่นายก็ลากฉันมา นายทำให้ฉันซวยปะเนี่ย”
“แล้วฉันจะไปรู้เรอะ ฉันแค่กลัวว่าถ้าปล่อยให้นายอยู่บ้านแล้วจะกินเหล้าอีก หรือไม่จริง? นายดื่มเยอะขนาดนั้น ถ้าต้องเข้าโรงพยาบาลอีกรอบก็ไม่มีใครไปดูดำดูดีแล้วนะเฟ้ย”
โจวไหวด่าจบก็ส่ายหน้า เขาวางไม้บิลเลียดแล้วเดินไปที่อื่น
“จะไปไหน”
“ฉันหิวน้ำจะไปซื้อน้ำ”
เมื่อส่งลูกค้าที่เล่นครบเวลาเรียบร้อย หนานอี่ก็เก็บลูกธนูแล้วหันไปเห็นฉินอีอวี๋นั่งอยู่ตรงโซฟาพอดี ฉินอีอวี๋กำลังรับสไปรท์จากมือโจวไหว
ความทรงจำของเขาแฟลชแบ็กกลับไปเมื่อสองสามปีก่อนเกิดเป็นภาพซ้อนทับกันบางส่วน
สำหรับหนานอี่ รายละเอียดเกี่ยวกับฉินอีอวี๋ทุกอย่างล้วนชัดเจน ถึงขั้นเห็นภาพฉินอีอวี๋ใช้มือข้างเดียวเปิดกระป๋องน้ำแบบสโลว์โมชั่น แถมฉินอีอวี๋ยังยิ้มพลางพูดอย่างเย่อหยิ่งว่า ‘ฉันใช้มือซ้ายเก่งมาก’
เพียงแต่ตอนนี้ภาพความทรงจำเหล่านั้นได้ผิดไปจากเดิม
ฉินอีอวี๋รับกระป๋องสไปรท์มาใช้มือซ้ายเปิดตามความเคยชินแล้วหยุดนิ่ง
เหมือนเกิดความผิดพลาดแต่ยังแก้ไขทัน ชายหนุ่มหยุดนิ่งอยู่วินาทีหนึ่งแล้วเปลี่ยนเป็นใช้มือทั้งสองข้าง…มือซ้ายกำตัวกระป๋องไว้แบบหลวมๆ และใช้นิ้วโป้งมือขวาดึงห่วงเปิดกระป๋อง
ฉินอีอวี๋ดื่มสไปรท์อึกหนึ่งแล้วใช้ไหล่กระแทกไหล่โจวไหว “นายว่าห้องฉันมีผีสิงหรือเปล่า เห็นอยู่ว่าเมื่อสองสามวันก่อนฉันเพิ่งซื้อเบียร์ไปสิบกระป๋อง ตัวเองดื่มไปแล้วสาม แต่พอเช้านี้ฉันเปิดตู้เย็นอีกทีไม่มีเบียร์เหลือสักกระป๋อง ฉันเลยไปดูถังขยะในห้องครัว นายเดาซิว่าฉันเจออะไร ในถังขยะมีแต่กระป๋องเปล่า!” ฉินอีอวี๋ชูกระป๋องในมือ “แบบนี้ถ้าไม่ใช่ผีก็โจรล่ะวะ”
โจวไหวทำเสียงจิ๊จ๊ะ “ใครเขาจะไปปล้นห้องเช่าโกโรโกโสของนาย นึกว่าตัวเองยังเป็นคุณชายอย่างเมื่อก่อนหรือไง”
“แล้วถ้าเกิดมีคนจะมาปล้นสวาทฉันล่ะ”
“ไสหัวไปเลยไป๊”
ทั้งคู่แหย่กันอยู่ที่โซฟาห่างออกไปไม่ไกล แต่หนานอี่กลับเอาแต่มองจ้องมือของฉินอีอวี๋ตลอด
“สวัสดีครับ”
ชายหนุ่มรูปร่างผอมบางตัวเล็กคนหนึ่งตบไหล่ของหนานอี่ดึงสติของเขาให้กลับมา
อีกฝ่ายเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงร้อนใจว่า “ผมยิงธนูไม่ค่อยเป็น คุณสอนผมหน่อยได้ไหมครับ”
หนานอี่จึงหันหน้ามาแล้วส่งอุปกรณ์ป้องกันให้เขา “แน่นอนครับ”
คลาสยิงธนูไม่ได้เลิกช้า แต่ท้องฟ้ามืดสนิทแล้ว ฉินอีอวี๋ก็หายตัวไปนานแล้วด้วย
เมฆดำทะมึนทิ้งตัวลงมาปกคลุมท้องฟ้า ตอนที่เปลี่ยนเสื้อผ้าหนานอี่ได้ยินเพื่อนร่วมงานคุยกันเรื่องสภาพอากาศ บอกว่ากำลังจะมีพายุ
เพิ่งจะจบคำด้านนอกหน้าต่างก็มีฟ้าแลบ
พริบตาที่เห็นแสงสีขาวจ้าหนานอี่ได้ย้อนกลับไปสมัยเรียนมัธยมต้นอีกครั้ง และความทรงจำที่เกี่ยวกับฉินอีอวี๋ก็แวบเข้ามา ตามด้วยท่าเปิดกระป๋องแบบใหม่ของเขาเมื่อไม่นานมานี้ ราวกับที่ถูกเปิดนั้นไม่ได้เป็นแค่กระป๋อง แต่มันเป็นกล่องความทรงจำที่หนานอี่เฝ้าเก็บรักษาไว้เพียงฝ่ายเดียว
เขายึดมั่นว่าทุกอย่างน่าจะเป็นเหมือนในอดีต หรือถ้าไม่ใช่ก็แสดงว่าจะต้องมีอะไรผิดพลาด
แต่บางทีนั่นอาจจะเป็นแค่วิธีเปิดกระป๋องวิธีหนึ่ง เป็นไปได้ว่าฉินอีอวี๋จะเปลี่ยนเอง ไม่ได้มีอะไรพิเศษเลย
หนานอี่ถอดแว่นแล้วนวดสันจมูก เขาเปลี่ยนเสื้อผ้าและสวมหมวกเบสบอล
ฉือจือหยางส่งข้อความมาหาพอดี
หยาง เสี่ยวอี่ ฉันเพิ่งออกจากมหาวิทยาลัย กำลังจะไปห้องซ้อม
หยาง ระหว่างทางระวังด้วย! ข้างนอกฝนตก
หนานอี่สะพายกล่องเบส สุดท้ายเขาก็เปลี่ยนแผนทั้งที่เขาไม่ชอบการทำแบบนี้ที่สุด
ฟ้าผ่า
ฝนตกหนักขึ้นเรื่อยๆ
พอคลับไม่เหลืออะไรที่น่าเล่นแล้ว ฉินอีอวี๋ก็นึกอยากดื่มแอลกอฮอล์ โจวไหวเองก็ไม่ขวาง แถมยังไปผับกับเขาด้วย ระหว่างทางกลับอพาร์ตเมนต์ฉินอีอวี๋ห่มผ้านอนขดอยู่เบาะหลังรถ เขารู้สึกว่าตัวเองไม่ได้เมา แต่ถูกรถเหวี่ยงจนมึน
ช่วงสั้นๆ ที่อยู่ในรถแค่ยี่สิบสามนาทีฉินอีอวี๋ที่แทบจะไม่ฝันเลยกลับฝันติดต่อกันถึงสี่เรื่อง แม้จะเป็นความฝันที่ขาดห้วงไม่ปะติดปะต่อกัน แต่เรื่องที่น่ายินดีคือความฝันทั้งหมดล้วนเกี่ยวกับวงดนตรีและเป็นภาพสมัยมัธยมปลาย
นี่ก็น่ากลัวเหมือนกัน ฉินอีอวี๋เพิ่งจะอายุยี่สิบสองปี แต่กลับเริ่มคิดถึงวัยเยาว์แล้ว
หลังจากพลิกตัวหลายตลบฉินอีอวี๋ก็ลุกขึ้นมานั่งแล้วสั่นอย่างเพิ่งรู้ตัว
“อ้าว ตื่นแล้วเหรอ”
โจวไหวมองรอยสักบนคอของฉินอีอวี๋ผ่านทางกระจกมองหลัง “ฝันถึงคนในดวงใจคนนั้นอีกแล้วหรือไง”
“คนในดวงใจบ้านนายน่ะสิ” ฉินอีอวี๋หัวเราะเสียงเย็น
“ดูนายทำ ตอนนั้นใครนะที่หลงเสน่ห์เขา ตอนนี้เลิกชอบแล้วเหรอ”
แม้เรื่องจะผ่านไปนานหลายปีแล้ว แต่ฉินอีอวี๋ก็เข้าใจได้ทันทีว่าโจวไหวหมายถึงเรื่องอะไร
สิ่งที่ฉินอีอวี๋ในวันวานตกหลุมรักคือดวงตาคู่หนึ่ง หรือพูดให้ถูกคือเขาตกหลุมรักตัวเองในสายตาคู่นั้น
เพราะมันคือเงาสะท้อนของตัวเองในช่วงที่เพอร์เฟ็กต์ที่สุด
แต่ตอนนี้ทุกอย่างไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว ฉินอีอวี๋รู้ดี อย่างน้อยเขาก็ไม่ได้รักตัวเองแล้ว
และคงไม่มีใครมองจิตวิญญาณพังๆ ดวงหนึ่งด้วยสายตาแบบนั้นอีก
หมอนั่นจะรังเกียจเขาเหมือนคนอื่นไหม ความชอบเป็นสิ่งที่ไม่มีราคาค่างวด เมื่อหมดใจรักความชอบก็มีสิทธิ์กลายเป็นความเกลียดชัง ฉินอีอวี๋เคยตกหลุมรักแฟนคลับปริศนาจนสร้างเรื่องสมมติดาร์กๆ ขึ้นมา ซึ่งเขาก็บอกไม่ได้ว่ามันเป็นเพราะอะไร บางทีเขาอาจจะกลัวความผิดหวังก็ได้
โจวไหวมองหน้าฉินอีอวี๋แล้วคิดว่าในช่วงหลายปีนี้ฉินอีอวี๋เปลี่ยนไปเยอะมาก แต่พอคำพูดมาถึงริมฝีปากเขาก็เปลี่ยนคำทุกที
“เลิกทำตัวเหมือนหมาถูกทิ้งได้ไหม หัวใจสิงห์ของนายอยู่ไหน”
‘หัวใจสิงห์’ คือเพลงหนึ่งที่ฉินอีอวี๋เขียนตอนอายุสิบหก ต่อมามันถูกรวมไว้ในอัลบั้มแรกที่มีชื่อเดียวกันของวงดิสออเดอร์คอนเนอร์
ฉินอีอวี๋หงุดหงิดที่โจวไหวพูดถึงอดีตเลยชูนิ้วกลางพร้อมร้อง “โฮ่ง” อย่างดุดัน
ตอนลงจากรถเขาไม่ได้รับร่มจากมือของโจวไหว แต่ฝ่าฝนที่กำลังตกหนักช่วงสั้นๆ ไปที่ประตูเข้าอาคารอพาร์ตเมนต์
ตอนที่ขึ้นไปถึงชั้นห้าเขาเหมือนเพิ่งจะหลุดพ้นจากความฝันอันอึมครึมและล้วงกุญแจออกมาอย่างมึนๆ แต่ทำยังไงก็หารูกุญแจไม่เจอ ระเบียงก็ทั้งมืดทั้งเงียบ ฉินอีอวี๋โมโหเลยเตะตีนประตูเสียงดังปัง
ไฟสั่งด้วยเสียงพลันสว่างขึ้น
อา…ที่แท้เขาก็ไขกุญแจผิดห้อง
ฉินอีอวี๋หมุนตัวเดินไปฝั่งตรงข้ามด้วยความรู้สึกอึดอัดใจ แต่ใครจะรู้ว่าเขาเกือบสะดุดของที่กองอยู่บนพื้น ซึ่งพอมองดูดีๆ ก็พบว่านี่ไม่ใช่สิ่งของแต่เป็นเงาดำ แถมข้างๆ ยังมีกล่องเบสใบสูงตั้งอยู่ด้วย
ฉินอีอวี๋สงสัยว่าตัวเองกำลังตกอยู่ในห้วงฝันร้ายเรื่องใหม่
จนเงาดำชื้นแฉะก้อนนั้นคลายตัวแล้วลุกขึ้นยืนตรง
เป็นจังหวะเดียวกับที่ไฟสั่งด้วยเสียงดับ ทำให้ระเบียงแห่งนั้นตกอยู่ในความมืดอีกครั้ง ฉินอีอวี๋จึงมองไม่เห็นหน้าฝ่ายตรงข้าม
แต่เขารู้ว่าอีกฝ่ายเป็นใคร
“โอเคๆๆ นายมาอีกแล้ว” ฉินอีอวี๋หัวเราะอย่างอ่อนใจ
“นายคงไม่ใช่พวกโรคจิตอะไรใช่ไหม”
น้ำเสียงของชายหนุ่มเรียกได้ว่านุ่มนวลเหมือนขี้เกียจจะเอาเรื่องและตั้งใจจะปลีกตัวไปไขกุญแจ ฤทธิ์แอลกอฮอล์ทำให้หางเสียงเบาหวิวเหมือนกำลังแง่งอน “ปล่อยฉันไปเถอะ บนโลกนี้มีคนที่เล่นกีตาร์เป็นตั้งเยอะ คนร้องเพลงเป็นเยอะกว่านั้นอีก ทำไมถึงต้องเป็นฉัน”
“ผมอยากได้คุณคนเดียว”
ทำไมถึงเป็นคนแบบนี้นะ
ฉินอีอวี๋ขำ แต่นอกจากหัวเราะแล้วเขาก็ไม่ได้พูดอะไรออกไป เหมือนไม่ได้เก็บเอาเรื่องนี้มาใส่ใจ ชายหนุ่มไขประตูอยู่สองสามครั้งก็เปิดประตูสำเร็จ
เขาเดินตัวโงนเงนเข้าห้อง ตั้งใจจะปิดประตูตามหลังอย่างแรงเพื่อกันโลกภายนอกทั้งหมดไว้ข้างนอก โดยเฉพาะเจ้าบ้าช่างตื๊อคนนี้
แต่ฉับพลันนั้นฉินอีอวี๋ก็สัมผัสได้ว่ามีแรงต้านมาหยุดการปิดประตูของเขาเอาไว้
ประตูเหล็กหนักมาก หากใช้มือเปล่าขวางต้องเจ็บแน่นอน
พอสมองมีความคิดนี้แวบเข้ามา ขมับของฉินอีอวี๋ก็เต้นตุบๆ สองครั้งและหันขวับไปจับประตูไว้ตามสัญชาตญาณ
ฉินอีอวี๋มองมือของหนานอี่ที่จับกรอบประตูอยู่ด้วยสายตาที่ยังตกใจไม่หาย
จากนั้นความโกรธที่อัดอยู่ในอกก็ตามมา ในความมืดหนานอี่มองเห็นสิ่งนี้ได้อย่างชัดเจน
“นายแม่งบ้าฉิบหาย…” ฉินอีอวี๋คว้ามือของหนานอี่ขึ้นมาอย่างแรง “มือนายมีไว้เล่นเบสไม่ใช่หรือไง”
เขาเดาไม่ผิดจริงๆ
ทั้งคำพูดและการแสดงออกล้วนช่วยยืนยันการคาดเดาของหนานอี่
ชายหนุ่มไม่ต่อต้าน ปล่อยให้ฉินอีอวี๋จับข้อมือเขาและใช้มืออีกข้างยกกล่องเบสที่ตั้งอยู่นอกประตูขึ้นมาแล้วยัดเข้าไปในห้องมืดๆ ด้วยท่าทีนิ่งสงบแต่แข็งกระด้าง จากนั้นก็ปิดประตู
พายุฝนซัดสาดหน้าต่างพร้อมกับเสียงฝนตกหนัก แต่ภายในห้องกลับเงียบจนน่ากลัว มีเพียงเสียงหายใจหอบของทั้งคู่
หนานอี่ก้มศีรษะจ้องมองมือที่จับข้อมือของเขาอยู่และพิจารณารอยสักที่เพิ่มเข้ามาใหม่ รอยสักไล่จากข้อมือไปที่นิ้วชี้และนิ้วก้อยเป็นลายแม็กโนเลีย
คำที่ฉินอีอวี๋พูดเมื่อกี้ยังวนเวียนอยู่ในสมองของหนานอี่
ใช่ นี่คือมือที่เขาใช้เล่นเบส
เป็นมือที่เขาใช้กดสาย
เมื่อได้เผชิญหน้ากับฉินอีอวี๋ หนานอี่ก็เรียกเขาด้วยคำที่ไม่เคยใช้เรียกใครมานานหลายปีว่า “รุ่นพี่…มือคุณเจ็บตั้งแต่เมื่อไหร่”
ฉินอีอวี๋อึ้งงันอยู่ที่เดิม
นาทีนั้นเขาตื่นขึ้นจากฝันร้ายด้วยคำถามประโยคเดียว
เพราะคงไม่มีความฝันไหนที่บัดซบกว่าความจริงแล้ว
ฉินอีอวี๋เงียบไปนานก่อนหัวเราะเสียงดัง สะบัดตัวหนานอี่ออกห่าง ลูบใบหน้าที่เปียกชื้นของตัวเอง เอ่ยด้วยน้ำเสียงแหบพร่า “สรุปคือการฟอร์มวงเป็นแค่ข้ออ้าง นายก็แค่คิดว่าตัวเองรู้อะไรบางอย่างเลยตั้งใจมาหยามน้ำหน้าฉันใช่ไหม”
“ผมไม่ได้หาข้ออ้าง แต่ตั้งใจจริง”
การเผชิญหน้ากับฉินอีอวี๋ทำให้หนานอี่กล่าวอ้างเหตุผลที่ตนวิเคราะห์มาไม่ออก เพราะไม่อาจบอกอีกฝ่ายได้ว่านั่นเป็นเพราะผมเคยเห็นคุณในหลากหลายรูปแบบในอดีต ทั้งยังคอยตามคุณเหมือนเงา ผมเลยรู้จักคุณดี ต่อให้เป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ อย่างการเปิดกระป๋องเครื่องดื่มหรือการหลุดปากพูดด้วยความร้อนใจ หนานอี่ก็สามารถนำมาปะติดปะต่อเป็นตรรกะเชื่อมโยงแบบสมบูรณ์ได้
ไม่มีใครรู้เหตุผลแท้จริงที่ฉินอีอวี๋เร้นตัวออกจากวงการ
ผู้คนรู้แค่ว่าเขามีเรื่องกับสมาชิกวงดิสออเดอร์คอนเนอร์คนอื่นๆ และมีข่าวด้านลบสารพัดอย่าง เคยถูกเตะออกจากวง เลิกสัญญากับค่าย และต้องสงสัยว่าถูกแขวน ถึงขั้นหายตัวไปจากสังคม
แต่เรื่องพวกนี้ไม่ใช่ความจริง
ในความมืดเสียงของหนานอี่เคร่งเครียดมาก “เพราะคุณ ผมถึงตัดสินใจเป็นมือเบส ต่อให้มือคุณเจ็บมันก็เปลี่ยนความตั้งใจของผมไม่ได้ ผมตั้งใจฟอร์มวงที่มีคุณและคนหน้าใหม่ทั้งหมด ต่อให้เล่นกีตาร์ไม่ได้ก็ไม่เป็นปัญหา ผมจะเป็นนักดนตรีของคุณ และคุณมาเป็นนักร้องนำของผม”
ฉินอีอวี๋เงียบอยู่นานเหมือนกำลังตั้งใจฟัง
จากนั้นเขาก็แย้มริมฝีปากเป็นรอยยิ้ม
“ตอนนี้นายคงรู้สึกว่าตัวเองยิ่งใหญ่มากเลยล่ะสิ”
หนานอี่ไม่ตอบ
“นายตั้งใจตามหาตัวฉัน พยายามฉุดฉันให้ลุกขึ้น และพูดเสียงดังด้วยสีหน้าจริงใจว่ารีบฮึดขึ้นมาสิ! สู้ๆ นะ!”
ฉินอีอวี๋แสดงสีหน้าแบบโอเวอร์เหมือนเขาเป็นตัวเอกที่กำลังร้องตะโกนอยู่ในการ์ตูนประเภทนักสู้จริงๆ แต่วินาทีต่อมารอยยิ้มที่มุมปากของเขาก็หายไป ดวงตาเป็นสีดำทะมึน
“นายคิดว่าการฟอร์มวงจะช่วยฉันได้เหรอ ก็เอาสิ งั้นนายก็ลองมาช่วยฉันเหมือนแยกขยะก่อนใส่ถังแต่ละประเภทดู แต่นายคงต้องเสียเวลากับงานนี้เยอะมากกว่าจะเข้าใจว่าฉันเป็นขยะประเภทไหน”
ฉินอีอวี๋สูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ
“หรือถ้าจะให้พูดคืออย่าทำเรื่องซึ้งๆ พรรค์นี้เลย ตอนนี้ฉันไม่อยากทำอะไรทั้งนั้น อยากเป็นแค่ขยะที่มีอิสรเสรีเท่านั้นโอเคไหม”
หนานอี่ที่เอาแต่เงียบฟังฉินอีอวี๋พูดจนจบแล้วถึงค่อยเอ่ยปากด้วยน้ำเสียงสัตย์ซื่อจนน่าเวทนาว่า
“แล้วตอนนี้คุณมีอิสระอยู่เหรอ”
ฉินอีอวี๋เลิกพูด
เขาไม่ได้มีอิสระ เพราะเขากำลังถูกตัวเองพันธนาการไว้ หนานอี่ตอบแทนฉินอีอวี๋อยู่ในใจ
อาจเพราะถูกคำถามย้อนของหนานอี่ทำให้ของขึ้น ฉินอีอวี๋เลยดันร่างของหนานอี่ไปกระแทกประตูเสียงดังตึง…แผ่นหลังของหนานอี่ไปกระแทกประตูเหล็กแรงมากจนหมวกเบสบอลหลุด
หมวกร่วงลงมาใส่มือของฉินอีอวี๋ที่จับคอเสื้อเขาไว้ก่อนตกลงสู่พื้น
ฉินอีอวี๋ขอบตาแดงเรื่อ น้ำเสียงเปลี่ยนเป็นดุดัน “อย่ามาแอ๊บว่านายเข้าใจเลย”
ท่ามกลางความมืด ปลายจมูกของพวกเขาชนกัน ลมหายใจไม่เป็นจังหวะปะทะกัน
“เพราะไม่เข้าใจผมถึงมาหาคุณ” หนานอี่พูดเสียงเบา “ผมตามหาคุณมานานแล้ว”
วลีนี้เป็นเหมือนคำสาป
ฉับพลันนั้นด้านนอกหน้าต่างมีฟ้าแลบ แสงสีขาวสาดเข้ามาในห้องนี้ชั่วพริบตาหนึ่ง แสงจ้าทำลายความมืดและสาดให้เห็นร่างกายเปียกโชกของหนานอี่ทำให้ดวงตาคู่นั้นเปล่งประกาย
ดวงตาที่มองตรงมาที่เขาอย่างตั้งใจเหมือนกำลังจ้องเหยื่อ
แววตาของฉินอีอวี๋เปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน
หนานอี่ไม่เข้าใจ
ไม่รู้ทำไมอยู่ดีๆ มือที่จับคอเสื้อเขาอย่างโกรธจัดก็อ่อนแรงลง และตอนนี้เองความขัดเคือง ความเจ็บปวด และการพยายามดิ้นรนต่อสู้ของฉินอีอวี๋ที่แสดงออกมาเมื่อกี้ก็เหมือนจะจางหาย แววคมปลาบในดวงตาเหมือนถูกสายน้ำหลากกลืนไปกลายเป็นความแตกตื่นที่หนานอี่อ่านไม่ออก
เขาไม่แน่ใจว่ามันเกิดเรื่องอะไรขึ้นจึงมองจ้องฉินอีอวี๋อย่างให้ความสนใจเต็มที่ เขามองเข้าไปในดวงตาของอีกฝ่ายตรงๆ อย่างหาได้ยาก
ประกายในดวงตาของฉินอีอวี๋วูบไหว นัยน์ตาสะท้อนภาพที่เขาเฝ้าตามหา
หลังฟ้าผ่า จู่ๆ ฉินอีอวี๋ก็หัวเราะเย้ยหยันตัวเอง ดวงตาร้อนแดงเหมือนถูกเผา
ฉันต่างหาก…ที่ตามหานายมานานมาก
แสงฟ้าแลบที่สาดมาอีกครั้งทำลายความลังเลสุดท้ายของชายหนุ่มลง
นาทีนี้เลือดที่ฉินอีอวี๋เข้าใจว่าแข็งตัวไปแล้วเหมือนจะเดือดพล่าน สมองที่ไม่ยอมฟังคำสั่งก็วาดภาพออกมา เสียงเฮกับเสียงกรี๊ดตามจังหวะดนตรีอันเร่าร้อน คลื่นมหาชน เสียงกระหึ่มของกีตาร์ไฟฟ้าไหลเข้ามาในสมองของเขาอย่างรุนแรงเหมือนทะเลที่อรัญญา
ทำให้เขาย้อนกลับไปสู่จุดพีคที่สุดในชีวิต มีผู้คนจำนวนนับไม่ถ้วนมอบความรักให้เขา แต่ตัวของฉินอีอวี๋ที่อยู่บนเวทีกลับถูกดวงตาคู่หนึ่งขโมยหัวใจไป
ซึ่งก็คือดวงตาคู่นี้
เมื่อมองเข้าไปฉินอีอวี๋เห็นภาพของตัวเองผู้เย่อหยิ่งแต่กลับถูกตัวเองทอดทิ้งและหลงลืมไปได้อย่างชัดเจน
ทำให้เขาหมดทางหนีอีกครั้ง
** เกมวีอาร์ (Virtual Reality Game) คือเกมสร้างสิ่งแวดล้อมเสมือน (Virtual Environment) ที่ทำให้ผู้เล่นรู้สึกเหมือนอยู่ในโลกอีกหนึ่ง
* อิเล็กโทร (Electro) หรือที่รู้จักในชื่ออิเล็กโทรฟังก์ และในบางกรณีเรียกว่าอิเล็กโทรป็อป เป็นแนวดนตรีอิเล็กทรอนิกส์แดนซ์ที่เกิดขึ้นในช่วงต้นทศวรรษ 1980 มีลักษณะเด่นคือการใช้ดรัมแมชชีน Roland TR-808 อย่างเด่นชัด และได้รับอิทธิพลโดยตรงจากดนตรีฮิพฮ็อพและฟังก์ในยุคแรก
โปรดติดตามตอนต่อไป…
Comments
