everY
ทดลองอ่าน ท่วงทำนองฝัน วันของดวงดาว เล่ม 1 บทที่ 5-6 #นิยายวาย
ทดลองอ่านเรื่อง ท่วงทำนองฝัน วันของดวงดาว เล่ม 1
ผู้เขียน : จื้อฉู่ (稚楚)
แปลโดย : ปราณหยก
ผลงานเรื่อง : 恒星时刻 (Heng Xing Shi Ke)
ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน
จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว
หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย
– – – – – – – – – – – – – – – – –
Trigger Warning
นิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องที่แต่งขึ้นจากจินตนาการของผู้เขียน
ไม่มีความเกี่ยวข้องกับบุคคล สถานที่ หรือเหตุการณ์จริงใดๆ
เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับการบรรยายถึงเลือดและสภาพศพ
การบูลลี่ บาดแผลทางใจในวัยเด็ก ความรุนแรงในครอบครัว
การทำร้ายทางร่างกายและจิตใจ อาการป่วยทางจิต
การสะกดรอยตาม และความรุนแรง
ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ
สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป
โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
** หมายเหตุ: ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **
– – – – – – – – – – – – – – – – –
บทที่ 5 เล็งยิงตรงที่หัวใจ
ฝนสาดซัดกระจกหน้าต่างอย่างแรง แต่ภายในห้องกลับเงียบอย่างน่าประหลาด
หนานอี่ไม่มั่นใจว่ามันเป็นเพราะอะไร เขารู้แค่ว่าฉินอีอวี๋ยังมองจ้องเขาอย่างตั้งใจและมองลึกราวกับจะมองทะลุกระดูกเข้าไปให้เห็นแจ่มแจ้ง ซึ่งมันทำให้หนานอี่รู้สึกอึดอัด
เพราะเขาไม่ชอบให้ใครมาจ้องแบบนี้เอามากๆ
เนื่องจากหนานอี่มีตาสีอ่อนที่ผิดไปจากคนทั่วไป เขาจึงตกเป็นเป้าสายตามาตั้งแต่เล็ก แต่ความจริงลักษณะพิเศษนี้บ่งบอกถึงปัญหาสุขภาพ
ตอนอายุห้าขวบมีคนสังเกตว่าสายตาของเขาไม่ดีเป็นครั้งแรก หนานอี่จึงถูกพ่อแม่พาไปหาหมอและต้องหาหมอยาวมาอีกหลายปี แต่จนแล้วจนรอดก็ทำได้แค่บรรเทาอาการ ไม่สามารถรักษาให้หายขาด
อาจเพราะหนานอี่เกิดมาในครอบครัวที่มีความสุข ตัวเขาในวัยเด็กจึงไม่ใส่เรื่องนี้มากนัก และค่อยๆ ปรับตัวให้เข้ากับความอยากรู้อยากเห็นของผู้คนได้ เพียงแต่เด็กชายชอบไว้ผมหน้าม้า ใส่แว่นเวลาเรียน และชินกับการไม่มองตาคู่สนทนา
จนปีที่เขาอายุเจ็ดขวบ หนานอี่ขึ้นชั้นประถมปีที่สอง ความจริงวันนั้นก็เป็นวันธรรมดาๆ วันหนึ่ง คุณยายมารับเขาหลังเลิกเรียนเพื่อพาเขาไปหาหมอ กว่าจะได้ผลตรวจก็เย็นมาก แต่พอตรวจเสร็จพวกเขากลับไม่ได้ตรงกลับบ้านกันทันที
คุณยายรักหนานอี่มาก และรู้ว่าหลังตรวจกับคุณหมอแล้ว เด็กชายจะอยากกินของหวาน คุณยายเลยจูงมือเขาไปซื้อขนมเยอะแยะ มีทั้งขนมเค้ก ขนมปังไส้เนย และพุดดิ้งราดซอสผลไม้ใสๆ
แต่ของพวกนี้หนานอี่ไม่เคยได้ลิ้มรส เพราะสุดท้ายพวกมันจมอยู่ในกองเลือด
เกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์ขึ้นหลังจากนั้นไม่กี่นาที หนานอี่ตื่นตะลึงอยู่ในกองเลือดจนคนผ่านทางคนแรกมาพบ
ความเป็นเด็กทำให้เขาไม่รู้ว่ามีอะไรผิดพลาดที่ตรงไหน ทั้งที่เขากับคุณยายเดินข้ามถนนที่ทางม้าลายเหมือนที่ถูกสอนมาตั้งแต่เล็ก หนานอี่คอยนับถอยหลังตามไฟแดง เวลาผ่านไปทีละวินาที เมื่อสัญญาณไฟเปลี่ยนเป็นไฟเขียวเขาก็ชูมือข้างที่ถูกคุณยายจูงขึ้นอย่างร่าเริง
‘คุณยายครับ ข้ามถนนได้แล้ว’
แต่ชั่วพริบตานั้นทุกอย่างก็เปลี่ยนไป มีเสียงชนดังแสบแก้วหู ภาพสยองเหมือนฝันร้ายและรถที่ขับหนีไป
เด็กชายยืนอยู่ตรงนั้น เลือดสาดเต็มหน้าและเหมือนจะกระเซ็นเข้าไปในดวงตา เขาทั้งแสบทั้งเจ็บ ภาพทุกอย่างพร่ามัวเหมือนถูกทับด้วยแผ่นฟิล์มพลาสติกสีขาวทำให้เขาหายใจไม่ออก
แต่พอมีเสียงคนกรี๊ดดังมาจากริมถนน แผ่นฟิล์มก็ฉีกขาด ความรู้สึกแปลกประหลาดที่อัดแน่น ทั้งเจ็บปวดและหมดแรงต่างท่วมท้นขึ้นมา หนานอี่ตัวกระจ้อยทรุดลงไปคุกเข่าบนพื้น เขาใช้มือปิดปากคุณยายอย่างลนลานด้วยความหวังว่าจะช่วยห้ามเลือดที่ทะลักออกมาได้
คุณยายไม่ได้อ้าปาก เพียงใช้แรงเฮือกสุดท้ายยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาที่ไหลออกมาจากดวงตาของหนานอี่
จนถึงวันนี้คราบเลือดที่ติดอยู่บนปลายนิ้วสากๆ นั้นเหมือนจะไม่เคยหายไป
หากเขาไม่มีดวงตาที่มองไม่ชัดคู่นี้ก็คงไม่เกิดอุบัติเหตุขึ้นใช่ไหม
สำหรับเด็กน้อยคนหนึ่งการได้เห็นคนในครอบครัวจากไปต่อหน้าต่อตานั้นสะเทือนจิตใจจนไม่สามารถทนรับได้ หลังจากเหตุการณ์นั้นหนานอี่ก็ไม่เปิดปากพูดอีกเลย และไม่สามารถไปเรียนหนังสือตามปกติได้ ทำได้เพียงพักผ่อนอยู่ที่บ้าน
พ่อกับแม่พยายามมอบความห่วงใยและความรักให้เขาอย่างเต็มที่ แต่ก็ไม่สามารถชดเชยได้
เพราะหนานอี่สูญเสียทักษะการพูดและมีภาวะ PTSD* ส่งผลให้ตัวเขาในวัยเยาว์ไม่สามารถโต้แย้งในชั้นศาล ทนายแก้ต่างของฝ่ายตรงข้ามจึงฉวยโอกาสอ้างว่าคำให้การของเด็กที่มีภาวะ PTSD ไม่มีน้ำหนัก ขาดความน่าเชื่อถือ สามารถพลิกคดีได้อย่างง่ายดาย
คนที่นั่งอยู่ตำแหน่งจำเลยเป็นแค่คนขับรถที่ถูกส่งตัวมาเป็นแพะรับบาป ไม่ใช่ฆาตกรตัวจริง หนานอี่ในวัยเด็กชี้หน้าเขาพลางร้องไห้ด้วยหัวใจที่แตกสลาย แต่กลับพูดไม่ออกสักคำ
พ่อแม่ของหนานอี่พาเด็กชายผู้เงียบขรึมตระเวนไปหาหมอถึงสองปีเต็มๆ แต่กลับไร้ผล การฟื้นฟูทักษะทางภาษาในวัยเรียนเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง พวกเขาจึงเตรียมใจว่าหนานอี่อาจจะพูดไม่ได้ไปตลอดชีวิตจึงไปเรียนภาษามือกับเขาตามคำแนะนำของแพทย์
แต่พอหนานอี่ยื่นมือทั้งสองข้างออกไป เขากลับทำภาษามือไม่ได้เลย นอกจากน้ำตาไหลเงียบๆ
เพราะเขามองเห็นภาพหลอน เห็นสองมือของตัวเองเปื้อนเลือด
ในช่วงที่อากาศหนาวจัดหลังผ่านปีที่สอง หนานอี่นั่งรอพ่ออยู่บนม้านั่งยาวภายในโรงพยาบาลตามลำพัง พ่อไปรับผลตรวจนานมากแล้ว ทว่าหนานอี่รอเท่าไหร่พ่อก็ไม่มาเสียที
เด็กชายจึงลุกไปตามหา เขาเดินผ่านญาติผู้ป่วยที่คุกเข่าให้หมออยู่ตรงทางเดิน เดินผ่านผู้ป่วยที่ต้องถือน้ำเกลือเองพลางกินเกี๊ยวที่สั่งมาจากร้านข้างนอก เดินผ่านความทุกข์ของมนุษย์จำนวนมากมายมหาศาล และสุดท้ายเขาก็เจอตัวพ่อที่โซนโรงอาหาร
ความเจ็บปวดของภรรยา การฟ้องร้องที่ไม่เป็นผล ความป่วยไข้ของลูกชาย ทุกอย่างล้วนกดทับอยู่บนบ่าของเขาทำให้เหนื่อยล้าทั้งร่างกายและจิตใจจนผมหงอกไปเกินครึ่ง แต่เพราะแบบนี้แค่เห็นแผ่นหลังของพ่อ หนานอี่ก็จำได้ทันที
เวลาอยู่ต่อหน้าเขา พ่อจะยิ้มแย้มแจ่มใสเสมอ แต่ตอนนี้พ่อกำลังกุมศีรษะร้องไห้อยู่หลังตู้กดน้ำ
ในความเงียบสงัด หนานอี่ที่ผ่านการฉลองวันเกิดแบบอึมครึมมาสองครั้งได้ก้าวเข้าสู่บทใหม่ของชีวิต ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังเป็นเด็กน้อย หนานอี่เดินไปหาพ่อ ย่อตัวลงแล้วซบไหล่ ก่อนจะใช้นิ้วเช็ดน้ำตาที่ไหลออกมาจากดวงตาแดงก่ำของพ่อเหมือนอย่างที่คุณยายทำ
‘พ่อครับ…อย่าร้องไห้’
จนถึงวันนี้หนานอี่ก็ยังไม่รู้ว่าตัวเองกลับมาเปล่งเสียงอีกครั้งได้ยังไง เขาจำได้แค่ว่าพ่อร้องไห้หนักกว่าเดิมและสวมกอดเขาอย่างไร้เรี่ยวแรง
แต่ก็ไม่ใช่เรื่องน่ายินดีเท่าไหร่ เพราะอีกไม่นานจะมีเรื่องเศร้าถาโถมเข้ามาอีกเรื่อยๆ ชนิดไม่เปิดโอกาสให้พวกเขาได้พักหายใจ ทำให้ครอบครัวที่สมบูรณ์พร้อมถูกทำลายจนยับเยิน
บางครั้งหนานอี่ก็คิดว่าทำไมถึงต้องเป็นครอบครัวของพวกเขา
โชคชะตาต้องการทำลายสิ่งดีๆ เพื่อสำแดงเดชว่าอำนาจของโชคชะตาไร้ผู้ต้านเหรอ
การที่หนานอี่สูญเสียทักษะการพูดไม่ใช่เป็นบาดแผลเพียงหนึ่งเดียว…เพราะหลังจากนั้นทุกครั้งที่ต้องข้ามถนน เวลายืนอยู่หน้าทางม้าลายหนานอี่จะมีอาการหูแว่ว
แต่เขาไม่รู้ว่ามันเป็นความผิดปกติอะไร เลยไม่เคยเล่าเรื่องนี้ให้พ่อผู้เหนื่อยล้าฟัง
กาลเวลาฉุดลากให้เขาเดินไปข้างหน้า ตอนแรกหนานอี่เข้าใจว่าพอขึ้นมัธยมต้นแล้วทุกอย่างจะดีขึ้น แต่เด็กชายกลับพบว่าตัวเองก้าวลงไปสู่เหวลึกกว่าเดิม
หลังจากเข้าเรียนได้ไม่นานเขาก็ถูกบูลลี่ในโรงเรียน
ตัวการเป็นนักเรียนมัธยมต้นปีที่สามที่โตกว่าเขาสามปี ชื่อเฉินอวิ้น
ตอนแรกอีกฝ่ายก็แค่เย้ยหยันด้วยคำพูด ดูแคลนร่างกายที่ยังไม่โตเต็มที่ของเขา และเอาเรื่องดวงตาที่ไม่เหมือนคนอื่นของหนานอี่ไปล้อเลียน ต่อมาเขาก็สั่งให้เพื่อนร่วมชั้นของหนานอี่บอยคอต เอาหนังสือของเขาไปทิ้งและฉีกการบ้านของเขา
พอหนานอี่เริ่มสู้กลับ ความขัดแย้งก็ยกระดับขึ้น เด็กชายถูกจับขังในห้องน้ำ ถูกดูแคลนและทำร้ายร่างกาย
เขาได้ยินสาเหตุของการกลั่นแกล้งจากปากของเพื่อนร่วมชั้นว่าเพราะสาวที่เฉินอวิ้นตามจีบอยู่ชอบหนานอี่ ซึ่งเรื่องนี้ไปทำลายอีโก้ของอีกฝ่าย
การที่หนานอี่เงียบขรึม ไม่เข้ากลุ่มกับใคร แต่มีผลการเรียนโดดเด่นกับรูปร่างที่ยังไม่เจริญเติบโตเต็มที่ ผอมบาง ตัวเล็ก นิสัยดื้อด้าน…กลายเป็นสาเหตุที่ทำให้เขาถูกรังแก
เดิมทีเรื่องนี้ควรหยุดอยู่แค่การบูลลี่ แต่วันหนึ่งหนานอี่บังเอิญเห็นคนที่มารับเฉินอวิ้นกลับบ้าน
คนคนนั้นคือคนที่ขับรถชนคุณยายของเขา…เฉินซั่นหง อีกฝ่ายถึงขนาดใส่เสื้อฮาวายที่คล้ายกับวันเกิดเหตุด้วย
หนานอี่ทนไม่ไหว เขาขี่จักรยานไล่ตามรถปอร์เช่อย่างบ้าคลั่งจนล้มกระแทกขอบทางอย่างแรง
แต่เรื่องน่าขำคือตอนที่เขาบุกเข้าไปในห้องเรียนของนักเรียนปีสูงกว่าเพื่อคว้าคอเสื้อของเฉินอวิ้นเหมือนถูกผีร้ายสิงร่างในวันต่อมา วินาทีที่หนานอี่ตั้งใจจะถาม เขากลับสูญเสียทักษะการพูดอีกครั้ง อารมณ์ที่พลุ่งพล่านทำให้เด็กชายทำได้แค่ตะโกนเสียงแหบไม่กี่คำว่า
‘ฆ่าคนต้องชดใช้! ฆ่าคน…’
เขาไม่มีวันลืมสายตาของเฉินอวิ้นในตอนนั้น เด็กชายไม่รู้เรื่องอะไรเลย หน้าเหวอสนิท เฉินอวิ้นด่าหนานอี่ว่าไอ้โรคจิตแล้วให้พรรคพวกลากตัวหนานอี่ไปกระทืบอย่างหนัก
ที่แท้เฉินอวิ้นก็ไม่รู้เรื่องอะไรสักอย่าง
เด็กชายไม่รู้ว่าพ่อของตัวเองเป็นฆาตกรฆ่าคนตาย และไม่รู้ว่าพ่อของตัวเองทำอะไรกับครอบครัวของหนานอี่
สำหรับเฉินซั่นหง เรื่องใหญ่อย่างการสูญเสียหนึ่งชีวิตและทำให้ครอบครัวของหนานอี่พังทลายไม่ได้มีความหมายอะไร เขาไม่เห็นความจำเป็นที่ต้องเล่าให้ลูกของตัวเองฟัง
หนานอี่เดินกะโผลกกะเผลกเข้าไปในห้องพยาบาลด้วยตัวเอง เด็กชายกัดฟันขณะแอบสาบานกับตัวเองว่าเขาจะไม่มีวันพูดถึงเรื่องนี้อีก
แต่สักวันเขาจะต้องจัดการไอ้ชาติชั่วนั่นให้ได้
การบูลลี่ที่โรงเรียนนี้กินเวลายาวนานทำให้ชีวิตในโรงเรียนกลายเป็นหนองน้ำดำมืด ความเจ็บแค้นทบเท่าทวีทำให้เขาติดอยู่ในนั้นอย่างโดดเดี่ยว ไม่สามารถนอนหลับหรือคิดอย่างเด็กปกติได้ นับวันอาการก็ยิ่งหนักขึ้นจนยากจะถอนตัว
แต่วันที่แสนธรรมดาวันหนึ่ง…วันที่ยี่สิบสามเดือนธันวาคม ปลายภาคเรียนที่หนึ่ง
ช่วงนั้นปักกิ่งมีหิมะตกหนักอย่างหาได้ยาก ซึ่งดวงตาของหนานอี่ก็สู้แสงแรงๆ ไม่ได้อยู่แล้ว ในช่วงหลายวันมานี้มีแสงสะท้อนจากหิมะทำให้ดวงตาข้างซ้ายของเขามีปัญหาอย่างรุนแรงจนต้องใส่ที่ปิดตาหนึ่งข้าง
ตอนเที่ยงหนานอี่เดินออกจากโรงอาหารแล้วถูกพวกเฉินอวิ้นดักที่ใต้อาคารอเนกประสงค์
‘เอาผมปิดตาทั้งวัน ไม่เห็นใครอยู่ในสายตาเลยใช่ไหม’
‘นี่นายรู้จักหมาป่าตาขาว* ไหม ลูกตานายมันก็เหมือนอยู่นะ ฮ่าๆๆ’
‘ตัวก็เตี้ยแล้วยังไว้ผมยาวให้ดูลึกลับอีก แถมตอนนี้ยังใส่ที่ปิดตาด้วย ตั้งใจจะทำเท่แบบมังกรตาเดียวใช่ไหม ไอ้ทึ่มเอ๊ย’
พวกนั้นจับแขนของหนานอี่ไว้แล้วเฉินอวิ้นก็เดินมาเตะท้องเขาหนึ่งครั้ง
‘มองอะไร! ขืนมองอีกเดี๋ยวพ่อก็ทำให้ตาบอดอีกข้างหรอก!’
หนานอี่ของขึ้นทันที เขาดิ้นราวกับสัตว์ป่า และจังหวะนั้นเองหน้าต่างที่อยู่ด้านข้างก็เปิดผาง คนตรงหน้าต่างยื่นตัวออกมาครึ่งตัว ตาปรืออย่างง่วงงุน ปลายผมกระดก
เขาสวมเสื้อแจ็กเก็ตโรงเรียนที่เป็นสีขาวดำของนักเรียนมัธยมปลาย เด็กหนุ่มกวาดตามองไปรอบๆ อย่างเกียจคร้านแล้วยิ้มให้เฉินอวิ้นที่ชูหมัดหรา ‘แกล้งเพื่อนอยู่เหรอ’
ตอนพูดมีควันสีขาวลอยออกมาจากปาก แม้สีหน้าท่าทางจะดูอ่อนโยน แต่หนานอี่สังเกตเห็นว่าหลายคนที่อยู่รอบตัวกลับเผลอเกร็งตัวขึ้นและหยุดการเคลื่อนไหวทั้งหมด
เฉินอวิ้นอึ้งงันไปอย่างเห็นได้ชัด ไม่ได้ส่งเสียงอีก แต่ใครจะรู้ว่าเด็กหนุ่มคนนั้นจะกระโดดข้ามหน้าต่างออกมาหาพวกเขา อีกฝ่ายตัวสูงกว่าเด็กๆ กลุ่มนี้มากจึงให้ความรู้สึกกดดันอย่างรุนแรง
‘หนวกหูชะมัด’ เขายืดตัวบิดขี้เกียจและหักนิ้วเสียงดังกร๊อบ ‘ฉันกำลังนอนสบายๆ ฝันว่าถูกล็อตเตอรี่ กำลังจะไปขึ้นรางวัล แต่ชวดหมด! บอกมาซิว่าพวกนายจะชดใช้ยังไง’
คนคนนี้ไม่ใช่ใครอื่น เพราะในโรงเรียนนี้ไม่มีใครไม่รู้จักใบหน้านี้ และเป็นหนึ่งในผู้คนจำนวนน้อยนิดที่หนานอี่ผู้เอาแต่อยู่ในโลกของตัวเองยังรู้จัก
ทุกคนมองหน้ากันแล้วสุดท้ายก็หันไปมองเฉินอวิ้น
เฉินอวิ้นเก็บสีหน้าไม่อยู่ ผลักจางจื่อเจี๋ยที่อยู่ข้างตัวหนึ่งครั้ง…จางจื่อเจี๋ยเป็นสุนัขรับใช้ที่ซื่อสัตย์ที่สุดของเขา
‘มัวอึ้งอะไรอยู่ ลากตัวเขาไปสิ’
จางจื่อเจี๋ยกลืนน้ำลายและฝืนปั้นหน้ากระชากแขนหนานอี่ ‘ไปสิ!’
ไม่รอให้หนานอี่ได้ขัดขืน วินาทีต่อมาขาข้างหนึ่งก็เตะมาอย่างแรง จางจื่อเจี๋ยร้องโอ๊ยพร้อมทรุดตัวลงทันที ซึ่งแรงนั้นเกือบทำให้หนานอี่ล้มตามลงไปด้วย เพราะเขาถูกจางจื่อเจี๋ยดึงแขนข้างหนึ่งไว้
แต่หนานอี่ก็ไม่ได้ล้มตามจางจื่อเจี๋ยลงไป เพราะแขนอีกข้างหนึ่งถูกใครอีกคนจับเอาไว้แน่น
แต่ไม่นานคนทำก็ปล่อยแขนเขาแล้วยิ้มอย่างเป็นมิตรสุดๆ เด็กหนุ่มก้มตัวลงมาดึงตัวจางจื่อเจี๋ยให้ลุกขึ้นอย่างมีน้ำใจ ‘ขอโทษๆ ขาฉันไม่ดี เข่ามันเด้งแรง ไม่เชื่อนายก็ดู…’
เขาพูดจบก็ตั้งใจจะยกขาขึ้นอีกครั้งทำให้พวกเฉินอวิ้นถอยกรูดกันตามสัญชาตญาณ
จางจื่อเจี๋ยลุกไม่ขึ้นเลยคลานหนี ทำให้เฉินอวิ้นเสียหน้า แต่เขาจะหาเรื่องคนดังของฝ่ายมัธยมปลายไม่ได้ เลยได้แต่ด่าหนานอี่อย่างดุดันหนึ่งประโยคแล้วสะบัดหน้าหนีไป
คนอื่นๆ ก็ไม่กล้าอยู่ต่อเลยเผ่นตาม
‘หนีเร็วขนาดนี้ ไม่แน่จริงนี่หว่า…’ ชายหนุ่มเสยผมที่กระดกเพราะถูกนอนทับแล้วปรายตามองหนานอี่ที่ก้มหน้าอยู่ข้างๆ เขาร้องเอ๋? ที่เห็นหนานอี่นิ่งเลยดึงแขนเด็กชายแล้วเรียกเสียงเบา ‘รุ่นน้อง…ไม่เป็นไรใช่ไหม ให้ฉันพานายไปห้องพยาบาลดีหรือเปล่า ฉันรู้จักที่นั่นดี’
หนานอี่ก้มหน้าไม่พูดไม่จา ตอนแรกเขาเข้าใจว่าอีกฝ่ายจะปล่อยมือ แต่คิดไม่ถึงว่ารุ่นพี่จะไม่ได้ปล่อยแขนตน แถมยังยื่นมืออีกข้างหนึ่งมาด้วย ชายหนุ่มก้มตัวตั้งใจจะปัดผมหน้าม้าของหนานอี่ขึ้นเพื่อตรวจดูบาดแผล ทว่าปลายนิ้วแตะถูกที่ปิดตาสีดำเข้าเสียก่อน
‘อย่าเอาแต่ก้มหน้าสิ ขอฉันดูหน่อยนะ นายตาเจ็บเหรอ’
‘เปล่าครับ ขอบคุณครับรุ่นพี่’ หนานอี่รีบถอยห่างและกล่าวคำขอบคุณอย่างรีบร้อนก่อนหมุนตัววิ่งหนีไป
ทิ้งไว้เพียงรอยเท้าเป็นทางกลางพื้นหิมะ
แม้หนานอี่จะหนีไปตามสัญชาตญาณ แต่หลังจากเหตุการณ์วันนั้นเขาก็อยากรู้ชื่อของรุ่นพี่มาตลอด อยากรู้มากๆ
อีกไม่กี่วันก็ถึงการแสดงวันส่งท้ายปีเก่าของโรงเรียน
มีการร่ายบทกวีที่แสนน่าเบื่อ การร้องโซโล่ การร้องเพลงประสานเสียง การเต้นรำ และการแสดงเล็กๆ น้อยๆ ทำเอาผู้ชมทุกคนพากันง่วงเหงาหาวนอน ส่วนหนานอี่เอาแต่เหม่อลอย และรายการต่อไปก็เป็นการร้องโซโล่อีก ซึ่งเพลงที่พิธีกรบอกคือ ‘ซึ้งในพระคุณ’
ซึ้งในพระคุณ…แค่ได้ยินคำนี้เขาก็ไม่อยากสนแล้วว่าใครเป็นคนร้อง
หนึ่งวินาทีถัดมาก็มีเงาของใครคนหนึ่งวิ่งขึ้นไปบนเวที เขายืนอยู่ที่หน้าไมค์ด้วยท่าทีไม่ค่อยสำรวม และพริบตาที่เสียงดังขึ้นหนานอี่ก็ย่นหัวคิ้ว
พอเงยหน้าขึ้นภาพใบหน้าคุ้นตาก็พุ่งเข้ามาในจักษุประสาท ชายหนุ่มทำหน้าตาทะเล้น เลิกคิ้วสูง บอกว่าตัวเองคือฉินอีอวี๋ ชั้นมัธยมปลายปีที่หนึ่ง ห้องเก้า
ฉินอีอวี๋
ดนตรีประกอบยังไม่มาฉินอีอวี๋ยิ้มพลางร้องเทสต์สองประโยค จู่ๆ ก็หยุด หันหน้าไปชูแขนขึ้นสูงเพื่อกวักเรียกคนที่อยู่หลังเวที
พึ่บพั่บ
มีคนวิ่งออกมาจากหลังม่านที่แขวนอยู่ด้านข้างเวทีสามคน และในจังหวะที่อาจารย์ทั้งโรงเรียนทำหน้าเหวอ ผ้าม่านสีแดงเขียนข้อความว่า ‘Merry Xmas and Happy New Year’ ที่ติดอยู่ด้านหลังก็หลุดร่วงลงมา เผยให้เห็นสิ่งที่แอบซ่อนอยู่หลังม่าน มีกลองชุด กีตาร์ เบส และลำโพง
พวกเขาทุกคนเข้าประจำที่กันอย่างกระตือรือร้น แล้วมองไปทางพระเอกตัวจริง
ฉินอีอวี๋วิ่งไปหยิบกีตาร์ไฟฟ้ามาสะพายก่อนพุ่งตัวกลับไปที่ไมค์ วินาทีที่มือกลองตีไม้แรก เขาก็บรรเลงท่อนริฟฟ์* ที่แสนจะมีสีสันและทรงพลังออกมาท่อนหนึ่ง
จนถึงวันนี้หนานอี่ก็ยังจดจำแรงปะทะในนาทีนั้นได้ มันเหมือนมีกระแสไฟฟ้าแห่งความสดใสแล่นปราดไปทั่วร่างกายอันด้านชาของเขา บดขยี้ร่างกายทุกส่วนให้กลายเป็นผุยผง แต่วินาทีถัดมาเขาก็ฟื้นคืนชีพขึ้นมาใหม่
เพลงซึ้งในพระคุณเป็นแค่ตัวหลอก ฉินอีอวี๋ร้องเพลงร็อกแอนด์โรลที่ตัวเองแต่งต่อหน้าอาจารย์ทั้งโรงเรียนด้วยท่าทางเจ้าเล่ห์และเป็นกบฏ เพลงหัวใจสิงห์
เสียงกีตาร์ไฟฟ้าดังสนั่นเหมือนเชื้อเพลิงที่ระเบิดตูมตาม จุดไฟอันเร่าร้อนขึ้นภายในงาน อัคคีไล่ลามไปทั่วห้องทำให้นักเรียนทุกคนต่างส่งเสียงเฮและเรียกชื่อฉินอีอวี๋ พวกเขาร้องกรี๊ดและปลดปล่อยตัวเองกันเต็มที่ ความหงอยเหงาเบื่อหน่ายตลอดทั้งช่วงเย็นถูกแผดเผาหมดเกลี้ยง
เหมือนความฝันกลายเป็นความจริง หนานอี่ที่อยู่ด้านล่างเวทีจมหายไปในเสียงกรี๊ด เขาแอบท่องชื่อนี้เงียบๆ
ฉินอีอวี๋ ฉินอีอวี๋
ชั่วอึดใจนั้นผู้คนที่อยู่บนและล่างเวทีต่างมลายหายไป เหลือแต่ฉินอีอวี๋กับตัวเขาแค่สองคน
แม้จะอยู่ห่างไกลกัน แต่เสียงของคนคนนั้นกลับเป็นเหมือนมีดคมที่ทำลายกุญแจที่ปิดตายหัวใจของหนานอี่อย่างรุนแรง และเพียงไม่นานความโกรธแค้นที่ถูกเก็บกดไว้ในใจพวกนั้นก็กลายเป็นคลื่นสีแดงโลหิตเหนียวหนึบทะลักทลายออกมา ท่วมมิดพวกเขาพร้อมกัน
แต่เพลงนี้ก็ร้องได้ไม่จบตามที่คาดการณ์เอาไว้ เมื่อเครื่องเสียงถูกดึงปลั๊กออก พวกฉินอีอวี๋ก็ถูกอาจารย์ฝ่ายปกครองไล่ลงจากเวที ทว่าฉินอีอวี๋ยังยิ้มได้จนนาทีสุดท้าย
ชายหนุ่มชูสองมือขึ้นโบกหย็อยๆ และโค้งคำนับท่ามกลางเสียงบริภาษของอาจารย์ฝ่ายปกครอง แถมตอนที่ยืดตัวขึ้นฉินอีอวี๋ยังใช้สองมือป้องปากตะโกนว่า
‘Happy New Year!’
รอยยิ้มนี้ทำให้แม่น้ำโลหิตที่ไหลเชี่ยวพังทลายและหดตัวลงอย่างรวดเร็ว ผนึกเป็นจุดสีแดงกลางฝ่ามือของหนานอี่
ความวุ่นวายนี้ยุติลงพร้อมกระแสวิพากษ์วิจารณ์
ว่ากันว่าตอนแรกอาจารย์ฝ่ายปกครองให้ฉินอีอวี๋เขียนเรียงความสำนึกผิดแล้วนำมาอ่านให้อาจารย์ทั้งโรงเรียนฟัง แต่เรียงความสำนึกผิดที่ชายหนุ่มส่งนั้นไม่เข้าท่าอย่างมาก อาจารย์เลยยกเลิกการเขียนเรียงความแล้วให้ฉินอีอวี๋ไปยืนประจานความผิดแทน
ที่ลานกว้าง หนานอี่ได้ยินคนห้องข้างๆ เม้าท์กันสนั่น
‘ครั้งล่าสุดที่ฉินอีอวี๋ยืนอยู่หน้าคนทั้งโรงเรียนก็คือตอนเป็นตัวแทนนักเรียนกล่าวสุนทรพจน์’
‘จริงด้วย เดือนที่แล้วเขาก็ได้เหรียญทองจากการแข่งขันวิชาฟิสิกส์ด้วย’
‘ฉันได้ยินมาว่าบ้านเขารวยมาก พ่อทำธุรกิจ ส่วนแม่เป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย แถมตัวเขายังหน้าตาดี เป็นคุณชายของแท้ แต่ติดที่นิสัยกบฏเหลือเกิน ใครก็เอาไม่อยู่’
‘แต่ฉันว่าเท่ดีออกนะ เขาร้องเพลงเพราะมาก’
‘อย่าพูดเรื่องนี้เลย พวกอาจารย์โมโหกันจะตายอยู่แล้ว ตอนที่ฉันเอาแบบฝึกหัดไปส่งได้ยินเสียงอาจารย์ด่าอยู่ในห้องพักอาจารย์เสียงดังเลยว่าไม่เคยเจอเด็กแสบที่ทำตัวไม่เอาไหนแบบนี้มาก่อน! ทั้งทะเลาะวิวาท โดดเรียน ก่อเรื่อง ครบหมด ทั้งที่เรียนดี สอบติดสามอันดับแรกทุกรอบ แต่พอมีใครพูดจาไม่เข้าหูก็มีเรื่องกับเขาไปทั่ว! แถมตอนถูกอาจารย์ด่าเขายังทำหน้าตาทะเล้น เห็นแล้วปวดหัวจริงๆ!’
เพราะพูดเลียนเสียงอาจารย์ตอนด่าได้อย่างสมจริง พวกนักเรียนมัธยมต้นที่อยู่รอบๆ จึงพากันหัวเราะเบาๆ มีเพียงหนานอี่ที่ทำหน้าไร้อารมณ์ความรู้สึก สายตาจ้องมองฉินอีอวี๋ที่อยู่บนเวทีอย่างละเอียด มองดูรอยยิ้มของเขา พิจารณารูปร่างผอมสูงและคล้ามแดดของเขา
หลังเลิกเรียนวันนั้นหนานอี่ขี่จักรยานผ่านร้านเล็กๆ ที่ไม่สะดุดตาแห่งหนึ่ง เขาหยุดจักรยานแล้วถอยหลังกลับ เด็กชายลังเลอยู่สองสามวินาทีก่อนเดินเข้าไปในร้าน
‘ผมอยากเจาะหูครับ’ เขาบอก ‘หูซ้าย’
ตอนที่ถูกเข็มแทงหนานอี่ไม่รู้สึกเจ็บ เขาส่องกระจกเช็กดูอย่างละเอียดเหมือนสิ่งที่เขากำลังมองดูไม่ใช่รูที่ถูกเจาะ แต่เป็นเครื่องหมายอันหนึ่ง
เหมือนเครื่องหมายถูกที่ติ๊กในเช็กลิสต์ เป็นของที่ระลึกเมื่อบรรลุเป้าหมาย
‘ทำไมถึงอยากเจาะหูเหรอ’ พี่สาวเจ้าของร้านยิ้มอย่างอ่อนโยน ‘มีเด็กผู้ชายอายุเท่าเธอมาเจาะหูไม่มากหรอกนะ’
หนานอี่นิ่งไปสองวินาทีแล้วคิดว่าการบอกเล่าเรื่องพวกนี้ให้คนแปลกหน้าฟังไม่ได้เป็นปัญหาอะไร
‘เพราะผมได้รู้จักคนคนหนึ่งและรู้ชื่อของเขาแล้ว’
นี่จึงเป็นสัญลักษณ์ที่แสดงให้เห็นว่าความฝันของเขาเป็นจริง
ตัวของฉินอีอวี๋เองก็เป็นเหมือนเข็มที่ใช้เจาะหูอันนี้คือทะลุเนื้อเข้าไปในชีวิตสีเทาหม่นของหนานอี่และกลายเป็นสิ่งพิเศษ
หนานอี่มีความปรารถนาที่จะทำความเข้าใจอย่างมากถึงมากที่สุด เขาอยากจะเข้าใจเรื่องของคนคนนี้ในทุกแง่มุม
รากเหง้าของพลังชีวิตอันคึกคักแจ่มใสนั่นคืออะไร ทำไมฉินอีอวี๋ถึงชอบยิ้มขนาดนั้น ทำไมเขาถึงสามารถใช้ชีวิตนอกกรอบได้ เขาเจ็บปวดบ้างไหม หากถูกทำร้ายจะทำยังไง ร้องไห้เป็นหรือเปล่า เคยเสียใจจนพูดไม่ออกเหมือนเขาไหม
หนานอี่อยากชำแหละฉินอีอวี๋เพื่อศึกษาตัวตนให้ชัด จากเนื้อหนังลงไปถึงกระดูกและหัวใจ
และเขาก็ทำอย่างนั้นจริงๆ
นับตั้งแต่นั้นหนานอี่ก็คอยตามติดเชื้อไฟนี้เหมือนเงา เขาคอยอยู่ใกล้และสำรวจตรวจดูอย่างเงียบเชียบในทุกเวลาและทุกสถานที่ หนานอี่ไม่ได้คาดหวังว่าฉินอีอวี๋จะมองเห็นเขา และตัวเขาก็ไม่ได้อยากให้ฉินอีอวี๋มองเห็น เพราะหนานอี่เกลียดที่ตัวเองเป็นคนอ่อนแอที่ต้องรอรับความช่วยเหลือจากคนอื่นและกลัวว่าจะมองเห็นแววตาเวทนาสงสารจากดวงตาของฉินอีอวี๋
ด้วยเหตุนี้หนานอี่จึงพยายามเก็บซ่อนตัวเองไว้
จนเขารู้ว่าฉินอีอวี๋อยากได้มือเบสที่สามารถยืนเคียงบ่าเคียงไหล่ได้สักคน
แล้วทำไมมือเบสคนนั้นจะเป็นฉันไม่ได้
ที่แท้ฉินอีอวี๋ก็ตกต่ำได้เหมือนกัน
ที่แท้พอเห็นเขาตกต่ำแล้ว ฉันก็ปวดใจ
การเป็นเงาไม่เพียงพออีกต่อไป เขาต้องผันตัวเป็นผู้ล่า ด้วยเหตุนี้หนานอี่จึงค่อยๆ วางแผนอย่างรอบคอบรัดกุม เพื่อที่ว่าสักวันเขาจะได้ไปปรากฏตัวตรงหน้าฉินอีอวี๋อย่างเปิดเผยอย่างผู้แข็งแกร่งและเป็นที่ต้องการของฉินอีอวี๋ ได้ดูแลชีวิตที่ไร้ระเบียบของเขา ประคองความสับสนและอ่อนแอของฉินอีอวี๋ไว้กลางฝ่ามือ
ในช่วงวัยรุ่นที่แสนเจ็บปวด ในสายตาอันพร่ามัวของหนานอี่มีเป้าหมายสองอย่าง เป้าหมายแรกนั้นเปื้อนโคลนและเลือด ส่วนเป้าหมายที่สองนั้นเปล่งประกายสว่างไสว
ตอนนี้เป้าหมายที่สองได้มายืนอยู่ตรงหน้าเขาและกำลังมองเข้ามาในดวงตาของเขา
หลังจากใช้เวลาหกปีเต็ม
* PTSD (Post-traumatic stress disorder) คือภาวะความผิดปกติทางจิตใจที่เกิดขึ้นหลังจากเผชิญกับเหตุการณ์ที่กระทบกระเทือนจิตใจอย่างรุนแรง ส่งผลให้เกิดความเครียดจนกระทบกับการใช้ชีวิต
* หมาป่าตาขาว เป็นสำนวน หมายถึงคนเนรคุณ
* ริฟฟ์ (Riff) คือท่อนดนตรีสั้นๆ ที่เล่นซ้ำๆ ให้จดจำและติดหู ซึ่งถูกแต่งให้เข้ากับแนวของเพลง
Comments
