everY
ทดลองอ่าน ท่วงทำนองฝัน วันของดวงดาว เล่ม 1 บทที่ 5-6 #นิยายวาย
บทที่ 6 ทางออกของวิญญาณ
ฉินอีอวี๋ปล่อยมือจากคอเสื้อของหนานอี่
เขาถอยหลังสองก้าวแล้วหัวเราะ เพียงแค่ชั่วอึดใจชายหนุ่มก็ทำท่าเหมือนจะร้องไห้ แต่เพราะภายในห้องมืดเกินไปและหนานอี่ไม่ได้สวมแว่น เขาจึงสงสัยว่าตัวเองอาจจะตาฝาด
พวกเขาอยู่กันอย่างเงียบเชียบภายในห้องมืดมิดนานมาก
สิบนาทีต่อจากนั้นฉินอีอวี๋เหมือนตามหาจิตวิญญาณที่หายไปคืนมาได้ เขาจึงหมุนตัวไปนั่งบนโซฟาและถือโอกาสเปิดโคมไฟที่อยู่ข้างมือ
แสงไฟสีเหลืองหม่นสาดส่องไปทั่วห้อง ฉายให้เห็นหนังสือเก่า ขวดเหล้า เตียงเดี่ยวสีน้ำเงิน วอลล์เปเปอร์ที่ถูกขีดเขียนจนเละเทะและกระดาษโพสต์อิตที่ถูกติดอยู่มากมาย
ที่นี่ไม่มีกีตาร์ ไม่มีลำโพง ไม่มีหูฟังมอนิเตอร์ ไม่มีอุปกรณ์ทำเพลง ไม่มีแม้แต่โน้ตสักแผ่น ในชีวิตของฉินอีอวี๋ไม่มีอะไรที่เกี่ยวข้องกับดนตรีอีกแล้ว
เขาแหงนหน้าพิงโซฟาเงียบๆ ตามองฝ้าเพดาน ในอึดใจต่อมาชายหนุ่มก็หันมามองหนานอี่พร้อมจ้องดวงตาของอีกฝ่ายด้วยสายตาที่ฉายแววอยากสอบถามเรื่องบางอย่าง
หนานอี่อ่านสายตาของเขาไม่ออก เพราะมันดูดื้อดึงและสับสนเหมือนมีเรื่องเจ็บช้ำใจ
แต่ไม่นานอารมณ์รุนแรงนี้ก็ถูกเขาเก็บงำไว้ทั้งหมด และเมื่อฉินอีอวี๋เปิดปากอีกครั้ง เขาก็ชวนคุยด้วยน้ำเสียงไม่ทุกข์ร้อนว่า
“เมื่อก่อนนาย…เคยอยู่วงไหน”
น้ำเสียงของชายหนุ่มอ่อนโยนกว่าตอนแรกมาก ถึงขั้นทำให้หนานอี่คิดถึงฉากที่พวกเขาเจอกันครั้งแรก น้ำเสียงของฉินอีอวี๋ฟังดูจริงจังอย่างหาได้ยาก แต่เขาก็จงใจพูดให้เบาลงด้วย
ทว่าหนานอี่ไม่เข้าใจว่าทำไมฉินอีอวี๋ถึงเปลี่ยนไปเป็นแบบนี้
“ไม่เคย”
ฉินอีอวี๋นิ่วหน้า “อะไรนะ”
หนานอี่หยุดนิ่งเล็กน้อย “ผมไม่เคยอยู่วงไหนเลย”
นาทีนั้นสีหน้าของฉินอีอวี๋เปลี่ยนไปเป็นลังเลอย่างเห็นได้ชัด หนานอี่รู้สึกสนุกและคิดว่าตอนนี้ในใจของฉินอีอวี๋คงอยากด่าเขาจับใจ
แต่ฉินอีอวี๋กลับไม่ได้เอ่ยผรุสวาทออกมา ซ้ำยังหัวเราะ
นี่เป็นครั้งแรกที่หนานอี่คาดการณ์ผิด และมันทำให้เขาประหลาดใจ
ฉินอีอวี๋เอ่ยถามอีกครั้ง “แล้วห้องซ้อมของพวกนายอยู่ที่ไหน”
“ถนนจงกวานชุนฝั่งตะวันออก ห้องใต้ดินในตึกเตี้ยสีฟ้าหลังอาคารซิ่งอวิ้น ห้องในสุด พวกเราจะอยู่ที่นั่นกันทุกคืน”
“อ้อ” พอฉินอีอวี๋ถามจบก็เงียบไปอีกครั้ง
หนานอี่สังเกตเห็นว่าชายหนุ่มเอาแต่มองจ้องตาของตน
เขาจึงหลุบตาลงตามสัญชาตญาณ
ฉินอีอวี๋ดึงสายตากลับไปแล้วหันไปมองกล่องเบสที่ตั้งอยู่ด้านหนึ่ง
“ไหนๆ ก็มาแล้ว เล่นให้ฉันฟังสักเพลงแล้วกัน”
เขาไม่สนใจไม่ใช่เหรอ
หนานอี่นึกกังขาแต่ไม่ได้ใส่ใจอะไรมาก เพราะนิสัยของฉินอีอวี๋ไม่เคยเอาแน่เอานอนได้อยู่แล้ว ไม่ว่าเขาจะทำอะไร หนานอี่ก็ไม่รู้สึกแปลกใจ
เพียงแต่ที่นี่ไม่เหมือนห้องซ้อม หนานอี่เปลี่ยนใจมาที่นี่กะทันหันเลยไม่ได้เอาอุปกรณ์อะไรมาด้วย
ระหว่างที่หนานอี่กำลังลังเลว่าจะเอาอะไรออกมาขาย ฉินอีอวี๋ก็ลุกเดินเข้าไปในห้อง ไม่นานเขาก็หยิบแอมป์กีตาร์ Spark* ออกมา
“เสียบปลั๊กเข้ากับเจ้านี่ได้” เขาหมุนปุ่มแรกไปที่การตั้งค่าเบสและปรับการตั้งค่าเอฟเฟ็กต์ “เสียงย่านความถี่ต่ำของแอมป์ตัวนี้อาจจะสู้แอมป์เบสไม่ได้ แต่พอถูไถ”
หนานอี่เลิกคิ้ว
เขาเข้าใจว่าฉินอีอวี๋เผาทุกอย่างที่เกี่ยวกับดนตรีไปหมดแล้ว
“ครับ” หนานอี่หยิบเบสออกมา
ฉินอีอวี๋มองเบสแบบธรรมดาสำหรับผู้เริ่มเรียน สีออมเบรดำเทา เป็นเบสทั่วไปที่มือใหม่ชอบใช้
ถ้าจะให้พูดกันตรงๆ มันก็ตรงกับที่เขาคาดการณ์ไว้
ฉินอีอวี๋ไม่ได้คาดหวังทักษะทางดนตรีของหนานอี่มาก เพราะอีกฝ่ายก็อายุประมาณหนึ่งแล้ว และไม่เคยมีประสบการณ์การทำวงเลย
บางทีหนานอี่อาจจะสนใจดนตรีแค่ชั่วประเดี๋ยวประด๋าว แบบพอนึกชอบดนตรีก็ไปชมงานเทศกาลดนตรีและชอบวงดิสออเดอร์คอนเนอร์เลยชอบตัวเขาในอดีต ถึงได้เอ่ยปากชวนเขาไปทำวงด้วยกันอย่างกระตือรือร้นโดยไม่ได้คิดอะไรมากมาย
ถ้าเปลี่ยนเป็นคนอื่น ฉินอีอวี๋คงไม่ให้โอกาสและไล่เปิดไปนานแล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดเรื่องจะให้อีกฝ่ายมาเล่นเบสต่อหน้าเขา ถือเป็นเรื่องน่าเหลือเชื่อมากๆ
แต่นี่เพราะเป็นหนานอี่
หากฉินอีอวี๋ไม่ให้โอกาสอีกฝ่ายสักครั้งก็ดูใจร้ายเกินไป
แต่ฉินอีอวี๋ก็ใจร้ายต่อตัวเองเหมือนกัน เพราะความหวาดผวาที่เกิดขึ้นในตอนนั้นเป็นของจริง
ตอนแรกเขาไม่ทันสังเกต แต่จนแล้วจนรอดเขาก็เผลอมองเข้าไปในดวงตาคู่นั้น
หนานอี่ต่อแอมป์แล้วหลุบตาเพื่อตั้งเสียง “คุณอยากฟังเพลงอะไร”
ฉินอีอวี๋ผ่อนลมหายใจยาวเหยียด ดูก็รู้ว่าเขายังไงก็ได้
“แล้วแต่ อะไรก็ได้ มันก็เหมือนๆ กันหมดนั่นแหละ”
เขาไม่ได้คาดหวังกับเรื่องนี้ หรือถ้าจะพูดให้ถูกคือไม่ได้คาดหวังต่อตัวเอง เพราะไม่ว่ายังไงผลลัพธ์ก็เหมือนเดิม
ต่อให้ฉินอีอวี๋ตามหาเจ้าของดวงตาปริศนาเจอแล้วจะยังไง เมื่อพวกเขาเจอกันในช่วงที่ฉินอีอวี๋พีคที่สุด แต่ไม่ใช่ตอนนี้ ตอนที่เขามีสภาพเหมือนหมาข้างถนน ได้แต่รับความเมตตาด้วยความเวทนาสงสาร
ทุกคนมีสิทธิ์ยื่นมือให้เขา ทุกคนมีสิทธิ์เวทนาเขา ยกเว้นคนคนนี้
ดวงตาของฉินอีอวี๋ฝ้าฟางด้วยละอองน้ำ เขาจึงเบือนหน้าไปทางอื่น เพราะไม่อยากหันไปเผชิญหน้ากับหนานอี่ ฉินอีอวี๋ใช้น้ำเสียงสุภาพจนเรียกได้ว่าอ่อนโยนเพื่อพูดสิ่งที่เด็ดขาดมากขึ้น
“เล่นเสร็จนายก็ไปได้ แล้วอย่าโผล่หน้ามาเจอฉันอีก โอเคไหม”
ในช่วงสองสามวันสั้นๆ นี้ฉินอีอวี๋พูดคำนี้กับหนานอี่หลายครั้งหลายหน แต่นี่อาจจะเป็นครั้งสุดท้ายแล้วจริงๆ
ก่อนหน้านี้หนานอี่เคยอยากให้ฉินอีอวี๋ประทับใจในความสามารถของเขาถึงได้ตั้งใจชวนอีกฝ่ายไปที่ห้องซ้อม เพราะเขาบังเอิญรู้มาว่าเมื่อก่อนฉินอีอวี๋เคยอยากได้มือเบสเก่งๆ มากๆ
นี่คือสิ่งที่หนานอี่ได้ยินกับหูเมื่อหกปีก่อน
ตอนนั้นหนานอี่ผู้จมอยู่ในความแค้นแทบจะสูญเสียความสุขของเด็กมัธยมธรรมดาๆ ไปและสูญเสียความปรารถนาที่จะแสดงออกไปแล้ว
ยิ่งเขาโกรธแค้นลำคอก็ยิ่งตีบตัน ฝืดเฝื่อน ว่าใครไม่ได้ ส่งเสียงร้องไม่ได้ ทำได้แค่เดินอยู่ในตรอกมืดๆ เงียบสนิทสายหนึ่งตามลำพัง
จนฉินอีอวี๋ปรากฏตัว ฉินอีอวี๋ได้ใช้บทเพลงที่เขาร้องไม่จบเจาะโพรงหนึ่งขึ้นมาดื้อๆ โดยไม่สนใจสิ่งใด ชายหนุ่มยิ้มแล้วบอกหนานอี่ว่าเห็นไหม นี่แหละดนตรีร็อก
ทำให้หนานอี่หนีพ้นจากความเจ็บปวด ความทรมาน ความอยุติธรรม ความคับแค้น และความน้อยเนื้อต่ำใจได้ชั่วคราว หนานอี่หายใจแล้วรู้สึกว่าตัวเองยังมีชีวิตอยู่
ในที่สุดเขาก็ไม่ต้องกักขังตัวเองไว้ในความเกลียดแค้นอีก และไม่ได้มีตัวเลือกในชีวิตแค่อย่างเดียว
เขาสามารถไล่ตามหลังคนคนนั้นโดยที่วิ่งไปและหอบไปได้ ทั้งยังคิดไปด้วยว่าความจริงมันก็มีสิ่งที่สามารถสื่อความรุนแรงในจิตใจของฉันได้ มีสิ่งที่สามารถยืนอยู่ในโคลนเลนและตะโกนด่าพายุแทนฉันว่า ‘ไอ้โลกเส็งเคร็ง!’ มีสิ่งที่บอกฉันว่าความเงียบไม่ใช่ความอ่อนแอ และสักวันฉันจะสามารถเอาชนะความด้านชาและความเจ็บปวดทุกอย่าง
ที่แท้ฉินอีอวี๋ก็เป็นคนแบบนี้ เขาอยากได้มือเบสที่สามารถร่วมสู้ไปด้วยกันได้ใช่ไหม ฉันจะหัดมันให้เร็ว เร็วมากๆ
ฉันไม่กลัวถูกออร่าของอัจฉริยะแผดเผา ฉันจะเติมเต็มช่องว่างนั้นเอง
ฉันจะเป็นทางออกที่สร้างขึ้นใหม่ให้แก่เขาที่อยู่ในตรอกมืด
แต่เมื่อเวลานี้มาถึงจริงๆ หนานอี่กลับไม่มั่นใจที่จะยืนอยู่ตรงหน้าฉินอีอวี๋ในฐานะมือเบส
เพราะเขารู้ว่ามือเบสคือสิ่งที่ฉินอีอวี๋ในอดีตต้องการ
แต่ตอนนี้ล่ะ? หนานอี่ไม่มั่นใจว่ามือของฉินอีอวี๋จะสามารถเล่นกีตาร์ได้อีกหรือไม่ ในเมื่อชีวิตของเขาถูกทำลายจนยากจะกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้อีก
ความไม่มั่นใจที่ถาโถมเข้ามาทำให้หนานอี่รู้สึกเหมือนตัวเองได้ย้อนเวลากลับไปตอนหัดเบสใหม่ๆ
ตอนนั้นหนานอี่อายุสิบสามปี เขาใช้เงินรางวัลที่ได้มาจากการแข่งขันจำนวนหนึ่งพันไคว่* ซื้อเบสตัวแรกในชีวิต และเห็นแอ็กเคานต์ของฉินอีอวี๋อยู่บนแพลตฟอร์มดนตรี ตอนนั้นวงดิสออเดอร์คอนเนอร์เพิ่งเริ่มดังและฉินอีอวี๋เพิ่งจะอายุสิบเจ็ดปี เขาจึงใช้แอ็กเคานต์บุคคลโพสต์เพลงเดโมลงบนแพลตฟอร์ม
สไตล์การตั้งชื่อเดโมของฉินอีอวี๋นั้นแปลกมาก เพราะเขาชอบตั้งชื่อยาว ตัวอย่างเช่น ‘ฉันขอเลี้ยงแมวสามสิบตัวได้ไหม’ ‘ชอบชื่อใหม่ของเธอจริงๆ’ ‘ใครไม่ยอมให้ฉันกินอาหารข้างทาง ฉันจะเล่นมันซะ’ แน่นอนว่าต่อมาเดโมพวกนี้ถูกเอาไปทำเป็นเพลงจริงๆ ทำให้ชื่อถูกเปลี่ยนไปใช้คำที่สวยกว่า
ในบรรดาเดโมเหล่านั้นมีเดโมหนึ่งที่ตั้งชื่อได้เรียบง่ายเป็นพิเศษ มีแค่เครื่องหมายจุดไข่ปลา
มันเป็นเดโมเดียวที่ไม่ได้ถูกเอาไปทำเป็นเพลง
ฉินอีอวี๋เคยคอมเมนต์เพลงนี้โดยเขียนเหมือนพูดกับตัวเองว่า
‘ไลน์เบส** ที่เขียนไว้ไม่มีอันไหนที่เข้ากันเลย’
อาจเพราะการทำวงต้องการความเข้ากัน เมื่อเจอคำติแบบนี้เดโมนี้เลยถูกลบทิ้ง
แต่หนานอี่จดจำขึ้นใจ
เขาฟังเดโมนี้นับครั้งไม่ถ้วน ฟังตอนขี่จักรยาน ฟังตอนทำการบ้าน ฟังตอนนอน และในคืนที่เขานอนไม่หลับคืนหนึ่ง หนานอี่ก็หอบเบสวิ่งขึ้นไปบนดาดฟ้าคอนโดฯ ใช้เวลายี่สิบนาทีเขียนไลน์เบสออกมาหนึ่งชิ้น
ตอนที่เดินกลับลงมาจากดาดฟ้า ปลายนิ้วของหนานอี่แข็งเพราะความหนาว แต่ฝ่ามือกลับร้อนจัด
หนานอี่มองมือตัวเอง เสียงฝนค่อยๆ ดังขึ้น ดึงความคิดของเขาออกจากคืนในฤดูหนาวกลับมาสู่ห้องเช่าของฉินอีอวี๋ห้องนี้
หนานอี่ไม่พูด เขาใช้โทรศัพท์มือถือเปิดเดโมเพลงนั้นแล้วใช้นิ้วกดสายเบาๆ
เมื่อได้ยินการเรียบเรียงโน้ตที่คุ้นหูที่สุด ฉินอีอวี๋ก็อึ้งงัน
เมื่อสองสามนาทีก่อนฉินอีอวี๋ยังตั้งท่า ‘แน่จริงก็มาสิ’ ขณะนึกภาพเพลงที่หนานอี่จะเลือก ในสมองมีเพลงจำนวนมากมายนับไม่ถ้วน แต่เขาคิดไม่ถึงว่ามันจะเป็นเพลงนี้
เพลงที่เขาเขียนให้แม่
สไตล์การเรียบเรียงเดโมมีความใกล้เคียงกับมิดเวสต์ อีโม* กับแม็ธร็อก** จังหวะกีตาร์มีการกระโดด ซึ่งการเรียบเรียงแบบไม่บาลานซ์ของกลองเป็นสิ่งที่ฉินอีอวี๋เสนอ แต่ตอนแรกเขาไม่ชอบไลน์เบสที่สวี่ซือเรียบเรียงให้เพราะจังหวะมันผิด พอเข้าคู่กับกีตาร์แล้วเหมือนเป็นสมอถ่วงลากเอาท่วงทำนองของทั้งเพลงลง
ด้วยเหตุนี้เขาจึงไม่ได้ใส่เบสเข้าไปในเดโมและไม่ได้เอาเดโมนี้ไปทำเพลง เนื่องจากฉินอีอวี๋จริงจังกับเรื่องดนตรีมาก ไม่ได้คือไม่ได้ ขาดไปนิดเดียวก็ไม่เอา โดยเฉพาะเพลงพิเศษแบบนี้
แต่ตอนนี้วินาทีที่เบสของหนานอี่แทรกเข้าไป ทุกอย่างก็เปลี่ยน
ซอกมุมสีเทาๆ ที่ฝุ่นจับอยู่ในใจของเขามาเนิ่นนานถูกจุดประกายขึ้นมาอย่างฉับพลัน
นี่คือความรู้สึกของการถูกจุดประกายขึ้นมาอีกครั้งเหรอ
เบสไลน์ของหนานอี่แตกต่างจากเบสไลน์ของเดิมตั้งแต่วินาทีแรก เขาแสดงเทคนิคทูแฮนด์แท็ปปิ้ง*** ได้อย่างงดงาม ซึ่งนี่มันดึงดูดใจอย่างที่สุด ระหว่างที่เขาแท็ปปิ้งนั้นยังใช้เทคนิคสแล็ป**** แทรกแบบเป็นจังหวะ ดูไม่น่าอึดอัดและได้จังหวะยอดเยี่ยม
ใช้เวลาเพียงสิบวินาทีเศษๆ คีย์โน้ตของเบสที่มีความเฉพาะตัวก็ถูกเบาเสียงลง มันไม่ได้ทำหน้าที่เป็นแค่ตัวเสริม แต่ทำหน้าที่เป็นพื้นที่ช่วยขับให้โดดเด่น
ประชันกับกีตาร์ของเขาอย่างเปิดเผย
เล่นมาก็เล่นกลับอย่างสมน้ำสมเนื้อ แต่กลับรักษาอารมณ์ในความถี่เดียวกันเอาไว้ได้ ทุกจังหวะล้วนพอเหมาะพอเจาะราวกับสวรรค์สร้าง เหมือนหนานอี่เข้าใจเพลงที่ฉินอีอวี๋เขียนอย่างทะลุปรุโปร่ง
ฉินอีอวี๋กำหมัดแน่นตามสัญชาตญาณ นาทีนี้จิตวิญญาณของชายหนุ่มเหมือนกลับคืนมาสู่ร่างนี้อีกครั้ง และร่วมบรรเลงอย่างเมามันสุดเหวี่ยงไปกับชายหนุ่มตรงหน้า
หนานอี่ก้มศีรษะทำให้ผมหน้าม้าเปียกชื้นปิดหน้าปิดตาไปครึ่งหนึ่ง เบสออมเบรสีดำเทาเหมือนจะงอกเชื่อมติดตัวเขา น้ำบนปลายผมหยดลงบนตัวเบสประหนึ่งตัวโน้ต
การใช้นิ้ว จังหวะ และการเรียบเรียงจังหวะ ทุกอย่างไม่มีที่ติ คล่องแคล่วจัดเจน เมโลดี้ทุ้มต่ำของเบสนั้นราวกับสายฝนที่ตกลงมาอยู่นอกกระจก ทุกอย่างได้สัดส่วนพอเหมาะและไหลรินไม่หยุดพัก
ถ้าหลับตาฟังจะต้องเข้าใจว่าคนเล่นเป็นมือเก๋าที่ใช้เวลานานหลายปีกว่าจะเขียนไลน์เบสแบบนี้ออกมาได้และมีฝีมือฉกาจฉกรรจ์ ต่อให้เอาไลน์เบสนี้ไปให้คนอื่นหัดก็คงมีไม่กี่คนที่เล่นได้เฉียบขนาดนี้
ในขณะที่หนานอี่เพิ่งจะอายุสิบแปดปี
แต่พอคิดถึงคำที่หนานอี่พูดเมื่อกี้ ฉินอีอวี๋ก็นึกปฏิเสธอยู่ในใจว่าหนานอี่จะเล่นเบสเพราะเขาได้ยังไง
ในเมื่อเห็นอยู่ว่าคนคนนี้…เกิดมาเพื่อเป็นมือเบสอยู่แล้ว
เมื่อสิ้นเสียงสุดท้ายหนานอี่ก็ใช้มือกดสายเบาๆ
ตัวเดโมยาวประมาณสองนาที เป็นช่วงเวลาที่สั้นมาก แต่พอเล่นเพลงนี้จบเขากลับรู้สึกเหมือนเวลาผ่านไปนานหลายปี
หนานอี่ถือเบสตัวแรกที่เขาได้เป็นเจ้าของ เล่นไลน์เบสแรกที่เขียนให้เพลงของฉินอีอวี๋ ในที่สุดเขาก็เดินมาอยู่ตรงหน้าฉินอีอวี๋แล้ว
แม้จุดที่เขายิงลูกธนูเข้าเป้าจะไม่ใช่วงรัศมีสิบแต้ม แต่ก็ถือว่าบรรลุเป้าหมายแล้วใช่ไหม
หนานอี่ไม่มั่นใจ แต่เขาชอบมอบสิทธิ์ในการเลือกไว้ในมือของฝ่ายตรงข้าม
“ขอบคุณสำหรับแอมป์ของคุณนะครับ ใช้ดีไม่เลวเลย” ชายหนุ่มถอดสายสะพายเบสแล้วเก็บหมวกบนพื้นขึ้นมา เขามองฉินอีอวี๋ที่นั่งก้มหน้าอยู่บนโซฟา เส้นผมของชายหนุ่มสยายอยู่รอบกรอบหน้าบดบังอารมณ์ความรู้สึกทั้งหมดทำให้ฉินอีอวี๋ดูนิ่งผิดปกติ
หนานอี่ไม่กล่าวลา เขาเปิดประตูแล้วเดินจากไป
เมื่อลงไปถึงชั้นล่างหัวใจของหนานอี่ยังคงเต้นแรงมาก เขาสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ แล้วต่อสายหาฉือจือหยาง แต่สายไม่ว่าง
ฝนข้างนอกยังตกอยู่ หนานอี่ใส่หมวก ตั้งใจจะขี่จักรยานไปที่ห้องซ้อมเหมือนเคย
แต่จู่ๆ เขาก็ได้ยินเสียงบางอย่างแต่ไม่ใช่เสียงโทรศัพท์
“นี่ มือเบส”
หนานอี่เงยหน้าขึ้นท่ามกลางสายฝน มองตามเสียงไป ฝนสาดใส่หน้าเขาทำให้สองตาพร่ามัว ความทรงจำที่ถูกผนึกไว้ก็เปิดออกโดยกะทันหัน เมื่อภาพที่ฉินอีอวี๋เปิดหน้าต่างนั้นซ้อนทับกับภาพของอีกฝ่ายเมื่อหกปีก่อนพอดี
ชายหนุ่มยื่นตัวออกมาข้างนอกครึ่งตัว เอียงศีรษะ โยนร่มลงมาให้หนึ่งคัน
“อย่าตากฝน เดี๋ยวเบสพัง”
* Spark เป็นชื่อรุ่นของแอมพลิไฟเออร์สำหรับกีตาร์ไฟฟ้า (และเบสบางรุ่น) ที่ผลิตโดยบริษัท Positive Grid ซึ่งโดดเด่นด้วยความสามารถในการจำลองเสียงแอมป์และเอฟเฟ็กต์ต่างๆ ผ่านระบบ Digital Modeling และการเชื่อมต่อกับแอพพลิเคชั่นบนมือถือหรือแท็บเลต
* ไคว่ เป็นภาษาพูดที่คนจีนทั่วไปใช้กัน หมายถึงหยวนซึ่งเป็นค่าเงินของจีน
** ไลน์เบส (Bassline) คือแนวทำนองที่เล่นโดยเครื่องดนตรีเสียงต่ำ เช่น เบสกีตาร์ คีย์บอร์ดเบส หรือซินธิไซเซอร์ ซึ่งโดยทั่วไปแล้วจะเป็นรากฐานของเพลง มักเล่นในจังหวะที่สอดคล้องกับกลองและรองรับคอร์ดหรือเมโลดี้หลักของเพลง
* มิดเวสต์ อีโม (Midwest Emo) คือแนวเพลงย่อยของดนตรีอีโม (Emo) ที่เกิดขึ้นในแถบมิดเวสต์ของสหรัฐอเมริกา โดยมีการพัฒนามาจากแนวฮาร์ดคอร์พั้งก์ให้เมโลดี้มีความซับซ้อนและละเอียดอ่อนมากขึ้น
** แม็ธร็อก (Math Rock) คือหนึ่งในสไตล์เพลงอินดี้ร็อก ซึ่งพัฒนามาจากโพสต์ฮาร์ดคอร์ โดยมีจังหวะดนตรีที่แปลกไปจากปกติ
*** ทูแฮนด์แท็ปปิ้ง (Two-Hand Tapping) คือเทคนิคที่ใช้กับเครื่องสายโดยเฉพาะกีตาร์หรือเบส โดยใช้มือทั้งสองข้างดีดหรือเคาะลงบนสายที่เฟร็ตบอร์ด (Fretboard) ตรงๆ
**** สแล็ป (Slap) คือเทคนิคการเล่นเบสที่ใช้การตบสายด้วยนิ้วโป้งแล้วดึงสายด้วยนิ้วชี้หรือนิ้วกลาง
โปรดติดตามตอนต่อไป…
Comments
