everY
ทดลองอ่าน ท่วงทำนองฝัน วันของดวงดาว เล่ม 1 บทที่ 7-8 #นิยายวาย
บทที่ 8 เริ่มต้นชีวิตใหม่
เหยียนจี้ก็เหมือนคนจำนวนมากในเมืองที่ใช้ชีวิตแบบวนลูป
ชีวิตยี่สิบห้าปีของเขาดำเนินไปแบบถูกพ่อแม่ผลักดัน มันยาวนานจนทำให้เขาหายใจไม่ออก แต่ก็สั้นจนสามารถย่อไว้ในเรซูเม่อัน ‘ดีเลิศ’ หนึ่งแผ่นได้ว่า…นิสัยดี เกรดดี จบจากมหาวิทยาลัยดี และได้งานดี
แต่ต่อให้เป็นเรซูเม่ที่ดีกว่านี้มันก็ต้องมีโอกาสเปลี่ยนเป็นประวัติการรักษาหนึ่งแผ่นเหมือนกัน
ตอนแรกเขามีอาการวิตกกังวล แต่เหยียนจี้เข้าใจว่าเป็นเพราะเขาทำโอทีมากเกินไป ทว่าการทำโอทีเป็นสิ่งที่เขาไม่สามารถปรับเปลี่ยนได้ ชายหนุ่มจึงต้องไปพบแพทย์ แต่เสียดายที่ผลการรักษาออกมาไม่ดีนัก ระหว่างที่รอคิวเรียกอยู่ในโถงโรงพยาบาล เหยียนจี้ไม่ได้เอาคอมพิวเตอร์มาด้วย เขาจึงได้พักจากโซเชียลมีเดียอย่างหาโอกาสได้ยาก
บังเอิญเหลือเกินที่เหยียนจี้เลื่อนหน้าจอมือถือไปเจอบล็อกของมือกลองคนหนึ่งซึ่งบังเอิญว่าเพลงที่คนคนนี้เล่นไม่ได้เป็นเพลงฮอตฮิต แต่เหยียนจี้ชอบที่สุดในสมัยที่เขาเรียนอยู่ชั้นมัธยม เป็นดนตรีเมทัลร็อก
พอเขาดูคลิปนี้จบก็ดูต่อไปอีกหลายคลิปจนเกือบพลาดคิว
เรื่องนี้ต้องโทษระบบอัลกอริธึมของพวกคลิปสั้นๆ ที่ทำให้หลงลืม เหยียนจี้คิด
ตอนไปนั่งตรงหน้าหมอเพื่อให้หมอถามคำถาม เหยียนจี้ใจลอย
‘ตอนนี้ในสมองของคุณมีภาพอะไรอยู่ พอจะบรรยายให้ฟังหน่อยได้ไหม’
ภาพมือที่กำลังตีกลองแบบสุดเหวี่ยงกับรอยสักรูปพระอาทิตย์บนหลังมือ
เหยียนจี้เหมือนถูกปลุกให้ตื่น
ตื่นจากความฝันวัยผู้ใหญ่ที่แสนจะขมุกขมัว กลับไปหาตัวเองสมัยมัธยม ตัวเขาในตอนนั้นได้ลองต่อต้านพ่อแม่เป็นครั้งแรก เขาแอบหัดเล่นกีตาร์ไฟฟ้าที่พ่อแม่มองว่าไม่โอเค และเปลี่ยนเพลงบรรเลงเปียโนคลาสสิกในเครื่องเล่นเป็นเพลงร็อก ใส่หูฟังแล้วจมจ่อมอยู่ในความเป็นกบฏอย่างเงียบๆ วันแล้ววันเล่าจนพ่อแม่สังเกตเห็น
‘ผมกำลังเล่นดนตรีกับเพื่อน’ ในที่สุดเหยียนจี้ก็บอกออกไป
หมอไม่เข้าใจเลยถามเสียงอ่อนโยน ‘อะไรนะครับ’
เหยียนจี้มองหน้าหมอ ‘มีมือกลองคนหนึ่ง เขาตามหาตัวผมตอนอายุสิบหกกลับมา’
นับจากวันนั้นเหยียนจี้ในวัยยี่สิบห้าปีก็หยิบคีย์บอร์ดที่ถูกบังคับให้ทิ้งตอนสมัยวัยรุ่นขึ้นมาใหม่ เขากลับไปฟังสิ่งที่ตัวเองชอบจริงๆ และกลายเป็นแฟนคลับตัวยงของมือกลองที่ไม่เปิดเผยใบหน้าคนนั้น ไม่ว่าจะเป็นจังหวะ สไตล์ และลีลาการเล่นของอีกฝ่าย เหยียนจี้ล้วนจดจำได้ขึ้นใจ ขนาดทำโอทีแล้วกลับบ้านดึกเขาก็ยังฟังเสียงกลองของคนคนนั้นได้อย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย แถมยังแต่งเพลงตามและเล่นคีย์บอร์ดประสานด้วย
เมื่อมีดนตรีวันเวลาอันแสนสั้นก็ไม่ได้มีไว้เพื่อการคัดกรองเอกสารเบื้องต้น การตรวจสอบการเงิน และการประชุมไม่รู้จบอีกต่อไป ต่อให้ต้องทำโอทีหนักปางตายเหยียนจี้ก็ยังมีสิ่งที่เฝ้ารอ
เขา ‘ร่วมบรรเลง’ แบบผ่านจอนี้นานถึงหนึ่งปี ในระหว่างนั้นมีหลายครั้งที่เขานึกอยากรู้ตัวตนของมือกลองผู้ไม่เปิดเผยใบหน้าคนนี้ว่าอีกฝ่ายมีรูปร่างหน้าตาแบบไหน ที่ตีกลองเก่งแบบนี้จะทำงานเหมือนกันหรือเปล่า และนิสัยใจคอเป็นยังไง
หากพวกเขาได้เจอหน้ากันจริงๆ ไม่รู้ว่ามันจะเป็นสถานการณ์แบบไหน
สิ่งที่เหยียนจี้คิดไม่ถึงคือวันนั้นจะมีซีนเหมือนในละครเกิดขึ้นในชีวิตอันวนลูปของเขา
วันที่สามสิบเอ็ดเดือนสิงหาคมเป็นวันที่เฮงซวยที่สุดเท่าที่เหยียนจี้จำได้ เมื่อโปรเจ็กต์ดำเนินมาถึงช่วงท้ายเขาต้องทำโอทีติดต่อกันถึงหนึ่งเดือน แต่รถของเขาดันถูกชนท้ายในช่วงสำคัญ และความซวยไม่ได้หยุดเพียงแค่นี้ เพราะคืนนั้นเขาถูกเพื่อนร่วมทีมดึงตัวไว้ แถมบังคับให้ร่วมการประชุมเร่งด่วนที่ไม่ได้เกี่ยวกับเขา
เมื่อไม่มีรถขับก็ต้องนั่งรถไฟ โชคดีที่เหยียนจี้ทันรถไฟเที่ยวสุดท้าย ถือเป็นความโชคดีในความโชคร้าย
ทุกคนบนรถไฟเที่ยวสุดท้ายเหมือนถูกสร้างขึ้นจากซีเมนต์น้ำหนักหนึ่งกิโลกรัม ท่าทางดูเงื่องหงอย ไม่มีชีวิตชีวา
เขาเองก็เช่นกัน ต่อให้ขึ้นรถกลับบ้านได้เหยียนจี้ก็ยังต้องก้มหน้าทำรายงานความคืบหน้าอยู่ในแชตกลุ่ม ทุกอีโมจิรูปนิ้วโป้งที่ถูกส่งออกไปช่วยมอบรอยยิ้มจอมปลอมให้ทุกคนแทนเขา
เหนื่อยจัง
ทำไมคนเราถึงต้องทำงานด้วย
นี่ฉันกำลังทำสิ่งที่มีความหมายอยู่จริงๆ เหรอ
เมื่อไหร่ฉันถึงจะหลุดพ้นไปจากชีวิตแบบนี้สักที
กึก
เสียงของตกตัดบทความคิดอันเคร่งเครียดของเหยียนจี้ ชายหนุ่มมองตามเสียงไปเห็นไม้ตีกลองสีแดงสดอันหนึ่งหล่นกระแทกพื้นสีเทาเข้ม เหมือนเปลวไฟเรียวยาวที่กลิ้งมาเรื่อยๆ จนหยุดอยู่ที่ปลายรองเท้าหนังของเขา
ไม้ตีกลองอันนั้นดูคุ้นตามาก เหยียนจี้ผู้ถือคติว่าคนเราควรช่วยเหลือผู้อื่นจึงยื่นมือออกไปเก็บไม้ตีกลองตามสัญชาตญาณ และในเวลาเดียวกันนี้เองก็มีรองเท้ากีฬาสีขาวคู่หนึ่งขยับเข้ามาใกล้ เจ้าของไม้ตีกลองอันนั้นก็ยื่นมือออกมาด้วยเหมือนกัน
บนหลังมือของเขามีรอยสักรูปพระอาทิตย์สีทองสดใส
นี่ทำให้พวกเขาได้พบกัน
‘ขอบคุณครับ’
ใบหน้าอ่อนเยาว์ ดวงตากระจ่างใส ผมสั้นสีขาวฟูฟ่องที่กัดสีจนอ่อนที่สุด แถมยังไว้เปียเล็กๆ ยาวๆ เส้นหนึ่งพาดไว้บนไหล่ซ้าย มีลูกผมหลุดออกมาเล็กน้อย
เขาเคี้ยวลูกอมที่ทำให้ปากหอมพลางยัดไม้ตีกลองกลับเข้าไปในกระเป๋าอีกครั้ง เขายิ้มเห็นฟันที่ไม่ค่อยเป็นระเบียบแต่ขาวจัด
ที่แท้ก็เป็นเด็กหนุ่ม
‘ไม่เป็นไรครับ’
นับตั้งแต่นั้นภาพจินตนาการทั้งหมดก็ถูกพลิกกลับ พร้อมกับความรู้สึกแปลกๆ ที่ยากจะบรรยายคอยมาวนเวียนอยู่รอบตัวเขา
มือกลองคนนั้นก็เป็นเด็กแบบนี้นี่เอง
หลังจากนั้นเหยียนจี้ก็เลิกขับรถ และเขามักจะเจอมือกลองคนนี้ในรถไฟเที่ยวดึกเสมอ
เหยียนจี้สังเกตเห็นว่ากระเป๋าตุงๆ ของเด็กคนนี้มีรูเล็กๆ ที่ไม่สะดุดตาอยู่หนึ่งรูทำให้ไม้ตีกลองหล่นอยู่เสมอ เขาสังเกตเห็นว่าชายหนุ่มเป็นคนขี้หงุดหงิด ชอบทำท่าฟึดฟัดเป็นประจำ แถมยังชอบส่งข้อความเสียงไปด่าคน เขาพูดเร็วพอๆ กับจังหวะตีกลอง บางครั้งเขาจะยิ้มแหยๆ ให้หน้าจอมือถือ หรือไม่ก็หัวเราะจนหน้าหงาย ตบต้นขาฉาด แถมยังชอบฟังเพลงพลางตีลมไปด้วย มือทั้งสองข้างไม่เคยอยู่สุขเลย
รายละเอียดที่เล็กน้อยมากกว่านั้นคือช่วงนี้มือกลองเหมือนจะวิตกกังวลเรื่องบางอย่างมาก ถึงได้ชอบขมวดคิ้วเหมือนมีปัญหาใหญ่ที่ยังแก้ไม่ตก
หลังจากนั้นข้อสังเกตนี้ก็ได้รับการพิสูจน์ เมื่อเหยียนจี้เห็นประกาศรับสมัครนักดนตรีที่โพสต์ในช่องคอมเมนต์คลิปล่าสุดของอีกฝ่าย
งานประกวดวงดนตรี
พูดกันจริงๆ คือเหยียนจี้สนใจ แต่งานนี้ไม่ใช่การท้าดวลเล็กๆ ต่อให้เหยียนจี้อยากร่วมงานกับมือกลองแบบเห็นหน้ากันจริงๆ สักครั้ง ทว่ามันต้องไม่ทำลายชีวิตที่เขามีอยู่ในตอนนี้
แต่ดูเหมือนสวรรค์จะบีบให้เขาต้องตัดสินใจ
ในตอนเช้าแม่มาหาที่ห้องที่เขาอาศัยอยู่คนเดียวโดยไม่บอกกัน อ้างคำสวยหรูว่ามาช่วยเขาทำความสะอาดห้อง แต่กลับรื้อห้องสุดเนี้ยบซึ่งไม่มีฝุ่นสักนิดของเขาอยู่เป็นวันจนเจอกับประวัติการรักษาแผ่นนั้น
จากนั้นสงครามรุนแรงที่เกิดจากคนเพียงฝ่ายเดียวก็ระเบิดขึ้น แม่ร้องไห้โฮ สอบถาม และโวยวาย โทรเรียกพ่อที่เอาแต่ทำหน้าตำหนิติเตียนมา ทั้งคู่อาละวาดอยู่ในห้องเขาทั้งวัน ในขณะที่เหยียนจี้เอาแต่ยืนอยู่ด้านข้างอย่างเยือกเย็นเหมือนเป็นแค่ผู้ชม
ไม่มีใครขอให้เขาออกจากงานที่มีหน้ามีตานี้เพื่อดูแลสุขภาพ แต่กลับหาว่าเขา ‘คิดมากเกินไป’ และที่น่าอัศจรรย์ใจมากกว่านั้นคือในสายตาของพ่อแม่ ใบสั่งยาที่ดีที่สุดไม่ใช่ความห่วงใย ทว่าเป็นการแต่งงานกับภรรยาผู้เพียบพร้อมในช่วงเวลาที่เหมาะสม
อา เหนื่อยจัง บนโลกใบนี้ยังมีเรื่องที่เหนื่อยกว่าการทำงานอีก
เหยียนจี้ปฏิเสธการพูดคุย เขาแยกตัวไปเปลี่ยนเสื้อเชิ้ตและส่องกระจกในห้องที่เละเทะเพื่อผูกเนกไท
‘ผมไม่คุยแล้ว เดี๋ยวไปทำงานสาย’
วันนั้นเขาก็ไปสายจริงๆ แถมยังถูกคนที่กำลังรีบไปทำงานเหมือนกันเดินชนอีก พอตอกบัตรเสร็จเหยียนจี้ก็เลือดกำเดาไหล
‘ย่าห์ พอเข้างานก็เลือดออกเลย เป็นมงคลนะนี่’
เจ้านายชอบพูดจาประชดประชัน ในที่ประชุมเขาขโมยผลงานที่เหยียนจี้อุตส่าห์ทำโอทีติดต่อกันถึงสองเดือนไปแล้วยัดความผิดของคนอื่นมาให้เขาอย่างช่ำชอง
เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นกี่ครั้งกี่หนแล้ว
เขาจำไม่ได้แล้วจริงๆ
เพราะแต่ละวันก็เหมือนกัน มีแต่งานซ้ำซากที่ไม่มีความหมาย อีเมลงานที่ต้องรีเฟรชใหม่ทุกๆ ห้านาที หัวหน้างานที่คอย PUA* ไม่รู้จักจบจักสิ้น หนังสือชี้ชวนที่ปรับแก้นับครั้งไม่ถ้วน แผนปรับลดพนักงานที่ต้องส่งทุกสัปดาห์ การลดเงินเดือนที่น่าหวาดผวา และโมเดลทางการเงินที่มีการอัพเดตไม่รู้จบ ความผ่อนคลายอันจอมปลอม ชื่อเสียงกับผลประโยชน์จอมปลอม การทำงานวันละสิบหกชั่วโมงที่เกิดขึ้นจริง และประวัติการรักษาที่เป็นของจริง…
‘ถึงเหยียนจี้จะพลาดในโปรเจ็กต์ล่าสุด แต่เขาก็ถือว่ามีประสบการณ์พอจะรับหน้าที่จัดทำหนังสือชี้ชวนหุ้นกู้ฉบับใหม่นี้…’
หนวกหู
ในสมองมีเสียงกลองชุดดังกลบเสียงหัวหน้าสมควรตายคนนี้จนมิด
คาดว่าเครื่องปรับอากาศในห้องประชุมคงเปิดแรงเกินไปทำให้เหยียนจี้ถูกแอร์เป่าจนไม่ได้สติ ในสมองจึงมีคำพูดคำจาแบบเด็กๆ ผุดขึ้นมาเสียเฉยๆ
เขาถึงขั้นเผลอทำเสียงงึมงำออกมา
แม้เสียงจะไม่ดัง แต่กลับมีอานุภาพสังหารรุนแรง
หัวหน้าที่นั่งใกล้กับเขามาก นิ่วหน้าถามว่า ‘นายว่ายังไงนะ’
เหยียนจี้เหมือนเพิ่งตื่นจากฝัน เขาหันหน้าไปพิจารณาใบหน้าอัปลักษณ์ของหัวหน้าอย่างจริงจังเป็นครั้งแรก
‘อ๋อ ผมบอกว่า…’ เขาทวนคำด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลและสุภาพอย่างผู้ดี แล้วยิ้มน้อยๆ ด้วยว่า ‘คุณกำลังเห่าอะไรอยู่เหรอครับ’
หัวหน้าถลึงตาจนลูกตาเกือบหลุดออกจากเบ้า เลือดในกายไหลย้อน หัวใจจะวายจนพูดไม่ออก ทุกคนที่อยู่ตรงโต๊ะประชุมพากันหันมามองเพื่อนร่วมงานที่เป็นคนอ่อนโยนที่สุดคนนี้ด้วยสายตาไม่อยากเชื่อ เนื่องจากเหยียนจี้เป็นคนดีที่คอยช่วยพวกเขาเก็บกวาดเรื่องเละเทะเสมอ
เหยียนจี้ลุกขึ้นยืนและโค้งคำนับหนึ่งครั้ง
‘ขออภัยครับทุกท่าน แต่ผมไม่ทำแล้ว’
ชายหนุ่มกรอกแบบฟอร์มลาออกแบบหวัดๆ และกรอกช่องเหตุผลว่า
‘ผมจะไปเข้าร่วมการออดิชันวงดนตรี’
จากนั้นเขาก็เขียนข้อความถึงฉือจือหยางอย่างจริงจัง
YJ ผมชื่นชมทักษะการเล่นของคุณมากและชอบสไตล์ของคุณเป็นพิเศษ ถึงผมจะไม่ใช่มือกีตาร์ตามที่คุณต้องการ แต่คุณพอจะให้โอกาสผมสัมภาษณ์สักครั้งได้ไหม (p.s. ตัวผมเชี่ยวชาญการสัมภาษณ์มาก) เผื่อว่าสไตล์ของเราจะเข้ากันได้ดี หากคุณคิดว่าไม่เหมาะก็ไม่เป็นไร เพราะเราต้องเลือกกันและกันทั้งสองฝ่ายถึงจะเป็นการร่วมงานทางดนตรีกันจริงๆ ผมจะตั้งตารอการได้ซ้อมร่วมกับคุณด้วยใจจดจ่อ
สิ่งเดียวที่เหยียนจี้นึกเสียใจในภายหลังคือเขาไม่น่าออกจากงานในตอนเช้าแบบนี้ และเพื่อจะได้เจอกับหนุ่มมือกลองใจร้อนคนนั้น เหยียนจี้หอบลังกระดาษไปนั่งอยู่ที่ร้านกาแฟชั้นล่างของบริษัทเกือบทั้งวัน
ชายหนุ่มมองดูนาฬิกาข้อมือหลายครั้งและคอยรีเช็กข้อความตอบกลับ จนใกล้เวลาเลิกทำโอทีตามปกติเขาถึงค่อยเดินไปที่สถานีรถไฟ
โชคดีที่เหยียนจี้ไม่ใช่แค่ได้เจอกับมือกลองคนนั้น แต่อีกฝ่ายยังรับเหยียนจี้เข้าวงด้วย
เพลงร็อกที่เป็นอิสระไร้ซึ่งพันธนาการทุบเปลือกนอกที่เป็นผู้ใหญ่แสนน่าเบื่อของเขาให้กลายเป็นผุยผง ทำให้เหยียนจี้ได้ตัวเองสมัยเป็นวัยรุ่นกลับคืนมา และได้เพื่อนร่วมวงที่มีความแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
คนหนึ่งแสนจะน่ารัก ส่วนอีกคนมีดวงตาคมกริบที่เหมือนจะมองทะลุทุกอย่างได้
ความเปลี่ยนแปลงในชีวิตอาจก่อให้เกิดช่วงเวลาพิเศษ
นานมากแล้วที่เหยียนจี้ผู้วิตกกังวล เหนื่อยล้า และต้องคอยระแวดระวังไม่ได้ดำดิ่งอยู่ในดนตรีร็อกทั้งคืนแบบนี้ราวกับว่าเขากำลังเก็บเกี่ยวความสุขอันบริสุทธิ์ ราวกับว่าเรซูเม่แผ่นบางแต่กลับหนักอึ้งนั้นขณะนี้ได้ถูกจับไปแช่น้ำจนพองตัว กลายเป็นคนตัวเล็กและถูกพระอาทิตย์ดวงน้อยสาดแสงส่อง
“ฉันลงทะเบียนแล้วนะ!” พอฉือจือหยางกินซาลาเปาลูกสุดท้ายหมดก็โชว์หน้าเว็บที่บอกว่าการลงทะเบียนสำเร็จแล้วให้พวกเขาดู “สองสามวันนี้ต้องซ้อมแบบลืมตายแล้ว!”
เหยียนจี้ยิ้มน้อยๆ “ตามที่นายว่า” พูดจบเขาก็หันไปมองหนานอี่
เขาสังเกตเห็นว่าหนานอี่ไม่ค่อยกิน เอาแต่นั่งพิงพนักเก้าอี้และจับปากกาขีดเขียนลงในสมุดโน้ตท่าทางจริงจัง และพอเขียนเสร็จเขาก็หยิบร่มคันหนึ่งออกมาสะบัดอย่างจริงจัง ก่อนม้วนอย่างดี จนถ้าเอาไปวางขายบนเชลฟ์ก็คงไม่มีใครรู้ว่าร่มคันนี้เป็นของที่ผ่านการใช้งานมาแล้ว
“นายอายุเท่าไหร่” จู่ๆ เหยียนจี้ก็เอ่ยถาม
หนานอี่เหมือนรู้ว่าเขากำลังถามใครจึงช้อนตาขึ้นมองเหยียนจี้ “สิบแปด ทำไมเหรอ”
“ก็ไม่ทำไมหรอก” เหยียนจี้มีสีหน้าอ่อนโยน เอียงศีรษะเล็กน้อย ดวงตามีรอยยิ้ม “ไม่รู้ทำไมฉันถึงรู้สึกว่านายเหมือนคนอายุร้อยแปดสิบปี”
“แบบนั้นต้องอยู่กันกี่ชาติฮะ น่ากลัวนะเฟ้ย” ฉือจือหยางยิ้มสดใสพลางใช้นิ้วควงตะเกียบ
หนานอี่ก็หัวเราะเหมือนกัน เพียงแต่รอยยิ้มของเขาแตกต่างจากฉือจือหยางมาก เหมือนเขามีเรื่องในใจ แถมมีเยอะมากทำให้รอยยิ้มดูบางเบา ซึ่งอีกหนึ่งวินาทีต่อมาก็อาจกลายเป็นความเฉยชา
“ถ้าอยู่ได้นานขนาดนั้นจริงๆ ก็ดีสิ” หนานอี่ฉีกกระดาษหนึ่งแผ่นออกมาจากสมุดเล่มเมื่อครู่ จัดขอบให้เท่ากันแล้วพับใส่กระเป๋า “หากมนุษย์คนหนึ่งมีเวลานานขนาดนั้นแล้วตั้งใจจะทำอะไรก็น่าจะประสบความสำเร็จ”
พูดจบชายหนุ่มก็ลุกขึ้น “ฉันต้องไปก่อน เจอกันคืนนี้”
“ตอนเช้าไม่มีเรียนเหรอ นายจะไปทำงานพาร์ตไทม์หรือไง” ฉือจือหยางถาม
แต่หนานอี่เดินหนีไปดื้อๆ และโบกมือให้พวกเขาทั้งที่ยังหันหลังให้
“คืนร่ม”
* PUA เป็นคำสแลง หมายถึงการควบคุมทางจิตใจหรือการกดดันทางจิตใจจากหัวหน้า เพื่อให้พนักงานรู้สึกด้อยค่า ไม่มั่นคง
โปรดติดตามตอนต่อไป…
Comments
