ทดลองอ่าน ท่วงทำนองฝัน วันของดวงดาว เล่ม 1 บทที่ 9-10 #นิยายวาย – หน้า 2 – Jamsai
Connect with us

Jamsai

everY

ทดลองอ่าน ท่วงทำนองฝัน วันของดวงดาว เล่ม 1 บทที่ 9-10 #นิยายวาย

2 of 2หน้าถัดไป

บทที่ 10 สถานที่ออดิชัน

 

ในช่วงเวลาเดียวกันชีวิตของจางจื่อเจี๋ยนั้นบัดซบมาก

ตัวเขาที่สอบเข้ามหาวิทยาลัยไม่ได้ ตั้งความหวังว่าจะอาศัยเส้นสายของเฉินอวิ้นเพื่อหางานที่มีหน้ามีตาสักหน่อย ไม่คิดเลยว่าอีกฝ่ายไม่คิดจะช่วยเลยสักนิด เพียงเจียดผลประโยชน์อันน้อยนิดจากซอกนิ้วออกมาให้เขาเป็นครั้งคราวเท่านั้น ทำให้ตอนนี้จางจื่อเจี๋ยได้แต่ทำงานในอู่ซ่อมรถของพ่อ บางครั้งบางคราวก็ตามเฉินอวิ้นไปเที่ยวตามสถานบันเทิง หากโชคดีเขาก็จะได้ชนแก้วกับดาราเกรดสามตรงบาร์ พอให้ชีวิตชุ่มฉ่ำได้บ้าง

แต่ช่วงนี้กลับมีเรื่องน่าหงุดหงิดเข้ามาไม่หยุดไม่หย่อน

เริ่มแรกสุดคือมีชายฉกรรจ์เอารถมอเตอร์ไซค์มาซ่อม ท่าทางดูเหี้ยมๆ ไม่น่ามีเรื่องด้วย อีกฝ่ายกล่าวหาว่ารถซ่อมได้ไม่ดีเลยพาพวกนักเลงตัวโตเหมือนม้ามาหลายคน จางจื่อเจี๋ยเลยได้แต่ยอมขาดทุนเพื่อจบปัญหา

ต่อมาก็มีเรื่องทำนองเดียวกันนี้เกิดขึ้นอีกหลายครั้ง แถมยังเป็นรถมอเตอร์ไซค์ทั้งหมด พอพูดจาผิดหูก็ลงไม้ลงมือทำร้ายทั้งร่างกายและจิตใจโดยไม่กลัวจะมีเรื่องเลยสักคน จางจื่อเจี๋ยเจ็บทั้งตัวเจ็บทั้งใจจนเสียขวัญ พอเห็นมอเตอร์ไซค์ก็ขวัญผวา ต้องไปกราบไหว้พระโพธิสัตว์แทบไม่ทัน

“ฉันทนไม่ไหวแล้ว นักเลงพวกนี้มันมาจากไหน ทำไมถึงแห่กันมาไม่รู้จักหมดจักสิ้น!”

เพิ่งจะด่าได้สองประโยคก็มีคนโทรมา จางจื่อเจี๋ยชำเลืองมองแล้วรีบกดรับอย่างนอบน้อมทันที “ฮัลโหล? พี่หยาง สวัสดีครับ”

คนที่อยู่ปลายสายชื่อหยางซี ครอบครัวพอจะมีแบ็กอยู่บ้าง เขาเปิดผับสี่แห่งกับไลฟ์เฮ้าส์สองแห่งอยู่ในปักกิ่ง ทุกร้านดังมาก ก่อนหน้านี้รถของหยางซีถูกชน เฉินอวิ้นก็แนะนำให้หยางซีเอารถมาซ่อมกับจางจื่อเจี๋ย ถือเป็นการช่วยเหลือธุรกิจของจางจื่อเจี๋ย

“ไม่ต้องหรอกครับ ต้องเทียวมามันยุ่งยาก ผมขับรถไปหาคุณเองดีกว่า ยังอยู่ที่ดรีมไอแลนด์ใช่ไหมครับ”

ดรีมไอแลนด์คือหนึ่งในสองไลฟ์เฮ้าส์ของหยางซี เป็นศูนย์รวมดนตรีร็อกที่มีชื่อเสียงในพื้นที่เขตซีเฉิงของเมือง

จางจื่อเจี๋ยค้นกุญแจรถออกมา ก่อนจะฉีดน้ำหอม แบบนี้เขาถึงจะกล้าขึ้นรถหรูๆ

“ไม่ยุ่งครับ ไม่ยุ่ง ผมจะออกเดี๋ยวนี้ อีกครึ่งชั่วโมงถึงครับ!”

รถติดหนักมากจางจื่อเจี๋ยใช้เวลาเกือบสี่สิบนาที พอเขาจอดรถทั้งร่างก็เต็มไปด้วยเหงื่อ เขาสังเกตเห็นว่ารถในไลฟ์เฮ้าส์แน่นกว่าข้างนอก มีคนต่อแถวกันล้อมวงเบียดเสียดจนแม้แต่น้ำหยดเดียวก็ผ่านไปไม่ได้

ชายหนุ่มถือกุญแจเดินเข้าไปข้างใน ระหว่างนั้นก็บังเอิญเจอหยางซีกำลังดื่มชาอยู่กับใครคนหนึ่ง จางจื่อเจี๋ยจะนั่งก็ไม่ได้ จะยืนก็ไม่ถูก จนหยางซีส่งยิ้มมาแล้วพูดอย่างให้เกียรติว่า “เสี่ยวจางมาแล้ว เหนื่อยเลยสินะ”

กุญแจถูกชายหนุ่มที่อยู่ข้างหยางซีรับเอาไป

“คุณเกรงใจเกินไปแล้วครับ ที่นี่คึกคักดีจัง” จางจื่อเจี๋ยเช็ดเหงื่อ “วันนี้มีการแสดงเหรอครับ วงไหนเหรอ”

“แสดงอะไร ก่อนหน้านี้เราคุยเรื่องสัญญาประกวดวงดนตรีไว้ วันนี้ที่นี่เลยจะมีการออดิชันประมาณสิบวง ฟีลแบบให้มาดวลกัน” หยางซีว่าแล้วก็พยักพเยิดหน้าไปที่รายชื่อบนโต๊ะ “พวกเรากำลังคอนเฟิร์มลำดับการขึ้นเวทีอยู่”

จางจื่อเจี๋ยปรายตามองยิ้มๆ เขาสาบานได้ว่าตัวเองแค่มองดูแวบเดียว แต่ผลคือกลับต้องอึ้งงันเหมือนถูกฟ้าผ่า

“เป็นอะไรไป” หยางซีเห็นเขาเป็นแบบนั้นก็อารมณ์ดี “มีคนรู้จักเหรอ”

“อ๋า คือว่า…” จางจื่อเจี๋ยดึงสติกลับมาแล้วชี้ไปที่ชื่อหนึ่งบนกระดาษ “คนคนนี้มีรูปถ่ายหรือเปล่าครับ”

“ไม่มีหรอก วงดนตรีจะไปมีรูปถ่ายอะไร ไม่ใช่ออดิชันนักแสดงซะหน่อย”

หยางซีชำเลืองมองคนที่จางจื่อเจี๋ยชี้ ชื่อนี้จำง่ายมาก เมื่อกี้ตอนที่เขาเดินผ่านเจ้าของชื่อเลยถือโอกาสปรายตามองแวบหนึ่ง

“หมอนี่หน้าตาเท่มาก ตาก็สวยจริงๆ เหมือนพวกลูกครึ่งเลย”

“ตา…” จางจื่อเจี๋ยจับคีย์เวิร์ดได้ “ตาของเขาสีอ่อนเป็นพิเศษใช่ไหมครับ”

“ใช่ เป็นสีน้ำตาลอ่อนแบบออกเทานิดๆ เวลาโดดแดดจะดูเป็นซีทรู แถมเปล่งประกายด้วย นายรู้จักเขาด้วยเหรอ”

ใช่หมอนั่นจริงๆ

“ครับ เราเคยเรียนที่เดียวกัน”

“เรียนที่เดียวกัน? งั้นก็ต้องสนิทกันสิ” หยางซีหัวเราะ “ไม่งั้นนายก็อยู่ดูการประกวดก่อนสิ ฉันจะให้พวกเขาเอาริสต์แบนด์ให้นายสักอัน ใส่แล้วเข้าไปดูได้”

“ครับ ขอบคุณครับ” จางจื่อเจี๋ยยิ้มแบบขอไปทีก่อนเดินตามผู้ช่วยของหยางซีไป ระหว่างทางเขาอ้างว่าอยากเข้าห้องน้ำเพื่อโทรหาเฉินอวิ้น

แต่ฟังจากน้ำเสียงของคนที่ปลายสาย เฉินอวิ้นไม่รู้เรื่องนี้เลยจริงๆ ทั้งที่ครอบครัวของเขาเป็นผู้สนับสนุนรายใหญ่ที่สุดในการประกวดนี้

เฉินอวิ้นโกรธจนขำ

“ฟอร์มวง? เขากล้าฝันอะไรแบบนี้ด้วยเหรอ”

เฉินอวิ้นบอกให้จางจื่อเจี๋ยส่งสายโทรศัพท์ให้หยางซี จางจื่อเจี๋ยก็ทำตาม หยางซีอายุมากกว่าพวกเขาสิบปี มีแบ็กแข็งขนาดที่เฉินอวิ้นยังต้องเรียกเขาว่าพี่ชาย

จางจื่อเจี๋ยไม่ได้ยินว่าเฉินอวิ้นพูดอะไรบ้าง เห็นแค่หยางซีหรี่ตาแล้วตอบยิ้มๆ ว่า “เด้งออก? ฉันเป็นฝ่ายซัพพอร์ตสถานที่นะ น้องชาย นายอย่าทำให้ฉันลำบากดีกว่า”

ระหว่างที่ทั้งสองคนคุยกัน จางจื่อเจี๋ยก็เริ่มเหม่อลอย ก่อนจะฉุกคิดถึงภาพสุดท้ายของหนานอี่ขึ้นมาได้อย่างไม่มีเหตุผล

วันนั้นเจ้าใบ้ที่ไม่ว่าพวกเขาจะแกล้งมันหนักแค่ไหนขึ้นคร่อมเฉินอวิ้นเหมือนหมาบ้า เจ้าตัวไม่ได้พูดอะไร เอาแต่เหวี่ยงหมัดต่อยอย่างแรงครั้งแล้วครั้งเล่าจนเลือดสาดเต็มหน้าและเกือบบิดแขนเฉินอวิ้นหลุด

ทั้งที่ตอนนั้นพวกเขายังไม่ได้แกล้งอะไรอีกฝ่ายมาก แค่เห็นว่าหนานอี่ขัดหูขัดตาเลยล้อเลียนว่า ‘ทำหน้าอมทุกข์เหมือนคนในบ้านตาย’ ไม่มีอะไรมากไปกว่านั้น แต่ไม่รู้ทำไมหนานอี่ถึงได้คลั่งขนาดล้มคนเจ็ดแปดคนได้ด้วยตัวคนเดียว ทำเอาพวกเขาเกือบตายอยู่ในตรอกประตูหลังโรงเรียน

ถึงตอนนี้จางจื่อเจี๋ยก็ยังแสยงไม่หาย และนั่นเป็นครั้งแรกที่เขาได้รู้ว่าความจริงการมีเรื่องกับคนบ้ามีสิทธิ์ตายได้

หลังจากนั้นหนานอี่ก็ถูกลงโทษและย้ายโรงเรียนไป เห็นว่าไปอยู่ที่เมืองท่าแห่งหนึ่ง จางจื่อเจี๋ยจำได้ว่าตอนนั้นมีอาจารย์คนหนึ่งบอกว่าคนเกรดดีอย่างหนานอี่ ต่อให้จะเคยก่อเรื่องอะไรมาก็ยังมีโรงเรียนแย่งตัวกันอยู่ดี

หมอนั่นเรียนเก่งไม่ใช่เหรอ แล้วตอนนี้จะมาทำวงอะไรอีก

“เห็นแก่หน้านาย ฉันจะเล่นเด็กนั่นให้ แต่เรื่องผลการแข่งขันนายต้องไปคุยกับพ่อเอง”

จางจื่อเจี๋ยมองหน้าหยางซีแล้วคิดในใจว่าถึงคนคนนี้จะดูเป็นมิตร แต่เขาก็ไม่ได้สนิทกับเฉินอวิ้น ไม่งั้นคงไม่พูดเรื่องพ่อของเฉินอวิ้นออกมา

แน่นอนว่าในแสงไฟเฉินอวิ้นคือคุณชายแห่งบริษัทเฉิงหงเอ็นเตอร์เทนเมนต์ แต่ในมุมส่วนตัวจนถึงตอนนี้เขายังต้องคอยดูสีหน้าพ่อตัวเองและถูกทุบตีเป็นเรื่องปกติ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงช่วงนี้ที่เฉินอวิ้นไปก่อเรื่องไว้เลยต้องคอยหลบพ่อ

“ทำไมนายถึงดื้อด้านขนาดนี้นะ นั่นก็ไม่ได้ นี่ก็ไม่เอา” หยางซีฉีกยิ้ม “บางทีหมอนั่นอาจมีดีแค่เปลือกก็ได้ เพราะวงอื่นเขาอยู่กันมาหลายปี มีฐานแฟนอยู่ที่นี่ ฉันว่าวงที่เพิ่งฟอร์มขึ้นมาอย่างพวกเขามีแต่จะตายเปล่ามากกว่า”

หลังวางสายหยางซีก็โยนโทรศัพท์ใส่อกของจางจื่อเจี๋ยพร้อมยิ้มจนตาหยี “วันๆ คุณชายน้อยคิดแต่จะยุ่งเรื่องของคนอื่นดีนะ”

หยางซีพูดจบก็หยิบปากกามาขีดๆ เขียนๆ สองครั้งแล้วเอากระดาษฟาดอกผู้ช่วย

จางจื่อเจี๋ยไม่รู้จะพูดอะไรดีก็ได้แต่ยิ้มรับ พอไม่เห็นหยางซีพูดอะไรอีก จางจื่อเจี๋ยก็โล่งอก เขาเดินตามผู้ช่วยที่เดินวกไปเวียนมาจนถึงชั้นสอง

วงที่เข้าประกวดจะถูกพวกเขาจัดให้มาอยู่ที่นี่ทำให้มีจำนวนคนค่อนข้างเยอะ ภายในห้องพักนั้นชุลมุน แถมยังมีผู้จัดการวงฉะกับสตาฟฟ์ด้วย

ผู้ช่วยของหยางซีเดินไปดึงแขนคนที่มีบัตรห้อยคอ ก่อนจะยัดตารางคิวอันใหม่ให้ จากนั้นก็ยื่นหน้าไปกระซิบสองสามประโยค คนคนนั้นส่งสายตาแล้วเอาตารางคิวเดิมมาจากมือเพื่อนร่วมงาน จากนั้นก็ยัดตารางคิวอันใหม่ที่ได้จากผู้ช่วยของหยางซีให้อีกต่อ พร้อมบอกแค่ว่า “ทำตามนี้”

ผู้คนที่คลาคล่ำแต่ละคนล้วนสะพายเครื่องดนตรี จางจื่อเจี๋ยกวาดตามองไปรอบๆ แล้วสายตาก็ไปหยุดอยู่ที่มุมหนึ่ง ทำเอากล้ามเนื้อทุกมัดภายในร่างกายแข็งค้าง

เป็นหนานอี่จริงๆ!

เขาตัวสูงขนาดนี้เลยเหรอ ทั้งที่สมัยอยู่มัธยมต้นหนานอี่ตัวเตี้ยมาก พอไม่ได้เจอกันสองสามปี ตอนนี้เขากลับสูงร้อยแปดสิบกว่าเซนติเมตรแล้ว

ถ้าไม่ใช่เพราะดวงตาคู่นั้นพิเศษมาก จางจื่อเจี๋ยไม่มีทางจำอีกฝ่ายได้

ความรู้สึกอับอายพลุ่งพล่านขึ้นมาเหมือนกระแสน้ำขึ้น จางจื่อเจี๋ยสบถสองประโยคแล้วใช้ลิ้นดุนฟันสองซี่ที่ถูกหนานอี่ต่อยหักจนต้องทำใหม่ แต่ตอนนี้เขากลับรู้สึกเจ็บแปล๊บๆ ตอนนั้นกระดูกซี่โครงเขาเกือบหักต้องนอนพักอยู่ที่บ้านกว่าครึ่งเดือน แถมยังถูกพ่อด่าปางตาย เรื่องพวกนี้เขาจำได้ไม่ลืม

แม่มันเถอะ ไอ้โรคจิตนี่

หน้าต่างของชั้นสองมีช่อง หนานอี่ยืนพิงหน้าต่าง ก้มหน้ามองคนที่ต่อแถวอยู่ด้านล่าง ก่อนจะคอนเฟิร์มเวลาอีกครั้ง

ไม่รู้ว่ามีวงดนตรีวงหนึ่งเบียดเข้ามาข้างๆ ตอนไหน ทั้งห้าคนจับกลุ่มกัน หนึ่งในนั้นสะพายหีบเพลงชัก แปดสิบเปอร์เซ็นต์เดาว่าน่าจะร้องแนวดนตรีพื้นบ้าน

“เราต้องเล่นเป็นวงแรกจริงๆ” คนพูดคือคนสะพายหีบเพลงชัก คิ้วสองเส้นขมวดมุ่น ถอนหายใจเสียงดังเฮ้อ “โคตรซวย ทำไมถึงโชคร้ายขนาดนี้”

การขึ้นแสดงเป็นวงแรกไม่ใช่เรื่องดีเลยจริงๆ หนานอี่คิด โดยเฉพาะกับวงที่เล่นเพลงพื้นบ้านที่ยากจะทำให้บรรยากาศงานคึกคักขึ้นมาได้ ไม่ต้องสงสัยเลยว่านี่จะเป็นความซวยซ้ำซวยซ้อน

การประกวดเครซี่แบนด์จะใช้การแสดงแบบไลฟ์เฮ้าส์กันตั้งแต่รอบออดิชัน แต่ถึงจะบอกว่าเป็นการออดิชัน ความจริงมันเหมือนการดวลมากกว่า เนื่องจากมีคนเยอะและมีคนจากวงที่พอจะมีชื่อเสียงรวมอยู่ด้วย พอข่าวการประกวดแพร่ออกไปพวกแฟนคลับก็เฮกันแย่งซื้อบัตรจากหวงนิว* ในราคาสูงเพื่อเข้ามา

สิ่งสำคัญคือพวกเขามีสิทธิ์โหวตคะแนน…ริสต์แบนด์ที่แต่ละคนสวมจะสามารถกดไฟในระหว่างการแสดงได้สามครั้งแล้วห้ามกดซ้ำอีก หรือพูดอีกอย่างหนึ่งคือผู้ชมมีสิทธิ์เลือกวงที่พวกเขาชอบได้สามวงจากสิบสองวง เป็นสามคะแนนที่เลอค่ามาก

การออดิชันแบ่งออกเป็นห้าสถานที่ ได้แก่ ปักกิ่ง เซี่ยงไฮ้ กว่างโจว อู่ฮั่น และเฉิงตู ไลฟ์เฮ้าส์ที่เปิดออดิชันในที่ปักกิ่งมีสองแห่ง แต่ละแห่งจะคัดเอาเฉพาะสองอันดับแรกเท่านั้น ด้วยเหตุนี้คะแนนจากคนดูที่อยู่ด้านล่างเวทีจึงมีเป็นอำนาจชี้เป็นชี้ตายในการโปรโมตวง

แฟนคลับส่วนหนึ่งถึงขั้นคิดแผนเอาไว้แล้วว่าจะโหวตให้วงที่ตัวเองรักที่สุดเท่านั้น ที่เหลืออีกสองคะแนนจะไม่ให้ใครเลย

สรุปเรื่องที่จริงเสียยิ่งกว่าจริงคือยิ่งได้ออกตัวเร็วเท่าไหร่ แฟนๆ ก็จะยิ่งระวังการโหวตมากขึ้นเท่านั้นทำให้พวกเขามีสิทธิ์แพ้ง่ายกว่าเดิม

ต่อให้ไม่พูดเรื่องคะแนน ให้คิดว่าเป็นคอนเสิร์ตรวมก็ต้องเป็นวงร็อกยอดนิยมถึงจะมีฐานแฟนคลับอยู่แล้ว ส่วนวงเล็กวงอื่นขึ้นมาเล่นก็มีค่าเท่ากับ ‘วงอุ่นเครื่อง’ เพราะไม่มีใครตั้งใจมาดูพวกเขา แฟนคลับที่อยู่ด้านล่างเวทีมีแต่จะทำหน้าตาเย็นชา เล่นโทรศัพท์มือถือ ถ่ายคลิปลงกรุ๊ปเพื่อน และกอดอกบ่นถามอย่างรำคาญใจว่าเมื่อไหร่วงที่พวกเขาชอบที่สุดจะขึ้นแสดง

นี่คือเรื่องจริง

หนานอี่ไม่ได้ฟังวงที่อยู่ติดกันทอดถอนใจ ชายหนุ่มมองออกไปนอกหน้าต่าง พบว่าคนเยอะขึ้นเรื่อยๆ และกลุ่มคนที่เข้ามากำลังจะแยกออกเป็นสองกลุ่ม

“ดูอะไรอยู่เหรอ”

หนานอี่หันหน้ามาเจอเหยียนจี้ที่เบียดฝูงชนกลับมา “ไม่มีอะไร แค่มองไปเรื่อย”

เหยียนจี้มายืนอยู่ข้างเขาและมองตามสายตาของหนานอี่ลงไป พบว่าพวกแฟนๆ ที่เข้าแถวอยู่เกิดมีเรื่องกัน สตาฟฟ์ที่ยืนอยู่ตรงกลางกำลังช่วยไกล่เกลี่ย พอทั้งสองฝ่ายมีเรื่องกันปุ๊บก็ด่ากันไม่ยั้งและเกือบจะลงไม้ลงมือ

“ฝ่ายสถานที่มีปัญหา ตามหลักควรจะตรวจบัตรและปล่อยคนเข้ามาได้แล้ว แต่ตอนนี้คนยังเข้าแถวกันอยู่” หนานอี่ดูไม่ยี่หระ ทำตัวเหมือนเป็นผู้ชมมากกว่าเป็นคนที่กำลังจะขึ้นแสดง

“เมื่อกี้ฉันไปสืบมา” เหยียนจี้รู้รูปแบบการทำงานของที่นี่ดี “ได้ความว่าเครื่องตรวจบัตรมีปัญหา แถมคนคุมคิวยังทำงานพลาด จริงๆ พวกเขาเข้าแถวกันเป็นแถวเดี่ยว แต่สตาฟฟ์กลับดึงคนข้างหลังไปข้างหน้าเพื่อทำให้กลายเป็นสองแถว มีคนมองว่าไม่แฟร์เลยโวยวายขึ้นมา ดูเหมือนพวกเขาจะไม่มีมาตรการรับมือ เลยได้แต่ปล่อยให้เรื่องมันยุ่งแบบนี้”

หนานอี่เลิกมอง “อารมณ์เสียกันขนาดนี้ รอให้เข้ามาในงานก่อนเถอะ แค่คิดก็ยุ่งยากแล้ว”

ระหว่างที่ทั้งสองคนคุยกัน ฉือจือหยางก็เบียดกลุ่มคนที่อยู่ด้านหนึ่งเพื่อวิ่งมาหาทั้งคู่จนหายใจหายคอไม่ทันเลยสบถด่าก่อนว่า “ฟัค”

“เป็นอะไรไป” เหยียนจี้ส่งน้ำให้เขา “ค่อยๆ เล่า”

ฉือจือหยางไม่ได้รับน้ำจากเหยียนจี้ เขาพองขนทันที เสียงดังจนทุกคนที่อยู่ในห้องได้ยินจึงพากันหันมามอง

“ยังจะใจเย็นได้อีกเหรอ! พวกเขาเปลี่ยนคิวการแสดงแล้ว!”

หนานอี่เอ่ยถาม “เลื่อนขึ้นหน้าหรือเลื่อนลงหลัง?”

ฉือจือหยางของขึ้นจนอยากชกผนัง

“อย่าพูดเลย พวกเราต้องเป็นคนเปิด!”

 

* หวงนิว หมายถึงพวกขายบัตรผีหรือบัตรอัพราคาในประเทศจีน

  

โปรดติดตามตอนต่อไป

2 of 2หน้าถัดไป

Comments

comments

No tags for this post.
Continue Reading

More in everY

บทความยอดนิยม

everY

ทดลองอ่าน เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 Chapter 2.1-2.2 #นิยายวาย

ทดลองอ่าน เรื่อง เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 ผู้เขียน : MINTRAN แปลโดย : ทันบี ผลงานเรื่อง : 배타적 연애 금지구역 ถือเป็นลิขสิทธิ์...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน เชิดรักมังกรซ่อนเงาหงส์ บทที่ 1-2

บทที่ 1 เสียงเคาะระฆังบอกโมงยามดังขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า เสียงอันคุ้นเคยเตือนให้คนเก่าคนแก่ในวังตระหนักได้ว่าเพลานี้เป็น...

ชาตินี้ข้าจะรักท่านให้มาก

ทดลองอ่าน ชาตินี้ข้าจะรักท่านให้มาก บทที่ 1-2

บทที่ 1 ต้นฤดูใบไม้ร่วง ท้องฟ้าสีฟ้าคราม สายลมโชยอ่อนพัดแผ่ว ม่านโปร่งบนศาลาริมน้ำขยับไหว ที่อยู่หลังม่านโปร่งคือโฉมสะคร...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน สานวาสนากับท่านอาของอดีตคู่หมั้น บทที่ 1-2

บทที่ 1 เวลาเช้าตรู่กู้เจี้ยนหลีรออยู่หน้าโรงจำนำเป็นเวลานานมากแล้ว ในมือของนางกำปิ่นรูปผีเสื้อคู่ประดับพู่ระย้าไว้อันหน...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน เชิดรักมังกรซ่อนเงาหงส์ บทที่ 3-4

บทที่ 3 เนี่ยชิงหลินได้ยินคำพูดเช่นนี้จึงเงยหน้าขึ้นเหลือบมองสีหน้าเย็นชาเข้มงวดของเว่ยเหลิ่งเหยาปราดหนึ่ง นางลังเลอยู่ช...

community.jamsai.com