everY
ทดลองอ่าน ท่วงทำนองฝัน วันของดวงดาว เล่ม 1 บทที่ 11-12 #นิยายวาย
ทดลองอ่านเรื่อง ท่วงทำนองฝัน วันของดวงดาว เล่ม 1
ผู้เขียน : จื้อฉู่ (稚楚)
แปลโดย : ปราณหยก
ผลงานเรื่อง : 恒星时刻 (Heng Xing Shi Ke)
ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน
จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว
หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย
– – – – – – – – – – – – – – – – –
Trigger Warning
นิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องที่แต่งขึ้นจากจินตนาการของผู้เขียน
ไม่มีความเกี่ยวข้องกับบุคคล สถานที่ หรือเหตุการณ์จริงใดๆ
เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับการบรรยายถึงเลือดและสภาพศพ
การบูลลี่ บาดแผลทางใจในวัยเด็ก ความรุนแรงในครอบครัว
การทำร้ายทางร่างกายและจิตใจ อาการป่วยทางจิต
การสะกดรอยตาม และความรุนแรง
ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ
สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป
โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
** หมายเหตุ: ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **
– – – – – – – – – – – – – – – – –
บทที่ 11 การปะทะระหว่างน้ำแข็งกับไฟ
ฉินอีอวี๋หลบอยู่ที่บ้านโจวไหวสองวันแล้ว เช้าวันเสาร์ก็ถูกไล่กลับ
ด้านหนึ่งเพราะแฟนหนุ่มคนใหม่ของโจวไหวมา ฉินอีอวี๋เลยกลายเป็นก้างขวางคอ แถมเขายังชอบสร้างเรื่องเข้าใจผิดด้วย โจวไหวเลยต้องไล่เขาไป และอีกด้านหนึ่งคือโจวไหวโวยว่าตอนกลางดึกฉินอีอวี๋แอบกินเค้กช็อกโกแลตที่เขาซื้อมา แต่ฉินอีอวี๋นอนหลับสนิทตลอดคืนจนฟ้าสว่าง ชายหนุ่มได้แต่คิดอย่างแค้นๆ ว่านี่เป็นข้ออ้างกากๆ ที่โจวไหวคิดขึ้นมาเพื่อไล่เขาไป
พอเดินไปถึงอาคารที่พักฉินอีอวี๋ก็ก้มหน้าแล้วหยุดเท้า
“หืม?” ชายหนุ่มสังเกตเห็นว่าบนเสื้อยืดที่ตัวเองเพิ่งเปลี่ยนมาใหม่มีรอยสีน้ำตาลที่ดูน่าสงสัย “นี่มันอะไร”
เขายกชายเสื้อขึ้นมาดม พบว่ามันเป็นกลิ่นช็อกโกแลต!
“อะไรเนี่ย” ฉินอีอวี๋งง “จะไล่ก็ไล่สิ ต้องยัดหลักฐานให้กันด้วยเหรอ”
ชายหนุ่มเดินขึ้นอาคารพลางก้มหน้าส่งข้อความไปด่าโจวไหว พอนิ้วกดปุ่มส่ง เท้าก็พาร่างเดินมาถึงหน้าประตูพอดี ฉินอีอวี๋เงยหน้า แล้วความรู้สึกก็ร่วงดิ่งลงไปในหุบเหว
ประตูกันขโมย ผนัง และพื้นหน้าห้องเช่าถูกสาดสีน้ำมันสีแดงสดไปทั่ว มีถ้อยคำหยาบคายที่ถูกเขียนไว้ ซึ่งตัวอักษรแต่ละตัวนั้นราวกับอ้าปากกว้างสีเลือด นี่มันสะดุดตาเหมือนเนื้อเพลงบนจอในไลฟ์เฮ้าส์ คล้ายสโลแกนที่แฟนเพลงโบกกันเป็นบ้าเป็นหลังอยู่ที่ด้านล่างเวทีคอนเสิร์ต
เป็นหนี้แล้วต้องคืนคือหลักการที่ถูกต้อง แต่เห็นอยู่ว่ามันไม่ใช่หนี้ที่เขาก่อ แล้วทำไมเขาต้องคืน
การเป็นพ่อน่ะเป็นเรื่องที่ทำได้ง่ายที่สุดในโลก ปล่อยให้เสร็จทีเดียวก็ได้เด็กมาหนึ่งคนแล้ว อย่างอื่นก็ไม่สนใจทั้งนั้น หากเด็กคนนั้นประสบความสำเร็จคุณก็ไปสูบเลือดสูบเนื้อเขาได้ หรือถ้าเด็กคนนั้นล้มเหลวคุณก็ยังมีลูกมาใช้หนี้แทนอยู่ดี
ใครบอกว่าไม่มีเรื่องโชคดีที่หล่นมาจากฟ้า ต่อให้เขาไม่อยากเป็นก็ต้องเป็น
อาจเพราะฉินอีอวี๋เจอเรื่องแบบนี้มาเยอะจนเริ่มด้านชาจึงตกใจแค่วินาทีเดียว แล้วฉินอีอวี๋ก็กลับไปมีท่าทีหมดอาลัยตายอยากอีกครั้ง เขารู้ว่าเรื่องนี้จะต้องเกิดขึ้นอีก แต่คิดไม่ถึงว่ามันจะไวขนาดนี้ เพราะเขาเพิ่งจะย้ายมาที่นี่ไม่ถึงสองสัปดาห์ อีกไม่กี่วันก็จะได้ฉลองวันเกิดอย่างสงบแล้ว
น่ารำคาญฉิบหาย
ชายหนุ่มยกมือขึ้นลูบผนังก็พบว่าสีน้ำมันเกือบแห้งแล้ว คำนวณเวลาดูสีน่าจะถูกสาดเมื่อหนึ่งหรือสองวันก่อน
บังเอิญว่าช่วงนั้นเขาไม่อยู่ที่ห้องนี้พอดี
ไม่รู้จริงๆ ว่าเป็นเคราะห์ดีหรือเคราะห์ร้าย แต่ฉินอีอวี๋ก็ขี้เกียจจะคิด เขาตั้งใจจะเปิดประตูเพื่อเอาของก่อน แต่พอก้มหน้าไขกุญแจก็พบว่ามีของบนพื้น สิ่งนั้นเปื้อนสีน้ำมันเป็นก้อนสีแดงๆ เขาจึงเกือบมองไม่เห็น
เป็นร่ม
ลมหายใจของฉินอีอวี๋สะดุด
เพราะมันคือร่มที่เขาให้หนานอี่ไป
หนานอี่มาที่นี่
ฉินอีอวี๋ไม่เคยเห็นร่มที่ถูกพับได้เนี้ยบแบบนี้มาก่อน
จนลืมเรื่องที่ว่าสีน้ำมันอาจจะเปื้อนมือ ฉินอีอวี๋หยิบร่มคันนั้นขึ้นมากางพึ่บแล้วหมุน น่าแปลกที่เขารู้สึกคุ้นๆ สัญชาตญาณบอกให้ฉินอีอวี๋ยกร่มขึ้นเหนือศีรษะแล้วเงยหน้าขึ้นมองสีแดงเป็นปื้นนี้อยู่นาน
ระยะนี้ความทรงจำของเขามักจะย้อนกลับไปสมัยมัธยม
ฉินอีอวี๋ในตอนนั้นก็เหมือนกับตอนนี้คือขี้เซา เขาจึงมักไปแอบนอนตามสถานที่ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นห้องทบทวนบทเรียนด้วยตัวเองที่กำลังว่าง สนามกีฬา ดาดฟ้า ที่นั่งในโรงยิม เขาเคยนอนมาแล้วทั้งนั้น
ในความทรงจำมีครั้งหนึ่งที่เขาอยู่บนดาดฟ้า วันนั้นอากาศดีอย่างน่าเหลือเชื่อ ฟ้าใสเหมือนคริสตัลสีฟ้า ไม่มีเมฆเลยสักนิด ฉินอีอวี๋วิ่งไปเขียนเพลงที่นั่นตอนพักเที่ยง และระหว่างที่เขียนๆ อยู่เขาก็เอนตัวลงนอนหลับไป
สิ่งที่ปลุกเขาให้ตื่นคือฝน
ในช่วงกึ่งหลับกึ่งตื่นมีฝนตกลงมาโดนปลายนิ้ว น้ำฝนเย็นมาก ฉินอีอวี๋ลืมตาที่กำลังง่วงงุนขึ้นด้วยความยากลำบาก แล้วในช่วงที่กำลังสะลึมสะลือภาพที่ปรากฏขึ้นในสายตาไม่ใช่ท้องฟ้าสีเทาเพราะฝนตก แต่เป็นอะไรบางอย่างสีแดงเป็นผืนที่ช่วยบังฝนให้เขาอยู่
ร่มสีแดงไม่คุ้นตาตั้งอยู่บนพื้น ตัวร่มขยับเบาๆ อยู่กลางสายลมเหมือนดอกนุ่นที่ออกดอกอยู่เดียวดายแล้วหล่นใส่เขาพอดี
ฉินอีอวี๋ที่ยังไม่ตื่นเต็มตาเพ่งมองร่มที่กางอยู่เหนือศีรษะแล้วเพิ่งมารู้ตัวทีหลังว่ามีคนเอาเสื้อกันฝนใสๆ มาห่มให้เขาด้วย
พื้นซีเมนต์สีขาวออกเทายังไม่เปียกหมดแสดงว่าฝนเพิ่งตกได้ไม่นาน
ใครกัน ฉินอีอวี๋ลุกขึ้นถือร่มไว้ขณะมองไปรอบๆ แล้วเดินลงไปข้างล่าง แต่ก็ไม่เจอใครเลย
ต่อมาเขาสังเกตเห็นว่าในช่วงวัยรุ่นของตัวเองมักจะมีเรื่องแปลกๆ ทำนองเดียวกันนี้เกิดขึ้นเป็นประจำเหมือนในการ์ตูนลี้ลับ
เขาตั้งชื่อให้คนคนนี้ในใจว่า…เจ้าผีน้อย
ร่มสีแดงคันนั้นเป็นความประทับใจแรกที่เจ้าผีน้อยทิ้งไว้ให้เขา
ที่น่าสนใจคือฉินอีอวี๋รับรู้ได้อย่างชัดเจนว่าคนคนนั้นไม่อยากให้เขาหาตัวเจอ ด้วยเหตุนี้พอเกิดเรื่องในทำนองเดียวกันขึ้นหลายต่อหลายครั้ง ฉินอีอวี๋ก็จะแกล้งทำมึนๆ ไม่ได้ไปจับผิดและไม่พยายามตามหาความจริง ถือว่ามันเป็นเกมแมวไล่จับหนูที่รู้ใจกัน
จนเจ้าผีน้อยตัวนี้หายไป
เช่นเดียวกับที่ฉินอีอวี๋จากลาช่วงวัยรุ่น กลายเป็นผู้ใหญ่ที่แสนน่าเบื่อ
“สาดสีน้ำมัน…” ฉินอีอวี๋มองสีแดงเหนือศีรษะพลางพูดกับตัวเอง “เหมือนร่มของเจ้าผีน้อยจริงๆ”
ชายหนุ่มเก็บร่ม เมื่อก้มหน้าลงก็พบว่าที่ใต้ร่มมีกระดาษโน้ต แต่ถูกสีน้ำมันสาดทำให้ข้อความบนกระดาษเกินครึ่งอ่านไม่ได้แล้ว เหลือแต่ส่วนมุมขวาล่างที่สะอาดอยู่
เป็นโน้ตเบสที่เขียนด้วยมือ
ฉินอีอวี๋หยิบโน้ตขึ้นมาด้วยหัวใจที่เต้นแรงขึ้นราวกับมีกลองรบรัวอยู่ในอกทันที หูก็ได้ยินเสียงแว่วที่ไร้ซึ่งที่มา ทว่ามันไม่ใช่เสียงรถพยาบาลอีกต่อไป แต่เป็นเสียงไลน์เบสของหนานอี่ในคืนนั้น
ตั้งแต่กลับมาถึงที่นี่และมองเห็นความเละเทะเหล่านี้ ฉินอีอวี๋ไม่ได้สบถด่าสักครึ่งประโยคและไม่ได้ตัดพ้อใครสักคำ แต่ตอนนี้เขากลับเปิดปากด่าออกมาอย่างไม่ทันรู้ตัว “ฟัค”
“แบบนี้จะอ่านยังไง…”
ทันใดนั้นประตูห้องฝั่งตรงข้ามก็เปิดผาง เพื่อนบ้านถือถุงขยะเดินออกมา อีกฝ่ายก็เพิ่งเคยเจอเรื่องแบบนี้เป็นครั้งแรกเลยนิ่งอึ้งอยู่ที่เดิมนานมาก
ฉินอีอวี๋กระแอม ยืดตัวยกปีกหมวกเบสบอล ปั้นหน้ายิ้มอย่างเป็นมิตรแล้วกล่าวคำขอโทษไม่ขาดปาก
“เดี๋ยวผมจะทำความสะอาดเองครับ ผมเคยทำ คงไม่โดนประตูบ้านคุณด้วยใช่ไหมครับ ต้องขอโทษจริงๆ”
หนุ่มเพื่อนบ้านตกใจ เขาโบกมือแล้วเอ่ยถามว่า “ไม่ต้องแจ้งตำรวจเหรอครับ”
“ไม่ต้องหรอกครับ ผมเคยลองแล้ว” ฉินอีอวี๋ยิ้ม “อย่างมากมันถูกจับแค่สองวัน แถมบางครั้งพวกมันยังหาเด็กวัยรุ่นที่ไม่ได้เข้าโรงเรียนมา แบบนี้ต่อให้อยากจับก็จับไม่ได้ ได้แต่ตักเตือนสองสามประโยคเท่านั้น”
เขาพูดเยอะไปหน่อยแล้ว
ฉินอีอวี๋กล่าวคำขอโทษอีกครั้งและตั้งใจว่าจะจบบทสนทนาลงแค่นี้ แต่คิดไม่ถึงว่าคุณเพื่อนบ้านจะบอกว่า
“เมื่อวานซืนยังดีๆ อยู่เลย…ตอนผมลงไปซื้อข้าวเช้า เห็นผู้ชายคนหนึ่งมายืนอยู่ที่หน้าประตูบ้านคุณและเคาะเรียกอยู่พักหนึ่ง” เพื่อนบ้านชะงักไป เพราะกลัวถูกเข้าใจผิดจึงอธิบายว่า “แต่น่าจะไม่ใช่ฝีมือเขาหรอกครับ เพราะเขาไม่มีสีน้ำมันมาด้วย”
เป็นหนานอี่
รอยยิ้มจอมปลอมบนใบหน้าของฉินอีอวี๋หายไปแบบที่เขาไม่ทันรู้ตัว ชายหนุ่มถามว่า “ผู้ชายตัวสูงๆ ผอมๆ ใส่ต่างหูใช่หรือเปล่าครับ”
“เขาคนนั้นแหละครับ! พอผมซื้ออาหารเช้ากลับมา เขาก็ยังอยู่ แถมหยิบโพสต์อิตมาเขียนโน้ตบนผนังด้วย” คุณเพื่อนบ้านหัวเราะหึๆ แล้วพูดเสริมหนึ่งประโยคว่า “เขาหล่อจนผมอดมองไม่ได้เลย”
ฉินอีอวี๋ปรายตามองอีกฝ่ายแวบหนึ่งด้วยสายตาที่แสนจะธรรมดา
ใครจะรู้ว่าคุณเพื่อนบ้านถึงกับตกใจจนสะดุ้งโหยงแล้วรีบเอ่ยเสริมว่า “คุณก็หล่อเหมือนกันครับ!”
เขาไม่ได้หมายความแบบนั้น
“ขอบคุณครับ” ฉินอีอวี๋ไม่ยี่หระ “ทำให้คุณเดือดร้อนแล้ว ผมจะรีบเก็บกวาดทันที ไว้เจอกันครับ”
ฉินอีอวี๋พูดจบก็ก้มหน้าและพลิกกระดาษโน้ตดู คิดไม่ถึงว่าจะมีข้อความอยู่ที่หลังกระดาษด้วย เพียงแต่มันไม่ใช่โน้ต แต่เป็นตัวอักษรสองสามบรรทัดที่กดลึกจนมองทะลุกระดาษได้
ฉินอีอวี๋ไม่เคยตั้งใจอ่านอะไรแบบนี้มาก่อน
แต่น่าเสียดายเหลือเกินที่บรรทัดสุดท้ายเปื้อนสีน้ำมัน ไม่ว่าเขาจะพยายามอ่านมากแค่ไหนหรือยกกระดาษเข้ามาใกล้ๆ เพียงใดก็มองไม่เห็น
“พ่องตาย” ฉินอีอวี๋เปิดมือถือดูเวลาแล้วปลดล็อกเพื่อหาเบอร์ของโจวไหว
เวลา 17.30 น.
“แม่งเอ๊ย พ่องตาย!”
ที่ไลฟ์เฮ้าส์ดรีมไอแลนด์ แฟนบอยที่ยกพวกตีกันด่าคำนี้เสียงดังมาก แล้วฝูงชนรอบข้างก็ลุกฮือขึ้นมาทันที ทำเอาเกือบเกิดจลาจล
แต่ใครจะรู้ว่าจังหวะนี้สตาฟฟ์ที่ห้อยป้ายอีกคนหนึ่งจะวิ่งออกมาจากประตูทางเข้า สตาฟฟ์หอบฮักพลางตะโกนเสียงดังว่า “เข้าได้แล้ว” ชั่วพริบตาเดียวคนที่เข้าคิวอยู่ด้านหน้าก็วิ่งกรูไปที่ช่องตรวจตั๋วเหมือนน้ำทะลักออกจากประตูน้ำ ไม่ว่าใครก็ห้ามไม่อยู่
“จะเริ่มแล้วจริงๆ!”
จะเริ่มแล้วจริงด้วย
เวลานี้พวกหนานอี่ทั้งสามคนถูกต้อนไปที่จุดขึ้นแสดง พวกเขาจึงไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากบรีฟซาวนด์เอ็นจิเนียร์เป็นครั้งสุดท้ายและเตรียมความพร้อม
ฉือจือหยางทะเลาะกับฝ่ายเวทียกหนึ่ง เนื่องจากมีสตาฟฟ์คนหนึ่งแสดงกริยาไม่ดี ทั้งคู่จึงหวิดจะต่อยกัน แต่มีคนมาห้ามไว้
หนานอี่ยืนเช็ดเบสเงียบๆ อยู่ที่มุมหนึ่ง เหยียนจี้กล่อมฉือจือหยางให้ใจเย็นลงได้แล้ว ก่อนจะไปคุยกับซาวนด์เอ็นจิเนียร์
ซาวนด์เอ็นจิเนียร์อธิบายว่า “อุปกรณ์มีปัญหา ตอนซ้อมเสียงกีตาร์ดร็อปลงมาก ตอนนี้ยังแก้ไม่ได้ ถ้าปกติคงยังไม่เป็นไร แต่วันนี้มีงานประกวดเลยจะทำลวกๆ ไม่ได้ เราต้องตั้งเสียงใหม่ ซึ่งวงของพวกคุณไม่มีกีตาร์ น่าจะไม่ได้รับผลกระทบมาก ผมเลยเลื่อนคิวของพวกคุณขึ้นมาก่อน”
“ให้ตายสิ! มีแบบนี้ด้วย?” ฉือจือหยางยังไม่หายโมโหดี พอได้ยินแบบนี้เลยของขึ้น “อุปกรณ์มีปัญหาอะไร มีคนเล่นไม่ซื่อมากกว่า!”
ซาวนด์เอ็นจิเนียร์ถูกฉือจือหยางตะโกนใส่จนเจ็บหู แต่ทำได้แค่เกาศีรษะ “ไม่เป็นไรหรอกน่า เขาจัดคิวไว้แล้ว ผมไม่มีสิทธิ์สั่งนะ”
ซาวนด์เอ็นจิเนียร์ยื่นกระดาษมาหนึ่งแผ่น “คุณดูสิ ทุกวงที่ไม่มีกีตาร์เขาถูกเลื่อนขึ้นมากันทั้งนั้น แต่ในงานมีวงที่ไม่มีกีตาร์อยู่แค่สองวง อีกวงเป็นวงเพลงแจ๊ซ เขาถูกจัดให้เล่นหลังพวกคุณ อย่าว่างั้นงี้เลยนะ พวกคุณรีบคอนเฟิร์มเสียงก่อนดีกว่าเพราะเดี๋ยวจะเริ่มกันแล้ว พวกกรรมการเขาไปนั่งอยู่บนชั้นสองกันหมดแล้วด้วย”
อย่าเพิ่งพูดถึงกรรมการเลย แม้แต่กลองชุดก็ยังถูกคลุมผ้าเอาไว้เรียบร้อยแล้ว หนานอี่รู้ว่าเรื่องนี้ถูกกำหนดเอาไว้เลยไม่อยากจะมีเรื่อง
ถึงจะมีกำแพงกั้น แต่เขาก็ได้ยินเสียงผู้ชมเดินเข้างานพร้อมคำสบถด่าทุกรูปแบบ ขนาดยังไม่เริ่มการแสดงก็ยังส่งเสียงกันขรม
ไม่ใช่บอกว่า ‘อังกอร์’* แต่เป็น ‘จะคืนบัตร’
นั่นทำให้ที่นี่ไม่เหมือนไลฟ์เฮ้าส์เลยสักนิด แต่เหมือนเหมืองดินระเบิด ตอนนี้แค่โยนอะไรขึ้นไปบนเวทีนิดหน่อยก็ระเบิดได้ทันที ไม่ว่าใครก็เป็นเป้าสังเวยทั้งนั้น
หนานอี่ยืนอยู่หลังเวที ฟังคำแนะนำของพิธีกรที่ดังมาเป็นระยะๆ ว่า
“…หลังจบการออดิชันจะมียี่สิบวงที่เข้ารอบไปประกวดเครซี่แบนด์อย่างเป็นทางการ”
“นอกจากผู้ชมที่อยู่ด้านล่างเวทีจำนวนหนึ่งพันหกร้อยคนแล้ว เรายังมีกรรมการตัดสินสองท่าน ซึ่งกรรมการแต่ละท่านจะมีคะแนนสองร้อยคะแนน รวมทั้งหมดเป็นสองพันคะแนน เวลาที่กรรมการโหวต เสาไฟบนเพดานจะส่องแสงไฟสีแดงกุหลาบออกมาเหมือนกำไลสีแดงกุหลาบของเหล่าผู้ชมตรงไปที่เวที…”
หลังคำพูดยาวเหยียดนี้จบลงก็มาถึงการแนะนำวงที่จะขึ้นแสดงเป็นวงแรก
ตอนที่ได้ยินเสียงของพิธีกร หนานอี่รู้สึกเหมือนวิญญาณหลุดออกมาจากร่าง
“ลำดับต่อไปขอเชิญพบกับวงดนตรีผู้เข้าแข่งขันวงแรกของเราและเป็นวงเปิด…”
“คืนบัตร! คืนบัตร! คืนบัตร…”
มีคนสามคนเดินขึ้นเวทีมาจากช่องปล่อยคิว เวทีไม่ใหญ่และไฟยังไม่เปิดทำให้ที่ตรงนี้มืดสนิท มีแผงเหล็กกั้นพื้นที่ของผู้คนด้านล่างเวทีเอาไว้
ก่อนใส่อินเอียร์พวกเขาได้ยินเสียงบ่นและเสียงก่นด่าจากด้านล่างได้อย่างชัดเจนทุกคำ
น้อยครั้งมากที่หนานอี่จะใส่คอนแทกเลนส์ แต่วันนี้เขาใส่เลยรู้สึกไม่ค่อยสบายตา ทั้งยังทำให้ตาแห้งมาก ชายหนุ่มเลยกลอกตาไปมาเพื่อให้คุ้นชิน
พูดกันจริงๆ คือเขาไม่เคยคิดว่าการแสดงครั้งแรกของตัวเองจะออกมาในรูปนี้
แต่ก็ไม่เป็นไร
เพราะใบหน้าของผู้คนที่กำลังโหวกเหวกโวยวายอยู่ที่ด้านล่างเวทีนั้นรวมตัวกันเหมือนท้องทะเลที่มีคลื่นรุนแรงซัดเข้าหน้าของพวกเขา
“นี่มันวงอะไร ไม่เคยได้ยิน”
“ไม่รู้จัก วงใหม่ล่ะมั้ง คืนบัตรๆ!”
“อย่าคิดจะหาวงมาตีเนียนเลยนะ คืนบัตร!”
“อะมิกดาลาจะขึ้นตอนไหน”
“อย่ายกมือถือขึ้นสูงได้ไหม! คนเขาจะดูการแสดงไม่ใช่ดูมือเธอ!”
“วงเปิดเป็นใครเหรอ”
พ่อแกไง!
ฉือจือหยางร้อนใจจนลน เสียงเมโทรนอม* ในอินเอียร์ดังตึกๆๆ เหมือนเคาะปลาไม้ แต่มันกลับยิ่งทำให้เขารู้สึกร้อนรน
พอยืนประจำที่เรียบร้อยเขาก็ได้ยินเสียงผู้กำกับบอกว่า
“เริ่มได้ สาม สอง หนึ่ง…”
ในความมืดหนานอี่หันมาเอียงคอให้เขาตามความเคยชิน นี่เป็นท่าที่อีกฝ่ายทำทุกครั้งที่พวกเขาซ้อมกัน
ฉือจือหยางสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ แล้วหันหน้าไปมองทางขวา เหยียนจี้ก็เห็นแล้วเหมือนกัน แต่ใบหน้าของชายหนุ่มยังมีรอยยิ้มอย่างอารมณ์ดี
แล้วเปลี่ยนเป็นเยือกเย็นลงอย่างฉับพลัน
พวกเขาซ้อมกันมานานขนาดนี้ ไม่มีทางยอมแพ้เพราะพวกสมองกลวงหรอก
ฉือจือหยางขยับคอแล้วยกมือขึ้นชูไม้
ตึง…
พอไม้ตีกลองฟาดลงไป แสงไฟกับจอภาพเวทีก็สว่างขึ้นพร้อมกัน
ห้องมืดๆ กับจอมืดๆ ถูกแสงสีแดงที่กะพริบตามจังหวะกลองลบหายไปในชั่วพริบตา ตัวอักษรสีแดงเข้มเหมือนเลือดสาดบนจอเบียดแทรกไปทั่วห้องมืดๆ ทำให้ทัศนวิสัยจำกัดอย่างที่สุด
ไฟสปอตไลต์สามดวงสาดมาที่ตัวของพวกเขา ด้านหลังมีจอยักษ์ฉายคลิป ซึ่งเป็นคลิปที่เหยียนจี้เป็นคนทำ…หัวใจสีแดงโลหิตหนึ่งดวงกำลังเต้นแรงตามเสียงกลอง เป็นหัวใจของสัตว์ป่าที่ยังไม่ตื่นจากนิทรา
เหยียนจี้ใส่เสื้อเชิ้ตสีเทาตัดเย็บพอดีตัว กางเกงสแล็กส์สีดำ แว่นกรอบเงินบางๆ พับแขนเสื้อขึ้นมาถึงท้องแขน ปลดกระดุมคอเสื้อออกให้เห็นกระดูกไหปลาร้า สะพายคีย์บอร์ดของ Roland AX-Synth** สีดำแดง ชายหนุ่มย่นหัวคิ้วเล็กน้อยขณะที่เล่นทำให้ดูเข้าถึงได้ยาก อารมณ์ต่อต้านและดื้อรั้นที่อยู่ภายในถูกปลดปล่อยออกมาตามจังหวะ พร้อมกับออร่าชนชั้นสูงที่ไม่เข้ากับความเป็นร็อก ความขัดแย้งกันนี้ทำให้รู้สึกแตกต่างอย่างสุดขั้ว
ฉือจือหยางใส่เสื้อแจ็กเก็ตยีนสีเทาอ่อน ที่คอมีโชกเกอร์ฝังหมุดโลหะ มือขวาใส่ริสต์แบนด์เรืองแสงสีแดง พอได้ตีกลองเขาก็เปลี่ยนไปเป็นบ้าคลั่ง ทุ่มตัวเองเข้าไปในท่วงทำนองทั้งหมด ก้มหน้าสะบัดผมสีขาวเงินทั้งศีรษะไปตามจังหวะจนเปียเล็กที่ด้านหลังสะบัดมาอยู่ตรงหน้าอกเหมือนสายสีเงินเส้นบางยาวเหยียดสะท้อนกับแสงบนเวที
เพิ่งจะเริ่มการแสดงมือกลองก็ตีกลองอย่างดุดันจนคอเสื้อแจ็กเก็ตตัวหลวมใหญ่ค่อยๆ เลื่อนลงไปฝั่งขวาเผยให้เห็นเสื้อกล้ามสีดำข้างในกับไหล่
หนานอี่ยืนอยู่หน้าเวทีทางด้านซ้าย เท้าเหยียบลำโพงมอนิเตอร์
ชายหนุ่มแต่งตัวธรรมดา เสื้อแขนสั้นสีดำ กางเกงยีนสีเข้ม บูตหนังหุ้มข้อ มัดผมครึ่งศีรษะ บนตัวไม่มีอะไรวิบวับนอกจากหัวเข็มขัดหนังที่เป็นสีเงินตรงเอวกับต่างหูโลหะ ประกายเยียบเย็นแวววับสว่างอยู่ในความมืด อาบย้อมด้วยไฟสีแดงเป็นรัศมีลึกลับ
ไฟสปอตไลต์ที่ส่ายไปมาค่อยๆ เผยให้เห็นทรวดทรงของเขา ลำคอระหง เอวบาง ขายาว นิ้วเรียวที่จับคอเบส และกระดูกที่ปูดขึ้นมาตรงข้อมือ
ในพื้นที่สีแดงอันจำกัดนี้ ทุกรายละเอียดและประสาทสัมผัสล้วนถูกดนตรีร็อกทำให้เปิดกว้างอย่างไร้จุดสิ้นสุด
“ทำไมมือเบสถึงหล่อขนาดนี้ ทั้งหล่อทั้งเท่เลย”
“หล่อเหมือนนักรบเบสรูท*…มองแวบเดียวก็รู้ว่าไม่เล่นกีตาร์”
“ผมสีขาวกับเปียของมือกลองก็เท่ดีนะ”
“ไม่ล่ะย่ะ วงนี้ก็แค่วงที่เน้นหน้าตาเท่านั้นแหละ มือคีย์บอร์ดที่ไหนใส่ชุดทำงานขึ้นเวที”
“ชิ ฉันล่ะเกลียดวงที่อาศัยหน้าตาจริงๆ…”
เสียงที่ด้านล่างเวทีค่อยๆ เปลี่ยนจากฉุนเฉียวเป็นวิพากษ์วิจารณ์พวกเขา แต่มันยังเร็วเกินไปที่จะปลุกใจใครได้ ผู้คนที่อยู่ด้านล่างเวทีจึงยังเหมือนท้องทะเลสีดำอันเงียบสงบไม่มีแสงสว่างใดๆ
ไม่มีใครกดริสต์แบนด์
ตอนนี้เองเสียงเบสทุ้มต่ำก็แทรกเข้ามาอย่างรุนแรง หนานอี่ก้มหน้าไปหาไมค์ที่เตี้ยกว่าตัวเขาเพื่อใช้น้ำเสียงเย็นชาอย่างที่สุดบอกชื่อเพลงด้วยน้ำเสียงห้าวทุ้ม
“เพลงหัวใจสิงห์”
ผู้คนที่ด้านล่างเวทีฮือฮาขึ้นมาทันที
“อะไรนะ เพลงของวงดิสออเดอร์คอนเนอร์เหรอ”
“ฟังดูไม่เหมือนนะ เรียบเรียงต่างกัน!”
“เปลี่ยนเป็นโพสต์พั้งก์?”
“เขาบ้าไปแล้วเหรอ โคฟเพลงของดิสออเดอร์คอนเนอร์ในงานออดิชันแบบนี้ไม่เท่ากับฆ่าตัวตายหรือไง แถมไม่มีกีตาร์ด้วย ถ้าดิสออเดอร์คอนเนอร์ไม่มีกีตาร์มันจะฟังได้เหรอ”
“ถ้าฉินอีอวี๋มาได้ยินคงขำ”
ไม่รอให้ความสงสัยทั้งหลายหายไป มือเบสคนเก่งก็ใช้ท่อนริฟฟ์กลบทุกสิ่ง
ทั้งงานเงียบไปสามวินาที
เพราะลำโพงไลน์อาเรย์** ขับเสียงต่ำของเบสออกมาได้ชัดอย่างที่สุด เสียงทุ้มต่ำผลักคลื่นเสียงให้เกิดการสั่นสะเทือน ประสานกับกลองที่มีความกดดันและเสียงสังเคราะห์จากคีย์บอร์ดอันแสนเยือกเย็น รวมตัวกันเป็นกำปั้นหนักหน่วงที่ทรงอานุภาพ ทุบผู้ฟังที่อยู่ด้านล่างเวทีอย่างแรง กระแทกหัวใจทุกดวงอย่างจัง
พอจบช่วงแรกคีย์บอร์ดกลายเป็นตัวหลัก เบสหยุด หนานอี่ใช้มือจับขาตั้งไมค์เพื่อปรับไมค์ให้สูงถึงระดับปากของตัวเองด้วยท่าทีไม่แยแสสิ่งใด
จากนั้นชายหนุ่มก็เงยหน้าขึ้นมองผู้ชมด้านล่างเวทีเป็นครั้งแรกแล้วเปิดปาก
ภาพหัวใจในจอก็ระเบิดสาดเป็นเนื้อเพลงสีแดงเข้มเต็มจอ เป็นลายมือของหนานอี่
“ถือกำเนิดในป่าคอนกรีตเสริมเหล็ก ที่นี่ตั้งใจผลิตสินค้าจากสายพานอย่างพิถีพิถัน”
“แม้หัวใจจะแตกต่าง แต่ถูกหล่อหลอมจากแม่พิมพ์เดียวกัน จึงออกมาเป็นแบบเดียวกัน”
เหยียนจี้ที่อยู่ด้านขวาเอนตัวไปข้างหน้าเล็กน้อย เขาร้องประสานเสียงเบา
“โยนส่วนเกินทิ้ง สร้างโศกนาฏกรรม ฉายให้สาธารณชนชมตลอดวันไม่หยุดหย่อน”
กรรมการที่นั่งอยู่บนชั้นสองหรี่ตาจ้องมองชายหนุ่มบนเวทีก่อนก้มหน้าอ่านข้อมูลของวงเพื่อความมั่นใจอีกครั้ง
เขาเพิ่งจะอายุสิบแปดปีจริงๆ
ในฐานะโปรดิวเซอร์ที่ปั้นวงดนตรีที่ประสบความสำเร็จมาแล้วมากมาย ไม่ใช่ว่าเขาไม่เคยเห็นเด็กที่มีแววดีๆ แต่คนที่มีแววดีๆ นั้นมีจำนวนน้อยมาก
ทุกคนล้วนสร้างเซอร์ไพรส์ให้เขา
ถ้าจะให้พูดก็ต้องบอกว่าฉินอีอวี๋มีโทนเสียงเมทัลลิก* และการแสดงที่เต็มไปด้วยความรู้สึกราวกับไฟที่แผดเผา บ้าคลั่ง ไม่สนโลก มีพลังที่สามารถปลุกอารมณ์อันเฉยชาของผู้ฟังให้เร่าร้อนได้อย่างง่ายดาย
ส่วนหนานอี่คือน้ำแข็ง
ไม่ว่าก่อนหน้านี้ผู้ฟังจะมีอารมณ์รุนแรงมากแค่ไหน ไม่ว่าพวกเขาจะกระสับกระส่าย หงุดหงิดรำคาญ มีท่าทีดูแคลนหรือโกรธเคือง พอหนานอี่ปรากฏตัว ทุกคนจะต้องยอมสยบและกลับมาชื่นชมการแสดงสดที่เป็นของจริง…ด้วยความรู้สึกตื่นตะลึง
นอกจากนี้พวกเขาก็ไม่สามารถทำอะไรได้
“กดดัน บีบคั้น แบ่งส่วน ขึ้นรูปตัวอย่าง”
“แล้วส่งเข้าโรงงานผลิตชิ้นส่วน ทั้งที่หัวใจยังเต้นอยู่”
โทนเสียงของหนานอี่มีความเย็นชามาก ชายหนุ่มเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อย สีหน้าไร้อารมณ์ความรู้สึก
ผู้ชมที่อยู่ด้านล่างเวทีพากันแหงนหน้าขึ้นมองเขา เห็นเส้นเลือดสีเขียวปูดโปนอยู่บนแขนและหลังมือของชายหนุ่ม เห็นฟันสวยได้รูปและคมกริบโผล่ออกมาตอนที่เขาร้องเพลง ดวงตาของเขาที่แม้จะสะท้อนไฟสว่างไสวแต่กลับยังคงว่างเปล่า
คนคนนี้แผ่ออร่าความไม่แคร์อะไรออกมาจากกระดูก ราวกับทุกอย่างเหมือนๆ กันไปหมด ไม่ว่าจะเป็นการเล่นเปิด ริสต์แบนด์ที่สามารถตัดสินแพ้ชนะของคนดูด้านล่างเวที และการประกวด
เสน่ห์ของการแสดงสดทำให้หลายคนหลงลืมประเด็นสำคัญข้อหนึ่งไปว่าจังหวะและท่วงทำนองของเพลงนี้ถูกเขียนขึ้นใหม่ทั้งหมด
จ้าวหนานรู้ว่าการโคฟแบบนี้มีเบสเป็นหลัก แสดงว่ามือเบสคนนี้จะต้องเป็นคนผลักดันให้เกิดขึ้น
เพลงหัวใจสิงห์เวอร์ชั่นเดิมมี ‘ความโกรธแค้น’ อย่างรุนแรง เพราะมันถูกสร้างขึ้นจากกลองที่มีความหนักหน่วงกับเสียงกีตาร์ที่ใส่เอฟเฟ็กต์แตกพร่าซ้ำๆ ในขณะที่เวอร์ชั่นนี้มีความโดดออกมา ถอดเอาโครงเดิมออกแล้วใส่ของใหม่เข้าไปทั้งหมด โดยมีเบสเป็นเส้นเลือดหลักทำให้มีความทุ้มกว่า ต่ำกว่า หลอมรวมกับความมืดและหดหู่ของแนวโพสต์พั้งก์ กลองไม่ได้รัวเร็วแต่หนักแน่นมากขึ้น และโทนเสียงของคีย์บอร์ดก็มีความชวนฝันมากกว่าเดิม
แต่การปรับเปลี่ยนแบบหน้ามือเป็นหลังมือนี้กลับไม่ได้สั่นคลอนแก่นของเพลงเดิมเลย
มันยังคงเดือดดาล เพียงแต่เปลี่ยนเป็นความโกรธที่เยียบเย็นและเงียบสงัดเหมือนน้ำแข็ง
เหมือนหลุดจากทะเลเพลิงเข้าไปในอุโมงค์น้ำแข็ง
“โจมตี ฉีกทึ้ง ดิ้นรน ต่อต้าน”
หนานอี่ช้อนตาขึ้น ไฟสีแดงสาดกระทบดวงตาสีอ่อนของเขาให้ดูเหมือนดวงตาเปื้อนเลือดของหมาป่า
แฟนเพลงที่อยู่ด้านล่างเวทีเกือบทุกคนล้วนเคยฟังเพลงนี้และร้องได้กันทั้งนั้น ใครบ้างที่ไม่เคยต้องมนตร์สะกดของฉินอีอวี๋ที่อยู่บนเวที
สติทำให้พวกเขาปฏิเสธบทเพลงที่ถูกเรียบเรียงใหม่ในรูปแบบต่างจากเดิมโดยอัตโนมัติและต่อต้านการแสดงโฉมใหม่ทั้งหมดนี้ แต่ร่างกายกลับซื่อสัตย์ โดยเฉพาะตอนที่เผชิญหน้ากับมือเบสควบตำแหน่งนักร้องนำที่ดูเป็นปริศนาบนเวทีคนนี้ ใบหน้าของเขาดูเฉยชาแปลกตา
ฝูงชนเริ่มขยับตัว เปลี่ยนจากการประท้วงและโกรธเคืองในตอนแรกเป็นช็อกจนเงียบกริบ และตอนนี้ก็มีคนเดินออกจากความช็อกและกระโดดลงไปในคลื่นดนตรีนี้แล้ว
ผู้ชมที่คลาคล่ำกันอยู่ตรงหน้าค่อยๆ กดไฟสีแดงวิบวับเหมือนไฟวิญญาณที่ไล่ลามออกไปเป็นไฟลามทุ่ง จำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ และสว่างมากขึ้นเรื่อยๆ
บนเวทีหนานอี่ใช้ขาข้างหนึ่งเหยียบลำโพง ท่ามกลางแสงไฟสลัว เหงื่อใสเป็นประกายไหลจากกรามของเขาลงไปที่ข้างลำคอ ชายหนุ่มสะบัดแขนอย่างรวดเร็วทำให้เหล่าผู้ชมที่กดไฟตรงริสต์แบนด์กระโดดตามจังหวะราวกับสาวกที่ถูกเขาบัญชา หนานอี่ร้องเพลงวรรคต่อไปเสียงดังด้วยอารมณ์พลุ่งพล่าน
เป็นเนื้อเพลงที่ฉินอีอวี๋เคยร้องเอาไว้
“เสียดายที่ฉันมีหัวใจอันบ้าคลั่ง”
* อังกอร์ (Encore) มาจากภาษาฝรั่งเศสแปลว่า ‘อีกครั้ง’ เป็นคำที่ผู้ชมใช้เพื่อให้ศิลปินทำการแสดงอีกครั้ง
* เมโทรนอม (Metronome) เครื่องกำกับจังหวะความช้าเร็วในการเล่นเครื่องดนตรี
** Roland AX-Synth คือคีย์บอร์ดแบบสะพายไหล่ซึ่งมีรูปร่างคล้ายขวานของแบรนด์ Roland
* นักรบเบสรูท คือคำสแลงในภาษาจีน ใช้เรียกนักดนตรีที่มักจะเล่นตัวโน้ตตัวแรกของคอร์ดหรือรูทโน้ต (Root Note) เป็นประจำ ถือว่าไม่มีทักษะอะไรที่โดดเด่น
** ลำโพงไลน์อาเรย์ (Line Array) เป็นลำโพงที่เรียงเป็นแนวตั้ง มักใช้ในงานคอนเสิร์ตหรือการแสดงขนาดใหญ่ เพื่อให้เสียงกระจายตัวได้ทั่วถึงและควบคุมทิศทางเสียงได้
* เสียงเมทัลลิก (Metallic) คือเสียงที่มีความกังวาน หนักแน่น
Comments
