everY
ทดลองอ่าน ผมมันไอดอลตัวท็อปของยมโลก เล่ม 1 บทที่ 32-33 #นิยายวาย
บทที่ 33
“เขยิบหน่อย เขยิบหน่อยซี่!” ยมทูตสองตนตะโกน “ฟอลโลว์มี! เฮอร์รี่อัพพึ”
วิญญาณกลุ่มหนึ่งลอยตามหลังยมทูตขาวและดำ ถึงจะผิวเหลืองตาขาวเหมือนกัน แต่ฉยงเหรินคิดว่าพวกเขาต่างไปจากวิญญาณทั่วไปนิดหน่อย
ผีสาวตนหนึ่งกุมอกพร้อมอุทาน “OMG! What happened? Why are there so many living persons?” (โอ้พระเจ้า เกิดอะไรขึ้น ทำไมที่นี่ถึงมีคนเป็นเยอะขนาดนี้)
ชายชราร่างท้วมข้างๆ เธอมองซ้ายมองขวา “Are they shooting a TV show?” (พวกเขาถ่ายรายการทีวีกันอยู่เหรอ)
ชายฉกรรจ์มองฉยงเหริน สีหน้าอึ้งทึ่ง “Wow, man! He is such a beautiful boy, like Narcissus.” (ว้าว เขาเป็นเด็กหนุ่มที่สวยมาก อย่างกับนาร์ซิสซัส* เลย)
ฉยงเหรินที่ตัวแนบกำแพงเขยิบทางให้เหล่าวิญญาณเงียบๆ ชักจะคุมสีหน้าไม่อยู่
ทำไมพวกเขาถึงพูดภาษาอังกฤษล่ะ
ผีหนุ่มในชุดยูนิฟอร์มที่ตัวแนบกำแพงขยับทางให้ยมทูตเหมือนกันมองเห็นแววตกใจบนสีหน้าของฉยงเหริน ก็อธิบายด้วยความหวังดี
“พวกเขาเป็นชาวจีนโพ้นทะเลที่เกิดในต่างประเทศ ถึงสัญชาติจะไม่ได้อยู่ที่นี่ แต่ตราบใดที่นับถือความเชื่อเดียวกัน หลังตายวิญญาณก็ต้องกลับบ้านเก่าอยู่ดี
ยมโลกของพวกเราจะส่งยมทูตไปรับวิญญาณลูกหลานชาวจีนที่ต่างประเทศกลับมาทีเดียวหลายๆ ดวง ก่อนจะส่งไปพิจารณาบาปในนรก ก็จะพาไปสอนภาษาจีนง่ายๆ เล็กๆ น้อยๆ ให้พวกเขาที่สถานทูตประจำแดนหยาง หลังจากนี้พวกเขาจะได้ใช้ชีวิตอยู่ในนรกได้”
มีมนุษยธรรมมากเลย! ตอนมีชีวิตรัฐก็รับดูแลผู้อพยพชาวจีนกลับบ้าน พอตายแล้วยังรับพาวิญญาณกลับมาลงนรกที่ประเทศบ้านเกิดด้วย!
เจียงอี้หมิงที่เห็นฉยงเหรินจู่ๆ ก็หมุนเอาตัวไปแนบกับกำแพงตอนคุยกับเขาชะงักเล็กน้อย จากนั้นอยู่ๆ ก็รู้สึกเย็นวาบไปทั้งร่าง ราวกับกระโดดลงสระว่ายน้ำที่ไม่ได้เปิดตัวปรับอุณหภูมิ
เขามองสายตาของฉยงเหรินที่พิศจ้องไปยังมวลอากาศว่างเปล่าจุดหนึ่ง สีหน้าเหมือนกำลังตั้งใจฟังอยู่ แล้วความใจกล้าที่แสดงออกมาก่อนจะเข้าสู่ตึกร้างก็เริ่มพังทลาย
ที่จริงเขากลัวผีมากๆ
ขณะนั้นซย่าหุยก็เดินออกมา
ซย่าหุยลูบข้อมือที่แดงเพราะถูกเจียงอี้หมิงบีบป้อยๆ นัยน์ตาแฝงความน้อยเนื้อต่ำใจอยู่รางๆ รู้สึกเหมือนกำลังกล้ำกลืนความอัปยศเพื่อแบกรับภาระอันหนักอึ้งอยู่
ช่องไลฟ์ของเขาถูกคอมเมนต์ของแฟนๆ ที่ก่นด่าเจียงอี้หมิงอย่างฮึกเหิมสาดเต็มหน้าจอ
[จับซย่าซย่ามาขายเซอร์วิสแล้วยังทำให้เขาเจ็บอีก เจียงอี้หมิงน่าขยะแขยงจริงๆ รีบๆ ไปตายสักทีได้ไหม]
[ฉันสงสารเสี่ยวซย่ามากเลย เขาต่อต้านเป็นบ้าเป็นหลังทุกครั้งที่จะขายเซอร์วิส ทั้งเจียงอี้หมิงทั้งค่ายไปตายให้หมด!]
[วันนี้เจียงอี้หมิงตายหรือยัง ตายแล้ว]
[ซย่าที่รัก นิสัยดีเกินไป ถึงได้ถูกคนพวกนี้กลั่นแกล้งบ่อยๆ]
ต่อให้เด็กฝึกไม่เห็นคอมเมนต์ ซย่าหุยก็พอจะเดาเนื้อหาได้ เขาหลุบตาลงบดบังความลำพองใจในแววตา
ตลอดมาเขาให้ความร่วมมือกับการขายเซอร์วิสของเจียงอี้หมิงตลอด ซ้ำยังจงใจขยายประเด็นการร่วมมืออย่างจำใจนี้ให้ใหญ่ขึ้น
เมื่อเป็นแบบนี้นอกจากจะทำให้แฟนคลับที่คีปเมนสงสารเขาแล้ว ยังสามารถตัดขาดกับเจียงอี้หมิงอย่างรวดเร็วหลังจากเขาหมดประโยชน์ ถึงตอนนั้นขอแค่แฉข้อมูลว่าเจียงอี้หมิงบังคับให้เขาขายเซอร์วิสออกไป ก็สามารถใช้คำว่าผู้เสียหายมาสวมให้ตัวเองได้
ที่ซย่าหุยมาเข้าร่วมรายการในครั้งนี้ ก็เพราะมีความทะเยอทะยานของตัวเองเหมือนกัน
เขาชินกับผลประโยชน์ที่ได้มาจากความนิยมของคู่ชิปแล้ว เขาจะยืนมองเจียงอี้หมิงค่อยๆ ดับหลังจากจบรายการ และจากนั้นเขาก็เล็งเป้าหมายคู่ค้ารายใหม่ไว้แล้ว
นั่นก็คือฉยงเหริน
ฉยงเหรินใช้รูปแค่รูปเดียว ก็สามารถทำให้ Super Topic คู่ชิประหว่างเขากับดอกบัวแดงในภาพพุ่งทะยานไปถึงท็อปสิบได้ คุณภาพโพสต์ต่างๆ ของแฟนคลับใน Super Topic ก็ดีเยี่ยม ทำให้ซย่าหุยยิ่งเกิดความรู้สึกอิจฉาตาร้อน เขาติดตามสังเกตมาแล้ว ระดับแสงที่ส่องหาฉยงเหรินไม่ได้สูงมาก แต่จำนวนแฟนคลับเพิ่มขึ้นด้วยความเร็วสม่ำเสมอสุดๆ ระดับความรอยัลของแฟนคลับก็สูงเสียยิ่งกว่าแฟนคลับรายการเซอร์ไววัลที่เปลี่ยนเมนตัวเองทุกสามเดือนมาก
เขาจะต้องสร้างความรู้สึกเหมือนพบเจอโชคชะตากับฉยงเหรินในรายการให้ได้ ด้วยเหตุนี้เขาจึงลงทุนเตรียมสร้อยดอกบัวแดงไว้ให้ตัวเองเส้นหนึ่ง เหลือก็แค่หาเวลาเหมาะๆ ค่อยๆ แอบโชว์ออกมา
ซย่าหุยที่คิดว่าตัวเองถือไข่มุกแห่งปัญญาอยู่ในฝ่ามือ* ก้าวฉับๆ ไปหาฉยงเหริน ใช้สายตาขลาดกลัวเล็กน้อยเหลือบมองเจียงอี้หมิง จากนั้นยิ้มพลางยื่นมือ “สวัสดีครับ ผมชื่อซย่าหุย ผมเคยดูคลิปของคุณด้วย คุณเต้นเก่งมากเลย”
ฉยงเหริน “ขอบคุณครับ คุณก็…”
เขาไม่รู้จริงๆ ว่าซย่าหุยมีผลงานเด่นๆ อะไร ในตอนที่กำลังเค้นสมองว่าควรจะพูดอะไรดี เจียงอี้หมิงก็โพล่งขึ้นก่อน
“ก็ไม่แย่” เจียงอี้หมิงกล่าว “แต่ผมคิดว่าในสายสตรีตแดนซ์แบบรุ่นพี่ฉยงเหริน คนที่เก่งที่สุดควรเป็น PP ที่ได้แชมป์สตรีตแดนซ์ระดับโลกตั้งแต่อายุสิบหก”
เจียงอี้หมิงไม่ค่อยมีพรสวรรค์ เขาจึงพยายามสร้างคาแร็กเตอร์ของคนที่ซ้อมทั้งวันทั้งคืนให้ตัวเอง อย่างนอนวันละสองชั่วโมงเพื่อเอาเวลาไปซ้อมต่อเนื่องเป็นเวลาหนึ่งเดือนเอย หรือมีแต่แผลฟกช้ำทั่วร่างกายเอย ซ้อมร้องเพลงจนเสียงแหบเอย เป็นต้น
มุกนี้ใช้ได้ผลไม่น้อย แฟนคลับขาจรที่ไม่รู้ภูมิหลังอะไรล้วนรู้สึกประทับใจในตัวเขา
คอมเมนต์ก็พากันชมว่าเขามีความทะเยอทะยาน อนาคตจะต้องสดใสแน่นอน
เจียงอี้หมิง “ถึงไลน์เต้นของ PP กับรุ่นพี่ฉยงเหรินจะคล้ายกัน แล้วทั้งคู่ก็อยู่ในสาย XX ที่สร้างขึ้นโดย XX ซึ่งค่อยๆ เป็นที่นิยมในประเทศจีนในตอนหลังเหมือนกัน แม้ความสามารถในการเต้นของรุ่นพี่ฉยงเหรินจะไม่เลว แต่ผมว่า PP มีความเป็นเด็กวัยรุ่นมากกว่า ตอนรุ่นพี่ฉยงเหรินแสดงมันดูประณีตเกินไปหน่อย”
ถึงจะบอกว่าฉยงเหรินเต้นได้ประณีต แต่ความจริงก็มีความหมายไม่ต่างกับการด่าฉยงเหรินว่ายังเต้นขาดความเป็นศิลปะ ไม่มีจิตวิญญาณมากพอ
“บางท่าของรุ่นพี่ฉยงเหรินก็เหมือนกับเขามาก คุณนับถือเขามากเลยใช่ไหม”
ความไม่พอใจปรากฏในแววตาของซย่าหุยชั่วครู่ ทำไมเจียงอี้หมิงต้องสร้างเรื่องในเวลาแบบนี้ตลอดด้วย คำพูดแบบนี้ต่างอะไรกับการหาว่าฉยงเหรินขโมยความคิดคนอื่น
เจียงอี้หมิงเห็นสีหน้าของฉยงเหรินค่อยๆ แปลกไปหลังจากได้ยินคำพูดของเขา ก็คิดว่าตนเอ่ยแทงใจดำฉยงเหรินได้ถูกจุด ก่อนเอ่ยสรรเสริญต่อ “PP เป็นนักเต้นที่ผมนับถือที่สุด เคารพที่สุด และชอบที่สุด น่าเสียดายที่เขาไม่เต้นมาหลายปีแล้ว ที่เขาว่ากันว่าในยุคที่ไร้ซึ่งวีรบุรุษ เด็กธรรมดาไร้ชื่อก็กลายเป็นยอดคนได้ ผมรู้สึกปวดใจทุกทีที่คิดถึงเรื่องนี้”
ฉยงเหรินเกาหัวแกรกๆ “ก็พอได้ ผมคิดว่า PP ไม่ได้เก่งขนาดนั้น การเต้นหลายปีก่อนของเขายังมีปัญหาหลายจุด บางทีคุณควรพิจารณาชอบคนอื่นดูบ้าง ผมคิดว่าสไตล์การเต้นของเขาไม่ค่อยเหมาะกับคุณ”
คอมเมนต์กระสุนในช่องไลฟ์ของเจียงอี้หมิงเริ่มพ่นคำด่าทันที
[ไอ้แป้กนี่ตลกชิบ ยังมีหน้ามาแนะนำให้ผัวฉันไปชอบคนอื่นอีก คิดว่าตัวเองเป็นใคร]
[ไอ้แป้กนี่ต้องไม่รู้จักกระทั่ง PP แน่ ก็ดังจากการมีเดียเพลย์นี่เนอะ]
[ขอเล่าเรื่องตลกหน่อย ไอดอลที่ดังเพราะมีเดียเพลย์บอกว่าการเต้นของแชมป์โลกมีปัญหาว่ะ]
เจียงอี้หมิงยังคิดที่จะพยายามแสดงต่อไปอย่างไม่ลดละ แต่ซย่าหุยจะนั่งเฉยมองคู่ค้าในอนาคตของตัวเองถูกรังแกได้ยังไง ถึงเขาจะไม่รู้ว่า PP คือใคร แต่ก็ไม่ส่งผลอะไรกับคำพูดตอกกลับแบบแอ๊บใสของเขา
“ถ้าเลิกเต้นไปตั้งหลายปีแล้ว งั้นก็แปลว่าความรักในการเต้นของเขาหายไปแล้วน่ะสิ คนแบบนี้จะมาเป็นไอดอลให้เราได้ไงล่ะครับ” ตาลูกกวางของซย่าหุยส่องแสงบลิงก์ๆ “ผมว่ารุ่นพี่ฉยงเหรินตอนพยายามเพื่อความฝันตัวเองดูเปล่งประกายมากเลย ผมนับถือคุณมากครับ”
เขาพูดจบ ก็เหลือบมองและยิ้มให้เจียงอี้หมิง “นายก็พยายามมาตลอดเหมือนกันไม่ใช่เหรอ”
คราวนี้ฉันน่าจะได้ความประทับใจจากฉยงเหรินมาบ้างแล้วนะ ซย่าหุยคิดอย่างมั่นใจ ขอแค่หาทางสกินชิปและสบตาหวานเยิ้มกับเขา เรือคู่ชิปก็จะตระหง่าน! ควรตั้งชื่อแบบไหนดี ฉยงซย่า ฉยงหุย
ช่องไลฟ์ของซย่าหุยเต็มไปด้วยเสียงร้องตะโกนของแฟนๆ สาดเข้ามาอย่างบ้าคลั่งว่าซย่าซย่าเป็นนางฟ้าแสนดีหนึ่งเดียวในวงการ
เหล่าชิปเปอร์ก็ระริกระรี้เช่นกัน พวกเธอวิเคราะห์ ดูภายนอกอาจจะเหมือนซย่าหุยกำลังชมฉยงเหริน แต่จริงๆ กำลังชมเจียงอี้หมิงอ้อมๆ ว่าเขาขยัน ซย่าหุย แกรักเขามากเลยอะ
ฉยงเหรินที่อยู่ใจกลางพายุรู้สึกจากเบื้องลึกของจิตใจว่าเทียบกับผีแล้ว คนเป็นคุยด้วยยากกว่าเยอะ
เขาหันไปยิ้มหวานๆ ให้ทั้งคู่
เขารู้ว่าตัวเองหน้าตาดีมาก ยิ่งยิ้มก็ยิ่งดูดี เขาน่าจะหาจังหวะหนีไปเงียบๆ ตอนสองคนนี้กำลังเหม่อได้
แล้วซย่าหุยกับเจียงอี้หมิงก็เหม่อกับรอยยิ้มของเขาไปชั่วขณะหนึ่งจริงๆ ฉยงเหรินรีบสาวเท้าขึ้นชั้นสองไปทันที
หลังจากเขาตรงดิ่งมาชั้นสองได้ ก็เผลอแสดงสีหน้าขอบคุณฟ้าดิน
แฟนรายการสนุกสนานกันใหญ่
[555555 ฉยงเหรินซื่อตรงดีจัง ฉันได้ยินคนพูดแอ๊บใสซื่อแบบนั้น ก็อยากวิ่งหนีเหมือนกัน]
[ใส่กุญแจล็อกซย่าหุยกับเจียงอี้หมิงไว้ด้วยกันจนตายไปเลยเหอะ เหมาะสมกันสุดๆ]
[อยากเห็นสีหน้าพวกเขาตอนรู้ว่าฉยงเหรินเป็นเมนเทอร์]
เด็กฝึกทั้งหลายได้รับรู้ความสำคัญของเมนเทอร์จากกฎของรายการแล้ว จะการช่วยเหลือนอกสนามหรือคำใบ้เบาะแสก็ช่างเถอะ สิ่งที่ทำให้รู้สึกสิ้นหวังที่สุดคือเมนเทอร์สามารถหักเวลาค้นหาเบาะแสได้
อุตส่าห์ได้มาออกรายการที่จะได้โชว์ตัวแบบร้อยเปอร์เซ็นต์ทั้งที ถ้าโดนหักเวลาขึ้นมา ก็โคตรจะเสียเปรียบเลย
ตามเกณฑ์โดยปกติของรายการเซอร์ไววัล เมนเทอร์ถ้าไม่ใช่คนที่มีตำแหน่งในวงการสูง ก็เป็นคนที่มีหน้ามีตาและศีลธรรมสูงส่ง
เมนเทอร์ที่ทุกคนคาดเดาคำตอบไม่ต่างกันมาก ไม่ใช่กู้เมิ่งซัง ก็ต้องเป็นเหมียวเจ๋อเหยียน
ผู้ชมทั่วไปรับชมอย่างสนุกสนาน เฝ้ารอคอยช่วงที่ฉยงเหรินเปิดเผยตัวตน แต่แฟนคลับที่คีปเมนร้อนใจจนแทบร้องขอชีวิต อยากจะตรงดิ่งไปที่ตึกร้างแล้วบอกพี่ชายของตัวเองว่าฉยงเหรินคือเมนเทอร์ เลิกเลียขาผิดคนได้แล้ว!
ฉยงเหรินถึงชั้นสอง ก็สวมบทบาทเด็กฝึกต่อ ครั้งนี้เขารอบคอบมากขึ้นก่อนที่จะเข้าประตูบานไหน
ผีหนุ่มในชุดยูนิฟอร์มลอยขึ้นมาจากชั้นหนึ่ง เขาที่รับชมเหตุการณ์อยู่ห่างๆ เข้าใจสุดๆ ว่าฉยงเหรินกลัวอะไรอยู่ จึงรีบเข้าไปดูลาดเลาให้ จากนั้นก็ลอยออกมาบอก “ข้างในไม่มีคนครับ”
ฉยงเหรินถึงได้เข้าห้องไปอย่างเบาใจ
ภายในห้องนี้มีรูปหมู่รวมสิบคนแขวนอยู่ ฉยงเหรินแกะรูปภาพลงมา ด้านหลังรูปเขียนตามลำดับว่าเจ้าอี เฉียนเอ้อร์ทำนองนี้ไปจนถึงเฉินสือ
ชื่อของสิบคนนี้สอดคล้องกับชื่อของเด็กฝึกทั้งสิบ เพื่อให้ผู้ชมจำได้ง่ายๆ รายการจึงจงใจเรียงลำดับตามตำราร้อยสกุลชาวจีนและตัวเลขจะได้เป็นมิตรต่อผู้ชมที่จำชื่อไม่เก่ง
ฉยงเหรินพลิกรูปกลับมา แล้วเริ่มสำรวจคนในรูป ในตอนนั้นเองไฟในห้องก็เริ่มกะพริบ
ปัง!
ประตูปิดลงฉับพลัน หน้าต่างของห้องนี้ไม่นึกเลยว่าจะเป็นแค่ของตกแต่ง ไม่มีแสงลอดเข้ามาได้เลย ห้องทั้งห้องกลายเป็นมืดมิด มีแค่แสงโคมไฟแบบเก่าสลัวๆ ที่กะพริบแวบๆ มอบความสว่างอันน้อยนิดให้
ผู้ชมไม่น้อยต่างตกใจ
เสียงหัวเราะเบาๆ ดังขึ้น จู่ๆ หลังม่านหน้าต่างก็ปรากฏเงาเงาหนึ่ง เธอค่อยๆ เดินมาจากด้านข้าง เงาเคลื่อนเข้ามาอย่างเชื่องช้า
เสียงหัวเราะเบาๆ สะท้อนไปมาอยู่ในห้อง
[แม่ง! ทำไมฉันต้องใส่หูฟังด้วยเนี่ย!]
[ฉันลาล่ะ]
[ฉันตายแล้ว ห้ามเรียกฉัน]
ฉยงเหรินมองพิจารณาสถานการณ์ ก็รู้สึกว่าตัวเองควรจะรู้สึกกลัวเป็นมารยาทสักหน่อย
ด้วยเหตุนี้เขาจึงถอยหลังสองก้าว กุมอก พยายามทำเป็นกลัวสุดความสามารถ พูดด้วยน้ำเสียงโมโนโทนไม่มีจังหวะจะโคนออกมาว่า
“อา น่ากลัวจังเลย ในนี้มีผีจริงๆ เหรอเนี่ย อา กลัวจังเลย”
นักแสดงที่แสดงเป็นผีนิ่งค้าง
หมายความว่าไง นี่จะเยาะเย้ยว่าฉันแสดงไม่ดีเหรอ
* นาร์ซิสซัส เป็นเทพในตำนานกรีก ซึ่งเป็นที่เลื่องลือด้านความงดงาม
* ถือไข่มุกแห่งปัญญาอยู่ในฝ่ามือ เป็นการอุปมาว่ามีปัญญาสูงส่ง สามารถรับมือได้กับทุกปัญหา
โปรดติดตามตอนต่อไป…