ทดลองอ่าน ผมมันไอดอลตัวท็อปของยมโลก เล่ม 3 บทที่ 51-52 #นิยายวาย – Jamsai
Connect with us

Jamsai

everY

ทดลองอ่าน ผมมันไอดอลตัวท็อปของยมโลก เล่ม 3 บทที่ 51-52 #นิยายวาย

หน้าที่แล้ว1 of 2

ทดลองอ่าน ผมมันไอดอลตัวท็อปของยมโลก เล่ม 3

ผู้เขียน : 裴笛 (Pei Di)

แปลโดย : qMondae

ผลงานเรื่อง : 超糊的我竟是冥界顶流 [ 娱乐圈 ]

ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน

จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว

หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย

– – – – – – – – – – – – – – – – –

 

Trigger Warning

เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับความรุนแรง ปัญหาครอบครัว

การทำร้ายทางร่างกายและจิตใจ

การบังคับหรือโน้มน้าวให้ทำบางอย่างโดยไม่เต็มใจ

การกักขังหน่วงเหนี่ยว การลักพาตัว การทรมาน การบูลลี่

การกล่าวถึงเลือด การติดสารเสพติด และสถานการณ์อันน่าขยะแขยง

 

 

สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป

โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน

 

** หมายเหตุยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **

– – – – – – – – – – – – – – – – –

บทที่ 51

 

ฉยงเหรินเพิ่งอาบน้ำเสร็จจึงยังไม่ได้เป่าผม ผมหยักศกปรกหน้าผาก พร้อมหยดน้ำกลิ้งไปตามลำคอ

ผิวแก้มที่สัมผัสแนบชิดของทั้งคู่เปียกชื้น อุณหภูมิร่างกายทำให้มันร้อนราวกับเหงื่อออก

ฉยงเหรินถูกโอบล้อมไว้หมดแล้ว ไม่มีที่ให้เขาดิ้นหนี

มันเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ ร่างของพญายมราชใหญ่กว่าเขาหนึ่งรอบได้ เมื่อสองแขนรวบโอบศีรษะฉยงเหรินก็แนบอิงกับหน้าอกของอีกฝ่ายพอดิบพอดี

แนบชิดสนิทเนื้อ ราวกับว่าอ้อมกอดนี้เป็นส่วนหนึ่งของผิวหนังและกระดูกของเขา

“อาหราน”

ไอเย็นเฉียบพัดผ่านหู ลำคอ และพวงแก้มของเขา ทำเอาเขารู้สึกชาที่คออย่างยากจะควบคุม

ทว่าวินาทีต่อมาความสั่นเทาในกายทั้งหมดล้วนถูกปลอบประโลมโดยอุณหภูมิเด่นชัดจากฝ่ามือ เรียวภูนิ้วลูบไล้ผ่านหลังคอเขาไปทีละน้อย บางครั้งกรงเล็บแหลมคมก็สัมผัสโดนเส้นผม จนเกิดความชาวาบน่าหงุดหงิดที่ท้ายทอยอย่างห้ามไม่อยู่

ทั้งหวาดวิตกทั้งผ่อนคลาย

ทำให้ไม่รู้เลยว่าควรจะทำตัวอย่างไรดี

พญายมในตอนนี้ผิดจากปกติวิสัยอย่างเห็นได้ชัด แต่ฉยงเหรินที่ถูกเขากักขังอยู่ในอ้อมแขนอย่างแน่นหนานั้นไม่สามารถทำได้แม้แต่ขยับตัว นับประสาอะไรกับการไปขอความช่วยเหลือจากคนอื่น

ยิ่งไปกว่านั้นเขาจะไปหาใครได้ จะให้เขาพูดกับคนอื่นจริงๆ หรือว่าตนถูกพญายมราชกอดไม่ยอมปล่อย จะทำยังไงดีแบบนี้

ฉยงเหรินแค่คิดถึงภาพนั้นก็เป็นต้องจิกนิ้วเท้า

“แบบนี้ผมมองไม่เห็นคุณนะครับ”

เขาอยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับพญายมในร่างนี้กันแน่ อย่างน้อยเขาก็ต้องเห็นตัวคนก่อน

ฉยงเหรินตัวสูง ถึงจะดูผอม ทว่าน้ำหนักไม่ใช่น้อย แต่เมื่ออยู่กับพญายมราชเขากลับถูกพลิกตัวได้อย่างง่ายดายอย่างกับขนนกเบาหวิว

ด้วยเหตุนี้ฉยงเหรินจึงนอนอยู่ใต้อ้อมแขนพญายม

สิ่งที่อยู่ในลานสายตาเขาก็มีแต่หน้าอกของพญายม

เขาพยายามครั้งแล้วครั้งเล่าเพื่อที่จะขยับห่างให้ได้สักนิด เมื่อแหงนหน้าขึ้นถึงได้เห็นดวงหน้าของพญายมราชในตอนนี้

ดวงตาของพญายมราชจับจ้องอีกฝ่ายอย่างจดจ่อ รูม่านตาเบียดม่านตาสีน้ำตาลทองจนเป็นวงแหวนแคบๆ

เขาลดสายตามองลงมาช้าๆ จ้องค้างที่กลีบปากของฉยงเหริน ลามเลียสายตาไปตามรูปปากของอีกฝ่ายทีละนิด

เขาค่อยๆ ลดสายตามองลงต่ำ ฉยงเหรินมีริมฝีปากสีชมพูโดยกำเนิด ไม่สิ มันแดงกว่าสีชมพูเล็กน้อย

พญายมราชตกอยู่ในภวังค์เบาๆ ปลายกรงเล็บครูดไปที่กลีบปากอย่างเนิบช้า ในใจอดคิดไม่ได้ว่าหากตนจูบอีกฝ่ายตอนนี้ ขบกัดลงไปบนเนื้อริมฝีปากอวบอิ่ม จะให้ความรู้สึกแบบไหน

ระยะห่างระหว่างทั้งคู่แนบชิดกันเกินไป ตอนนี้เขารู้สึกเพียงทุกอณูในที่นี้เต็มไปด้วยกลิ่นหอมบนกายฉยงเหริน

แต่นั่นยังไม่พอ เขาต้องการมากกว่านี้

เขาอุ้มฉยงเหรินให้ลุกขึ้นนั่งคุกเข่าบนหน้าตักของเขา แล้วมุดศีรษะตัวเองกับหน้าอกของฉยงเหริน

ภายใต้กล้ามเนื้อที่เต็มไปด้วยความยืดหยุ่น คือเสียงหัวใจเต้นที่เสนาะหูที่สุดบนโลกใบนี้

เขาโอบอีกฝ่ายพร้อมเอนไปด้านหลัง ฉยงเหรินจึงพิงอยู่บนตัวเขาในตำแหน่งที่เหมาะเจาะ

ทำให้เขาสามารถซุกใบหน้าของตัวเองกับซอกคอฉยงเหรินได้อย่างพอดิบพอดี

เขาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ หนึ่งที สูดดมที่ลำคอไล่ตามแนวกระดูกไหปลาร้า แล้วใช้เสียงแผ่วต่ำเรียกอีกฝ่าย

“อาหราน…” เสียงแผ่วปลายเสมือนถอนหายใจ

ปลายเสียงแผ่วกระเส่านี้ฉยงเหรินกลับรับรู้คำพูดที่พญายมราชไม่ได้พูดออกมาอย่างอธิบายไม่ได้

‘เธอหอมมาก’

พญายมราชเงยหน้ามองฉยงเหรินพร้อมเผยรอยยิ้ม รูม่านตาขยายจนม่านตาเหลือเพียงเส้นรอบวง

ต่อให้ฉยงเหรินจะความรู้สึกช้าขนาดไหนก็ต้องสัมผัสได้ว่ากำลังเกิดอะไรขึ้นอยู่แน่

พญายมกอดเขาแน่นอีกครั้ง คลอเคลียที่พวงแก้มเขาเบาๆ จากนั้นการเคลื่อนไหวก็ดูร้อนใจขึ้นมาเล็กน้อย ริมฝีปากเย็นเฉียบคล้ายจะเฉียดมาโดนติ่งหูของเขา

ฉยงเหรินรู้สึกสะท้านไปทั้งร่าง

เขาก็ไม่ได้อยากให้อะไรแปลกๆ แบบนี้เกิดขึ้น แต่ถ้าจะบอกว่าเขาโกรธ…

ก็ดูเหมือนว่าเขาจะไม่ได้รู้สึกโกรธสักเท่าไหร่…

ในความกระวนกระวาย ฉยงเหรินยื่นมือออกไปจับเขาบนหน้าผากของพญายมราช

เงาวาวมันเลื่อมร้อนมือและมีลายนูนขึ้นมา เขาใช้นิ้วหัวแม่มือลูบไล้มันเล็กน้อยด้วยจิตใต้สำนึก

“ถ้าทำแบบนี้อีกจะโกรธแล้วนะครับ”

เขาพูดเสียงอ่อนเสียงหวาน

ฉยงเหรินคิดว่าน้ำเสียงเขายังไม่มีพลังมากพอ จึงจับอีกฝ่ายแน่นกว่าเดิมเล็กน้อย ทำหน้าดุๆ ออกมา “ผม…ผมโกรธแล้วนะ!”

พญายมมองเขาด้วยสายตาเลื่อนลอยเบาๆ ในหัวคิดแต่ว่าท่าทางดุแบบแกล้งๆ ของฉยงเหรินนั้นช่างน่ารักไม่มีใครสู้ได้ จึงพยักหน้ารับอย่างให้ความร่วมมือ “อืม”

อืมอะไรของคุณเนี่ย…

ฉยงเหรินมองพญายมราชในรูปลักษณ์นี้ ก็เกิดความรู้สึกทำอะไรไม่ถูกเลยเป็นครั้งแรกในชีวิต

“ลูบเขาเล่นไม่ได้” พญายมราชกล่าวเสียงแผ่ว ละมือออกจากเอวที่โอบไว้ จับมืออีกฝ่ายลูบลงไปตามแขน แล้วเหยียดกายขึ้น ประคองฉยงเหรินไว้ก่อนที่เขาจะไหลลงไป ก่อนจะพูดประโยคหนึ่งข้างๆ หูเขา

ฉยงเหรินหน้าแดงแปร๊ดทันที ลนลานรีบชักมือออก

เขาเริ่มรู้สึกจิตใจพังทลาย จะสู้ก็สู้ไม่ไหว จะพูดก็พูดไม่รู้เรื่องอีก

หลังจากพญายมผละออกจากเขาได้เล็กน้อยก็อุ้มเขาแล้วเหม่ออยู่อย่างนั้นสองสามวินาที จากนั้นใบหน้าก็ค่อยๆ แดงแจ๋ วางตัวเขาลงด้วยท่าทางยักแย่ยักยัน เขยิบและถอยออกไปช้าๆ

ฉยงเหรินกระโดดลงจากโซฟา วิ่งไปหน้าประตูประหนึ่งหนีศัตรูตัวฉกาจ

พญายมราชแดงแปร๊ดไปทั้งหน้า พูดเสียงเนิบช้าและแข็งทื่อ “ขอโทษ”

ฉยงเหรินเบิกตากว้างเล็กน้อย “กลับมาเป็นปกติแล้วเหรอครับ”

พญายมพยักหน้า ไม่กล้าแม้แต่จะเหลือบสายตาขึ้นมอง

ในที่สุดฉยงเหรินก็ถอนหายใจโล่งอกได้สักที เขากุมหน้าอกแล้วพูดว่า “เป็นอะไรของคุณเนี่ย ผมตกใจหมด!”

นึกว่าจะ…อา…ไอ้นั่น น่ากลัวอะ…

พญายมบังคับตัวเองให้มองฉยงเหรินตรงๆ “มันคือ…ร่างมาร…ของฉัน ร่างนี้มันค่อนข้างจะ…นิดหน่อย”

“ควบคุมตัวเองไม่อยู่?” ฉยงเหรินเติมคำให้ทันที

พญายมพยักหน้า เขาอธิบายเสียงเบา “ฉันรับรู้ได้ว่าสิ่งมีชีวิตในนรกนั้นไม่รู้จักสำนึกผิด เต็มไปด้วยกิเลสตัณหา ตอนที่ทำการแบ่งร่างจึงตั้งใจแบ่งร่างมารออกมา เดิมทีอยากให้เหมือนกับปางพิโรธของพระโพธิสัตว์ เบื้องหน้าโกรธเกรี้ยว ในใจเมตตาจิตใจสงบ ใช้ร่างอวตารนี้เพื่อสัมผัสกับความรู้สึกของวิญญาณร้าย เพื่อจะได้ให้พวกเขารับโทษและปรับปรุงตัวได้ดีขึ้น”

ทว่าอย่างไรเสียพญายมราชก็ไม่ใช่พระโพธิสัตว์ ไม่สามารถเข้าถึงอนัตตาได้

ปกติแล้วเขาจะให้ร่างมารทำงานอยู่ในตำหนักพญายม ไม่ให้ร่างนี้ออกมาพบปะผู้คนง่ายๆ

ฉยงเหริน “งั้นวันนี้…”

พญายม “ทุกๆ ราวร้อยปีฉันจะต้องนำร่างอวตารเข้าสู่ห้วงลึกของนรก เพื่อเสริมสร้างสายสัมพันธ์กับนรกให้แน่นแฟ้นขึ้น ฉันจึงจะปล่อยให้ออกมาควบคุมภาพรวมนรกเพียงสองร่างเท่านั้น ช่วงก่อนหน้านี้ที่ตรวจตรานรกอยู่ตลอดก็เพื่อยืนยันให้มั่นใจว่าตอนที่ร่างอื่นของฉันไม่อยู่จะไม่มีความผิดปกติใดๆ เกิดกับนรก รอบนี้ถึงคราวของร่างมารกับร่างมนุษย์ที่ออกมาปฏิบัติหน้าที่ ร่างมนุษย์เหมาะกับการนั่งบัญชาการในตำหนักพญายมราชมากกว่าร่างมาร ร่างนี้จึงได้มายังโลกคนเป็น”

พญายมราชถือโอกาสนำแซนด์วิชและนมออกมาอุ่นจนถึงอุณหภูมิที่พอเหมาะ

“กินก่อนเถอะ เธอคงหิวแล้ว”

ฉยงเหรินยังคงยืนอยู่ข้างประตู

พญายมเอ่ยให้คำสัญญาด้วยความรู้สึกผิดอยู่เต็มอก “ฉันจะไม่ล่วงเกินเธออีก ถ้าเธอไม่วางใจ จะให้ฉันย้ายออกก็ได้นะ”

ไม่เห็นจำเป็นต้องทำถึงขนาดนั้นเลย…

ฉยงเหรินขยับเข้าไปทีละก้าว ทีละก้าว เมื่อเห็นความรู้สึกผิดบนใบหน้าท่านพญายมราชหนักขึ้นกว่าเดิม ในใจก็ยิ่งรู้สึกแปลกประหลาด

ที่เขาไม่อยากเข้าใกล้ท่านพญายมไม่ใช่เพราะโกรธ และยิ่งไม่ใช่เพราะกลัว

แต่เป็นเพราะเขาไม่ได้โกรธจริงๆ

แล้วก็ไม่กลัวด้วย

ถ้าจะให้พูดจริงๆ อารมณ์ของเขาตอนนี้ดีขึ้นกว่าตอนยังไม่เข้าบ้านเล็กน้อย

ความรู้สึกแบบนี้มันคืออะไรกันแน่นะ…

ถูกคนเขาแทะโลมเอาเปรียบแต่กลับมีความสุขซะอย่างนั้น สมองเขามีปัญหาหรือยังไง

บางทีเขาก็คงต้องไปให้หมอเหรินอีเซิงช่วยตรวจดูบ้างซะแล้ว…

บัดซบ รู้อย่างงี้เขาน่าจะถ่ายรูปกระดาษจดเบอร์นั่นเก็บไว้ก่อนเอาให้ฉินก่วงหวัง

“ถ้าเธอไม่อยากกินแซนด์วิช งั้นฉันจะทำอย่างอื่นให้”

ท่านพญายมราชพูดอย่างกับแม่บ้านแม่เรือนแสนเพียบพร้อมเชียว

แต่ยังไงเขาก็เป็นคนที่น่ามองที่สุดเท่าที่ฉยงเหรินเคยพบ ร่างอวตารนี้ดูดุร้ายน่ากลัว แต่กลับมีความน่าดึงดูดแปลกๆ

ทำให้ฉยงเหรินไม่ค่อยอยากเข้าใกล้นัก

แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าท่านพญายมในร่างมนุษย์ไม่น่ามองนะ

พูดได้แค่ว่าดีกันไปคนละแบบ

ฉยงเหรินให้คะแนนเต็มร้อยคะแนนกับร่างอวตารทุกร่างที่เขาเคยเจอในใจเงียบๆ จากนั้นก็ตระหนักได้ว่าคำว่า ‘แต่’ ในความคิดของเขาไม่มีเหตุผลเอาซะเลย

ทำไมการที่เขารู้สึกว่าคำพูดของท่านพญายมราชมีความเพียบพร้อม แล้วก็คิดว่าอีกฝ่ายน่ามองมากๆ ถึงต้องเอาคำว่า ‘แต่’ มาใช้ในประโยคขัดแย้งกันด้วยล่ะ

ครูตอนประถมจะดุเขาหรือเปล่า

คงไม่หรอก

ใครมาเห็นท่านพญายมในร่างนี้ แล้วยังถูกท่านพญายมในร่างนี้พูดแบบนั้นใส่อีก เป็นใครก็ต้องสมองช็อตกันทั้งนั้น ครูสมัยประถมต้องเข้าใจความเปราะบางของเขาแน่นอน

แรงดึงดูดบางอย่างก็ยากจะต้านทานไหวจริงๆ

เมื่อเห็นเขาละล้าละลังไม่กล้าเข้ามา แววตาบนใบหน้าเย็นยะเยือกของท่านพญายมราชก็หม่นลงเล็กน้อย “ฉันจะไปเดี๋ยวนี้”

“ไม่ต้องหรอกครับ”

ฉยงเหรินโพล่งออกไปทันใด อยากจะตบปากตัวเองแรงๆ สองทีจริงๆ

ทำไมเขาต้องรั้งอีกฝ่ายด้วยเล่า เขาไม่รู้หรอกนะว่าท่านพญายมต้องการพื้นที่ทำใจให้สงบหรือเปล่า แต่เขาต้องการมากๆ

แต่ท่านพญายมอยู่ตรงนี้ เขาจะไปใจเย็นลงได้ยังไงล่ะ

สัมผัสจากอีกฝ่ายนั่น…อย่างกับยังอยู่ที่ฝ่ามือตนอยู่เลย

สมองหยุดเดี๋ยวนี้!

ฉยงเหรินรู้สึกปวดร้าวใจอย่างยากที่จะเอ่ย ก้าวยาวๆ เข้าไปหยิบแซนด์วิชขึ้นมา กำลังจะยัดเข้าปากก็สัมผัสได้ถึงสายตาที่มีอุณหภูมิสูงผิดปกติจากคนข้างกาย

เขาหันไปช้าๆ กลืนน้ำลายหนึ่งอึก ถามด้วยความระมัดระวัง “มองอะไรอยู่เหรอครับ”

ลูกกระเดือกของพญายมก็ขยับขึ้นลงกลืนน้ำลายตามเขา “มองเธอ”

ฉยงเหรินเอ่ยอย่างกระดาก “คุณมองอยู่ ผมไม่กล้ากินนะ”

พญายมราชพยักหน้า “อืม ไม่มองแล้ว”

ฉยงเหรินอดทนรอครู่หนึ่ง แต่ท่านพญายมราชกลับไม่ได้เก็บสายตากลับไปเลยแม้แต่น้อย

“ก็ยังมองอยู่นี่!”

ฉยงเหรินกล่าวโทษทันที

พญายมราชกลับคว้าแซนด์วิชในมือเขาไป

วันนี้ฉยงเหรินหิวไส้แทบขาด ในบ้านก็มีแค่แซนด์วิชชิ้นเดียว แถมยังไม่ได้กินสักทีอีก ในใจเขารู้สึกไม่ได้รับความเป็นธรรมสุดๆ

แค่ไม่ให้มองก็ไม่ให้กินเลยเหรอ เกินไปแล้วนะ!

มุมปากเริ่มเบะ กรอบตาเริ่มแดง

การไม่ได้กินตอนหิวมากๆ เป็นเรื่องที่โหดร้ายที่สุดในโลกแล้ว ทำไมพญายมราชถึงได้ทำแบบนี้!

พญายมราชมองเขาเงียบๆ พลันพูดขึ้น “ฉันอยากจูบเธอ”

ฉยงเหริน “…”

ฉยงเหริน “?”

ฉยงเหริน “!!!”

ทว่าพญายมราชที่พูดคำนั้นจบกลับไม่ได้ลงมือทำจริงๆ ทว่าเอาแซนด์วิชกลับมาวางในมือฉยงเหริน

“ขอโทษ ฉันยั้งสติไม่อยู่อีกแล้ว ร่างมารคงจะเหมาะกับการทำงานอย่างเดียว ปกติตอนอยู่ในตำหนักพญายมราช ร่างนี้มีประสิทธิภาพในการทำงานสูงมาก” ไม่ง่ายเลยที่จะได้เห็นเขาพูดด้วยความเร็วจี๋ขนาดนี้ “เมื่อก่อนไม่เคยมีผลกระทบอะไรแบบนี้มาก ไม่รู้ว่าทำไมวันนี้ถึงเป็นเช่นนี้ไปได้”

ฉยงเหรินมองแซนด์วิชในมือเงียบๆ ก่อนลองเอามันมาจ่อปากอีกครั้ง

ครั้งนี้พญายมราชไม่ได้ขัดขวางเขาอีก แต่น่าแปลกมากที่เขาไม่ได้รู้สึกดีใจเลย…

เขากินแซนด์วิชหมดด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ แทบไม่รับรู้รสชาติใดๆ แล้วก็กระดกนมอุ่นที่อุณหภูมิพอเหมาะพอดีจนหมดในรวดเดียว

เขาเช็ดปากหนึ่งที

“ผมไปนอนแล้ว”

พอฉยงเหรินพูดจบก็วิ่งหนีไปโดยไม่แม้แต่จะหันกลับมามอง

เขาพุ่งเข้าห้องน้ำ ล้างหน้าแปรงฟันเป่าผมอย่างไวที่สุด จากนั้นก็เข็นตัวเองไปส่งที่เตียง

เพิ่งเอนตัวลงนอนได้ไม่เท่าไหร่ ก็รู้สึกว่ามีอะไรไม่ชอบมาพากลอยู่นิดๆ

กลิ่น! กลิ่นสตรอเบอรี่มิ้นต์!

เขากระเด้งตัวขึ้นจากที่นอน ก่อนจะพบว่านี่เป็นเตียงของเหยียนโม่

ข้างเตียงมีเสื้อผ้าสองชิ้นพับเป็นระเบียบเรียบร้อยวางอยู่

เป็นเสื้อผ้าของเขา

ฉยงเหรินลืมกระทั่งสวมรองเท้า ก้มหน้าแดงๆ คิดจะพุ่งออกไปข้างนอก แต่ก็ถูกพญายมราชอุ้มขึ้น

“พื้นมันเย็น” พญายมกล่าวเสียงแผ่ว “ฉันอุ้มเธอไปส่ง”

ไม่ต้อง ไม่จำเป็น ไม่อนุญาต

เขาอยากพูดออกไปแบบนี้ แต่ปากเขาตอนนี้อย่างกับถูกปิดผนึกอยู่

ห้องนอนของพวกเขาสองคนอยู่ฝั่งซ้ายและขวาของห้องรับแขก เหมือนด้านปลายทั้งสองของรูปทรงกระสวย เมื่อกี้ฉยงเหรินเบลอไปหน่อย เลยเดินเข้าผิดตั้งแต่ห้องน้ำ

ร่างกายเขารวนไปหมดทั้งตัวแล้ว

พญายมราชครุ่นคิด ก่อนเอ่ยปลอบใจ “แปรงสีฟันเพิ่งเปลี่ยนใหม่ ยังไม่เคยใช้”

ฉยงเหรินรู้สึกเหมือนกลับมาหายใจหายคอได้นิดหน่อย

พญายมราชอุ้มเขามาที่ห้องนอน วางเขาลงบนเตียง เตียงนุ่มๆ ยวบลงทำให้ควบคุมสมดุลไม่ค่อยอยู่ ฉยงเหรินเอนล้มไปข้างหลังทันที

ผมหยักศกของเขาสยายอยู่บนเตียง เสื้อยืดสีขาวม้วนขึ้น เผยหน้าท้องช่วงเอวอันนวลเนียนและแข็งแรงออกมา ผิวสีน้ำผึ้งเมื่ออยู่ในห้องแสงสลัวๆ ก็ยังคงสะท้อนแสงที่ตกกระทบอย่างชัดเจน

ลูกกระเดือกพญายมราชกลิ้งไปมาหนึ่งที

“ฉันอยากจูบเธอ”

เขาพูดแบบนี้เป็นครั้งที่สอง จากนั้นจึงโน้มตัวลงมา

 

 

หน้าที่แล้ว1 of 2

Comments

comments

No tags for this post.
Continue Reading

More in everY

บทความยอดนิยม

everY

ทดลองอ่าน เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 Chapter 2.1-2.2 #นิยายวาย

ทดลองอ่าน เรื่อง เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 ผู้เขียน : MINTRAN แปลโดย : ทันบี ผลงานเรื่อง : 배타적 연애 금지구역 ถือเป็นลิขสิทธิ์...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 1-2

บทที่ 1 ฮ่องเต้หญิง   “ท่านพี่นำร้อง น้องหญิงคลอรับ ท่านพี่เสียงเพิ่งลับ น้องหญิงสลับขึ้นเวที เป็นมารดาอารี มีบุตรีกตัญญ...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน ร้อยเรียงรักเคียงฤทัย บทนำ – 1.2

บทนำ ความหลังของต้าลี่ 1   ฤดูหนาวในรัชศกต้าลี่ปีที่สิบเอ็ด โม่เป่ย ตำบลค่งหม่า สถานที่แห่งนี้คือประตูด่านสำคัญสุดท้ายทา...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 7-8

บทที่ 7 ค่าเดินทาง เมื่อภูตสุนัขดำคืนร่างเป็นสุนัขธรรมดาตัวหนึ่ง ภูตบุปผาสองตนนั้นก็ไม่อาจทำการใหญ่ ต่อให้ชาวหมู่บ้านป่า...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 3-4

บทที่ 3 เกิดใหม่   เวิ้งฟ้าดำสนิทปานน้ำหมึก เพียงมีดวงดาวบางตากระจัดกระจายบนม่านฟ้า ทอรัศมีอ่อนจางประเดี๋ยวเผยประเดี๋ยวเ...

community.jamsai.com