everY
ทดลองอ่าน ผมมันไอดอลตัวท็อปของยมโลก เล่ม 3 บทที่ 51-52 #นิยายวาย
บทที่ 52
“ฉันอยากจูบเธอ”
น้ำเสียงของพญายมราชยังคงเย็นยะเยือก สัมผัสลูบไล้ที่ไร้สสารใดเจือปน ทำให้คนนึกถึงภูเขาน้ำแข็งที่ถูกกดทับอยู่ใต้น้ำ
ความเร็วในการพูดก็ไม่ต่างจากยามปกตินัก
ฟังเผินๆ ดูเรียบนิ่งจนประหนึ่งกำลังพูดว่า ‘กินข้าวกันเถอะ’ หรือไม่ก็ ‘ตอนนี้สามทุ่มแล้ว’
ทว่าการกระทำของเขากลับไม่ได้ดูใจเย็นเช่นเดียวกับถ้อยคำของเขา
เขาบดเบียดริมฝีปากลงไปที่ริมฝีปากของฉยงเหรินอย่างรีบร้อน ทั้งดูดทั้งดุน และแทรกปลายลิ้นเข้าไปในโพรงปาก
ฉยงเหรินมึนงงไปหมดเพราะจูบของอีกฝ่าย
เขาไม่เคยมีความรัก แล้วก็ไม่เคยจูบกับใคร นี่เป็นครั้งแรกของเขา
จูบแรกที่เขาเคยจินตนาการไว้เป็นแบบนี้ ใต้ร่มไม้ในหน้าร้อน สายลมพัดหวน ริมฝีปากแนบชิดกันอย่างเด็กน้อย จากนั้นทั้งคู่ก็หันหน้าแดงๆ หนีไปคนละทาง
แต่ความเป็นจริงหลังจากปากประกบกันก็ถูกขบเม้มอย่างรีบร้อนทันที
อีกฝ่ายเกี่ยวพันปลายลิ้นของเขาอย่างไม่ยอมปล่อย ราวกับสามารถลิ้มรสอะไรจากจูบนั้นได้อย่างไรอย่างนั้น
การจูบครั้งนี้พญายมราชได้แสดงให้เห็นถึงความขยันใฝ่หาความรู้ของตนแล้ว เขาคล้ายกำลังศึกษาค้นคว้า ควานหาวิธีที่จะทำให้ฉยงเหรินหลุดส่งเสียงออกมาให้ได้อย่างอดทน
ดวงตาสีทองดูดุร้ายก็เริ่มปรือปรอยด้วยเช่นกัน เขาผละออกจากฉยงเหรินด้วยความใจกว้าง แต่ก็ยังแนบชิดมุมปากฉยงเหริน คลอเคลียเบาๆ เอ่ยด้วยเสียงที่กดอยู่ในลำคอ “ชอบแบบนี้หรือเปล่า”
ทั้งยังให้ความสำคัญกับฟีดแบ็กของผู้ใช้งานสุดๆ ไม่ใช่พวกผู้ชายหน้าเหม็นที่เอาแต่ตัวเองฟินอย่างเดียว
แต่จนแล้วจนรอดก็ยังไม่ได้รับฟีดแบ็กจากผู้ใช้งานสักที เขาจึงโน้มลงประกบจูบอีกครั้ง
คราวนี้มีเหงื่อออกจริงๆ อุณหภูมิร้อนปะทุสูง
ความเปียกชื้นที่ล้นออกมาจากริมฝีปากถูกพญายมราชละเมียดโลมเลียหมดจด
ในห้องอบอวลไปด้วยกลิ่นหอม พญายมราชกลืนของเหลวลงไป กัดจุดที่อิ่มเอิบที่สุดของริมฝีปากแล้วขบเม้มอย่างเนิบช้า กลิ่นหอมนี้เป็นกลิ่นเฉพาะตัวของเขา คนอื่นล้วนไม่ได้กลิ่น
ริมฝีปากเย็นเฉียบประดุจน้ำแข็งค่อยๆ ละลายด้วยความร้อนที่มาจากฉยงเหริน
เขาไม่ค่อยชอบท่าทางในตอนนี้มากนัก แขนที่โอบเอวเมื่อรั้งเข้ามาก็สามารถอุ้มอีกฝ่ายขึ้นมาได้อย่างง่ายดาย ปลายเล็บที่ตัดแต่งจนโค้งมนของฉยงเหรินกดลงไปที่ท้ายทอยของเขาจนเกิดเป็นรอยบุ๋ม ปลายเท้าฉยงเหรินเผลอถูไถกับข้างขาเขาเบาๆ โดยไม่รู้ตัว
ถ้าถูกจูบอย่างหนักหน่วง หลังเท้าก็จะเหยียดเกร็งจนโค้งเป็นองศาที่สวยงาม
พญายมราชหยุดการกระทำด้วยความงุ่นง่านในใจ หัวใจเต้นรัวเร็ว เขากดต้นขาของฉยงเหรินลง ริมฝีปากแยกออกไปในระยะที่พอแค่สามารถพูดได้
“อาหราน อย่าขยับ”
ทุกคำที่ขยับปากพูดล้วนสัมผัสโดนริมฝีปากนุ่มที่ทั้งอุ่นร้อนและชื้นแฉะของฉยงเหริน
เขาได้ยินเสียงหัวใจเต้นจากตัวเอง ร่ำร้องประสานกับเสียงหัวใจของฉยงเหริน
ฉยงเหรินใช้จังหวะที่ได้พักหอบหายใจอย่างยากลำบากนี้คว้าโอกาสยกมือขึ้นปิดปาก
ปิดปากของตัวเขาเอง
“พะ…พอได้แล้วครับ”
เสียงเล็ดลอดออกมาจากฝ่ามือ
ฉยงเหรินหน้าแดง หูแดง และบางทีที่อื่นก็อาจจะแดงด้วยเช่นกัน
เขารู้สึกว่าตนเองถูกพญายมกลืนกิน
ทำไมถึงต้องจูบนานขนาดนั้น เขาปวดเมื่อยปาก ลิ้นชาไม่มีความรู้สึกไปหมดแล้วเนี่ย
พญายมลำคอแห้งผาก การกลืนน้ำลายไม่ได้ช่วยดับความกระหายนี้ เขาพยักหน้าอย่างรวดเร็ว
ฉยงเหรินปล่อยมือออก
เขาใช้ปลายลิ้นเลียริมฝีปากที่ชาหนึบ แม้ปากจะไม่ได้แตก แต่ก็รู้สึกบวมตุ่ยอย่างอธิบายไม่ถูก
พญายมราชมองเรียวลิ้นสีชมพูที่แลบเลียกลีบปากแดงฉ่ำ สิ่งที่เรียกว่าเส้นสติสัมปชัญญะก็เกือบขาดผึง
ริมฝีปากของฉยงเหรินเดิมทีก็แดงอมชมพูกว่าคนทั่วไปอยู่แล้ว แต่เมื่อถูกรังแกกว่าครึ่งค่อนวัน ซ้ำบนริมฝีปากยังชื้นด้วยหยาดน้ำใสกระจ่างอีก ทำให้คนเห็นอยากรังแกเขาอีกหลายๆ ครั้งจริงๆ
ฉยงเหรินกระสับกระส่ายที่ถูกอีกฝ่ายจ้อง ผินหน้าหนีกล่าว “ไม่ต้องอุ้มแล้ว ปล่อยผมลงเถอะ”
พญายมราชวางเขาลงบนที่นอนอีกครั้ง ครั้งนี้ฉยงเหรินนั่งตัวตรงแหน็วด้วยความรอบคอบสุดๆ
“ที่ว่าต้องนำร่างอวตารลงไปที่ห้วงลึกของนรกภูมิอะไรนั่น ใช้เวลานานเท่าไหร่เหรอครับ”
กว่าฉยงเหรินจะเอ่ยปากอีกครั้ง หัวข้อที่พูดก็ช่างเป็นเรื่องธรรมดาเหลือเกิน ทำเอาพญายมราชเกิดความรู้สึกไม่แน่ใจ ราวกับว่าวันนี้ไม่มีอะไรเกิดขึ้นทั้งนั้น
“ราวครึ่งเดือน”
ฉยงเหริน “งั้นคุณกลับยมโลกไปก่อน ครึ่งเดือนให้หลังค่อยกลับมานะครับ”
พญายมราชขมวดคิ้ว “ครึ่งเดือน?”
ฉยงเหรินไม่สบอารมณ์ ตบผ้าห่มกล่าว “ทำไมครับ นานไปไม่พอใจเหรอครับ”
พญายมราช “ไม่ใช่อย่างนั้นแน่นอน การกระทำที่ไม่เหมาะสมของฉันเมื่อครู่สมควรได้รับโทษหนักกว่านี้” แม้พญายมราชจะพูดออกไปแบบนั้น แต่ที่จริงในใจไม่ได้รู้สึกผิดที่ทำลงไปเลยแม้แต่น้อย ใบหน้าดูชั่วร้ายติดประกายรอยยิ้มอิ่มเอม “ไม่สู้ฉันเด็ดใบไม้มีดจากนรกจ้งเหอมาให้เธอสักใบ ถ้าเป็นเธอบางทีอาจจะหั่นร่างอวตารของฉันขาดก็ได้”
ฉยงเหริน “…”
ช่วยอย่าเสนอให้เอามีดหั่นตัวเองด้วยใบหน้ามีความสุขขนาดนั้นได้ไหม
เขาหน้าแดงแจ๋ พูดด้วยสมองมึนเบลอ “วันนี้ไม่ได้ครับ ผมถูกคุณจูบจนหมดแรงแล้ว”
ทันทีที่พูดออกไปทั้งคู่ก็ตัวแข็งทื่อ
ใบหน้าดุร้ายอำมหิตของร่างมารพลันเผยสีหน้าประหนึ่งเด็กหนุ่ม ม.ปลาย ใสๆ ออกมา “งะ…งั้นเหรอ งั้นก็…วะ…วันอื่น…”
“ครึ่งเดือน เริ่มตั้งแต่วันนี้” ฉยงเหรินอกจะแตกให้ได้ ปิดตาอุดหูหนีจากความเป็นจริง “ผมไม่สน ถ้าผมลืมตาผมต้องไม่เห็นคุณแล้ว”
“…”
“สาม”
“…”
“สอง”
“…”
“หนึ่ง”
ฉยงเหรินลืมตามอง ในห้องรับแขกเหลือแค่เขาคนเดียว
“อะไรกัน…” ฉยงเหรินไม่สบอารมณ์นัก “ไปจริงๆ ด้วย”
เพ้ยๆๆ!
ตั้งสติสิ เสี่ยวฉยง!
ความคิดนี้ของนายมันอันตรายมากนะ ถูกเทพแทะโลมจนไม่เหลือสภาพขนาดนี้ยังไปคิดอาลัยอาวรณ์นี่มันยังไง
ฮึกเหิมเข้าไว้ ยืนหยัดต่อต้านท่านพญายมร่างมารผู้ชั่วร้าย อย่างน้อยก็ต้องต้านไว้ให้ได้ครึ่งเดือน!
ถึงเขาจะเพิ่งอาบน้ำมา แต่ก็ถูกกอดจนเหงื่อซึมทั่วร่าง ร่างกายของมารร้อนเกินไป จะตรงไหนก็ร้อนผ่าวไปหมด โดยเฉพาะ…
อ๊ากกก
เลิกคิดได้แล้ว!!!
ฉยงเหรินเดินดุ่มๆ เข้าห้องน้ำด้วยจิตใจที่รับอะไรไม่ไหวอีกต่อไป ครั้งนี้เขาไม่ได้เข้าผิดห้อง พอได้เห็นสภาพตัวเอง เขาก็ใบ้รับประทานทันที
ริมฝีปากแดงแจ๋บวมฉึ่ง แพขนตาชื้นน้ำเกาะกันเป็นกลุ่ม ผมเผ้ายุ่งเหยิง ให้ความรู้สึกเหมือนเพิ่งกระทำเรื่องที่ไม่สามารถบรรยายได้มาหมาดๆ
พูดให้ถูกคือเหมือนเพิ่งถูกทำเรื่องที่บรรยายไม่ได้มาอย่างหนัก…
ทั้งๆ ที่ไม่ได้ทำอะไรเลยแท้ๆ แค่จูบ (ไม่) นิดหน่อยก็เป็นถึงขนาดนี้ซะแล้ว สภาพแบบนี้เขาจะไปเจอหน้าใครได้ยังไง ต้องถูกคนเข้าใจผิดยันตายแน่
Super Topic ที่ตอนนี้ก็เข้าไปเหยียบไม่ได้อยู่แล้วจะต้องกลายเป็นสถานที่ที่น่ากลัวกว่านี้แน่
“ครึ่งเดือนสั้นเกินไปจริงๆ ด้วย” ฉยงเหรินขบเขี้ยวเคี้ยวฟันกล่าว “เลียๆๆ อยู่นั่นแหละ มีอะไรน่าเลียกัน เป็นหมารึไง อ๊ากกก นี่ฉันพูดอะไรออกไปเนี่ย!”
สีหน้าของเขาในกระจกตอนนี้แตกสลายเป็นเสี่ยงๆ
เวลาแบบนี้เหมาะกับการเป็นแค่นกกระจอกเทศที่มุดหัวลงดินตอนเจออันตรายจริงๆ
ทั้งเหนื่อยล้าจากการเดินทาง แล้วยังถูกแกล้งไปยกหนึ่งอีก ฉยงเหรินง่วงจนแทบจะหลับกลางอากาศอยู่แล้ว เขาไปอาบน้ำอีกครั้ง ก่อนจะพบว่าบนตัวก็มีรอยแดงเหมือนถูกเสียดสีเป็นปื้นใหญ่ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้
ร่างมารนี่มัน…
งั้นถ้าเป็นร่างครึ่งมังกร…
แต่ครึ่งมังกรมีเกล็ดนะ
เขาร่างมารลูบแล้วจะ *ปี๊บ* งั้นเขามังกรล่ะ…
ฉยงเหรินมือเท้าชาหนึบ หัวใจเต้นรัว
หยุดคิดนะๆๆ
เขารีบล้างฟองบนตัวออก เป่าผมให้แห้งอย่างเร็วจี๋ ส่งข้อความเข้ากลุ่มผู้ช่วยและผู้จัดการว่าเขาต้องการเวลาพักผ่อนสองวัน ถ้าไม่มีเรื่องอะไรพยายามอย่ามาหาเขา
จากนั้นจึงปีนขึ้นเตียงซุกผ้านวมยับยู่นุ่มนิ่มกลิ่นลูกพีชของเขา
ก่อนจะกอดผ้าห่มงัวเงียหลับฝัน ในหัวก็ยังคงคิดว่าผ้าห่มของเขาไม่หอมเหมือนของพญายมราชเลย
ฉยงเหรินหลับลึกมาก แต่จู่ๆ ก็ถูกความรุ่มร้อนโอบรัดกลางดึก เขาไม่รู้สึกตัวเลยแม้แต่น้อย เพียงเลิกผ้าห่มออก ไม่รู้ตัวเลยว่าตัวเองถูกนอนกอดตลอดทั้งคืน
ตื่นขึ้นมาตอนเช้าก็งงงวยสุดๆ เดือนพฤศจิกายนแล้วแท้ๆ ทำไมอากาศถึงได้ร้อนขนาดนั้น
เขาเหงื่อท่วมตัว อย่างกับมีผ้าห่มทำความร้อนมาห่อตัวเขาตอนนอนอย่างงั้นแหละ
คงไม่ใช่หรอกนะ…
ฉยงเหรินหมอบลงดมกลิ่นผ้าห่มอย่างละเอียดก็เหมือนจะได้กลิ่นสตรอเบอรี่มิ้นต์อยู่จางๆ แต่เมื่อก่อนเขาก็ใช้น้ำยาซักผ้ากลิ่นนี้มาโดยตลอด ไม่แน่ว่าอาจจะเป็นกลิ่นที่หลงเหลือจากเมื่อก่อนก็ได้
ระหว่างทำมื้อเช้าในห้องครัวก็พบว่าในตู้เย็นมีผักสด เนื้อ ปลา และนมเพิ่มขึ้นมา แฮมขาหมูที่เมิ่งชิงเสวียนกับหวังป๋อตวนแบกมาก็ถูกจัดการเรียบร้อยแล้วเช่นกัน แต่ละชิ้นล้วนถูกหั่นเก็บอยู่ในถุงสุญญากาศ
ของพวกนี้เมื่อวานยังไม่มีเลย ต้องเป็นพญายมราชแน่ๆ ที่แอบมาจัดการไว้ตอนเขานอนหลับ
ไม่ชอบเลย
ฉยงเหรินบ่นอุบในใจ
ไม่ชอบที่พญายมราชเป็นคนที่เขาไม่ชอบไม่ลงเนี่ยน่ะสิ
เขาล่ะไม่ชอบจุดนี้จริงๆ เชียว
เขาหยิบแผ่นแฮมที่หั่นเรียบร้อยแล้วออกมาหนึ่งชิ้น เอาไปจัดการในกระทะจนกลิ่นหอมฟุ้งกำจาย ขณะกำลังทำมื้อเช้าเฉินรุ่ยเจ๋อก็โทรมา
“ฮัลโหล!”
เฉินรุ่ยเจ๋อเสียงลนลานเล็กน้อย
ฉยงเหรินขมวดคิ้วเบาๆ “เป็นอะไรครับ”
เฉินรุ่ยเจ๋อ “ฉยงเหริน ฉันว่าฉันเกิดเรื่องแล้วล่ะ นายรีบมาช่วยฉันหน่อยได้มั้ย”
“อยู่ที่ไหนครับ ส่งโลเกชั่นมาให้ผม”
เฉินรุ่ยเจ๋อเมื่อได้ยินเขาเอ่ยขอโลเกชั่นทันทีโดยไม่ถามสักคำว่าเกิดอะไรขึ้นก็ร้องห่มร้องไห้คาสาย
“ฮือออออ ฉันรู้อยู่แล้วล่ะว่าเจ้าหนูเหรินของเราเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดในโลก” เขากระซิกๆ สองสามที “อย่ามาคนเดียวนะ ฉันเห็นในเน็ตเขาเล่ากันว่านักพรตอารามชิงเหลยไปบำเพ็ญอยู่กับนาย นายพาพวกเขามาด้วยนะ ฉันว่าผีที่นี่น่าจะเฮี้ยนมาก”
ฉยงเหรินรีบปลอบ “วางใจเถอะครับ ไม่เฮี้ยนเท่าผมหรอก ผมจะไปเดี๋ยวนี้”
เฉินรุ่ยเจ๋อ “…”
เมื่อกี้เขาได้ยินว่าอะไรนะ
หลังวางสายฉยงเหรินก็เรียกตัวผู้ช่วยทั้งสองมาทันที แล้วขับรถบึ่งไปยังเขตตะวันออก
หลายวันมานี้หวังป๋อตวนฟังเมิ่งชิงเสวียนโม้ให้ฟังตลอดว่าฉยงเหรินเก่งกาจแค่ไหน เมื่อเห็นว่าจะได้ออกไปปฏิบัติภารกิจกับฉยงเหริน หัวใจก็ลิงโลดสุดๆ
ทั้งคู่จัดเตรียมเครื่องมือพิธีกรรม กระดาษยันต์และดาบไม้ท้อไป หมายมั่นจะแสดงฝีมือให้ผู้คนประจักษ์
เมื่อถึงที่หมายผู้ช่วยของเฉินรุ่ยเจ๋อก็มายืนรอพวกเขาอยู่หน้าทางเข้า
ที่นี่คือหนึ่งในสถานที่ถ่ายทำอันมากมายของกองถ่าย ‘พัดดอกท้อ’ ในอดีตเป็นโรงงิ้ว ตอนนี้กำลังจะทำการรื้อถอน แต่ก่อนจะรื้อถอนก็ได้ปล่อยให้กองถ่ายเช่าและให้สถานที่นี้ได้ทำหน้าที่สุดท้ายของมัน
ผู้จัดการพาฉยงเหรินเข้าไปข้างใน สตาฟฟ์ส่วนใหญ่ล้วนรู้จักฉยงเหรินอยู่แล้ว เมื่อเห็นเขามาก็ทยอยกันเข้ามาทักทาย หวังป๋อตวนสั่งขนมนมเนยมาจากหลายๆ ร้านเป็นหนึ่งร้อยชุด ตอนพวกเขามาถึงของก็กำลังมาส่งพอดี ไม่นานไรเดอร์แจ็กเก็ตเหลืองบ้างฟ้าบ้างก็มาส่งของที่กอง เป็นภาพน่าตื่นตาตื่นใจ
ทีมงานต่างยิ้มแย้มเบิกบานใจ
ฉยงเหรินยกนิ้วโป้งให้หวังป๋อตวน เมิ่งชิงเสวียนรู้สึกเหมือนตนได้เรียนรู้งาน รีบควักมือถือขึ้นมาพิมพ์จดทันที
บันทึกการฝึกตนของเสี่ยวเมิ่ง ‘ไปเยี่ยมกองถ่ายต้องไม่ลืมซื้อของกิน’
ผู้ช่วยพาเขาไปที่ห้องรับรองของเฉินรุ่ยเจ๋อ ผลักประตูเข้าไปพลางกล่าว “อาจารย์ฉยงมาแล้วครับ”
เฉินรุ่ยเจ๋อกำลังอ่านบทเตรียมเข้าฉาก ได้ยินคำของผู้ช่วยก็กระเด้งตัวลุกโผเข้าหาฉยงเหรินทันที
“ในที่สุดก็มาสักที ฉันกลัวแทบบ้า”
ฉยงเหรินตบหลังเขา อดขมวดคิ้วไม่ได้ แม้ตอนนี้จะเป็นฤดูใบไม้ร่วง แต่เฉินรุ่ยเจ๋อกลับสวมชุดงิ้วฤดูร้อนที่บางมาก เขานึกว่าตัวเองกำลังลูบหลังโครงกระดูกอยู่อย่างไรอย่างนั้น
จนเฉินรุ่ยเจ๋อปล่อยเขา ฉยงเหรินจ้องอีกฝ่ายแน่นิ่ง แล้วก็ต้องถอนหายใจ “ทำไมคุณถึงผอมขนาดนี้ล่ะ”
เฉินรุ่ยเจ๋อลดน้ำหนักไปไม่น้อยเพื่อบทเฉินเถา ตอนนี้เขาผอมจนเบ้าตาลึกโหลยิ่งกว่าเดิม ใต้ตาดำคล้ำ ริมฝีปากแห้งซีดเซียว ประหนึ่งไม้ใกล้ฝั่ง
“เป็นเพราะโดนผีหลอกทั้งนั้น” เฉินรุ่ยเจ๋อดูตึงเครียดเล็กน้อย เหงื่อเย็นบนหน้าผากไหลพรากๆ ไรผมเปียกชื้นไปหมด “เจ้าโง่จางเฮ่าไม่เชื่อว่าฉันเจอผี บอกว่าตัวเองก็นอนอยู่ข้างๆ ฉันทุกคืน ไม่เห็นจะมีผีที่ไหนมาตามตอแยฉันเลย”
อยู่ดีๆ ฉยงเหรินก็ได้ฟังเรื่องเม้าท์มอยซุบซิบโดยไม่ได้ตั้งตัว มิน่าล่ะตอนเขาเพิ่งรู้จักกับเฉินรุ่ยเจ๋อก็รู้สึกว่าทำไมน้ำเสียงตอนเฉินรุ่ยเจ๋อพูดถึงผู้กำกับจางเฮ่าถึงได้เป็นกันเองขนาดนั้น ที่แท้ก็เป็นครอบครัวเดียวกันสินะ
เฉินรุ่ยเจ๋อพอรู้ตัวว่าตัวเองเผลอหลุดเรื่องรักๆ ใคร่ๆ ไปก็เก้อกระดากเล็กน้อย “ไม่ได้ตั้งใจจะปิดบังนายนะ แต่ฉันแค่หาจังหวะเหมาะๆ บอกนายไม่ได้”
ฉยงเหรินพยักหน้า สถานการณ์ที่ยากจะอธิบายความสัมพันธ์ลับๆ ของตัวเองกับคนอื่นนี่เมื่อก่อนเขาก็ไม่เข้าใจหรอก แต่ตอนนี้เขาเข้าใจดีเลยล่ะ
ถึงเขาเองก็ไม่ค่อยจะมั่นใจสักเท่าไหร่ว่าตอนนี้เขานับว่ากำลังมีความสัมพันธ์ลับๆ อะไรอยู่หรือเปล่าก็เถอะ…
“คุยเรื่องเจอผีก่อนเถอะ”
มือถือของฉยงเหรินได้รับข้อความวีแชตหนึ่งข้อความ เป็นรูปพรีวิวหูฟังที่เสร็จแล้วจากจางชิงชิง เขาเข้าไปดูแล้วกดปิด ก่อนหันมาตั้งใจฟังเฉินรุ่ยเจ๋อเล่า
เฉินรุ่ยเจ๋อเริ่มเจอผีตั้งแต่หนึ่งเดือนก่อนแล้ว
ในฐานะตัวละครหลักชายของ ‘พัดดอกท้อ’ บทของเฉินรุ่ยเจ๋อจึงเยอะมากๆ แทบทุกวันที่ลืมตาตื่นขึ้นมาก็จะต้องไปแต่งหน้าทำผมที่กองถ่าย ตกกลางคืนกลับโรงแรมไปก็ไม่มีอารมณ์ทำอะไรอย่างอื่น รีบๆ อาบน้ำอาบท่าแล้วเข้านอน
คืนหนึ่งเมื่อราวๆ หนึ่งเดือนก่อนเขาก็เริ่มฝันแปลกๆ
สถานที่ในฝันคือห้องนอนที่เขาไม่เคยเข้าไปมาก่อน เขานั่งอยู่ริมหน้าต่างห้องนอน คล้ายเป็นคนป่วยที่กำลังอ่อนแอโรยแรงอย่างที่สุด แทบขยับเขยื้อนร่างกายไม่ไหว
เวลาที่คนเราฝันก็จะได้รู้ข้อมูลอะไรมากมายอย่างแปลกประหลาด อย่างเช่นมองเห็นใบหน้าของคนในฝันไม่ชัดเลยสักนิด แต่กลับรู้ว่าในฝันคนคนนี้คือใคร
ในฝันของเขาก็เป็นแบบนี้เหมือนกัน แม้จะไม่ได้หันกลับไป แต่กลับรู้ว่าด้านหลังเขามีสิ่งที่น่ากลัวกำลังจ้องมองเขาอยู่
ในความฝันเฉินรุ่ยเจ๋อหวาดกลัวมาก ความหวาดกลัวนั้นไม่มีที่มา แต่ก็ทำให้เขารู้สึกเย็นเฉียบจากก้นบึ้งหัวใจ
เขาไม่มีความรู้สึกอยากหันไปมองเลยแม้แต่น้อยว่าด้านหลังนั่นคืออะไรกันแน่ ทว่ากลับถูกพลังงานอย่างหนึ่งเข้าครอบงำ บีบให้เขาต้องหันกลับไปมองอย่างไม่มีทางเลือก
จนตัวเขาในความฝันค่อยๆ หันหน้าไปก็เห็นเงาดำร่างหนึ่งยืนอยู่หน้าประตูห้องนอน ไร้ซึ่งอวัยวะน้อยใหญ่บนใบหน้า แต่ในใจเฉินรุ่ยเจ๋อรู้ดี
ว่าเงาดำนี้กำลังมองเขาด้วยเจตนาไม่ดีอยู่
โปรดติดตามตอนต่อไป…