everY
ทดลองอ่าน ผมมันไอดอลตัวท็อปของยมโลก เล่ม 1 บทที่ 3-4 #นิยายวาย
บทที่ 4
เลขาฯ จินหิ้วตัวผู้จัดการที่ยังคงหลับไม่ตื่นไปไว้ที่เบาะหลังรถพี่เลี้ยง
“สภาพร่างกายเขาปกติดี ไม่ต้องเป็นห่วงครับ พวกคุณเข้ามาที่นี่ตามขั้นตอนที่ถูกต้อง จึงไม่มีผลร้ายอะไรต่อร่างกายแน่นอนครับ ค่าตอบแทนส่วนที่เหลือจะเข้าบัญชีในวันพรุ่งนี้ คอยเช็กดูด้วยนะครับ หากมีปัญหาอะไรโปรดติดต่อมาหาผมทันที จะปัญหาอะไรก็ได้ทั้งนั้นครับ”
เลขาฯ จินชี้แจงทีละเรื่องๆ ระหว่างพูดก็จงใจค่อยๆ ถอยห่างออกไป เอาใจใส่เสียจนฉยงเหรินรู้สึกละอายนิดๆ
พอรู้ว่าเขากลัวผีมาก บรรดายมบาลในตำหนักที่สามก็ไม่ตามเขามา พวกเขายืนอยู่หน้าภัตตาคารที่เปิดไฟสว่าง มองส่งเขาจากไปอยู่ห่างๆ
แสงไฟในตอนค่ำมืดทำให้เงาร่างของกลุ่มคนดูเลือนรางลงไป ระยะห่างขนาดนี้จึงมองเห็นหน้าพวกเขาไม่ชัด ในใจเขายังคงกลัว แต่ก็เกิดรู้สึกตื้นตันจนอาลัยอาวรณ์ไม่อยากจากขึ้นมาอย่างรุนแรง ความรู้สึกตีกันจนภายในใจรู้สึกปั่นป่วน
สายลมยามกลางคืนพัดผ่านกายแผ่วเบา พากลิ่นธูปโชยหอมอ่อนๆ ภายในห้องโดยสาร
ที่นี่คือนรก แต่สายลมที่นี่ไม่ต่างจากโลกมนุษย์เลย
“มีวิญญาณหลบหนี เตรียมจับกุม”
เสียงเย็นเยียบของชายคนหนึ่งพลันดังขึ้นรอบทิศ ขัดความคิดในหัวของฉยงเหริน
“เสียงท่านเยี่ยนหมัวหลัวเสอ” ซ่งตี้หวังขมวดคิ้ว “เลขาฯ จิน”
เลขาฯ จินหยิบโทรศัพท์ออกมาดูรายงานสถานการณ์ “มีวิญญาณหลบหนีจากนรกจ้งเหอ ก่อนตายวิญญาณตนนี้เป็นผู้ชายหัวงู เหยียบเรือเจ็ดแคม หลังถูกภรรยาฟ้องข้อหาคบชู้ก็ถูกไล่ออกจากบริษัท นับแต่นั้นก็ระหกระเหินไปทั้งชีวิต เขาเคียดแค้นอดีตภรรยา แสดงออกชัดระหว่างรับโทษว่าอยากแก้แค้นอดีตภรรยาหลายครั้ง อ๊ะ..”
ซ่งตี้หวัง “?”
เลขาฯ จิน “อดีตภรรยาของเขาก็ทำงานอยู่ที่ตำหนักสามของเราขอรับ วันนี้เธอก็มาดูการแสดงของฉยงเหรินด้วย ถ้าเขารู้เรื่องนี้ก็เป็นไปได้สูงที่จะมาที่นี่”
ผู้ชายหัวงู
แก้แค้นอดีตภรรยา
ภาพอดีตที่ฝังลึกลงใน DNA ของฉยงเหรินกระตุก เขารู้สึกคันไม้คันมือ
ซ่งตี้หวังเอ่ยสั่งการอย่างใจเย็น “ให้นายยมบาลไปเฝ้าระวังเส้นทางทั้งสี่ทิศ เป็นไปได้สูงว่าเขาจะอ้อมเข้ามาทางมหานรกหานปิง”
ฉยงเหรินเหลือบเห็นหนึ่งเงาร่างเลือนรางในความมืดตรงดิ่งมาทางนี้ เขาคันหมัดยุบยิบขึ้นเรื่อยๆ เป็นลางสังหรณ์บ่งบอกชัดเจน
ฉยงเหรินชี้ไปยังผู้มาถึง “เขาเหรอ”
เขาหูไว ได้ยินเสียงอีกฝ่ายก่นด่าอดีตภรรยางึมงำอยู่ในลำคอก็ยิ่งมั่นใจว่าคนคนนี้คือผู้ชายหัวงูที่ว่า
เงาร่างนั้นปรากฏตัวออกมาไวกว่าที่คาด ซ่งตี้หวังและเลขาฯ จินเพิ่งหันหน้าไปมอง คนคนนั้นก็บึ่งไปเกือบถึงภัตตาคารแล้ว
ฉยงเหรินไม่แม้แต่จะคิด รีบจ้ำอ้าวตามไป ก่อนจะบิดเอวยกขาขึ้น แล้วฟาดออกไปอย่างไวว่อง เหยียดปลายเท้าตึงจนหลังเท้าโค้งดั่งพระจันทร์ครึ่งเสี้ยว เตะออกไปด้วยมุมโค้งเฉียบคมผ่าท้องฟ้ายามราตรีของนรก
เสียงกระทบหนักๆ ดังลั่น
หลังเท้าของเขาฟาดเข้าที่หลังคอผู้ชายหัวงูนั่นอย่างแรงจนร่างชายคนนั้นกระเด็นลงพื้นและกลิ้งไปอีกสองตลบถึงหยุด
ตอนที่หลังเท้าเขาเตะไปที่ร่างวิญญาณนั้นเต็มเปา ซ่งตี้หวังก็เห็นจุดที่เท้าของเขาสัมผัสกับร่างระเบิดประกายแสงสีทองกระจายออกมาเต็มสองตา
ซ่งตี้หวังเบิกตากว้าง “นั่นมัน…”
ยังไม่ทันพูดออกมา เขาก็พลันนึกถึงสิ่งที่ตัวเองต้องทำขึ้นมาได้ เขารีบสั่งให้นายยมบาลทั้งหลายเข้าไปมัดมือวิญญาณตนนั้นไพล่หลังให้แน่น
จากนั้นจึงหันไปมองฉยงเหริน พูดขึ้นด้วยเสียงตื่นเต้น “ไม่นึกว่าเธอจะซ่อนความสามารถพิเศษไว้ด้วย! แต่เธอกลัวผีนี่ กล้าเข้าไปเตะเขาด้วยหรือ”
“ท่านอย่าไปทักเขาสิ!” เลขาฯ จินจะห้าม แต่ก็ไม่ทันการเสียแล้ว
ซ่งตี้หวังหน้าเหลอหลา “หา?”
ฉยงเหรินถึงรู้สึกตัวว่าเมื่อกี้เขาเพิ่งกระโดดเตะผีไป ความรู้สึกเย็นวาบแผ่ซ่านตั้งแต่ปลายเท้าลามมายันกลางกระหม่อม เขาหน้าซีดเผือดราวกับหิมะทันที
เขากลืนน้ำลายอึกใหญ่อย่างยากลำบาก หันไปมองเลขาฯ จินด้วยความจริงใจ “ดูท่าคงต้องรบกวนคุณหิ้วผมขึ้นรถอีกที ขอบคุณคระ…”
พูดยังไม่ทันสิ้นเสียง ฉยงเหรินก็เป็นลมหงายหลังไปทันที
แต่เขายังไม่ทันตกถึงพื้น
พญายมราชผู้มีเรือนผมและนัยน์ตาสีชาดก็เข้ามารับเขาไว้ได้ทัน
“ท่านเยี่ยนหมัวหลัวเสอ” ซ่งตี้หวังเรียกชื่อของพญายมเสียงหงอ
พญายมมองเขาสายตาเรียบนิ่ง ก่อนส่งมนุษย์ตัวเบาหวิวในมือให้เลขาฯ จิน
“คุมตัววิญญาณบาปกลับไปที่นรกจ้งเหอ ชดใช้กรรมเพิ่มอีกหมื่นปี”
เมื่อนึกถึงคืนวันที่ถูกช้างเหล็กบดขยี้เป็นโคลนในนรกจ้งเหอซ้ำแล้วซ้ำเล่า ชายหัวงูก็สั่นเทิ้มไปทั้งร่างทันที
“ผู้ชายยุคโบราณก็มีสามเมียสี่เมียทั้งนั้น ฉันก็แค่มีเมียพร้อมกันเจ็ดคน ทำไมต้องชดใช้กรรมหนักหนาขนาดนี้ด้วย การพิพากษาของนรกไม่ยุติธรรม!”
สายตาเย็นชาของพญายมตวัดมองต่ำ
พริบตาที่ชายหัวงูมองไปเห็นนัยน์ตาสีแดงของพญายมราช ความกล้าที่จะต่อต้านและหลบหนีก็เหือดหายไปจนเกลี้ยง พยายามขดตัวห่อตัวเองเป็นก้อนกลม
เขาต้องโดนลูกเตะเมื่อกี้จนสมองรวนไปแล้วแน่ๆ ไม่งั้นเขาจะกล้าต่อปากต่อคำกับพญายมราชได้ยังไง
เสียงเย็นเยียบของพญายมดังขึ้น
“คนโบราณมีสามภรรยาสี่อนุภรรยาก็ต้องลงรับทัณฑ์ในนรกจ้งเหอเช่นกัน
แต่ว่าผู้ตัดสินโทษของเจ้าก็ไม่รอบคอบพอจริงๆ”
ชายหัวงูหยุดสั่น
พญายมราชกล่าวต่อ “จากกรรมชั่วของนาย ไม่เพียงแต่ต้องตกนรกจ้งเหอ แต่ยังต้องถูกลงทัณฑ์ในมหานรกเจี้ยวฮ่วนด้วย
ซ่งตี้หวัง ให้ยมบาลส่งตัวเขาไปที่มหานรกเจี้ยวฮ่วน จากนี้ก็ให้เขารับโทษที่นรกสองขุมนี้สลับกันไปจนกว่าจะหมดกรรม”
ซ่งตี้หวัง “ขอรับ”
คำพูดของพญายมราชก็คือประกาศิตแห่งนรกภูมิ วินาทีที่เขาพูดออกมา ผลตัดสินโทษก็จะบังเกิดผลทันที ชายหัวงูรู้สึกได้ว่าวิญญาณของตัวเองถูกจารึกโทษเพิ่มอีกหนึ่งหมื่นปี ข้อมือที่มีตราของนรกจ้งเหออยู่แล้วก็มีตราของมหานรกเจี้ยวฮ่วนเพิ่มขึ้นมาข้างๆ
เขางอตัวร้องไห้กับพื้นดิน ก่อนยมบาลจะเข้ามาล่ามโซ่ตรวน
สายตาพญายมราชชำเลืองไปทางเลขาฯ จิน แล้วก็เห็นกลุ่มผมหยักศกและแขนที่ห้อยต่องแต่งลงมาข้างหนึ่ง
เขาเผลอลูบปลายนิ้วตัวเองโดยไม่รู้ตัว
สายตาของพญายมหยุดอยู่ที่เรือนผมหยักศกดูนุ่มฟูครู่หนึ่ง
“เขาก็คือไอดอลคนนั้นน่ะหรือ”
เมื่อกี้เขารับตัวคนไว้ได้ก็ยัดใส่แขนเลขาฯ จินโดยไม่ทันได้มองหน้า ถึงฉยงเหรินจะเป็นไอดอลที่เป็นที่นิยมในนรกภูมิ แต่พญายมก็ไม่ได้รู้สึกสนใจอะไรเกี่ยวกับเขา
ซ่งตี้หวัง “ครับ…”
พญายมหันไปมองผมหยักศกของฉยงเหรินอีกครั้ง เอามือไพล่หลัง เอ่ยสั่งเสียงเนิบช้า
“วิญญาณหลบหนีวันนี้ส่งผลกระทบต่อจิตใจ อย่าลืมชดใช้ความเสียหายทางจิตใจให้เขา และค่าชดเชยห้ามมากเกินกว่าค่าแสดง”
ซ่งตี้หวัง “ครับ!”
เขาเผลอหลุดสีหน้าแสดงความดีใจออกมา ปกติเยี่ยนหมัวหลัวเสอมักจะทำตัวอย่างกับเป็นเครื่องจักร แข็งกระด้างเย็นชา แต่จริงๆ แล้วจิตใจอ่อนโยนมาก
ในระหว่างที่หัวซ่งตี้หวังกำลังจินตนาการก็ได้ยินเสียงพญายมพูดขึ้นมา “เอาเถอะ ยังไงซะวันนี้ก็นอนไม่หลับ ฉันคุมตัวเขาไปทรมานด้วยตัวเองดีกว่า
อา…ไม่ได้ลงมือเองนานแล้ว”
พญายมบริหารข้อไหล่จนส่งเสียงกึกออกมาเบาๆ
ชายหัวงูได้ยินเสียงก็กลัวจนเป็นลม เกือบจะสร้างปรากฏการณ์มหัศจรรย์วิญญาณตายซ้ำตายซ้อนขึ้้นมาแล้ว
ซ่งตี้หวัง “เอ่อ…ท่านทรมานเขาด้วยตัวเองคงจะไม่เป็นการเหมาะสมเท่าไหร่”
พญายมหลุบตาต่ำด้วยความง่วงเล็กน้อย “นั่งก้มหน้าทำงานอยู่บนโต๊ะติดกันเป็นเวลานาน ไม่ดีต่อทั้งกระดูกสันหลังแล้วก็กระดูกคอ ควรขยับร่างกายบ้าง”
ซ่งตี้หวังชำเลืองมองสีหน้าเขาอย่างระมัดระวัง แล้วก็เห็นใต้ตาคล้ำเป็นดวงใหญ่อยู่บนใบหน้าขาวผ่องของพญายม
เขาเป็นห่วงท่านพญายมขึ้นมาทันที “ท่านยังนอนไม่หลับอยู่อีกหรือ” เขานอนไม่หลับติดต่อกันนานแค่ไหนแล้วเนี่ย
ถึงพญายมจะเป็นเทพ ไม่ใช่โปรแกรมเมอร์ จะทำงานเยอะนอนน้อยแรงกดดันสูงผมก็ไม่มีทางร่วง แต่เขาคือเจ้าแห่งยมโลก หากร่างกายเทพของเขาเกิดปัญหา ยมโลกก็จะได้รับผลกระทบไปด้วยในทุกๆ ด้าน
ซ่งตี้หวังยังจำได้ถึงทุกวันนี้ หลายพันปีก่อนมีอยู่คืนหนึ่งที่เยี่ยนหมัวหลัวเสอฝันร้าย แม่น้ำซานถู* ก็เดือดพล่านในทันที นับแต่นั้นพญายมราชก็ยับยั้งชั่งใจสุดกำลัง พยายามรักษาความสงบนิ่งใจเย็นอยู่เสมอ
“มิน่าล่ะดอกพลับพลึงแดงสองฝั่งแม่น้ำวั่งชวนถึงได้โล้นเตียนไม่เหลือชิ้นดี ท่านจะอดนอนแบบนี้ต่อไปไม่ได้แล้วนะ ไม่งั้นท่านลองไปปรึกษาจิตแพทย์ที่โลกมนุษย์ดูไหม”
แววตาสงบของพญายมส่องประกายวาบ
กว่าฉยงเหรินจะตื่นก็เที่ยงวันแล้ว
ผู้จัดการถูกพามาส่งที่หอพักพร้อมฉยงเหริน เขาจึงนอนพักที่นี่ไม่ได้เดินทางกลับบ้าน พอเห็นฉยงเหรินตื่นก็อุ่นข้าวโอ๊ตนมสดให้ถ้วยหนึ่ง ทำท่าเหมือนมีอะไรอยากจะพูดแต่ก็ไม่พูดออกมา
ฉยงเหรินเอาถ้วยข้าวโอ๊ตไปวางในอ่างให้หายร้อน แล้วไปนั่งตรงหน้าผู้จัดการ
“มีอะไรก็พูดมาเถอะครับ”
ผู้จัดการ “นายตกลงเรื่องงานแฟนไซน์แล้วเหรอ”
ฉยงเหริน “อือ”
เนื้ออวบอ้วนของผู้จัดการสั่นระริก ทั้งที่ไม่มีคนอื่นอยู่ แต่เขาก็กดเสียงกระซิบอย่างควบคุมไม่ได้ “แต่พวกเขาเป็นผี!”
ฉยงเหริน “พวกเขาคือแฟนคลับตัวเป็นๆ แสนล้ำค่า”
ผู้จัดการ “เป็น? คนไหนยังเป็นอยู่บ้างฮะ”
ฉยงเหริน “มันย่อมาจากแฟนคลับผีที่มีชีวิตชีวาตัวเป็นๆ น่ะ”
ฉยงเหรินพูดอย่างไม่ปิดบัง “เทียบกับการต้องคืนเงินห้าล้านแปดภายในสามเดือน ถ้าไม่อย่างนั้นก็จะเป็นไอดอลไม่ได้แล้ว ไปจัดงานแฟนไซน์ที่นรกไม่ฟังดูน่าประทับใจกว่าเหรอครับ”
ผู้จัดการเปิดรูปแคปหน้าจอจากหนังเรื่อง ‘A Wicked Ghost’ ออกมาเงียบๆ คิดว่าเขาไม่รู้จักฉยงเหรินดีงั้นเหรอ กะอีแค่ ‘โปเยโปโลเย’ ยังไม่กล้าดู ยังคิดจะไปจัดงานแฟนไซน์ในนรกอีก…
นั่นมันโลกหลังความตายเลยนะ ไม่กลัวไปแล้วไม่ได้กลับบ้างรึไง
ฉยงเหรินสะบัดหน้าขวับหนี ทำตัวดื้อด้านทั้งที่ตัวสั่นงกๆ “พี่ห้ามผมไม่ได้หรอก ผมรับปากเขาไปแล้ว”
เขายกมือขึ้นบัง กลัวว่าหางตาจะเหลือบไปเห็นสิ่งที่ไม่ควรเห็น “ผมตัดสินใจจะแก้โรคกลัวผี ที่ค่ายเราก็มีคนไปหาจิตแพทย์บ่อยๆ ไม่ใช่เหรอ พี่ช่วยผมถามหน่อยสิว่าอาจารย์คนไหนถนัดเรื่องรักษาอาการโฟเบียบ้าง”
ผู้จัดการจนปัญญา “ก็ได้ เดี๋ยวฉันไปถามให้”
ก๊อกๆ
มีคนเคาะประตูห้อง
ฉยงเหรินส่องตาแมว แล้วแง้มประตูแค่เสี้ยวหนึ่ง เขาขมวดคิ้วมุ่น “มาทำอะไร”
ผู้ที่มาถึงคือฟู่จยาเจ๋อ ท็อปสตาร์ ณ ตอนนี้ เขาเบียดเข้าช่องประตูที่แง้มไว้เข้ามาพลางหัวเราะคิกคัก
หลังจากอีกฝ่ายเข้ามาได้ จู่ๆ บนโถงทางเดินก็มีเด็กหนุ่มหน้าตาดีมีเสน่ห์ปรากฏกายขึ้นมาด้วย ดูรูปร่างแล้วเหมือนเพิ่งบรรลุนิติภาวะ ปล่อยผมประบ่าสีดำสยาย
เขายืนเงียบนิ่งอยู่บนโถงทางเดิน ส่งยิ้มที่ไม่ได้แฝงไว้ด้วยเจตนาดีให้ฉยงเหริน
ทางเดินมืดมิด เด็กชายที่โผล่มาปุบปับ ใบหน้าแสยะยิ้มเย็นยะเยือก สามสิ่งนี้ประกอบกันเป็นฉากคลาสสิกในหนังสยองขวัญ
น่าเสียดายที่มันไม่มีผลอะไรต่อฉยงเหรินเลยสักนิด
เขาแค่กลัวผี แต่คนตรงหน้านี้มองยังไงก็คน
ถ้าเป็นคน งั้นก็ไม่มีปัญหา
เจ้าลูกเจี๊ยบนี่ผอมกะหร่องเป็นกุ้งแห้ง เขาใช้แค่มือเดียวก็เท่ากับตีสิบทีแล้ว
เขาปิดประตูเสร็จ ฟู่จยาเจ๋อก็เข้าไปเอ่ยทักทายกับผู้จัดการเรียบร้อยแล้ว
ผู้จัดการ “ได้ยินว่าค่ายสตาร์ขาดแคลนเทรนนีหนักมาก ขนาดนักพรตที่เดินผ่านก็ยังไปดึงตัวมาเติมให้ครบโควตา แล้วบริษัทเราดันไปชิงเซ็นสัญญามาอีก”
ฟู่จยาเจ๋อพยักหน้า พูดอย่างไม่ยี่หระ “อืม ให้ดูแต่ร้องเต้นอย่างเดียวแฟนๆ ก็เบื่อกันหมดแล้ว ชิงเหิงเป็นนักพรตนี่ ก็เลยได้เปรียบตรงความแปลกใหม่”
เขาเห็นตุ๊กตากระต่ายยัดนุ่นขนปุยๆ ที่วางไว้เป็นระเบียบอยู่บนเก้าอี้ก็สนใจใคร่รู้เล็กน้อย “นายชอบของแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ ไม่บอกกันตั้งแต่แรก ฉันได้มาจากแฟนๆ เยอะมากจนไม่มีที่จะเก็บแล้ว”
ฉยงเหรินหยิบตุ๊กตากระต่ายมาวางไว้ข้างตัวเอง เอ่ยเสียงเรียบ “ไม่ต้องหรอก”
สีหน้าเขาเย็นชา ถึงอย่างนั้นฟู่จยาเจ๋อก็ไม่แคร์ เอ่ยแกมหัวเราะ
“ฉันเพิ่งซื้อบ้านแถวสวนเซิ่งซื่อมา กำลังรีโนเวตเลย ถ้าเสร็จแล้วนายย้ายไปอยู่กับฉันเถอะ แถวนั้นอยู่ใกล้บริษัท นายจะได้ไปมาห้องซ้อมสะดวก”
ฉยงเหริน “ถ้าไม่มีธุระสำคัญฉันจะไปซ้อมแล้ว”
“มี!” ฟู่จยาเจ๋อกล่าว “มีธุระสำคัญ!”
เขาหันไปพยักหน้าให้ผู้จัดการ “ฉันได้ยินเรื่องที่บริษัททำเรื่องเฮงซวยนั่นกับนายแล้ว ฉันมีรายการวาไรตี้แนวท่องเที่ยวรายการนึงชื่อ ‘Let’s go, Buddy’ เขาให้พาเพื่อนไปด้วยหนึ่งคนเพื่อให้มาจับคู่กัน น่าจะมีประมาณแปดตอน ทางผู้จัดแอบบอกกับฉันว่าคนที่ฉันพาไปจะได้อย่างน้อยสองล้าน
ทั้งได้แสดงตัวทั้งได้เงิน แล้วก็ได้เที่ยวฟรีด้วย เป็นไง สนใจไหม”
ฉยงเหริน “ไม่ไป”
ฟู่จยาเจ๋อ “คิดไว้แล้วว่านายต้องพูดแบบนี้ พี่หยาง พี่ก็ช่วยโน้มน้าวฉยงเหรินหน่อยซี่”
ผู้จัดการคิดในใจ ยังต้องโน้มน้าวด้วยเหรอ
ไปออกรายการกับฟู่จยาเจ๋อดีกว่าไปจัดงานแฟนไซน์ในนรกไม่รู้กี่ร้อยกี่พันเท่า
แต่ฉยงเหรินที่ไม่เคยรับความหวังดีจากฟู่จยาเจ๋อมาแต่ไหนแต่ไร ครั้งนี้เขาต้องปฏิเสธเหมือนอย่างเคย
ก่อนที่ผู้จัดการจะเข้ามาเกลี้ยกล่อม ฉยงเหรินพลันเอ่ยปาก “ฟู่จยาเจ๋อ นายอยากช่วยฉันมากใช่ไหม”
“แน่นอน นายเป็นคนที่ฉันแคร์ที่สุดนี่”
ฟู่จยาเจ๋อพูดเสียงอ่อน หน้าแดงเหมือนเด็กวัยใสที่เหนียมอายเพราะเผลอเผยความในใจออกไป
ฉยงเหรินยิ้มตาหยี แต่รอยยิ้มมุมปากหนาวเหน็บยิ่งกว่าเดิม
“ในเมื่อนายแคร์ฉันขนาดนั้น งั้นเอาค่าฉีกสัญญาห้าล้านแปดมาให้ฉันสิ พอฉันหาเงินกลับมาได้ค่อยคืนนายไม่ดีกว่าเหรอ เรามาเขียนสัญญากู้ยืมกัน ฉันให้นายคิดดอกเบี้ยเท่ากับค่าผ่อนบ้านเลย”
ฟู่จยาเจ๋อรู้สึกตะลึง หลายปีมานี้ฉยงเหรินเย็นชากับเขาตลอด นี่เป็นครั้งแรกที่อีกฝ่ายพูดเรื่องเงินกับตน
ทว่าเขาก็เตรียมตัวไว้แต่เนิ่นๆ แล้ว ปลายนิ้วโป้งลูบวนไปมาที่ขอบเลนส์กล้องโทรศัพท์มือถือ ทำสีหน้าลำบากใจอย่างที่สุด
“ฉันเพิ่งซื้อบ้านไป แถมค่ารีโนเวตก็เปลืองเงินสุดๆ ตอนนี้ฉันเลยช็อตหนักมาก เอางี้ดีกว่า ถ้าเงินค่าสัญญาก้อนต่อไปเข้าบัญชีเมื่อไหร่ ฉันจะช่วยนายจ่ายให้ค่ายแทนไปเลยดีไหม ระหว่างนายกับฉันไม่ต้องมีสัญญากู้ยืมหรือดอกเบี้ยอะไรนั่นหรอก ตราบใดที่นายยินดี เงินทั้งหมดของฉันก็คือเงินของนาย”
ฉยงเหรินตักข้าวโอ๊ตนมสดที่หายร้อนแล้วเข้าปากสองสามคำ เช็ดมุมปาก เหลือบตาขึ้นมองฟู่จยาเจ๋อ “ยังมีธุระอื่นอีกหรือเปล่า”
ฟู่จยาเจ๋อเข้าใจดีว่าอีกฝ่ายตั้งใจบอกให้เขารีบไสหัวไปได้แล้ว
เขาลุกขึ้นโดยไม่สะทกสะท้าน ดูไม่เหมือนแขกที่ถูกไล่จนมุมเลยสักนิด “งั้นฉันขอตัวก่อน วันหน้าฉันจะมาหานายอีก เรื่องเงินฉันจะช่วยคิดหาทางเอง ไม่ต้องร้อนใจนะ”
ผู้จัดการยิ้มฝืดๆ “ให้ฉันไปส่งไหม”
ฟู่จยาเจ๋อสีหน้าสงบนิ่งอย่างเคย “ไม่ต้องหรอก ฉันไปล่ะ แล้วเจอกัน พี่หยาง ฉยงเหริน…”
ฉยงเหรินล้างถ้วยในห้องครัว ไม่แยแสเขา
รอยยิ้มของฟู่จยาเจ๋อค่อยๆ จางไปช้าๆ ราวกับเด็กหนุ่มผู้ลุ่มหลงในรักที่ถูกทำร้ายจิตใจอย่างเลือดเย็น
ผู้จัดการส่งเขาเสร็จก็ขมวดคิ้วกล่าวว่า “ฟู่จยาเจ๋อดีกับนายขนาดนี้ ฉันว่าเขาต้องชอบนายจริงๆ แน่นอน ต่อให้นายไม่ชอบเขาก็ไม่เห็นต้องปั้นปึ่งเย็นชากับเขาเลยนี่”
ฉยงเหรินคว่ำชามไว้บนชั้น ส่ายหน้าอย่างอับจนปัญญา เหล่าหยางล้มลุกคลุกคลานอยู่ในวงการบันเทิงมาตั้งหลายปี แต่จนป่านนี้กลับยังไม่ทันคนเอาเสียเลย
“เหล่าหยาง ถ้าพี่เป็นฟู่จยาเจ๋อ แล้วพี่รู้ว่าบริษัทใช้ค่าฝึกมาฉุดรั้งผมไว้แบบนี้เพื่อตัวพี่เอง พี่จะทำยังไง”
ผู้จัดการที่เพิ่งเรียกร้องความเป็นธรรมให้ฟู่จยาเจ๋อไปเมื่อกี้พอได้ยินคำพูดของฉยงเหริน เขาก็จมอยู่ในความคิดตัวเองครู่หนึ่ง แล้วก็เห็นถึงปัญหาทันที
เขาเข้าใจแล้ว “จริงด้วย ถ้าฉันเป็นฟู่จยาเจ๋อ ต่อให้ซื้อบ้านไปแล้ว แต่ปีหนึ่งฉันทำเงินได้ตั้งสามร้อยล้าน ไม่มีทางที่จะออกเงินแค่ไม่กี่ล้านให้ไม่ไหวเพราะแค่ซื้อบ้านแน่ แล้วถ้าฉันเป็นเขา ฉันจะไม่มามัวพูดพล่ามกับนายหรอก แต่จะออกตัวเป็นคนกลางให้นายกับบริษัทเองโดยไม่ต้องรอให้นายขอ
วันนี้เขามาถึงก็พูดเรื่องซื้อบ้าน เพราะกลัวนายจะไปขอยืมเงินเขาสินะ นายรู้เจตนาเขาเลยจงใจตอกกลับเขาใช่ไหม”
แต่เขาก็ยังไม่เข้าใจบางอย่างอยู่ดี “งั้นในเมื่อรู้อยู่แล้ว ทำไมนายไม่เปิดไพ่ให้เขาเห็นไปเลยล่ะ”
“เพราะยังมีเรื่องบางเรื่องที่ผมยังไม่เข้าใจ” ฉยงเหรินเดินไปริมประตู กวักมือเรียกผู้จัดการ
“อินเตอร์คอมหน้ายูนิตคอนโดฯ เรากดแล้วไม่มีอะไรเกิดขึ้น เหมือนจะพังแล้ว” ฉยงเหรินกดปุ่มต่อสาย แล้วหน้าจออินเตอร์คอมก็สว่างขึ้น
“แต่ที่จริงอินเตอร์คอมฝั่งเราสามารถดูภาพที่หน้ายูนิตคอนโดฯ เราได้ แน่นอนว่าได้ยินเสียงด้วยเหมือนกัน
พี่อย่ากะพริบตาเชียวล่ะ เราไม่มีโอกาสได้เห็นซูเปอร์สตาร์ตัวท็อปมาเล่นละครลิงให้ดูฟรีๆ ทุกวันหรอกนะ”
* แม่น้ำซานถู หรือแม่น้ำสามสาย เป็นแม่น้ำที่กั้นระหว่างโลกมนุษย์และนรก คนจีนรู้จักกันในชื่อของแม่น้ำวั่งชวนหรือแม่น้ำไน่เหอ
โปรดติดตามตอนต่อไป…