everY
ทดลองอ่าน ผมมันไอดอลตัวท็อปของยมโลก เล่ม 1 บทที่ 5-6 #นิยายวาย
ทดลองอ่าน ผมมันไอดอลตัวท็อปของยมโลก เล่ม 1
ผู้เขียน : 裴笛 (Pei Di)
แปลโดย : qMondae
ผลงานเรื่อง : 超糊的我竟是冥界顶流 [ 娱乐圈 ]
ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน
จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว
หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย
– – – – – – – – – – – – – – – – –
Trigger Warning
เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับความรุนแรง การทำร้ายทางร่างกายและจิตใจ
การบังคับหรือโน้มน้าวให้ทำบางอย่างโดยไม่เต็มใจ การบูลลี่
การกล่าวถึงเลือด งู และสถานการณ์อันน่าขยะแขยง
ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ
สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป
โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
** หมายเหตุ: ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **
– – – – – – – – – – – – – – – – –
บทที่ 5
ฟู่จยาเจ๋อสวมมาสก์แล้วเดินลงจากตึก ส่วนชิงเหิงก็ยืนรออยู่หน้าทางเข้าตึก
“ทำธุระเสร็จแล้วเหรอ” ชิงเหิงยิ้มน่าเอ็นดู
ฟู่จยาเจ๋อขมวดคิ้ว “ฉันบอกว่าไม่ต้องเข้ามาในตึกไม่ใช่เหรอ”
ชิงเหิงกัดริมฝีปาก “ก็ผม…ได้ยินคนพูดบ่อยๆ ว่ารุ่นพี่ฉยงเหรินเขาเก่งขนาดไหน ผมก็เลยอยากมาเห็นตัวจริงบ้างนี่ครับ”
“โอ๋ๆ ตาแดงทำไม ฉันไม่ได้จะว่านายสักหน่อย” ฟู่จยาเจ๋อลูบหัวเขา “ฉันจำได้ว่านายดูโหงวเฮ้งเก่ง นายเห็นอะไรบ้างหรือเปล่า คนในบริษัทบอกกันว่าที่ฉยงเหรินไม่ดังเป็นเพราะเรื่องเชิงอภิปรัชญา ฮวงจุ้ยของเขากับบริษัทขัดแย้งกันถึงได้ออกมาเป็นสภาพนี้”
“ผมไม่ค่อยถนัดเรื่องนี้เท่าไหร่ครับ ดูได้แค่คร่าวๆ ชะตาชีวิตเขาดีมาก แต่อาจเป็นเพราะดาวโคจรไม่ดี ถ้าเขายอมไปทำงานอื่นไม่นานก็คงรวยครับ” ชิงเหิงเงยหน้ามองฟู่จยาเจ๋อพร้อมพูด “พี่ครับ ผมว่าพี่ลองเกลี้ยกล่อมให้เขาเปลี่ยนงานดีกว่านะ”
“ไม่ได้!”
ฟู่จยาเจ๋อปฏิเสธทันทีโดยไม่แม้แต่จะคิด ชิงเหิงก็ห่อเหี่ยวทันทีอย่างไม่อาจควบคุม
“ชิงเหิง ในเมื่อนายเข้าใจเรื่องพวกนี้ งั้นช่วยคิดหาวิธีเปลี่ยนดวงชะตาเขาได้ไหม” ฟู่จยาเจ๋อสูงกว่าเขามาก อีกฝ่ายโน้มตัวลงมาจับไหล่บางๆ ของเขา “ฉยงเหรินสำคัญกับฉันมาก ขอแค่เปลี่ยนดวงชะตาให้เขาได้ ฉันจะตอบแทนนายแน่นอน”
แววตาชิงเหิงวาบไหว เอ่ยเสียงแผ่วเบา “พี่ พี่ชอบเขาเหรอครับ”
ฟู่จยาเจ๋อบีบมือแน่นทันใดจนชิงเหิงเริ่มเจ็บ เขามองเห็นความกระวนกระวายบนใบหน้าหล่อเหลาของฟู่จยาเจ๋อ เบ้าตาของเขาเริ่มแดงด้วยความน้อยใจ
“จะเป็นไปได้ยังไง ฉันชอบแค่นายอยู่แล้ว แต่ว่าเขาเคยช่วยเหลือฉัน ฉันก็อยากช่วยเขาบ้าง มันก็เท่านั้น”
ตอนง้อเขา ฟู่จยาเจ๋อดูจิตใจล่องลอย สายตาของฝ่ายนั้นราวกับมองทะลุผ่านตัวชิงเหิงไปยังใครบางคนที่ไม่ได้อยู่ตรงนี้กับพวกเขา
ชิงเหิงนึกถึงใบหน้าสวยจนน่าตะลึงของฉยงเหริน หัวใจก็ปวดแปลบยุบยิบไปหมด “ผมยังไม่เก่งพอจะแก้ดวงชะตาให้ใครได้ ขอโทษด้วยครับพี่”
เขาโกหก
เขาเกิดในตระกูลลัทธิเต๋าเก่าแก่ วิชาอาคมต่างๆ ก็ใช้ได้อย่างช่ำชอง แต่อยากจะให้คนที่อับโชคได้รับสิ่งที่ไม่ใช่ของตัวเอง สร้างสิ่งที่ไม่มีให้มีได้ก็เป็นเรื่องที่ยากมาก
แต่หากอยากให้ดวงโด่งดังของฉยงเหรินเสื่อมถอยลงยิ่งกว่านี้ก็มีสารพัดวิธีให้เลือก แต่ว่า…โหงวเฮ้งของฉยงเหรินดูแปลกๆ ใบหน้าของเขาดูไม่น่าจะมีชะตากรรมแบบนี้เลย
แม้ความชิงชังบนใบหน้าชิงเหิงจะปรากฏขึ้นมาเพียงแวบเดียว แต่ทุกอย่างก็อยู่ในสายตาของฟู่จยาเจ๋ออย่างชัดเจน ทว่าเขายังไม่พอใจ ด้วยท่าทีของชิงเหิงเขารู้สึกว่าตนเองยังสุมไฟไม่พอ
ด้วยเหตุนี้เขาจึงปรับเสียงให้อ่อนโยนลงอีก “ไม่เป็นไร ฉันคิดว่านายเก่งเกินไปเอง คนมีพรสวรรค์อย่างฉยงเหรินหาได้น้อยก็จริง แต่ฉันก็ไม่ควรคาดหวังกับนายสูงขนาดนั้น ฉันคงทำให้นายกดดันสินะ ขอโทษ”
คำพูดนี้ได้ผลไม่น้อย ความหึงหวงชิงชังแทบจะพวยพุ่งออกมาจากดวงตาใสๆ นั้น ต่อให้กดไว้ก็กดไม่อยู่ ใบหน้าเล็กแสนประณีตเริ่มบิดเบี้ยวเล็กน้อย
ฟู่จยาเจ๋อพอใจแล้ว เขารวบเด็กหนุ่มผอมบางเข้าสู่อ้อมกอด
“ฉันไม่ได้ชอบฉยงเหรินจริงๆ ฉันรักแค่นายนะ”
เขาใช้น้ำเสียงล่องลอยให้เหมือนพยายามฝืนสะกดจิตตัวเอง ทว่าใบหน้ากลับยิ้มอย่างลำพองใจ
ผู้จัดการมองหน้าจอก็รู้สึกอึ้งกิมกี่
“เขากำลังปั่นหัวให้เด็กนั่นเกลียดนาย?”
ฉยงเหริน “อือฮึ”
ผู้จัดการนิ่งช็อกอยู่นานจนดึงสติกลับมาไม่ได้ “เขาเป็นบ้าหรือเปล่า เขาต้องการอะไร…เขาเคยขัดขานายหรือเปล่า”
ฉยงเหรินไหวไหล่
เขาแป้กแบบที่ไม่เคยเจอที่ไหนมาก่อน และมักจะพลาดโอกาสต่างๆ ไปแบบพิสดารพันลึก
จะเข้าร่วมรายการแข่งขันเซอร์ไววัล เซิร์ฟเวอร์ก็พังจนสมัครไม่ได้ ได้สัญญาถ่ายละครมา พวกนักแสดงหลักก็ต่อแถวพากันเป็นข่าวเสียหาย สุดท้ายก็ต้องพับโปรเจ็กต์ถ่ายทำ
จะไปถ่ายรายการวาไรตี้ ไฟลต์บินที่ซื้อไว้ล่วงหน้าดิบดีก็ถูกยกเลิก แถมยังหาซื้อตั๋วใหม่ไม่ได้ วุ่นวายอยู่ที่สนามบินสองวัน พอมาสายอย่างไม่น่าให้อภัยก็ถูกถอดออกจากรายการ
พอมีเรื่องซวยมากขึ้น เขาก็แยกไม่ออกแล้วว่าความแป้กของเขามันทำพิษ หรือเป็นเพราะมีคนจงใจขัดแข้งขัดขาเขาอยู่กันแน่
“นายรู้ได้ไงว่าเขาหน้าไหว้หลังหลอก”
“บังเอิญ”
มีวันหนึ่งฟู่จยาเจ๋อมาหาเขา พอออกไปได้ไม่ถึงครึ่งนาที จู่ๆ อินเตอร์คอมก็ทำงาน บนหน้าจอปรากฏร่างของฟู่จยาเจ๋อ เขากำลังกอดจูบกับไอดอลตัวเล็กๆ ที่หน้าบันได
มันเป็นเรื่องส่วนตัวของชาวบ้าน ฉยงเหรินไม่อยากจะสนใจ เพียงแค่รู้สึกแปลกๆ เพราะตอนนั้นฟู่จยาเจ๋อดังแล้ว ทำไมถึงมาพลอดรักจู๋จี๋กับคนอื่นใต้คอนโดฯ ไม่กลัวออกข่าวหน้าหนึ่งหรือไง
วันต่อมาเขาก็เจอฟู่จยาเจ๋อที่บริษัท แต่ฟู่จยาเจ๋อกลับแสดงออกอ้อมๆ ว่าอีกฝ่ายชอบตน
ฉยงเหรินได้กลิ่นของมหาสมุทรทันที
ถ้าเขาไม่ใช่ราชาแห่งท้องทะเลที่จับปลาทั้งมหาสมุทร ก็ต้องเป็นไอ้สวะเจ้าชู้ที่สมควรโยนลงถังขยะ
ฉยงเหรินพบว่าฟู่จยาเจ๋อชอบแสดงออกต่อแฟนหนุ่มของตัวเองว่าฉยงเหรินเป็นแสงจันทร์ขาว* ในใจตน และคล้ายจะเอ็นจอยกับบรรยากาศเวลาแฟนหนุ่มรู้สึกหึงหวงเพราะเขา พอคิดได้แบบนี้ฉยงเหรินก็รู้สึกขยะแขยงฟู่จยาเจ๋อสุดๆ
แต่จากหน้าจออินเตอร์คอมที่สว่างขึ้นมาเป็นประจำ เขาก็ค้นพบเรื่องที่ไร้เหตุผลยิ่งกว่านั้น เป้าหมายของฟู่จยาเจ๋อดูเหมือนจะไม่ได้มีแค่ทำให้แฟนหนุ่มหึงหวง แต่ยังยุยงให้เกลียดชังเขาด้วย
ไม่เข้าใจเลยจริงๆ
ฉยงเหรินพยายามเตือนเจ้าเด็กโง่ที่กำลังมีความรักพวกนั้น แต่ก็ถูกเข้าใจว่าตนหวังจะงาบแฟนของพวกเขาไปกิน เขาคร้านจะพูดแล้ว อยากโดนหลอกก็โดนไปคนเดียวเถอะ ยังไงเขาก็ไม่เกี่ยวอะไรอยู่แล้ว
ผู้จัดการคิดไม่ตก “ช่างไอ้เรื่องที่เขาเป็นพวกปลอมเปลือกเถอะ ทำไมเขาต้องปั่นหัวแฟนตัวเองให้เกลียดนายด้วยล่ะ”
ฉยงเหริน “ก็เพราะผมไม่รู้สาเหตุนี่แหละถึงได้ไม่ฉีกหน้าเขา พี่ไม่คิดว่าผมแป้กได้แปลกประหลาดมากเหรอ”
ผู้จัดการ “มีใครเห็นแล้วจะไม่รู้สึกแปลกบ้าง ขนาดฉันที่ตอนแรกศรัทธาวัตถุนิยมอย่างแรงยังต้องมากราบไหว้ขอพรเทพเจ้าไฉ่ซิงเอี๊ยะเพราะนายเลย”
ฉยงเหริน “มีเรื่องหนึ่งที่ผมยังไม่เคยบอกพี่ พี่จำได้หรือเปล่า เมื่อก่อนผมมีแอ็กเคานต์ในเว็บ libilibi อยู่แอ็กนึง เอาไว้ลงคลิปเต้น แต่พอเดบิวต์แล้ว บริษัทก็สั่งผมเป็นพิเศษว่าห้ามใช้แอ็กเคานต์ส่วนตัวอีก ผมก็เลยไม่ได้อัพคลิปลงแอ็กนั้นเลย
คลิปในแอ็กนั้นผมใส่หมวกแก๊ปกับมาสก์ตลอด ยังไงก็มองไม่เห็นหน้า เลยคิดว่าไม่น่ามีใครดูออก จนตอนนี้ก็เลยไม่ได้ลบแอ็กนั้นทิ้ง”
หลังจากเดบิวต์ ฉยงเหรินก็ค่อยๆ ลืมเรื่องแอ็กเคานต์นั้นไป
กระทั่งครึ่งเดือนก่อน อยู่ๆ เขาก็นึกครึ้มล็อกอินเข้าไปในแอ็กนั้น แล้วก็ได้พบว่าสถานะแอ็กเคานต์นั้นประหลาดสุดๆ ก่อนเขาจะเดบิวต์ ทุกคลิปของเขาแต่ละคลิปมียอดวิวสามแสนขึ้นทั้งนั้น
แต่หลังจากเขาเดบิวต์ ยอดวิวของเขาก็หยุดนิ่ง แม้แต่ยอดแชร์ คอมเมนต์ และไลค์ก็เหมือนถูกยึดไปพร้อมกับปุ่มฟังก์ชันพวกนั้นด้วย สามปีมานี้ ยอดสถิติที่เพิ่มขึ้นมาในทุกคลิปที่เขาลงล้วนได้รับการสนับสนุนจากบัญชีผู้ใช้รายเดียวกัน
ฉยงเหรินไม่รู้ว่าอีกฝ่ายคือใคร แล้วก็ไม่กล้าติดต่อเขาง่ายๆ ด้วย
จากสถานการณ์ที่เกิดขึ้นกับแอ็กเคานต์นี้ ราวกับว่าตั้งแต่ที่ฉยงเหรินเดบิวต์ เขาคนนี้ก็กลายเป็นวิญญาณบนอินเตอร์เน็ตไปแล้ว เขามองไม่เห็นคนอื่น คนอื่นก็มองไม่เห็นเขา
แอ็กเคานต์เวยป๋อที่ยอดแฟนคลับ 9998 และยอดคอมเมนต์เป็น 0 ในทุกๆ วันก็คล้ายจะตกอยู่ในชะตากรรมเดียวกัน
ผู้จัดการคิดตามฉยงเหรินทันแล้ว “นายสงสัยว่าฟู่จยาเจ๋อใช่วิธีอะไรบางอย่างกีดขวางเส้นทางการเป็นดาวของนาย”
ฉยงเหรินพยักหน้า “คนที่ไม่อยากให้ผมมีชื่อเสียงมากที่สุดในโลกนี้ก็คือฟู่จยาเจ๋อ และการกระทำของเขาก็ยังไม่ชอบมาพากลขนาดนี้อีก จะให้ผมไม่สงสัยเขาก็คงไม่ได้
ครั้งนี้ผมได้งานมาแล้ว ถึงจะไม่ใช่งานในโลกมนุษย์ แต่ผมก็คิดว่ามันจะเป็นจุดเปลี่ยนของผม สิ่งที่พวกเขาใช้ขัดขวางผมอาจจะกำลังหมดฤทธิ์”
ผู้จัดการครุ่นคิดใคร่ครวญ ก่อนจะรู้สึกว่าความคิดของฉยงเหรินสมเหตุสมผลมาก แต่แล้วจู่ๆ ก็นึกอะไรขึ้นได้จึงเงยหน้าขึ้นมาฉับพลัน “เดี๋ยวนะ!”
ฉยงเหริน “?”
ผู้จัดการ “ทำไมจู่ๆ หน้าจออินเตอร์คอมก็เด้งขึ้นมาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย แล้วยังเด้งขึ้นมาถูกเวลาตลอดอีก”
เขารู้สึกสะพรึงกลัวจนต้องกอดร่างอวบอ้วนของตัวเองไว้
“คงไม่ใช่ว่าแฟนคลับของนาย…”
ยิ่งคิดเขาก็ยิ่งกลัว “แฟนๆ ในโลกหลังความตายของนายจะอยู่ในห้องนี้ด้วยหรือเปล่า สิงอยู่ในอินเตอร์คอมเหรอ”
ตุ๊กตากระต่ายปุกปุยบนเก้าอี้เครียดจนเผลอขยับ
ผู้จัดการ “เมื่อกี้มีอะไรขยับหรือเปล่า”
ฉยงเหริน “ไม่มี”
ผู้จัดการยืนกราน “มันต้องมีสิ”
เขาเห็นกระต่ายขนปุยบนเก้าอี้ สีของกระต่ายน้อยตัวนั้นคือสีลาเวนเดอร์อ่อนๆ ฝีมือตัดเย็บสุดแสนประณีต หน้าตาก็น่ารักมาก แค่เห็นก็รู้ว่าเป็นราคาที่ฉยงเหรินจับต้องไม่ได้
ผู้จัดการขมวดคิ้ว “นายไปได้กระต่ายตัวนี้มาจากไหน”
ฉยงเหริน “เก็บได้ครับ”
ผู้จัดการ “ทำไมถึงได้เก็บของแบบนี้มา นายไม่กลัวว่าจะมีใครเย็บนิ้วเท้านิ้วมือหรือฟันไว้ในท้องมันบ้างเหรอ ฉันจะเอาไปทิ้ง”
ผู้จัดการเอื้อมมือออกไปคว้า กระต่ายขนปุยก็กระโดดหลบลงพื้นอย่างคล่องแคล่วแล้วสาวเท้าวิ่ง
ขาสั้นนุ่มฟูของมันวิ่งแล้วล้มลง ฉยงเหรินเก็บมันขึ้นมาวางไว้บนเก้าอี้ ก่อนจะลูบหัวน้องกระต่ายไปหนึ่งที
ฉยงเหริน “ไม่ต้องกลัวนะ มันก็แค่ตุ๊กตากระต่ายยัดนุ่นที่ซ่อมอินเตอร์คอมเป็นตัวนึงเท่านั้นเองครับ”
กระต่ายน้อยคลอเคลียกับมือของฉยงเหรินอย่างน่าเอ็นดู
พญายมราชยืนอยู่หน้าบานกระจก กำลังขะมักเขม้นผูกเนกไทให้ตัวเอง
เขาเปลี่ยนจากชุดกุ่นฝูของจักรพรรดิมาสวมชุดสูทสีเทาเข้าชุด สีผมและดวงตาเปลี่ยนเป็นสีดำ
พญายมผูกเนกไทให้ตัวเองเสร็จก็ถามเลขาฯ ฝ่ายบริหารที่ยืนอยู่ข้างๆ “ตอนนี้ฉันเหมือนคนหรือยัง”
หลังจากเลขาฯ หนานตรวจสอบอย่างละเอียด เธอก็ส่ายหน้า “ดูดีจนเหมือนไม่ใช่คนเลยค่ะ”
พญายมครุ่นคิด “หรือก็คือ…ปัญหาอยู่ที่หน้าตาสินะ งั้นฉันเพิ่มแผลบนหน้าสักหน่อยแล้วกัน”
เลขาฯ หนาน “เมื่อกี้ดิฉันเลียขาท่านอยู่ต่างหากค่ะ ท่านแต่งตัวแบบนี้ดูดีมาก ไม่มีความจำเป็นต้องเปลี่ยนอะไรแล้ว”
พญายม “การประจบสอพลอไม่ใช่นิสัยที่ดี”
เลขาฯ หนาน “ดิฉันจะจำคำสั่งสอนของท่านไว้”
เลขาฯ หนาน “คำถามบทสัมภาษณ์ของ ‘รวมเรื่องเครื่องทรมาน’ ถูกส่งมาสองเดือนแล้ว ผู้อ่านจำนวนนับไม่ถ้วนอยากสัมผัสกับจิตใจที่อ่อนโยนของท่านผ่านคอลัมน์พิเศษของท่านค่ะ
ทั้งหมดมีแค่คำถามเดียว จะไม่รบกวนเวลาท่านเกินไปแน่นอนค่ะ”
พญายมกลัดกระดุมข้อมือ “ถามมาสิ”
เลขาฯ หนาน “ปกติเวลาว่างท่านชอบทำอะไร”
พญายม “ดูคลิปเต้น”
เลขาฯ หนาน “ไม่นึกว่าท่านจะมีงานอดิเรกแบบนี้ด้วย…ท่านมีนักเต้นที่ชื่นชอบไหม”
พญายม “Poor People ชื่อเล่น PP เขาเป็นนักเต้นที่ฉันชอบที่สุด ดูเขาเต้นแล้วรู้สึกสงบใจ”
เลขาฯ หนาน “ท่านฉยงเหรินก็เต้นเก่งมากเหมือนกัน หากท่านอยากชมดิฉันมีคลิปเก็บไว้ครบทุกคลิป รวมถึงงานแสดงในตำหนักที่สามด้วย ดิฉันมีคลิปจากกล้องทั้งสิบตัวเลยแหละ”
พญายมได้ยินชื่อฉยงเหรินมือก็ชะงัก เอี้ยวตัวไปถาม “ถามจบแล้วใช่ไหม”
เลขาฯ หนานพยักหน้าเบาๆ “ถามจบแล้วค่ะ ขอให้ทุกอย่างในโลกคนเป็นราบรื่นค่ะ”
พญายมผงกหัว ก้าวขึ้นไปเหยียบรถที่มีมังกรลากสี่ตัว
รถเทียมมังกรลอยข้ามแม่น้ำวั่งชวนและทุ่งดอกพลับพลึงแดงที่เหี่ยวเฉาไม่เหลือเค้าเดิม
เพื่อรับมือกับปริมาณคนตายที่มีผลสืบเนื่องมาจากจำนวนประชากรในยุคปัจจุบันล้นโลก เรือข้ามแม่น้ำวั่งชวนจึงถูกเปลี่ยนเป็นเรือบรรทุกขนาดใหญ่ ผู้นำวิญญาณตอนนี้เหมือนเป็นไกด์เสียมากกว่า เขาถือโทรโข่ง สวมเสื้อชูชีพ ถ่ายทอดข้อควรระวังให้เหล่าวิญญาณซ้ำไปซ้ำมา
วิญญาณตนหนึ่งยื่นท่อนบนออกมา เอ่ยอึ้งๆ “นั่นดอกพลับพลึงแดงเรอะ ไหงหร็อมแหร็มแบบนั้นล่ะ อย่างกับผมร่วงเป็นหย่อมๆ แน่ะ หมดราศีเหลือเกิน”
พญายมหลุบตาลงเงียบๆ
* แสงจันทร์ขาว เป็นการเปรียบเปรยถึงคนที่ปรารถนาแต่ไม่อาจครอบครอง