ทดลองอ่าน ผมมันไอดอลตัวท็อปของยมโลก เล่ม 1 บทที่ 5-6 #นิยายวาย – หน้า 2 – Jamsai
Connect with us

Jamsai

everY

ทดลองอ่าน ผมมันไอดอลตัวท็อปของยมโลก เล่ม 1 บทที่ 5-6 #นิยายวาย

2 of 2หน้าถัดไป

บทที่ 6

 

ลู่เยี่ยนเป็นนักจิตวิทยาที่ค่อนข้างมีชื่อในเมืองหลงเฉิง เขาปกปิดข้อมูลการรักษาได้ดี บุคลากรและพยาบาลต่างปิดปากแน่นอย่างกับผีซิว* ที่กินเข้าอย่างเดียวไม่มีถ่ายออก สิบส่วนของคนไข้ที่มาใช้บริการเป็นคนที่อยู่ในวงการบันเทิงไปแล้วเก้าส่วน

วันนี้คนไข้คนแรกคือเด็กหนุ่มหน้าตาสะสวยอย่างยิ่งคนหนึ่ง อยากรักษาอาการกลัวผี

หมอลู่คุยกับเขาไปสามสิบนาที ให้ทำแบบประเมินง่ายๆ เล็กน้อย เป็นครั้งแรกที่เขาอยากแนะนำคนไข้ให้ไปวินิจฉัยที่อื่น

เขาประณามตัวเองอย่างรุนแรงทันที

เขาจะไปคิดแค้นเคืองใจที่คนไข้สามารถยืนจ้องหน้ากับผีแม่ชีที่หน้าเหมือนแมนสันได้ และคิดว่าตุ๊กตานรกอย่างแอนนาเบลไม่มีอะไรผิดแปลก แต่กลับร้องจ๊ากๆ เพราะกลัวผีสาวอย่างเนี่ยเสี่ยวเชี่ยนในเรื่องโปเยโปโลเยที่หวังจู่เสียนแสดงได้ยังไง

แบบนั้นมันดูไม่มืออาชีพเอาซะเลย

หวังจู่เสียนคือเทพธิดาของเขา คนไข้ก็เป็นหน้าที่รับผิดชอบของเขา เขาต้องตักน้ำใส่ถ้วยให้เท่ากัน*

คนไข้กลัวแค่ผีในแบบที่เป็นวิญญาณจริงๆ ดังนั้นจึงไม่กลัวผีที่รูปลักษณ์ภายนอกน่าเกลียดอย่างผีแม่ชีหรือแอนนาเบล หากแบ่งตามประเภทภูตผีปีศาจแล้ว ผีแม่ชีกับแอนนาเบลต่างก็อยู่ในหมวดหมู่ปีศาจเสียมากกว่า

เขาแทบไม่มีปฏิกิริยาต่อ Jump Scare ในหนังผีเลย แล้วก็ไม่กลัวความมืดด้วย ถึงจะกลัวผี แต่ก็คิดว่าผีนั้นเป็นมิตร แถมยังรู้สึกว่าผีชื่นชอบในตัวเขาอีกด้วย

อาการนี้มันต่างจากคนกลัวผีทั่วๆ ไปคนละโยชน์เลย

ถ้าคนไข้ไม่ได้จงใจกุเรื่องอาการขึ้นมาให้เขาเสียเวลาเล่น งั้นเขาก็คิดว่าจำเป็นต้องแนะนำให้คนไข้ย้ายไปแผนกจิตเวชแทน

คนไข้ดูเหมือนจะอ่านความคิดเขาออก

“คุณหมอครับ ผมเคยทำแบบประเมินอาการทางจิตโดยย่อมาแล้ว คะแนนของผมยังห่างจากกลุ่มผู้ป่วยในระดับหนึ่ง ผมไม่มีปัญหาทางจิตครับ”

หมอลู่ “…”

คนปกติที่ไหนจะไปทำแบบประเมินอาการทางจิตบ้างล่ะ

เส้นคะแนนของกลุ่มผู้ป่วยคือ 35 คะแนน ยิ่งคะแนนสูงก็ยิ่งส่อให้เห็นว่าอาการป่วยอาจจะหนัก คะแนนของคนปกติมีช่องว่างห่างจากกลุ่มผู้ป่วยที่แน่นอนคือ 35 คะแนน แต่ระหว่าง 100 คะแนนกับ 35 คะแนนก็เป็นช่องว่างด้วยเหมือนกัน…

หมอลู่หยั่งเชิง “แล้วคุณนึกยังไงถึงไปทำแบบประเมินนี่ล่ะ”

คนไข้ “อ้อ มีวันหนึ่งตอนผมกลับบ้าน ผมเห็นตุ๊กตากระต่ายขนปุยน่ารักมากๆ ตัวนึงตกอยู่ข้างถนน ผมก็เลยเก็บกลับบ้านมาด้วย จากนั้นวันหนึ่งผมก็พบว่ากระต่ายขนปุยตัวนั้น…”

หมอลู่ “กระต่ายนั่น…ขยับได้?”

คนไข้ “ฮ่าๆๆๆ ตุ๊กตากระต่ายจะไปขยับได้ยังไงล่ะหมอ คุณหมอเป็นคนตลกจริงๆ สรุปแล้ววันนั้นผมก็เลยไปทำแบบประเมิน แล้วก็ไม่ได้ป่วย คุณวางใจได้”

หมอลู่ “…” ได้ยินอะไรแบบนี้แล้วใครมันจะวางใจลงได้ครับ

ก่อนคนไข้จะกลับ เขาก็ถามหมอลู่ว่าแถวนี้มีบ้านผีสิงบ้างไหม

ในเมื่อกลัวผี แล้วทำไมถึงต้องไปบ้านผีสิงด้วยล่ะ

อาการหนักจริงๆ ด้วย

เพื่อนสนิทของหมอลู่ค่อนข้างประสบความสำเร็จในการรักษาโรคจิตเภท เขาเขียนชื่อและโรงพยาบาลที่เพื่อนสนิทของตนทำงานอยู่ให้คนไข้พร้อมเอ่ยเสียงอ่อนโยน “ถ้าคุณรู้สึกกลัวที่จะไปแผนกจิตเวช ตอนบ่ายผมสามารถไปหาเขาเป็นเพื่อนคุณได้นะครับ”

คนไข้มองเขาเงียบๆ หลายวินาที ทำท่าเหมือนจะพูดอะไรอยู่หลายครั้ง แต่สุดท้ายก็ไม่ปริปาก เขาอาจจะซาบซึ้งใจจนพูดไม่ออกล่ะสินะ ยังไงหมอที่ใส่ใจและมีความรับผิดชอบอย่างเขาก็หาไม่ได้ง่ายๆ แล้ว

ครั้นไปส่งคนไข้ที่ชื่อฉยงเหรินออกไป คนไข้รายต่อไปก็มารออยู่หน้าห้องแล้ว

คนไข้คนที่สองรูปร่างสูงโปร่ง ผมสีดำถูกรวบไว้หลังใบหู ผิวขาว หล่อเหลาโดดเด่น

สายตาของผู้ป่วยทั้งสองสอดประสานกันกลางทาง หยุดมองกันสองสามวินาทีเหมือนต่างคนต่างตกใจในใบหน้าของอีกฝ่าย

ภาพที่พวกเขาสบตากันช่างเปล่งประกายเหลือเกิน ทำเอาหมอลู่นึกถึงสำนวนหนึ่งขึ้นได้…ทอแสงพราวส่งเสริมกัน*

อยากจะล้วงมือถือออกมาถ่ายสักแปดรูปสิบรูปชะมัดเลย

เขาเดินนำคนไข้คนที่สองของวันเข้าห้องให้คำปรึกษา

คนไข้คนนี้ชื่อเยี่ยนหมัวหลัวเสอ ไม่รู้ว่าคนดังคนไหนแนะนำที่นี่ให้เขา

ชื่อไม่เหมือนใครขนาดนี้ คงจะเป็นชนกลุ่มน้อยสินะ

ลู่เยี่ยน “ความต้องการหลักของคุณคือรักษาโรคนอนไม่หลับ?”

ชายผู้หล่อเหลาพยักหน้าเงียบๆ

ลู่เยี่ยน “ขออนุญาตถามนะครับ คุณนอนไม่หลับมานานแค่ไหนแล้ว เคยทานยาอะไรมาบ้าง”

ชายหนุ่มขบคิด “สองปีเก้าเดือน เคยกินยานอนหลับแต่ก็ไม่ได้ผล”

ลู่เยี่ยน “สามารถบอกรายละเอียดที่แน่ชัดได้ไหมครับว่าคุณเริ่มนอนไม่หลับยังไง”

“แน่นอน”

ชายหนุ่มครุ่นคิดครู่หนึ่ง แล้วเล่าเรื่องที่ประสบมาให้ฟังไม่หยุดปาก

“ผมมีเลขาฯ คนหนึ่ง ตอนทำงานเธอมักจะเผลอร้องเพลงออกมา แล้วร้องอยู่แค่เพลงเดียว ร้องห่วยสุดๆ”

ชายหนุ่มกดนวดขมับอย่างอดไม่ได้ “ตั้งแต่ได้ยินเธอร้องเพลงนั้น ผมก็นอนไม่หลับอีกเลย แค่หลับตาลง ทำนองทาดาดาก็จะวนอยู่ในหัว”

ลู่เยี่ยน “งั้นทำไมคุณถึงไม่บอกให้เธอหยุดร้องเพลงล่ะ”

“เธอทำงานหนัก การร้องเพลงช่วยให้เธอรักษาสติตื่นตัวได้อย่างมีประสิทธิภาพ เธอจะได้ไม่ทำโอทีจนสมองเบลอ เพื่อประสิทธิภาพในการทำงาน ผมไม่สามารถห้ามไม่ให้เธอร้องเพลงได้”

หมอลู่ช็อกอย่างแรง

นายทุนนี่ช่างสมคำร่ำลือจริงๆ ตัวเองยอมไม่นอนสองปีเก้าเดือน เพื่อบีบคั้นสมรรถภาพของพนักงานออกมาให้หมดโดยไม่ย่อท้อ

ไร้ยางอาย!

หลังหมอลู่รู้สึกเห็นใจเลขาฯ ที่ไม่เคยเจอหน้ากันมาก่อนเรียบร้อยแล้วก็นึกได้ว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง เขามองไปที่กระหม่อมของชายหนุ่ม ผมหนาดกดำมันขลับจนน่าอิจฉา

นี่เขาล้อฉันเล่นอยู่เหรอ

ถ้าไม่ได้นอนมาสองปีเก้าเดือน ไม่ใช่แค่ปัญหาผมร่วงหรอก ป่านนี้ตัวเขาคงไม่อยู่บนโลกนี้แล้ว

“อาการมีแต่เพลงเดิมวนเวียนในสมองเป็นอาการอย่างหนึ่งของภาวะย้ำคิดย้ำทำ ผมแนะนำให้คุณไปที่แผนกจิตเวชครับ ถ้าอยากรักษาโรคย้ำคิดย้ำทำก็จำเป็นต้องพึ่งยาถึงเจ็ดส่วน อีกสามส่วนต้องพึ่งการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ผมสามารถช่วยคุณได้แค่สามส่วนนี้”

ครั้นชายหนุ่มได้ยิน สีหน้าบนใบหน้าก็ไม่เปลี่ยนไปแม้แต่เสี้ยวเดียว เขามองหมอลู่ด้วยนัยน์ตาดำสนิท “ยาใช้กับผมไม่ได้ผล มีวิธีอื่นอีกไหมครับ”

เมื่อถูกดวงตาดำดุจห้วงน้ำลึกของชายหนุ่มจ้องมอง หมอลู่ก็ขนลุกซู่ในใจชอบกล เม็ดเหงื่อเย็นซึมชุ่มแผ่นหลังอย่างไร้สุ้มเสียง

ทั้งที่อีกฝ่ายรักษาอากัปกิริยาสง่างามอ่อนโยนอยู่ตลอดแท้ๆ แต่เขาก็อดรู้สึกกลัวไม่ได้อยู่ดี

เขาพูดแนะนำตัวสั่นงันงก “เรื่องนี้…ไม่งั้นก็…คุณเคยลองเปลี่ยนสภาพแวดล้อมการนอนหรือยังครับ เลือกนอนในสภาพแวดล้อมที่ตัวเองรู้สึกสบายใจ สามารถเปิดเสียงสภาพแวดล้อมที่คุณรู้สึกผ่อนคลายก็ได้ อย่างเช่นพวกเสียงฝน เสียงคลื่น หรือพวกเสียง White Noise* ไม่แน่อาจจะได้ผลครับ”

ชายหนุ่ม “อา อย่างงั้นเหรอ”

เขาหลุบตาลงครุ่นคิด ลุกขึ้นก่อนถาม “ขอบคุณคำแนะนำจากคุณหมอมากๆ ขอถามหน่อยได้ไหมครับว่าแถวนี้มีบ้านผีสิงอยู่บ้างหรือเปล่า”

“คุณอยากไปเล่นเหรอครับ”

พญายมราช “ไม่ครับ ไปนอน เสียงเอฟเฟ็กต์ของบ้านผีสิงกับเสียงร้องของคนเล่นทำให้จิตใจผมผ่อนคลายได้มากเลย”

หมอลู่ “…?”

 

“โปรโมชั่นลดกระหน่ำก่อนสวนสนุกปิดทำการ ตั๋วเข้าบ้านผีสิงลดเหลือสามสิบหยวนเท่านั้น สุดหล่อ ซื้อสักใบเถอะนะ”

ฉยงเหรินมองพิจารณาโปสเตอร์สีซีดที่แปะอยู่บนเคาน์เตอร์ กดปีกหมวกแก๊ปลงต่ำ เงยหน้าขึ้นกล่าว “ขอหนึ่งใบครับ”

ใบหน้ายิ้มรับแขกของคนขายตั๋วพลันแดงแจ๋ หยิบหนังสือข้อจำกัดความรับผิดชอบใบหนึ่งให้เขา “เซ็นตรงนี้แล้วกรุณารออีกสักครู่นะครับ บ้านผีสิงของพวกเรามีกฎว่าต้องเข้าอย่างน้อยครั้งละสองคนครับ”

เขาเซ็นชื่อเสร็จ คนขายตั๋วก็เอากำไลข้อมือมาให้เขา

“ถ้าคุณกลัวมากๆ ก็กดปุ่มสีแดงบนกำไลนี้นะครับ เมื่อได้รับสัญญาณเราจะเข้าไปรับคุณออกมาทันที”

ฉยงเหรินปรับสายปรับขนาดกำไลไว้แน่นเพื่อให้มั่นใจว่ามันจะไม่หลุดหาย

บนสมุดฝากข้อความที่เอาไว้ให้ลูกค้าของบ้านผีสิงเขียนมีคนกล่าวไว้ว่าพนักงานที่นี่แสดงเป็นผีได้สมจริงไม่เป็นสองรองใคร เดี๋ยวผลุบเดี๋ยวโผล่อย่างกับผีจริงๆ

ตรงกับความต้องการฝึกความกล้าของฉยงเหรินอย่างสมบูรณ์แบบ

มองออกเลยว่าบ้านผีสิงแห่งนี้ขายไม่ค่อยออกจริงๆ ฉยงเหรินรออยู่ครึ่งชั่วโมงเต็มๆ กว่าจะมีลูกค้ารายที่สองมา

ยังคงเป็นคนคุ้นหน้าคนเดิม พวกเขาสองคนเพิ่งได้เจอกันที่คลินิกของหมอลู่

ผู้ชายที่แม้แต่คนไม่อ่อนไหวต่อหน้าตาอย่างฉยงเหรินยังต้องรู้สึกตะลึง

ฉยงเหรินผงกหัวให้เขา “เจอกันอีกแล้ว บังเอิญมากครับ”

“สวัสดี” เพื่อนผู้ป่วยผงกหัวให้เขาเช่นกัน

เพื่อนผู้ป่วยสวมชุดสูทสีเทาทั้งตัว ผูกเนกไทได้อย่างสุดเนี้ยบ คัฟลิงก์ เข็มกลัดติดสูทมีพร้อมสรรพ ใบหน้าสงบสุขุมองอาจแบบที่ต่อให้ฟ้าถล่มดินทลายก็ไม่อาจทำให้เขาหลุดแสดงสีหน้าได้

คนแบบนี้มาปรากฏกายอยู่ที่บ้านผีสิงก็อย่างกับถูกส่งตรงมาจากงานเลี้ยงมื้อค่ำ ไม่เข้ากับสภาพแวดล้อมโดยรอบนี้เลยสักนิด

คนขายตั๋วจู่ๆ ก็สั่นงกๆ เหมือนไปเหยียบสายไฟที่กระแสไฟฟ้ารั่ว

“ยินดีต้อน…ท่านมาที่นี่ได้อย่างระระไรๆๆๆ~”

เพื่อนผู้ป่วยเหลือบมองพนักงานขาย “สถานทูตประจำแดนหยาง*?”

คนขายตั๋วพยักหน้า

“ที่แท้พวกเธอก็เป็นเจ้าของบ้านผีสิงที่นี่” เพื่อนผู้ป่วยกล่าว “ฉันเอาตั๋วหนึ่งใบ สแกนอาลีเพย์** จ่ายได้ไหม”

คนขายตั๋วยังคงตัวสั่นงันงก “พวกเราจะบังอาจเก็บเงินจากท่านได้ยังไงครับ”

เพื่อนผู้ป่วยมุ่นคิ้ว หันหน้ามาถามฉยงเหริน “สวัสดี ไม่ทราบว่าตั๋วนี่ราคาเท่าไหร่เหรอครับ”

ฉยงเหริน “สามสิบครับ”

เพื่อนผู้ป่วยเอ่ยขอบคุณ จากนั้นก็สแกนคิวอาร์โค้ดจ่ายเงินทันที ก่อนจะถาม “ทางเข้าอยู่ไหน”

คนขายตั๋วชี้นิ้วอ่อนเปลี้ยไปทางซ้าย

เพื่อนผู้ป่วยเปิดประตูบานนั้นออกแล้วเดินเข้าไป ฉยงเหรินรีบก้าวตามตูด เขาอยากจับกลุ่มไปกับเพื่อนผู้ป่วยคนนี้ เพราะหากเป็นลมขึ้นมาก็ยังมีเพื่อนผู้ป่วยคอยเรียกพนักงานแทนเขาได้

ภายในบ้านผีสิงมืดสลัว ฉยงเหรินเพิ่งเดินเข้าไปก็มองอะไรไม่ชัดทั้งนั้น จึงหยุดยืนรอปรับสายตาให้ชินก่อน

เขาหันไปคิดเรื่องอื่น เพื่อนผู้ป่วยคนนี้ทั้งสูง หล่อ มีมารยาท แถมยังมีเงินด้วย ผู้ชายแบบนี้น่าจะเป็นที่นิยมของสาวๆ มาก ทำไมคนขายตั๋วถึงได้กลัวขนาดนั้นล่ะ

แล้วสถานทูตประจำแดนหยางคืออะไร เขาเคยได้ยินแต่สถานทูตประจำกรุงปักกิ่ง

เมื่อสายตาเขาค่อยๆ ชินกับความมืด ตรงหน้าคือประตูนิรภัยที่ไม่ได้ล็อกไว้ ส่วนเพื่อนผู้ป่วยหายไปแล้ว

เสียงเพลงอึมครึมชวนสะพรึงสะท้อนอยู่ในบ้านผีสิง เสียงนั้นดังคลอเบาๆ เหมือนเปิดแต่ก็เหมือนไม่ได้เปิด ซึ่งกลายเป็นว่าทำให้น่ากลัวยิ่งกว่าเดิม อีกทั้งมักจะมีเสียงฝีเท้าดังขึ้นเบาๆ ราวกับมีคนตามหลังเขาอยู่

เสียงเอฟเฟ็กต์โคตรเหมือนอยู่ในโลกคนตาย

ด้านหลังประตูนิรภัยคือห้องรับแขกเล็กๆ ฉยงเหรินเปิดไฟฉายจากมือถือสอดส่องไปรอบๆ

บนโต๊ะในห้องรับแขกมีหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งวางอยู่ พาดหัวข่าวด้วยฟอนต์ UC ตัวเบ้อเร่อเหมือนกลัวลูกค้ามองไม่เห็น

 

สลด! ติ่งสาวกระโดดตึกดับกลางดึก สาเหตุคือ?’

 

เนื้อหาในรายงานข่าวพูดถึงสาวน้อยที่ชื่อว่าโจวหรง ระหว่างกำลังคลั่งไคล้ศิลปินท่านหนึ่งก็ถูกเซเลปของด้อมหลอกมีเพศสัมพันธ์ กลางดึกคืนหนึ่งได้กระโดดลงจากตึกชั้นสิบเก้า เสียชีวิตร่างแหลกเละ มีรูปของโจวหรงอยู่บนหนังสือพิมพ์ สาวน้อยถูกคาดโมเสก ใบหน้าด้านซ้ายมีรอยเลือด

ฉยงเหรินอ่านข่าวจบก็วางกลับไปที่เดิม เมื่อกระดาษหนังสือพิมพ์ตกลงบนโต๊ะก็เกิดเสียงดังฟึ่บเบาๆ

“เฮ้อ…”

เสียงถอนหายใจดังแว่ว แสงไฟในห้องรับแขกสว่างแล้วกะพริบถี่ๆ ในฉับพลัน

ฉยงเหรินเงยหน้าขึ้นจากหนังสือพิมพ์ทันที สาวน้อยเดรสขาวปรากฏกายอยู่ตรงข้ามโต๊ะ รอยเลือดเปรอะใบหน้าด้านซ้ายของเธอ ร่างกายกึ่งโปร่งแสง

มองยังไงก็วิญญาณของโจวหรงชัดๆ

ฉยงเหรินสมองขาวโพลน สาวเท้าเผ่นแน่บทันที

เขารูปร่างปราดเปรียว เคลื่อนไหวเหมือนกระต่ายคลั่ง พุ่งออกจากห้องรับแขกไปอย่างไวว่อง

เด็กสาวลอยสตันอยู่ที่เดิมหลายวินาที แล้วจู่ๆ ก็ดีใจสุดขีด

“กรี๊ดดด ลูกสาวฉันนี่!!”

เธอล้วงโทรศัพท์ออกมาส่งแชตไปในกลุ่ม

 

ฉยงเหรินมาเล่นบ้านผีสิงของพวกเราแล้ว ปล่อยแขกคนอื่นไปก่อน ออกมากรี๊ดน้องเป็นเพื่อนเจ๊เดี๋ยวนี้!’

‘ฉิบ ได้ยินว่าเขากลัวผีนี่ เธออย่าหลอกผัวฉันจนเกิดอะไรไม่ดีขึ้นกับเขาล่ะ’

‘จะไปเดี๋ยวนี้’

 

ฉยงเหรินวิ่งไม่รู้ทางไปชนนู่นชนนี่โครมครามในบ้านผีสิง เขาลืมไปแล้วว่าขอความช่วยเหลือจากสายรัดข้อมือได้

เขาได้ยินเสียงกระซิบกระซาบ แล้วยังพูดถึงชื่อของเขาด้วย

อัตราการเต้นของหัวใจเพิ่มขึ้นสูงปรี๊ดอย่างกับเหยียบคันเร่ง แสงสลัวบนทางเดินติดๆ ดับๆ เสียงฝีเท้าเขาดังสะท้อนคล้อยไปกับเสียงดังจี่ๆ ของกระแสไฟ เสริมบรรยากาศให้น่ากลัวขั้นสุด

เขาวิ่งไปเรื่อยๆ ก็พลันรู้สึกทะแม่งๆ บ้านผีสิงใหญ่ขนาดนี้เลยเหรอ วิ่งมาตั้งหลายนาทีแล้วทำไมยังไม่เจอทางออกอีก หรือเขาเผลอวิ่งกลับทางเดิมงั้นเหรอ

 

‘ชู่ว เงียบๆ กันนะ คุยกันทางวีแชต

‘บอกแล้วไงว่าอย่าแกล้งเขา ทำไมยังไม่ถอนกำแพงผีบังตาอีก’

‘ฉันก็อยากถอน แต่ไม่รู้ทำไมพลังถึงถูกจำกัด ทำไงดีล่ะ ฮือออ ลูกแม่ดูกลัวมากเลยอะ ปวดใจจะตายอยู่แล้ว’

‘งั้นให้ฉันออกหน้าพาเขาออกไปไหม’

‘ขวานยังเสียบอยู่บนหัวเธออยู่เลย มีแต่จะทำให้ผัวฉันกลัวยิ่งกว่าเดิมย่ะ’

‘ได้ยินว่าท่านพญายมจะมานอนที่บ้านผีสิงของเรา หัวหน้าสาขาออกไปซื้อที่นอนแล้ว ในหมู่พวกเราก็มีแค่เขาที่เหมือนคนเป็น ทำไงดีล่ะ’

 

ฉยงเหรินวิ่งเร็วอย่างกับลมกรดพัดฟ้าวผ่านคนที่นอนอยู่บนพื้นไป

เขาเพียงปราดมองด้วยหางตาระหว่างวิ่งด้วยความเร็วจี๋ก็มองออกได้ว่าคนที่นอนอยู่นั้นสัดส่วนร่างกายโดดเด่น รูปร่างสูง ขายาวชะลูด

หุ่นที่ดูดีขนาดนี้ไม่ได้เจอได้บ่อยๆ ฉยงเหรินหวั่นใจ เพื่อนผู้ป่วยของเขาคนนั้นคงไม่ได้เป็นลมล้มพับไปใช่ไหม

ทำไงดี กลับไปช่วยดีไหม

ถ้าถอยกลับจะไปจ๊ะเอ๋กับผีสาวตนนั้นหรือเปล่า

ไม่ได้ เห็นคนลำบากแล้วจะไม่ช่วยไม่ได้

ฉยงเหรินกัดฟัน ลูบน้ำตาที่หลั่งออกมาด้วยความกลัว หักเลี้ยวสุดตัววิ่งกลับไป

เขาอาศัยแสงสลัวมองคนบนพื้น ซึ่งคนนั้นก็คือเพื่อนผู้ป่วยจริงๆ ด้วย ฉยงเหรินก้มลงอุ้มเขาขึ้นมาแล้ววิ่งไปข้างหน้าต่อ

พญายมที่กว่าจะกลั่นความง่วงออกมาได้สักนิดหนึ่ง “?”

เกิดอะไรขึ้น

เขาอุตส่าห์เกือบจะรู้สึกง่วงได้สักนิดอยู่แล้วเชียว ทำไมจู่ๆ ก็โดนลักพาตัวไปซะแล้วล่ะ

สาวน้อยเดรสขาวที่ตามหลังฉยงเหรินเงียบๆ หลุดสบถ รีบไปหลบมุมทันที นิ้วมือพิมพ์ตัวอักษรรัวเร็ว

 

ซวยแล้วๆๆๆ ท่านพญายมมา! ทุกตนพรางตัว!’

‘ประกาศ! ต้าหวังถูกลูกสาวฉันอุ้มไปแล้ว ป.ล. อุ้มท่าเจ้าหญิง’

‘เห็นภาพเลย’

‘อย่าพูดอย่างนั้นดิ ได้กลิ่นแบบนั้นเลยอะ’

‘แบบนั้นแบบไหน พญายมจอมเผด็จการกับภรรยาแฟนคลับพันล้านของเขา?’

 

เยี่ยนหมัวหลัวเสอเป็นเจ้าแห่งยมโลก เขาเคยเจอคนเป็นและวิญญาณมานับครั้งไม่ถ้วน

แต่กลับเพิ่งเคยตกอยู่ในเหตุการณ์แบบนี้เป็นครั้งแรก

เขา

พญายม

ถูกคนอุ้มอยู่ในอ้อมแขน ด้วยท่าเจ้าหญิง

เขาอยากให้ฉยงเหรินปล่อยเขาลง แต่คำพูดยังไม่ทันหลุดจากปากก็ต้องถูกกระแทกกลับลงคอ

กระแทกเข้ากับสิ่งที่เนียนนุ่ม มีความยืดหยุ่น

กระแทกจนท่านเยี่ยนหมัวหลัวเสอแข็งค้างไปทั้งตัว ราวกับถูกแช่แข็งอยู่ในมหานรกหานปิงมาแปดร้อยปี

ฉยงเหรินวิ่งไปหน้าประตู เพราะอุ้มคนไว้อยู่จึงเปิดประตูได้ไม่สะดวก ได้แต่เบี่ยงตัวใช้หัวไหล่ดัน

เพราะท่านี้จึงทำให้ใบหน้าของเยี่ยนหมัวหลัวเสอซุกอยู่กับกายของฉยงเหริน ใต้จมูกอบอวลด้วยกลิ่นหอมที่แผ่ซ่านออกมาจากเสื้อผ้าเนื้อนุ่ม

ชั่วพริบตาคล้ายกับประสาทสัมผัสทุกส่วนล้วนถูกกลิ่นอายบนตัวฉยงเหรินห่อหุ้ม

หอมกรุ่นทั้งยังเย็นสดชื่น

หอมเจียนจะขาดใจ

ริมฝีปากเขาเผอิญเฉียดผ่านอะไรบางอย่าง ตุ่มไตเล็กๆ ครูดอยู่ข้างแก้มเขา

แววตาสงบดุจห้วงน้ำลึกของพญายมราชเบิกโพลง

 

* ผีซิว คือสัตว์สิริมงคลของชาวจีน เชื่อว่าสามารถปกป้องและปัดเป่าสิ่งชั่วร้ายได้

* ตักน้ำใส่ถ้วยให้เท่ากัน หมายถึงปฏิบัติอย่างเท่าเทียม ไม่เอนเอียง

* ทอแสงพราวส่งเสริมกัน หมายถึงร่วมมือส่งเสริมกันและกันจนขับให้แสงสว่างยิ่งขึ้น

* White Noise หรือเสียงสีขาว คือเสียงรบกวนคงที่ที่ออกมาอย่างสม่ำเสมอในช่วงความถี่ปกติของมนุษย์

* แดนหยาง คือโลกมนุษย์ ตรงข้ามกับแดนหยิน ซึ่งคือยมโลก

** อาลีเพย์ คือแอพพลิเคชั่นที่บริการรับชำระเงินออนไลน์ซึ่งเป็นที่นิยมมากในประเทศจีน

  

โปรดติดตามตอนต่อไป

2 of 2หน้าถัดไป

Comments

comments

No tags for this post.
Continue Reading

More in everY

บทความยอดนิยม

everY

ทดลองอ่าน เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 Chapter 2.1-2.2 #นิยายวาย

ทดลองอ่าน เรื่อง เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 ผู้เขียน : MINTRAN แปลโดย : ทันบี ผลงานเรื่อง : 배타적 연애 금지구역 ถือเป็นลิขสิทธิ์...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 1-2

บทที่ 1 ฮ่องเต้หญิง   “ท่านพี่นำร้อง น้องหญิงคลอรับ ท่านพี่เสียงเพิ่งลับ น้องหญิงสลับขึ้นเวที เป็นมารดาอารี มีบุตรีกตัญญ...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน ร้อยเรียงรักเคียงฤทัย บทนำ – 1.2

บทนำ ความหลังของต้าลี่ 1   ฤดูหนาวในรัชศกต้าลี่ปีที่สิบเอ็ด โม่เป่ย ตำบลค่งหม่า สถานที่แห่งนี้คือประตูด่านสำคัญสุดท้ายทา...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 7-8

บทที่ 7 ค่าเดินทาง เมื่อภูตสุนัขดำคืนร่างเป็นสุนัขธรรมดาตัวหนึ่ง ภูตบุปผาสองตนนั้นก็ไม่อาจทำการใหญ่ ต่อให้ชาวหมู่บ้านป่า...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 3-4

บทที่ 3 เกิดใหม่   เวิ้งฟ้าดำสนิทปานน้ำหมึก เพียงมีดวงดาวบางตากระจัดกระจายบนม่านฟ้า ทอรัศมีอ่อนจางประเดี๋ยวเผยประเดี๋ยวเ...

community.jamsai.com