everY
ทดลองอ่าน พวกผีรู้ดี ชีวิตนี้ฉันผ่านอะไรมาบ้าง เล่ม 1 บทที่ 3 #นิยายวาย
ทดลองอ่าน เรื่อง พวกผีรู้ดี ชีวิตนี้ฉันผ่านอะไรมาบ้าง เล่ม 1
ผู้เขียน : โม่เฉินฮวน
แปลโดย : เฉินเมิ่งหาน
ผลงานเรื่อง : พวกผีรู้ดี ชีวิตนี้ฉันผ่านอะไรมาบ้าง
ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน
จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว
หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย
– – – – – – – – – – – – – – – – –
Trigger Warning
นื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับความรุนแรงในครอบครัว
มีการใช้ความรุนแรง มีการกล่าวถึงเลือด สภาพศพ
การกินเนื้อเผ่าพันธุ์เดียวกัน และสถานการณ์อันน่าขยะแขยง
ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ
สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป
โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
** หมายเหตุ: ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **
– – – – – – – – – – – – – – – – –
บทที่ 3
แสงจากดวงจันทร์ในเวลาตีหนึ่งปกคลุมเขตชุมชนแห่งนี้จนดูขมุกขมัว
ในวินาทีที่ก้าวเข้าสู่เขตชุมชน ซีจยาก็พบว่ามีบางอย่างผิดปกติ
เขตชุมชนแห่งนี้เพิ่งสร้างขึ้นใหม่เมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา ตั้งอยู่ในเขตพัฒนาเศรษฐกิจที่เติบโตเร็วที่สุดและราคาบ้านแพงที่สุดในเมืองซู ทั้งยังอยู่ติดกับทะเลสาบจิ่งตู๋ด้วย เมื่อยืนอยู่บนอาคารชั้นที่เจ็ดขึ้นไปก็จะสามารถเห็นทางยกระดับสำหรับข้ามทะเลสาบและทะเลสาบจิ่งตู๋ที่สะท้อนแสงระยิบระยับได้จากระยะไกล และยังเป็นบ้านในเขตโรงเรียนอีกด้วย หากไม่ใช่เพราะบ้านเก่าของซีจยาถูกรื้อถอนพอดีทำให้ได้รับเงินชดเชยมาก้อนหนึ่ง เขาก็คงซื้อห้องที่นี่ไม่ไหว
เนื่องจากอยู่ใกล้กับเขตอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ ผู้พักอาศัยที่นี่จึงมีหลายคนที่เป็นโปรแกรมเมอร์ แม้โปรแกรมเมอร์จะเงินเดือนสูง แต่ก็ต้องทำงานล่วงเวลากันแทบทุกวัน อย่าว่าแต่ตอนนี้ที่เป็นเวลาตีหนึ่งเลย บางครั้งต่อให้เป็นตอนตีสาม คนพวกนั้นก็เพิ่งจะกลับจากทำโอทีด้วยซ้ำ เป็นไปไม่ได้ที่จะเงียบกริบไม่มีแม้แต่แสงหรือเสียงแบบนี้
ซีจยาค่อยๆ ขมวดคิ้ว ส่วนทางด้านข้างของเขา เผยอวี้กำลังวาดยันต์กลางอากาศ โดยยันต์ที่เขาวาดนั้นจางกว่าที่เย่จิ้งจือเคยวาดบนประตูของซีจยาก่อนหน้านี้มาก หลังจากลากเส้นสุดท้ายเสร็จเผยอวี้ก็เหยียดนิ้วออกไปจิ้มตรงกลาง ทันใดนั้นแสงสีทองก็สาดส่องไปทั่วทั้งเขตชุมชน
“ไป!”
เวลาต่อมารูม่านตาของซีจยาก็หดแคบลง เขามองพลังงานสีดำที่ปกคลุมไปทั่วเขตชุมชนอย่างตะลึงงัน
เผยอวี้ก็ไม่เคยคิดเหมือนกันว่าตัวเองจะได้มาเห็นภาพแบบนี้เข้า เขตชุมชนแห่งนี้ทอดยาวออกไปสองช่วงอาคารครอบคลุมพื้นที่เป็นวงกว้าง ทว่าในเวลานี้พลังหยินที่หนาแน่นและดำทะมึนได้เข้าโอบล้อมเขตชุมชนเอาไว้ด้านในจนกลายเป็นเมืองที่เงียบงัน
สายลมเบาๆ ที่พัดมาจากด้านนอกเคลื่อนตัวมาถึงประตูทางเข้าเขตชุมชนได้ถูกพลังหยินที่ทั้งหนาแน่นและน่าสะพรึงกลัวทำให้แตกกระเจิง
เผยอวี้เอ่ยอย่างตื่นตกใจ “พลังหยินที่หนาแน่นขนาดนี้ ซีจยานายเป็นคนทำเหรอ”
เมื่อเข้ามาในเขตชุมชนซีจยาก็สัมผัสได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติและรู้สึกถึงพลังหยินที่เหมือนจะมีอยู่แต่ก็เหมือนไม่มี ทว่าตอนนี้พอเขาได้เห็นขนาดของพลังหยินนั่นเข้าจริงๆ เขาก็พูดว่า “ไม่ใช่ผม เมื่อสองวันก่อนตอนผมออกจากที่นี่มันยังไม่เป็นแบบนี้เลย เผยอวี้ คุณหาได้ไหมว่าพลังหยินที่รุนแรงขนาดนี้อยู่ตรงไหนกันแน่”
เผยอวี้ส่ายศีรษะ “ยามจื่อประตูหยินเปิด โลกมนุษย์เต็มไปด้วยพลังหยิน ตอนนี้อย่าว่าแต่เขตชุมชนของนายเลย ต่อให้เป็นบนถนนสายหลักด้านนอกก็ต้องมีพลังหยินที่บางเบากับผีล่องลอยอยู่บ้างแหละ ถ้าเป็นอาจารย์ฉันกับพวกมัจจุราชเย่อาจจะหาแหล่งที่มาของพลังหยินได้ก่อนฟ้าสาง แต่ฉันทำไม่ได้หรอก ต้องรอพระอาทิตย์ขึ้นให้พลังหยางขับไล่สิ่งชั่วร้ายก่อน ฉันถึงจะหาสาเหตุได้”
ในเมื่อหาสาเหตุไม่ได้ทั้งสองจึงทำได้แค่เดินเตร่อยู่ในเขตชุมชนอยู่สักพัก แล้วสุดท้ายก็พากันกลับห้อง
ตัวซีจยาเองไม่ใช่เทียนซือมือปราบผี เขาใช้วิชาอาคมไม่เป็นเลยแม้แต่น้อย เรื่องตามหาผียิ่งไม่ต้องพูดถึง ส่วนหมอผีต้มตุ๋นแซ่เผยข้างๆ เขาที่เรียกตัวเองว่าเป็นผู้นำของคนรุ่นเยาว์อะไรนั่นก็ไม่น่าเชื่อถือเลยสักนิด ดูเหมือนพวกหมอผีต้มตุ๋นจริงๆ
กระทั่งตอนเที่ยงของวันต่อมา เมื่อพลังหยางแข็งแกร่งขึ้นเผยอวี้ก็ถือหลัวผานเหล็กสีดำขนาดเท่าฝ่ามือเดินเตร่อยู่ภายในเขตชุมชนด้วยความร้อนใจ เขาเอาแต่ก้มหน้ามองหลัวผานและเงยหน้าขึ้นมองแผนผังของอาคารรวมถึงต้นไม้โดยรอบ ปากก็ท่องคาถาไม่หยุดด้วยเสียงที่แผ่วเบามากจนแทบไม่ได้ยิน
พอเป็นตอนกลางวันเขตชุมชนก็กลับสู่ภาวะปกติอย่างรวดเร็ว
เนื่องจากวันนี้เป็นวันทำงาน ภายในเขตชุมชนจึงมีคนอยู่ไม่มากนัก มีเพียงผู้หญิงสองสามคนกำลังพูดคุยเดินเล่นกันอยู่ในสวนดอกไม้ แล้วก็มีผู้สูงอายุอีกสองสามคนกำลังออกกำลังกาย
ซีจยาเดินตามอยู่ข้างๆ เผยอวี้พลางมองไปยังผู้อยู่อาศัยในเขตชุมชนด้วยสีหน้าเฉยเมย เขาไม่เคยคบค้าสมาคมกับคนเหล่านี้ หรือพูดอีกอย่างก็คือในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาเขาไม่ค่อยได้ออกไปไหนด้วยซ้ำ เพราะเขาไม่ต้องการให้คนเหล่านี้ได้รับพลังหยินของเขาไปจนทำให้เกิดการเจ็บป่วยหรือถึงขั้นเกิดอุบัติเหตุ
เช้านี้ซีจยาพูดเองเออเองกับอู๋เซียงชิงหลีอยู่สองสามประโยค โดยหวังว่าอีกฝ่ายจะทำแค่ปิดกั้นพลังหยินของเขาเอาไว้ แต่ไม่ต้องปิดกั้นดวงตาของเขาที่มองเห็นพลังหยินด้วย ซึ่งซีจยาก็ไม่ได้หวังอะไรมากนัก ทว่าอู๋เซียงชิงหลีชิ้นนี้ดันมีสติปัญญาและเก็บพลังอำนาจเล็กๆ น้อยๆ กลับไปจริงๆ จึงทำให้ซีจยาสามารถมองเห็นพลังงานสีดำที่ปกคลุมอยู่เหนือเขตชุมชนได้โดยตรง โดยไม่ต้องอาศัยมนตร์คาถาของเผยอวี้
แต่ตอนนี้ในสายตาของซีจยา ผู้อยู่อาศัยเหล่านี้มีชั้นพลังงานสีดำจางๆ ลอยอยู่บนใบหน้า โดยชั้นพลังงานสีดำนั้นเหมือนกับหน้ากากผ้าโปร่งบางสีดำที่คลุมอยู่บนใบหน้าของคนเหล่านี้ แต่พวกเขากลับไม่รู้อะไรเลย แต่ละคนต่างยุ่งอยู่กับเรื่องของตัวเองด้วยใบหน้าแข็งทื่อ ถึงจะบอกว่ากำลังพูดคุย แต่สีหน้ากลับดูแปลกประหลาดชอบกล แววตาไร้ความรู้สึกราวกับว่ากำลังมองกลุ่มก้อนอากาศ ถึงจะบอกว่ากำลังออกกำลังกาย แต่ก็ไม่แม้แต่จะบิดข้อต่อเลยสักนิด พวกเขาขยับตัวด้วยท่าทางแข็งทื่อแปลกๆ ราวกับผีดิบ
ในเขตชุมชนแห่งนี้นอกจากซีจยากับเผยอวี้แล้ว คนอื่นๆ ล้วนแต่กำลังทำสิ่งที่เคยทำทุกวันอย่างตายด้านเพื่อปฏิบัติหน้าที่ให้เสร็จราวกับกลายเป็นหุ่นเชิดไปแล้ว
เผยอวี้กล่าวว่า “ตามหาต้นตอกันก่อน อย่าเพิ่งไปรบกวนพวกเขา มีวิญญาณประเภทหนึ่งในหมู่ผีล่องลอย พวกเขาจะไม่ไปผุดไปเกิดหลังจากครบสี่สิบแปดชั่วโมง เพราะพวกเขาลืมว่าตัวเองตายไปแล้ว เวลาแบบนี้นายจะไปบอกเขาตรงๆ ไม่ได้นะว่า ‘คุณตายแล้ว’ เดี๋ยวพวกเขาจะตกใจเอา และอาจตกใจถึงขั้นวิญญาณดับสลายเลยก็ได้ ดังนั้นนายต้องใช้คำใบ้ต่างๆ บอกให้เขารู้ตัวว่าตายแล้ว จากนั้นเขาถึงจะไปผุดไปเกิดได้ สถานการณ์ของคนพวกนี้ค่อนข้างคล้ายกับของผีล่องลอย เพราะงั้นเราจะทำอะไรผลีผลามไม่ได้”
เดิมทีซีจยาก็ไม่ได้คิดที่จะไปเตือนคนพวกนี้อยู่แล้ว เขาแค่มองอยู่ห่างๆ โดยไม่ได้เข้าไปใกล้
ทั้งสองค้นหาภายในเขตชุมชนไปทั้งสิ้นสามรอบ และพบว่าพลังหยินนั้นควบแน่นเป็นปึกแผ่น ด้วยความหนาแน่นของพลังหยินนี้ทำให้ไม่สามารถหาต้นตอได้ เผยอวี้ลูบผมอย่างกระสับกระส่าย ส่วนอีกด้านหนึ่ง ซีจยาชะงักฝีเท้า ก่อนจะมองไปยังพวกเด็กๆ ที่อยู่ไกลออกไปด้วยสีหน้าที่อ่านไม่ออก
เวลานี้เด็กส่วนใหญ่ควรไปโรงเรียนแล้ว แต่ในสนามเด็กเล่นของเขตชุมชนกลับมีเด็กสามคนนั่งยองๆ เล่นทรายกันอยู่ในบ่อทราย พวกเขาดูเหมือนอายุแค่สามสี่ขวบและอาจจะยังไม่เข้าโรงเรียนอนุบาลด้วยซ้ำ เด็กสองในสามคนนั่งก่อปราสาทอยู่ด้วยกัน เหลือเพียงเด็กชายตัวเล็กคนเดียวที่นั่งตักทรายและก่อทรายอยู่ตามลำพังตรงมุมบ่อทราย
ซีจยาเฝ้ามองจากระยะไกลๆ ดวงตาของเขาค่อยๆ พร่าเลือนราวกับว่าเห็นเงาร่างที่คุ้นเคย
ภายในสนามหญ้าอันคึกคัก เด็กทุกคนกำลังวิ่งเล่นกันอย่างสนุกสนาน ทว่ากลับมีเงาร่างเล็กๆ ซ่อนตัวอยู่หลังมุมกำแพงและมองดูพวกเขาด้วยความอิจฉา ในที่สุดเขาก็ทนไม่ไหวจนก้าวขาออกไปด้วยต้องการที่จะเข้าไปร่วมวง แต่แขนเล็กๆ ของเขากลับถูกใครบางคนรั้งไว้จากด้านหลัง เมื่อเขาหันหลังกลับมา ชายวัยกลางคนที่มีแววตาอ่อนโยนก็ก้มตัวลงลูบผมของเขาเบาๆ แล้วพูดเสียงแผ่วว่า ‘จยาจยา ไปไม่ได้นะครับ เดี๋ยวพ่อจะเล่นกับลูกเอง โอเคไหมครับ’
ซีจยาถอนหายใจเบาๆ แล้วเบนสายตาออกมา ก่อนจะเดินไปข้างหน้าต่อ ทว่าเขาเพิ่งเดินไปได้หนึ่งก้าว ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงตึงดังลั่นมาจากทางสนามเด็กเล่น เขารีบหันไปมองและพบว่าเด็กชายตัวเล็กที่อยู่ตามลำพังคนนั้นจู่ๆ ก็ล้มลงไปกับพื้น เป็นเหตุให้หน้าผากของเด็กน้อยคนนั้นกระแทกกับปูนซีเมนต์บนขอบบ่อทราย
ซีจยาเบิกตากว้างแล้ววิ่งเข้าไปอย่างรวดเร็ว
“เจ็บหรือเปล่า ไม่เป็นไรใช่ไหมเจ้าหนู กระแทกโดนตรงไหนหรือปะ…”
เด็กสองคนที่เล่นทรายอยู่ไม่ไกลเพียงแค่เหลือบมองมาทางนี้แวบหนึ่งโดยไม่ได้มาช่วยพยุงแต่อย่างใด ซีจยาอุ้มเด็กชายตัวเล็กคนนั้นขึ้นมา ตอนแรกคิดไว้แล้วว่าจะต้องได้เห็นภาพเด็กชายหัวแตกเลือดไหลแน่ๆ แต่ใครจะไปนึกว่าหน้าผากของเด็กชายคนนี้กลับมีแค่รอยฟกช้ำปื้นใหญ่โดยไม่มีเลือดไหลออกมา
ซีจยาอึ้งไปเล็กน้อย
อีกฝ่ายเป็นเด็กที่ดูเงียบๆ และน่าเอ็นดู เขาส่ายศีรษะเล็กน้อยแล้วเม้มปากไม่ยอมพูดอะไร ไม่พูดว่าเจ็บ ไม่ร้องไห้ เพียงแค่ก้มหน้าเงียบๆ อยู่อย่างนั้นราวกับว่าตัวเองทำอะไรผิดไป
ซีจยาถามเสียงเบาว่า “บ้านนายอยู่ที่ไหน เดี๋ยวพี่ไปส่งนายกลับบ้านเอง”
เด็กชายยื่นมือออกมาแล้วชี้ไปที่อาคารหลังหนึ่งซึ่งอยู่ไกลออกไป
ซีจยาหันไปมองเผยอวี้ที่เดินห่างออกไปเรื่อยๆ โดยไม่ได้สังเกตเห็นสถานการณ์ตรงนี้เลยสักนิด อย่างไรก็แค่ไปส่งเด็กคนหนึ่งกลับบ้าน คงใช้เวลาไม่นานเท่าไรอยู่แล้ว เมื่อคิดได้ดังนั้นเขาจึงอุ้มเด็กชายขึ้นมาแล้วเดินไปทางอาคารหลังนั้น
เด็กชายคนนี้ก็มีพลังหยินบางๆ อยู่บนใบหน้าเช่นกัน และดูเหมือนว่าเขาจะไม่เคยถูกอุ้มแบบนี้มาก่อน เพราะศีรษะเล็กๆ ของเขาฝังแน่นอยู่ในอ้อมแขนของซีจยาโดยไม่กล้าพูดอะไรสักคำ แต่ตอนซีจยาถามว่าเขาอยู่ชั้นไหน เขาก็เงยหน้าขึ้นมาแล้วชี้ไปในทิศทางหนึ่ง
สามนาทีต่อมา ซีจยาก็ก้าวออกมาจากลิฟต์
ประตูลิฟต์ข้างหลังเขาปิดลงอย่างรวดเร็ว ทันใดนั้นแสงไฟก็ดับลง รอยยิ้มบนใบหน้าของซีจยาค่อยๆ จางหายไป เขาก้มหน้าลงช้าๆ แล้วมองไปยังกระดาษเงินกระดาษทองสีดำในกระถางที่วางอยู่ตรงมุมผนัง
บนชั้นนี้มีผู้อาศัยเพียงแค่สองครอบครัวเท่านั้น โดยกระถางเหล็กสีเทาอันนั้นวางอยู่ตรงกลางระหว่างทั้งสองห้อง ในอากาศตลบอบอวลไปด้วยกลิ่นไหม้จางๆ ส่วนกระดาษเงินกระดาษทองสีขาวถูกเผาจนกลายเป็นเถ้าถ่านสีดำไปแล้ว เหลือแค่ตรงขอบเพียงเล็กน้อยเท่านั้นที่ไม่กลายเป็นสีดำ เถ้าถ่านของกระดาษที่ถูกเผาไหม้ล่องลอยอยู่ในอากาศแผ่วเบา โคมไฟบนเพดานพังไปแล้ว มีแสงอาทิตย์รำไรส่องเข้ามาจากทางบันได และเมื่อรวมเข้ากับเสียงน้ำหยดที่ไม่รู้ว่าดังมาจากไหนก็ยิ่งทำให้บรรยากาศอันมืดมนนี้น่าสะพรึงมากขึ้นไปอีก
เงียบสงัด เย็นยะเยือก และปราศจากความมีชีวิตชีวา
ซีจยาหลุบตาลงแล้วถามเบาๆ ว่า “ห้องไหน”
เด็กน้อยชี้ไปข้างหน้า
ซีจยาอุ้มเด็กน้อยอย่างใจเย็น แล้วเดินไปที่หน้าประตูห้องของครอบครัวนั้น ก่อนจะเคาะประตูเบาๆ
ดูเหมือนจะไม่มีใครอยู่ในห้อง เสียงเคาะประตูดังก๊อกๆ สะท้อนไปมาอยู่ภายในโถงทางเดิน และทั้งๆ ที่เห็นได้ชัดว่าอยู่ในอาคารแคบๆ แต่เวลานี้กลับมีลมเย็นกระโชกแรงไม่ทราบที่มาพุ่งขึ้นมาจากเท้าของซีจยา เมื่อลมเย็นยะเยือกสีดำพัดมาถึงหน้าอกของเขา ซีจยาก็หรี่ตาลง จากนั้นก็เริ่มมีไอพลังงานสีเลือดพัวพันอยู่ที่รอบนิ้วของเขา
ทันใดนั้นลูกเต๋าสัมฤทธิ์ก็พลันดีดตัวออกมาจากเสื้อของเขา มันลอยตัวอยู่ในอากาศ แล้วจู่ๆ ก็เริ่มสั่นไหว
ตูม!
สายลมเย็นยะเยือกสลายหายไปในชั่วพริบตา หลังจากนั้นอู๋เซียงชิงหลีก็บิดตัวสองทีก่อนจะกลับเข้าไปในอกเสื้อของซีจยา
ในเวลานี้เองที่เสียงฝีเท้าหนักๆ ดังมาจากหลังประตูราวกับว่ามีของหนักอึ้งถูกลากอยู่บนพื้น เสียงฝีเท้าประหนึ่งก้อนเหล็กกระแทกกับพื้นเสียงดังตึงๆ นั้นใกล้เข้ามาทุกทีและดังขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุดก็มาหยุดอยู่หน้าประตู ตาแมวค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีดำบ่งบอกว่ามีใครบางคนมองซีจยาที่อยู่ด้านนอกประตูผ่านรูกลมขนาดเล็กจิ๋วนั่น
ครืด…
ประตูเปิดออกเบาๆ จากนั้นหญิงสาวหน้าตาซีดเซียวก็มายืนอยู่ตรงประตูพลางมองไปที่ซีจยาอย่างเฉยเมย
เด็กชายตัวน้อยดิ้นแล้วกระโดดลงจากอ้อมแขนของซีจยา จากนั้นก็เดินเข้าห้องไปอย่างรวดเร็วแล้วซ่อนตัวอยู่ข้างหลังผู้หญิงคนนั้น ก่อนจะชะโงกหน้าออกมาอย่างระมัดระวัง พร้อมกับมองไปที่ซีจยาอย่างขลาดเขลา
ซีจยามองไปที่ผู้หญิงคนนั้น ซึ่งผู้หญิงคนนั้นก็กำลังมองมาที่เขาเช่นกัน
แขนขวาของหญิงสาวถูกพันด้วยผ้าพันแผลซึ่งถูกคล้องไว้ที่คออีกที ภายในดวงตาสีดำสนิทของเธอไร้แววดุจน้ำนิ่งมวลหนัก อีกฝ่ายจ้องมองซีจยาอย่างเฉยชา เธอแต่งหน้าจัดมาก แก้มสองข้างแดงเหมือนสีเลือด แต่ใบหน้าของเธอกลับขาวซีดจนน่ากลัว ราวกับศพผู้หญิงที่แต่งหน้าจัดเพราะกำลังจะถูกบรรจุลงโลง เธอเพียงแค่จ้องมองเงียบๆ อยู่อย่างนั้น
อากาศเต็มไปด้วยกลิ่นไหม้ของเถ้ากระดาษ หลังจากผ่านไปครู่ใหญ่ซีจยาก็ระบายยิ้มออกมา “เมื่อกี้น้องเขาไม่ทันระวังเลยล้มกระแทกพื้นน่ะครับ”
ผู้หญิงคนนั้นยังคงจ้องมองมาที่เขานิ่งๆ โดยไม่พูดอะไรสักคำ
ซีจยาระบายยิ้มพร้อมกับเอ่ยขึ้นอีกครั้ง “มีใครในชั้นนี้เพิ่งเสียชีวิตไปหรือเปล่าครับ”
ผู้หญิงคนนั้นจ้องมองมาที่เขาเงียบๆ
หลังจากผ่านไปครู่ใหญ่ ขณะที่ซีจยาตั้งใจว่าจะถามย้ำอีกครั้ง เด็กชายก็ยื่นนิ้วออกมาแล้วชี้ไปที่ประตูฝั่งตรงข้าม ก่อนเสียงที่หยาบกระด้างและเย็นชาของหญิงสาวจะดังขึ้น
“คุณปู่ที่อยู่ห้องฝั่งตรงข้ามเสียชีวิตเมื่อสามวันก่อน”
ซีจยาอึ้งไปครู่หนึ่ง แต่ในขณะที่เพิ่งจะเงยหน้าขึ้นเขาก็ได้ยินเสียงดังปัง ประตูบานนั้นปิดลงต่อหน้าเขาทันทีทันใด
ติ๊ง
จู่ๆ ลิฟต์ที่อยู่ด้านหลังซีจยาก็หยุดลง
เขายังคงยืนอยู่ที่หน้าประตูบานนี้โดยไม่ได้ไปแตะปุ่มลิฟต์เลย ทว่าลิฟต์ตัวนั้นกลับมาหยุดอยู่ที่ชั้นนี้แล้ว ความรู้สึกเย็นยะเยือกที่ทำให้หนังศีรษะชาวาบแล่นปลาบจากฝ่าเท้าขึ้นมาถึงกลางศีรษะ ทั้งที่เห็นอยู่ทนโท่ว่าไม่มีลมในโถงทางเดิน แต่เถ้ากระดาษในกระถางเหล็กตรงมุมผนังกลับปลิดปลิวขึ้นมาลอยพลิ้วไสวอยู่กลางอากาศอย่างรุนแรง ก่อนจะโปรยลงมาบนผมของซีจยาทีละน้อย
ทันใดนั้นเสียงติ๊งก็ดังขึ้น ประตูลิฟต์ที่อยู่ด้านหลังเขาเปิดออก ซีจยาก็หมุนตัวกลับมาด้วยสีหน้านิ่งขรึม นิ้วกำหมัดแน่น ไอพลังงานเย็นยะเยือกสีโลหิตพัวพันอยู่ระหว่างนิ้วของเขา แต่ยังไม่ทันที่จะมองเห็นได้ชัด ซีจยาก็ได้ยินน้ำเสียงตื่นเต้นที่ดังขึ้นมาเสียก่อน
“ฉันบอกไว้ว่าไง ฉันต้องหาเจอแน่! เอ๊ะ ซีจยาทำไมนายถึงอยู่ที่นี่ด้วยล่ะ นายคงไม่ได้หาเจอเหมือนกันหรอกนะ อ๊ะ! นายดูนั่นสิ! ที่นี่มีกระดาษเงินกระดาษทองด้วย จะต้องเพิ่งมีคนตายไปแน่ๆ หนึ่งในสองห้องนี้จะต้องมีปัญหาแน่นอน เพราะเข็มหลัวผานของฉันรวนทันทีที่มาถึงที่นี่ พลังหยินของผีอาฆาตตนนี้จะแข็งแกร่งเกินไปแล้ว เทียบกับที่ฉันเคยเจอมาทั้งชีวิตแล้ว มันอ่อนแอกว่านายแค่คนเดียวเลย”
ซีจยา “…”
หมอผีต้มตุ๋นแซ่เผยผู้มีตาชั้นเดียวพูดพล่ามไม่หยุดทำให้บรรยากาศแปลกๆ ที่เพิ่งถูกสร้างขึ้นมาอย่างยากลำบากสลายหายวับไปในชั่วพริบตา
“ถ้าหลัวผานของฉันไปโดนตัวนายเข้า มันจะไม่ใช่แค่รวนแล้ว แต่คงเจ๊งจนต้องเลิกใช้ไปเลย นายอย่าถอดอู๋เซียงชิงหลีออกเด็ดขาดเชียว ไม่งั้นถ้าหลัวผานของฉันเจ๊งเข้าจริงๆ ฉันคงไม่มีที่ให้ร้องไห้แน่ นายเป็นคนที่มีพลังหยินแข็งแกร่งยิ่งกว่าผีซะอีก นี่เป็นเพราะฉันเก่งหรอกนะ ถึงได้ไม่มองว่านายเป็นผีแล้วมาจัดการเข้าน่ะ ถ้าเปลี่ยนเป็นคนอื่นล่ะก็…”
ซีจยาพูดอย่างสุดจะทน “…หุบปาก!”
ถึงแม้จะสามารถสืบหาต้นตอของปัญหาได้แล้ว แต่ก็ไม่แน่ว่าจะสามารถหาวิธีแก้ปัญหาได้
แม้จะบอกว่าเผยอวี้คนนี้ไม่น่าเชื่อถือเป็นอย่างมาก แต่ถึงอย่างไรอีกฝ่ายก็เป็นเทียนซือมือปราบผีเพียงคนเดียวที่เขาสามารถหาได้ในตอนนี้ ซีจยาจึงเล่าสิ่งที่ตัวเองเพิ่งเจอมาให้อีกฝ่ายฟัง
เผยอวี้ชะงักไปครู่หนึ่ง “แม่ลูกคู่นั้นเป็นผีเหรอ”
ซีจยาส่ายศีรษะเบาๆ “ผมเคยเห็นผีมาไม่น้อย สำหรับคนธรรมดาถือว่าเป็นเรื่องยากที่จะเห็นผี นอกจากว่าจะเป็นผีร้ายที่มีความอาฆาตรุนแรงมาก แบบนั้นอาจจะมีตัวตนขึ้นมาในตอนกลางคืนทำให้คนธรรมดาสามารถมองเห็นได้ พวกเขาดูเหมือนจะไม่ใช่ผี เพราะร่างกายของเด็กคนนั้นมีอุณหภูมิร่างกาย ส่วนผู้หญิงอีกคนถึงบนตัวจะมีกลิ่นเลือดแรงมาก แต่ก็ดูเหมือนจะไม่ใช่ผี”
เผยอวี้เบิกตาโพลง “ทำไมถึงมีกลิ่นเลือดแรงล่ะ! คงไม่ใช่ว่า…”
ซีจยาพูดด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “เธออาจจะกินไก่ตอนเที่ยงของวันนี้ แล้วก็กำลังจัดการเลือดไก่ออก แบบนี้ไม่ได้หรือไง”
เผยอวี้ “…ได้”
ไก่ : แล้วฉันทำอะไรผิด…
ตรงบริเวณโถงทางเดิน ประตูสองบานปิดสนิทขวางกั้นไอพลังงานทั้งหมดภายในห้องทั้งสองห้องเอาไว้ และภายในกระถางเหล็กที่วางไว้ตรงมุมผนัง ท่ามกลางกองกระดาษเงินกระดาษทองที่กำลังถูกเผาไหม้ ประกายไฟสุดท้ายก็ค่อยๆ ดับลงในที่สุด
หลังออกมาจากอาคารหลังนั้น เผยอวี้ก็หยิบก้อนเหล็กสีดำหน้าตาประหลาดสี่ก้อนออกมาจากกระเป๋าใบเล็กที่เขาพกติดตัวมา ก้อนเหล็กชิ้นนี้เหมือนลูกข่างที่หลายคนเคยเล่นสมัยเด็ก มันเป็นเหล็กรูปกรวยสีดำล้วน มีเพียงส่วนปลายแหลมด้านล่างสุดเท่านั้นที่ปรากฏสีแดงเลือดให้เห็น ขณะที่เผยอวี้เขย่าเจ้าลูกข่างเหล็กชิ้นนี้ จุดปลายแหลมสีแดงเลือดที่อยู่ด้านล่างก็สั่นไหวเล็กน้อย ในตอนนี้เองซีจยาถึงได้พบว่าปลายแหลมนั้นเป็นภาชนะโปร่งใส โดยมีหยดเลือดสีแดงสดสองสามหยดอยู่ด้านใน
ซีจยามองดูอยู่สักพักด้วยความสนอกสนใจ แต่เผยอวี้กลับพูดอย่างภาคภูมิใจว่า “นายก็มองออกว่ากระเป๋าใบนี้ของฉันมันทันสมัยมากเลยใช่ไหม”
ซีจยาได้ยินดังนั้นก็ชะงักไป ต่อมาถึงได้เบนสายตาจากก้อนเหล็กสีดำไปที่กระเป๋าของเผยอวี้แทน จากนั้นเขาก็ “…”
เผยอวี้ตบกระเป๋าสะพายข้างใบเล็กสีเขียวเข้มด้วยสีหน้าได้ใจ ลวดลายมังกรดำถูกปักอยู่บนกระเป๋าและบนตัวล็อกที่ใช้สำหรับเปิดกระเป๋าเป็นพลอยตาแมวสีขาวเม็ดหนึ่ง นี่เป็นพลอยตาแมวที่แปลกมาก เมื่อซีจยาจ้องมองอย่างละเอียดก็พบว่าจู่ๆ มันก็เหมือนกะพริบตาขึ้นมาราวกับเป็นแมวจริงๆ
เผยอวี้กล่าว “นี่คือกระเป๋าเฉียนคุน* ที่ฉันซื้อมาจากสำนักเทียนกงด้วยคะแนนเก็บตั้งแปดสิบแปดคะแนน เพิ่งวางขายเมื่อปลายเดือนที่แล้วเอง มีแค่ใบนี้ใบเดียวด้วย แต่ฉันก็ชิงมันมาได้ นี่เป็นองค์ประกอบที่ทันสมัยที่สุดในปีนี้เลยนะ ไม่ว่าจะเป็นสีหรือลวดลายก็ตาม กระเป๋าที่ทันสมัยที่สุดในวงการก็คือกระเป๋าเฉียนคุนมังกรดำรุ่นนี้ของฉันนี่แหละ นายคิดว่ายังไง”
ซีจยา “…ออร่าดูแปลกๆ”
เผยอวี้ “ออร่าอะไรนะ”
ซีจยาระบายยิ้มบางๆ “ออร่าค่อนข้างดูมีอำนาจน่ะ”
เผยอวี้ “นั่นก็จริง”
หลังจากได้รับคำชมเชย หมอผีต้มตุ๋นแซ่เผยก็วางเขตอาคมอย่างขยันขันแข็งมากขึ้น
เขาฝังลูกข่างสี่ลูกไว้ตรงมุมทั้งสี่ทางทิศเหนือใต้ออกตกของอาคารหลังนี้ ลูกข่างทั้งหมดใช้เฉพาะปลายแหลมสีเลือดปักลงดิน เมื่อปักปลายแหลมของลูกข่างลูกสุดท้ายเสร็จเรียบร้อยแล้ว เผยอวี้ก็หยิบยันต์สีเหลืองแผ่นหนึ่งออกมา แล้วเริ่มท่องคาถาเบาๆ
“ฟ้าดินแลธรรมชาติ สิ่งโสมมมลายสิ้น ความเร้นลับในห้วงลึก แสงสว่างยังคงแจ่มชัด สิ่งศักดิ์สิทธิ์แปดทิศ ทำให้เราเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติ มนตร์ศักดิ์สิทธิ์แห่งขุนเขา ท่องคาถาแห่งปฐมเทพ ดำเนินตามห้าขุนเขา ประจักษ์แด่สี่มหาสมุทร ราชามารมิอาจต่อกร พิทักษ์บ้านของเรา ความชั่วร้ายสลายสิ้น พลังแห่งเต๋าคงอยู่มิเสื่อมคลาย* จงมีผลในบัดดล!”
“…”
“ปฏิบัติ!”
กระดาษยันต์ติดไฟเองทั้งที่ไม่ได้จุดไฟ ทันใดนั้นก็มีเลือดสี่สายจากมุมทั้งสี่มุมพุ่งเข้ามาสู่กลางฝ่ามือของเผยอวี้ เขาพลิกมือคว้าเลือดทั้งสี่สายที่เชื่อมโยงเข้าด้วยกัน จากนั้นก็บีบมือขวาแล้วฟาดฝ่ามือกระแทกพื้นทันทีทันใด กดถ่วงเลือดทั้งสี่สายนั้นลงกับพื้นอย่างแน่นหนา
เลือดทั้งสี่สายราวกับมีชีวิตขึ้นมา พวกมันดิ้นรนไม่หยุดอยู่ในมือของเผยอวี้ จากนั้นก็เห็นว่าเขากัดนิ้วของตัวเอง ก่อนจะนำหยดเลือดจากปลายนิ้วไปกดลงบนจุดตัดระหว่างเลือดทั้งสี่สายอย่างแรง
ตูม!
หยดเลือดสะกดเลือดทั้งสี่สาย แล้วเลือดทั้งสี่สายนั้นก็สะกดพลังหยินอันชั่วร้าย
ซีจยาเงยหน้ามองท้องฟ้าจึงได้พบว่าแสงแดดทอดผ่านชั้นเมฆและสาดส่องลงมายังเขตชุมชนช้าๆ ส่งผลให้พลังหยินที่ตลบอบอวลอยู่บนท้องฟ้าเหนือเขตชุมชนมาโดยตลอดค่อยๆ จางหายไป ทันใดนั้นผู้อยู่อาศัยในเขตชุมชนที่เมื่อครู่ยังดูราวกับผีดิบก็มีชีวิตชีวาขึ้นมา พวกผู้หญิงที่คุยกันอยู่หัวเราะให้กัน บรรดาผู้สูงวัยที่ออกกำลังกายอยู่ก็ดูมีชีวิตชีวามากขึ้นเช่นกัน
มีเพียงอาคารตรงหน้าพวกเขาเท่านั้นที่ยังคงปกคลุมไปด้วยไอพลังงานสีดำหนาทึบ
เผยอวี้ดูดนิ้วและรอจนกระทั่งเลือดหยุดไหล จากนั้นจึงพูดขึ้นว่า “ตอนนี้ฉันทำได้แค่แยกพลังหยินในอาคารนี้เอาไว้ไม่ให้กระจายออกไปภายนอก เลือดของฉันไม่แกร่งพอ คงจะสะกดพลังหยินของที่นี่ได้ไม่นาน เดี๋ยวฉันเข้าไปสั่งหยดเลือดของมัจจุราชเย่จากสำนักเทียนกงแป๊บนะ”
ซีจยาอึ้ง “หยดเลือด?”
เผยอวี้เอ่ย “เมื่อกี้ฉันก็ใช้หยดเลือดมาสะกดพลังหยินนะ เฮ้ นายไม่เห็นเหรอว่าเมื่อกี้ฉันเอาเลือดออกมาสี่หยด นายเห็นเลือดจากตรงปลายแหลมของลูกข่างหรือเปล่า นั่นน่ะเลือดของฉันเอง หยดเลือดมีรังสีอำมหิตรุนแรง ต่อให้ฉันเป็นเจ้าของเลือด พวกมันก็ไม่อยากจะเชื่อฟังฉันอยู่ดี เลยทำได้แค่ใช้เลือดของฉันมากำราบพวกมันอีกที”
เผยอวี้พูดพลางหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาแล้วกดเปิดไปที่บัญชีทางการ ‘พวกผีรู้ดี ชีวิตนี้ฉันผ่านอะไรมาบ้าง’ จากนั้นก็กดเข้าไปในคอลัมน์ตัวเลือกด้านล่างที่มีชื่อว่า ‘สำนักเทียนกง’ หลังจากเขากดปุ่มร้านค้าวีแชตร้านร้านหนึ่งก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าซีจยา
ซีจยา “…”
เผยอวี้ “ขอฉันเสิร์ชแป๊บ หยดเลือด…นี่ไง ดูสิ หยดเลือดของมัจจุราชเย่ขายดีเป็นอันดับสอง”
ซีจยามองอย่างละเอียด แล้วพบว่าในรายชื่อหยดเลือดนั้น รายชื่อที่ขายดีเป็นอันดับหนึ่งคือ ‘หนานอี้-หยดเลือด’ ตอนแรกเขายังรู้สึกงงงวยอยู่ว่าทำไมหยดเลือดของอันดับสองถึงขายได้มากกว่าของอันดับหนึ่ง แต่เมื่อเห็นราคาของทั้งสองอย่าง เขาก็ถึงบางอ้อทันที
‘หนานอี้-หยดเลือด 8 คะแนนต่อหยด
เย่จิ้งจือ-หยดเลือด 18 คะแนนต่อหยด’
ที่แท้คนในวงการศาสตร์ลี้ลับก็ให้ความสนใจกับของที่คุณภาพดีแต่มีราคาถูกด้วยนี่เอง!
…ไม่ใช่สิ ประเด็นคือทำไมถึงได้มีร้านค้าบนวีแชตต่างหาก!
ไอ้ที่มีบัญชีทางการกับอันดับโม่โต่วก็แล้วไปเถอะ แต่ทำไมถึงได้มีร้านค้าวีแชตด้วยเนี่ย พวกเขาทันสมัยกันขนาดนี้เชียวเหรอ!
เผยอวี้ไม่ทันสังเกตเห็นสีหน้าแปลกๆ ของซีจยา เขาพูดด้วยความเจ็บปวด “พลังหยินของผีอาฆาตตนนี้รุนแรงกว่าทุกตนที่ฉันเคยเจอมา ถ้าซื้อหยดเลือดของหนานอี้คงไม่มีประโยชน์สักเท่าไร ต้องซื้อของมัจจุราชเย่สิบแปดคะแนน สี่หยดก็เจ็ดสิบสองคะแนน! ฉันต้องปราบผีตั้งหนึ่งเดือนครึ่งเชียวนะ”
เผยอวี้กดสั่งพลางโม้กับซีจยาไปด้วย
นอกเหนือจากพวกคำพูดไร้สาระและสิ่งที่หมอผีต้มตุ๋นแซ่เผยยกยอว่าตัวเองเก่งกาจห้าวหาญแค่ไหน ในที่สุดซีจยาก็ได้ยินเรื่องที่มีสาระสักที
บัญชีทางการ ‘พวกผีรู้ดี ชีวิตนี้ฉันผ่านอะไรมาบ้าง’ จะแนะนำข่าวประจำวันของวงการศาสตร์ลี้ลับให้กับผู้ใช้ทุกวัน อย่างเช่นเมื่อคืนที่ซีจยาได้รับการแนะนำข่าวจากพวกเขา…
‘ช็อก! อู๋เซียงชิงหลีเปลี่ยนมืองั้นเหรอ มัจจุราชเย่ส่งมอบของแทนใจ!’
หลังจากเห็นข่าวนั้นซีจยาก็เอาฝ่ามือฟาดป้าบเข้าที่หน้าของหมอผีต้มตุ๋นแซ่เผย
ฝ่ามือนั้นมาเร็วเกินไป หมอผีต้มตุ๋นแซ่เผยที่กำลังหัวเราะแหะๆ จึงไม่ทันได้หลบ ทว่าขณะที่เผยอวี้กำลังจะโกรธหลังจากถูกตบอย่างแรง ซีจยากลับยกโทรศัพท์ขึ้นแล้วพูดออกมาพร้อมกับยิ้มเย็นเสียก่อนว่า ‘บทความนี้คุณเป็นคนเขียนเหรอ’
เผยอวี้หน้าเจื่อนไปทันที จากนั้นก็หัวเราะแหะๆ อย่างร้อนตัว ‘เปล่า…เปล่านะ…ฉันแค่ส่งร่างให้เฉยๆ คนของ ‘พวกผีรู้ดี’ ต้องเขียนบทความนี้ขึ้นมาเองแน่ๆ’
เมื่อกดเปิดบทความนี้ก็พบว่ามียอดอ่านมากกว่าแสนครั้งและยอดกดไลค์สูงถึงสามหมื่นหกพันไลค์ ผู้คนนับไม่ถ้วนพากันทิ้งข้อความไว้ด้านล่างว่า…
‘สุดยอดๆๆ พาดหัวข่าวชวนคลิกฉันยอมรับเฉพาะ ‘พวกผีรู้ดี’ แค่ที่เดียวเลย’
‘สวัสดี ฉันเป็นผู้รับผิดชอบแผนก Uli shock แอดมินจะมาทำงานพรุ่งนี้’
‘สมกับเป็นมัจจุราชเย่แบบอย่างทางศีลธรรม ดูแลกระทั่งเรื่องแบบนี้ แถมยังให้ยืมอู๋เซียงชิงหลีไปด้วย ถ้าคนธรรมดาที่มีร่างกายเป็นหยินสุดขั้วนั่นไม่คืนให้จะทำยังไง นั่นคืออู๋เซียงชิงหลีเชียวนะ แค่คิดฉันก็น้ำลายสอแล้ว…’
‘เมนต์บนไปกันใหญ่แล้ว! เจ้าคนธรรมดาใจโหดอย่างกับหมาป่านั่นจะเอาชนะมัจจุราชเย่ได้หรือไงกัน ถ้าเขากล้าไม่คืน มัจจุราชเย่ก็สามารถทำให้เขากลายเป็นคะแนนได้!’
‘พ่อหนุ่มเย่ช่างจิตใจมีเมตตาจริงๆ อมิตาภพุทธ’
ซีจยาที่เห็นข้อความเหล่านั้น ‘…’
ซวยชะมัด! ใครเป็นคนธรรมดาใจโหดอย่างกับหมาป่ากัน! แล้วใครเป็นคะแนนกันฮะ!
ในช่วงสองวันนี้ที่ได้คลุกคลีกับเผยอวี้ ซีจยาก็รู้มานานแล้วว่าในวงการศาสตร์ลี้ลับของพวกเขานั้น การปราบผีจะได้รับหนึ่งคะแนน ถ้าผีอาฆาตตนนั้นเคยฆ่าคนมาก่อนหนึ่งคนจะได้สองคะแนน หรือถ้าเคยฆ่าสองคนก็จะได้สามคะแนน โดยจะคิดคะแนนตามนี้ไปเรื่อยๆ
ทว่าผีอาฆาตที่เคยฆ่าคนกลับมีจำนวนน้อย เพราะถึงอย่างไรผีอาฆาตส่วนใหญ่ก็จะเข้าสู่สังสารวัฏเองหลังจากแก้แค้นสำเร็จ และผีอาฆาตหลายตนก็มีอิทธิฤทธิ์ไม่มากพอที่จะฆ่าคนได้ด้วย ดังนั้นสำหรับเทียนซือมือปราบผีอย่างเผยอวี้แล้ว อย่างมากที่สุดก็ได้แค่หนึ่งร้อยคะแนนต่อเดือนเท่านั้น
ส่วนมัจจุราชเย่ผู้มาจากดวงดาวนั่น เขาเก่งอย่างกับใช้สูตรโกง ไม่สามารถเอามานับรวมกันได้
นอกจากนี้เขายังส่งร่างบทความวิธีในการได้รับคะแนนให้กับ ‘พวกผีรู้ดี’ และจัดหาสินค้าเพื่อค้าขายให้กับสำนักเทียนกงอีกด้วย
สำนักเทียนกงเป็นสำนักหลอมของวิเศษที่มีชื่อเสียงในวงการศาสตร์ลี้ลับ โดยมีปฐมาจารย์คือหลู่ปัน* เทพเจ้าแห่งงานช่าง ทั้งนี้ของวิเศษของเจิ้นไจที่มีชื่อเสียงที่สุดของพวกเขาอย่างอันดับโม่โต่วก็ดัดแปลงมาจากโม่โต่วของหลู่ปันนี่แหละ นอกจากนี้พวกเขายังคิดค้นวิธีการใหม่ในการหลอมของวิเศษขึ้นมาจากหนังสือ ‘สิ่งประดิษฐ์ธรรมชาติสร้าง’ ที่เขียนโดยเทียนซือรุ่นที่ 142 ซ่งอิ้งซิง และตั้งชื่อสำนักว่าสำนักเทียนกงนับจากนั้นเป็นต้นมา
ทุกปีสำนักเทียนกงจะให้เงินทุนก้อนใหญ่แก่ ‘พวกผีรู้ดี’ ซึ่งถือว่าเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ ดังนั้นตรงด้านล่างหน้าบัญชีทางการของ ‘พวกผีรู้ดี’ จึงเชื่อมโยงไปยังเว็บไซต์ร้านค้าวีแชตของสำนักเทียนกง
ผู้คนในวงการศาสตร์ลี้ลับล้วนไม่ขาดแคลนเงินและไม่มีใครต้องการธนบัตรของโลกฆราวาส เงินตราหมุนเวียนค่อยๆ กลายเป็นคะแนนล่าผี อย่างเช่นเผยอวี้ขายหยดเลือดของตัวเองในสำนักเทียนกง แล้วหลังจากขายได้คะแนน เขากับสำนักเทียนกงก็แบ่งผลประโยชน์กันคนละครึ่ง
“ฉันได้ยินมาว่าหนานอี้เหมือนจะแบ่งกับสำนักเทียนกงแบบหกสิบต่อสี่สิบ แต่มัจจุราชเย่กลับได้อัตราสูงถึงแปดสิบต่อยี่สิบ แบบนี้มันไม่ยุติธรรมเกินไปแล้ว มัจจุราชเย่ก็ไม่ได้ขาดแคลนคะแนนสักหน่อย ทั้งที่ฉันมีแต่จนลงเรื่อยๆ เขามีสิทธิ์อะไรถึงได้เอาคะแนนมาหมุนเวียนคะแนนจนมีคะแนนมากขึ้นเรื่อยๆ เนี่ย การผูกขาดของนายทุนรายใหญ่แบบนี้จะขัดต่อค่านิยมหลักของสังคมนิยมเกินไปแล้ว!”
ซีจยา “…” การมีอยู่ของพวกคุณก็ขัดต่อค่านิยมหลักของสังคมนิยมมากพอแล้วน่า!
ซีจยาเอาแต่ก้มหน้าเปิดดูหน้าบัญชีทางการของ ‘พวกผีรู้ดี’ โดยไม่สนใจอีกฝ่าย
หลังจากผนึกพลังหยินเอาไว้ที่อาคารหลังนั้นแล้ว ซีจยากับเผยอวี้ก็ไปนั่งในสวนดอกไม้เล็กๆ ที่อยู่ด้านข้างเพื่อคอยสังเกตความเคลื่อนไหวในอาคารนั้น โดยในบรรดาสองครอบครัวที่อาศัยอยู่ที่นั่น ครอบครัวที่มีคุณปู่เสียชีวิตไปดูเหมือนจะไม่อยู่ห้อง บางทีพวกเขาอาจจะกลับไปจัดงานศพที่บ้านเกิดก็ได้ แต่ครอบครัวแม่ลูกกลับไม่ค่อยได้ออกไปไหน
ช่วงพลบค่ำ ผู้หญิงคนนั้นจูงมือเด็กชายลงมาทิ้งขยะที่ชั้นล่าง
ทั้งสองดูเหมือนแม่ลูกแสนธรรมดาคู่หนึ่ง หากไม่นับพลังหยินบนร่างที่หนาแน่นจนแทบจะก่อตัวเป็นรูปเป็นร่าง พวกเขาก็ไม่ได้ต่างอะไรจากแม่ลูกทั่วไปเลย
วันรุ่งขึ้น หลังจากเผยอวี้ได้รับหยดเลือดที่สำนักเทียนกงส่งแบบเร่งด่วนมาให้แล้ว เขาก็ใช้หยดเลือดของเย่จิ้งจือบริกรรมคาถาทันที ครั้งนี้ซีจยาได้เห็นบางอย่างที่แตกต่างไปจากเดิมจริงๆ เลือดทั้งสี่สายของเย่จิ้งจือไม่ได้มารวมตัวกันอยู่ในมือของเผยอวี้ แต่พวกมันกลับลอยขึ้นจากพื้นแล้วพุ่งขึ้นไปด้านบนอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ไปรวมตัวกันที่ชั้นเจ็ดของอาคารหลังนี้แล้วปิดตายห้องของทั้งสองครอบครัวเอาไว้อย่างแน่นหนา
พลังหยินถูกบีบให้ไปรวมตัวอยู่ที่ชั้นเจ็ดของอาคารในชั่วพริบตา มันส่งเสียงร้องและคิดที่จะหนีออกไปด้านนอก ทว่าทันทีที่ไปสัมผัสโดนเลือดมันก็ถูกพลังที่มองไม่เห็นทำให้ผวาจนต้องถอยกลับไป
ระดับความห่างชั้นด้านความแข็งแกร่งสามารถเห็นได้จากตรงนี้
แต่แล้วสีหน้าของเผยอวี้กลับเริ่มจริงจังมากขึ้นกว่าเดิม “แม้แต่หยดเลือดของมัจจุราชเย่ก็ยังจับผีร้ายตนนั้นไม่ได้ในทันที ซีจยา ฉันอาจจะประเมินความแข็งแกร่งของผีตนนี้ต่ำไป ฉันคงต้องกลับไปขอของบางอย่างจากอาจารย์อาที่เมืองหลวงสักหน่อย แล้วจะรีบกลับมา ผีตนนี้ไม่ธรรมดาเลย นายระวังตัวหน่อยนะ ถ้าไม่ไหวจริงๆ ก็ใช้อู๋เซียงชิงหลีซัดมันเลย ฉันไม่เชื่อหรอกว่าแม้กระทั่งอู๋เซียงชิงหลีมันก็ไม่กลัวน่ะ”
พอพูดจบเผยอวี้ก็รีบร้อนจากไป
ลูกเต๋าสัมฤทธิ์ในอกเสื้อสั่นไหวอย่างภาคภูมิใจสองทีราวกับกำลังเตือนซีจยาว่า ‘ถ้ามีปัญหาขึ้นมาจริงๆ แค่โยนข้าออกไปก็พอ แล้วข้าจะปกป้องเจ้าเอง’ ซีจยายิ้มออกมาอย่างช่วยไม่ได้ เขาก้มหน้ามองลูกเต๋าสัมฤทธิ์แล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า “เผยอวี้จะให้ฉันขว้างนายเหมือนก้อนหินเลยนะ ยังจะมีความสุขแบบนี้อีกเหรอ”
อู๋เซียงชิงหลีนิ่งงันไปทันที สักพักก็สั่นด้วยท่าทางดุร้ายขึ้นมา
ส่วนเผยอวี้ที่เพิ่งเดินออกจากเขตชุมชนจู่ๆ ก็สั่นสะท้านขึ้นมา “ฉันเป็นหวัดเป็นกับเขาด้วยเหรอ”
ในเมื่อเรื่องนี้ร้ายแรงถึงขั้นที่เผยอวี้ไม่สามารถแก้ไขได้ ซีจยาจึงคิดอยู่พักหนึ่ง แต่สุดท้ายก็ไม่ได้กลับห้อง เขาถืออาหารแมวถุงหนึ่งพร้อมกับอุ้มส่งส่งของเขามานั่งที่ชั้นล่างของอาคารหลังนั้นและเฝ้าอยู่เงียบๆ
ในค่ำคืนที่มืดมิด ชายหนุ่มรูปงามกำลังก้มหน้าลูบขนเจ้าแมวน้อยพลางใช้ฝ่ามือป้อนอาหารแมวให้แมวดำตัวน้อยไปด้วย ตอนนี้ก็ล่วงเข้าสู่ช่วงเวลาของเช้าวันใหม่แล้ว ซึ่งเขายังคงนั่งอยู่ที่นี่ราวกับว่ากำลังปกป้องบางสิ่งบางอย่างหรือใครบางคน
อย่างไรก็ตามซีจยาไม่ทันได้เห็นผีอาฆาตตนนั้นออกมาก่อความวุ่นวาย
ย่ำรุ่งเวลาตีสามมีหญิงวัยกลางคนที่ดูซีดเซียวและซูบผอมคนหนึ่งพาผู้เฒ่านักพรตเต๋าในชุดนักพรตคนหนึ่งเร่งสาวเท้ามายังชั้นล่างของอาคารหลังนี้ สองคนนั้นเองก็เห็นซีจยา และมองไปที่เขาด้วยความประหลาดใจ ราวกับไม่เข้าใจว่าทำไมชายหนุ่มคนนี้ถึงมานั่งเล่นกับแมวอยู่ที่นี่ในเวลากลางค่ำกลางคืน
หลังจากมองดูซีจยาอยู่สักพักจนกระทั่งยืนยันได้ว่าเขาไม่เป็นอันตราย ผู้หญิงคนนั้นก็หันหน้าไปพูดกับผู้เฒ่านักพรตเต๋าคนนั้นว่า “ท่านอาจารย์ ท่านช่วยนำผีอาฆาตตนนั้นออกไปเร็วๆ ทีเถอะค่ะ! ฉันจะทนไม่ไหวอยู่แล้ว ท่านช่วยรีบบริกรรมคาถาจัดการเขาที ตาเฒ่านั่นขนาดตายไปแล้วยังไม่ยอมอยู่สงบๆ อีก ฉันอยากให้เขาวิญญาณดับสูญไปเลย!”
ในช่วงกลางดึกที่มืดมิด การที่มีชายหนุ่มคนหนึ่งนั่งเล่นกับแมวอยู่ในสวนดอกไม้ก็แปลกมากพออยู่แล้ว แต่ตอนนี้ดันมีผู้หญิงกับนักพรตเต๋าท่าทางเพี้ยนๆ เพิ่มมาอีกสองคน คืนนี้คงถูกกำหนดไว้แล้วว่าต้องเป็นคืนที่ไม่มีทางสงบสุขอย่างแน่นอน
อย่างไรก็ตามผู้หญิงคนนั้นกับนักพรตเต๋าไม่สามารถขึ้นไปปราบผีชั้นบนได้อย่างราบรื่น เนื่องจากเพิ่งผ่านไปไม่กี่นาทีชายวัยกลางคนคนหนึ่งก็พุ่งเข้าไปตบหน้าผู้หญิงคนนั้น เธอกุมแก้มเอาไว้แล้วมองไปที่ชายคนนั้นด้วยความโกรธ จากนั้นก็แยกเขี้ยวยิงฟันพุ่งเข้าใส่เขา เล็บของเธอข่วนใบหน้าของชายคนนั้นอย่างแรงจนเกิดเป็นแผลเลือดซิบรอยแล้วรอยเล่า
หนึ่งชายหนึ่งหญิงเข้าตะลุมบอนกันอย่างรวดเร็ว ส่วนซีจยาก็นั่งดูอยู่ไม่ไกล
หลังจากตีกันไปหลายนาทีเสียงของการตบตีกันของทั้งสองก็ทำให้ผู้อยู่อาศัยหลายคนในเขตชุมชนพากันเปิดไฟเพื่อมามุงดู เช้ามืดเวลาตีสามชายหญิงคู่นี้ตีกันจนต่างคนต่างเลือดตกยางออก จนกระทั่งสุดท้ายฝ่ายชายก็ตีฝ่ายหญิงจนล้มคว่ำลงไปกับพื้น ฝ่ายหญิงผมเผ้ายุ่งเหยิง เบ้าตาเขียวช้ำ เธอร้องไห้ไปสบถด่าไป
“ชีวิตฉันมันโคตรอาภัพเลยที่ต้องมาแต่งงานกับเดรัจฉานไร้ประโยชน์อย่างแก ไหนแกลองบอกมาซิว่าการที่พ่อแกมีชีวิตอยู่ได้ถึงอายุแปดสิบหกทั้งที่เขาเป็นมะเร็งตั้งแต่เมื่อสิบสองปีก่อนจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่ตาย เขามีชีวิตรอดมานานขนาดนี้ได้ยังไง! แกบอกฉันมาสิ!”
ชายคนนั้นถ่มเลือดลงบนพื้น “ตอนนี้พ่อของฉันก็ตายไปแล้ว เธอจะถึงพูดเรื่องนี้ขึ้นมาทำไมอีก!”
ผู้หญิงคนนั้นไม่ยอมลุกขึ้นและเริ่มอาละวาดอยู่กับพื้น เธอตะเบ็งพูดเสียงดัง “แกลองพูดให้เพื่อนบ้านฟังดูสิ! ลูกคนโตกับลูกคนเล็กของฉันอายุไม่ถึงสิบขวบก็ตายกันหมด! ลูกในท้องเมื่อปีที่แล้วเพิ่งอายุได้แค่หกเดือนก็แท้ง ถึงแกจะไม่รักลูก แต่ฉันรักลูกของฉัน! พวกเขาเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของฉัน ฉันอุตส่าห์อุ้มท้องตั้งสิบเดือนกว่าจะคลอดออกมา! เรื่องที่ว่าทำไมพ่อแกถึงรอดชีวิตมาได้นานขนาดนี้ แกเองก็รู้ดีอยู่แก่ใจว่าไอ้แก่ไม่ยอมตายนั่นใช้ชีวิตได้ด้วยชีวิตหลานชายของมันไง!!!” พอพูดจบเธอก็เริ่มเอาศีรษะโขกพื้นพลางร้องไห้เสียงดังลั่น
ฝ่ายชายพุ่งเข้าไปจิกผมของผู้หญิงคนนั้นขึ้นมาแล้วฟาดลงกับพื้น “พ่อฉันตายไปแล้ว นังผู้หญิงชั้นต่ำ ไหนแกลองพูดดูอีกทีซิ!”
“แกมันเดรัจฉาน…กรี๊ดดด!”
เมื่อเห็นฉากนี้ซีจยาก็ขมวดคิ้ว ก่อนจะลุกขึ้นยืน ทว่าเขายังไม่ทันได้เข้าไปห้ามปราม จู่ๆ ผู้เฒ่านักพรตเต๋าที่อยู่ด้านข้างก็โยนกระดาษยันต์สีเหลืองที่มีอักษรสีชาดแผ่นหนึ่งไปตรงหน้าชายคนนั้น ต่อมากระดาษยันต์แผ่นนั้นก็ติดไฟกลางอากาศ ทำเอาชายคนดังกล่าวตกใจยกใหญ่ ซึ่งมันก็ทำให้ซีจยาชะงักฝีเท้าเช่นกัน
เขาเป็นเทียนซือมือปราบผีจริงๆ เหรอ
ผู้เฒ่านักพรตเต๋าสะบัดแส้จามรี* แล้วพูดกับชายคนนั้นอย่างเคร่งขรึม “คุณจ้าวพูดถูกแล้ว คุณหลี่ อาคารหลังนี้มีพลังหยินรุนแรงมาก น่าจะมีสาเหตุมาจากวิญญาณพ่อของคุณ การมีชีวิตอยู่ด้วยอายุขัยของลูกหลานนั้นมีอยู่จริง พอผินเต้า** กำจัดผีร้ายตนนั้นออกไปได้ พวกคุณก็จะไม่ฝันร้ายทุกคืนอีกต่อไป แล้วคุณก็จะสามารถตั้งครรภ์ได้อีกครั้งด้วย”
ซีจยามองไปที่ผู้เฒ่านักพรตเต๋าด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
การมีชีวิตอยู่ด้วยอายุขัยของลูกหลาน…
เป็นธรรมดาที่ซีจยาจะเคยได้ยินคำพูดแบบนี้มาก่อน
เนื่องจากตัวเขาเองมีร่างกายที่พิเศษมาตั้งแต่ยังเด็ก พ่อจึงพาเขาไปพบ ‘เทียนซือ’ ทั้งหลายมาไม่น้อย ซึ่งก็ทำให้ได้ยินเกี่ยวกับสิ่งลี้ลับมาหลายอย่างเช่นการมีชีวิตอยู่ด้วยอายุขัยของลูกหลาน
มีคำกล่าวอย่างหนึ่งที่มีมาตั้งแต่สมัยโบราณว่าหากคนชราอายุยืนเกินไป นั่นก็แสดงว่ากำลังมีชีวิตอยู่ด้วยอายุขัยของลูกหลาน ทุกปีที่เขามีชีวิตอยู่นานขึ้น ลูกหลานของเขาก็จะสูญเสียสิริมงคลและอายุขัยไปทีละน้อย ดังนั้นในสมัยโบราณบางครอบครัวที่เด็กเสียชีวิตก่อนวัยอันควรจะมีการนำผู้สูงอายุที่บ้านไปทิ้งในถ้ำบนภูเขาและคอยให้น้ำให้อาหารเป็นเวลาสามวัน จากนั้นก็จะถือว่าสิ้นสุดหน้าที่ลูก แล้วปล่อยให้ผู้เฒ่าเหล่านั้นสิ้นลมไปตามยถากรรม
แต่แล้วเมื่อวานตอนที่ซีจยากำลังเปิดดูบันทึกข่าวประวัติศาสตร์ของบัญชีทางการ ‘พวกผีรู้ดี’ อย่างเบื่อๆ เขาก็ดันบังเอิญเปิดไปเจอบทความหนึ่งซึ่งมีหัวข้อว่า ‘แปดเรื่องงมงายของคนธรรมดาที่ชวนขำที่สุด’ เมื่อคลิกเปิดดูก็พบว่าอันดับที่หกคือ ‘การมีชีวิตอยู่ด้วยอายุขัยของลูกหลาน’
ด้านล่างของบทความนั้น กลุ่มหมอผีต้มตุ๋นจอมเหลวไหลแห่งวงการศาสตร์ลี้ลับกำลังคุยกันเป็นวรรคเป็นเวรและแค่นเสียงขึ้นจมูกต่อแปดเรื่องงมงายพวกนี้ โดยเฉพาะเรื่องการมีชีวิตอยู่ด้วยอายุขัยของลูกหลานซึ่งพวกเขาไม่แม้แต่จะชายตาแลเสียด้วยซ้ำ
‘ปีนี้ฉันอายุเก้าสิบหก ถ้าลูกชายไม่ได้เรื่องนั่นกล้าเอาฉันไปทิ้งล่ะก็ ฉันจะใช้สายฟ้าศักดิ์สิทธิ์ฟาดมันให้ตาย ให้มันรับทัณฑ์ห้าสายฟ้า*** ไปซะ!’
ทางด้านล่างความคิดเห็น ลูกชายของอาจารย์ท่านนี้ยังออกมาตอบกลับด้วย
‘พ่อ! ผมอายุตั้งหกสิบสี่แล้ว ช่วยไว้หน้าผมหน่อยได้ไหม! ผมอุตส่าห์บอกอยู่ตลอดว่าให้ไปเต้นที่ลานสาธารณะให้มากขึ้นจะได้รู้จักคุณป้าสุดสวย เอาใจใส่ชีวิตให้ดี แล้วก็อยู่ให้ห่างจาก ‘พวกผีรู้ดี’ ด้วย พ่อช่วยฟังผมหน่อยได้ไหม!’
ส่วนในตอนนี้ผู้เฒ่านักพรตเต๋าคนนั้นกำลังพูดด้วยสีหน้าจริงจังว่าการมีชีวิตอยู่ด้วยอายุขัยของลูกหลานมีอยู่จริงและอาจเป็นเพราะถูกขู่ด้วยยันต์ติดไฟเองเมื่อครู่นี้ ชายวัยกลางคนถึงได้ลังเลอยู่นาน ทว่าสุดท้ายก็ขึ้นไปชั้นบนพร้อมกับนักพรตเต๋าและผู้หญิงคนนั้น
“ถ้าคุณจะปราบผี งั้นผมจะคอยดูอยู่ด้านข้าง ส่วนแกนังผู้หญิงเฮงซวย ถ้ามันไม่มีปัญหาอะไรล่ะก็ ฉันจะหักขาแก!”
ทั้งสองพูดไปด่าไปขณะเดินขึ้นไปยังชั้นบน ซีจยายังคงนั่งอยู่ที่ชั้นล่าง สุดท้ายก็ไม่ได้ตามขึ้นไป เหตุผลแรกเป็นเพราะเขาไม่มีชื่อเสียง ขืนตามไปสุ่มสี่สุ่มห้าสามีภรรยาคู่นั้นอาจจะไล่เขาลงมาก็ได้ เหตุผลที่สองเป็นเพราะเมื่อวานเขากับเผยอวี้ไปที่ชั้นเจ็ดกันมาแล้วและไม่ได้มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น อีกทั้งเผยอวี้ก็ไม่พบวี่แววของผีอาฆาตบนชั้นเจ็ดเลยด้วย
ยิ่งไปกว่านั้นเลือดของเย่จิ้งจือก็ยังคงสะกดชั้นเจ็ดของอาคารหลังนี้เอาไว้อยู่
ห้านาทีต่อมา ซีจยามองผ่านหน้าต่างของโถงบันไดชั้นเจ็ดเข้าไปและเห็นจากไกลๆ ว่ามีลูกไฟกลุ่มหนึ่งลอยอยู่กลางอากาศ ผู้เฒ่านักพรตเต๋าถือกระดาษยันต์สีเหลืองแผ่นหนึ่งเอาไว้ ปากก็พึมพำไม่หยุด เดี๋ยวก็ใช้กระบี่ไม้ท้อเจาะกระดาษยันต์ เดี๋ยวใช้เหล้าสยงหวง** พ่นใส่อากาศ ในขณะที่เขาทำทั้งหมดนี้ ซีจยาก็เห็นว่าพลังงานสีดำที่ห่อหุ้มชั้นเจ็ดเอาไว้นั้นไม่ขยับเขยื้อนเลยแม้แต่นิดและเลือดทั้งสี่สายก็กักพลังงานสีดำเอาไว้ด้านในอย่างแน่นหนา
กระทั่งหนึ่งนาทีต่อมา จู่ๆ ซีจยาก็เห็นแสงไฟบนชั้นเจ็ดสว่างวาบขึ้น เขาพลันลุกขึ้นยืนทันใด แล้วจ้องเขม็งไปที่ไฟดวงนั้นด้วยสีหน้าเคร่งขรึม เมื่อมองผ่านเงาของหน้าต่างก็จะเห็นได้รางๆ ว่ามีผู้หญิงผมยาวคนหนึ่งกำลังจูงมือเด็กน้อยเดินไปมาอย่างเชื่องช้าอยู่ภายในห้อง พวกเขาเดินช้ามากราวกับหอยทากคลาน เมื่อเทียบกับนักพรตเต๋าที่กำลังบริกรรมพิธีอยู่ด้านนอก
ต่อมาพวกเขาก็เดินไปที่หน้าประตูทีละก้าว ผู้หญิงคนนั้นค่อยๆ ก้มศีรษะลงแล้วมองนักพรตเต๋าของคู่สามีภรรยาผ่านตาแมวตรงประตู
ตูม!
พลังหยินสีดำจำนวนมหาศาลเพิ่มขึ้นมาอย่างกะทันหัน ก่อนที่เลือดทั้งสี่สายจะสั่นอย่างรุนแรง
ณ เมืองหลวงอันไกลโพ้น ชายหนุ่มผู้เย็นชาและเคร่งขรึมกำลังสนทนากับภิกษุรูปหนึ่งอยู่ ทว่าจู่ๆ เขาก็หันหน้าไปมองทางทิศใต้ด้วยดวงตาราวกับมีไฟลุกโชน
ภิกษุรูปนั้นพนมมือแล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า “สหายนักพรตเย่ มีอะไรหรือ”
แสงสลัววาบผ่านนัยน์ตาสีดำสนิท เย่จิ้งจือหันไปพูดเรียบๆ ว่า “หยดเลือดของผมกำลังจะแตก”
ภิกษุรูปนั้นเอ่ยด้วยความประหลาดใจ “พวกหยดเลือดที่ประสกฝากไว้ในสำนักเทียนกงน่ะหรือ นั่นราคาเจ็ดสิบสองคะแนนเชียวนะ มีคนยอมเสียคะแนนเปล่าเพื่อซื้อมันจริงๆ หรือ” หลังจากเงียบไปชั่วขณะ ภิกษุรูปนั้นก็พูดขึ้นอีกครั้ง “การที่สามารถทำลายหยดเลือดของประสกได้แสดงว่าจะต้องเป็นผีร้ายที่อย่างน้อยก็ควรตกนรกเนี่ยจิ้ง* แต่คนที่สามารถใช้คะแนนเจ็ดสิบสองคะแนนเพื่อซื้อหยดเลือดของประสกได้ ถึงไม่ใช่ผู้อาวุโสในรุ่นก่อนก็คงเป็นสหายนักพรตสิบอันดับแรกของโม่โต่ว ไม่ต้องกังวลมากนักหรอก”
เย่จิ้งจือพยักหน้าเบาๆ ทว่าวินาทีต่อมานัยน์ตาของเขาก็หดแคบลงอย่างฉับพลัน “แตกแล้ว”
ภิกษุรูปนั้นงงงัน “อะไรนะ”
สีหน้าของเย่จิ้งจือค่อยๆ ถมึงทึงขึ้นมา “หยดเลือดของผมแตกแล้ว”
ภิกษุรูปนั้นพูดด้วยความตกใจ “เร็วขนาดนี้เชียว?!”
ชายชุดดำผู้หล่อเหลาไม่เป็นรองใครจ้องเขม็งไปทางทิศใต้ด้วยสายตาเย็นชา “ผมขอตัวก่อน ดูเหมือนที่นั่นจะเป็น…เมืองซู”
ณ เมืองซู
ซีจยาเงยหน้าขึ้นพร้อมเบิกตาโพลงมองพลังงานสีดำที่กำลังขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้เลือดสี่สายที่โอบล้อมพลังงานนั้นเอาไว้เกิดการสั่นสะเทือน ทว่าพลังงานสีดำก็ยังคงขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ และโหมกระหน่ำหนักหน่วงมากขึ้นทุกที หลังจากมีเสียงแตกดังขึ้นเบาๆ เลือดทั้งสี่สายก็แตกสลายกลายเป็นละอองแสงนับไม่ถ้วนต่อหน้าต่อตาของซีจยา ก่อนจะกระจัดกระจายร่วงโปรยลงมากลางอากาศ
ทั้งที่ไม่มีปัญหาอะไรมาตลอดทั้งวันแท้ๆ แต่หลังจากนักพรตเต๋าและสามีภรรยานั่นขึ้นไปชั้นบนก็กลับเกิดเรื่องประหลาดขึ้นมา
ในวินาทีที่เลือดแตกสลายหายไปจนหมดสิ้น แสงในห้องของผู้หญิงคนนั้นก็ดับลงทันที พลังงานสีดำส่งเสียงคำรามพร้อมกับพุ่งออกมาจากชั้นเจ็ดอีกครั้ง จากนั้นก็ห่อหุ้มอาคารหลังนี้เอาไว้ทั้งยังกระจายไปทั่วเขตชุมชนอย่างเหิมเกริม
เมื่อเห็นว่าส่งส่งที่อยู่ในอ้อมแขนหวาดกลัวจนตัวสั่นระริก ซีจยาจึงวางมันลงบนพื้นแล้วก้าวขาหมายจะเดินไปยังอาคารหลังนั้น ทว่าเพิ่งเดินไปได้ก้าวเดียวส่งส่งก็กระโดดกลับเข้ามาในอ้อมแขนของเขาอีกครั้ง
ซีจยาชะงัก “ที่นั่นมีผีร้ายอยู่นะ แกไม่กลัวเหรอ”
ส่งส่งส่ายหัวอย่างเอาเป็นเอาตายราวกับว่าฟังรู้เรื่อง แต่ร่างเล็กๆ ของมันกลับขดตัวสั่นเทาอยู่ในอ้อมแขนของซีจยาอย่างควบคุมไม่ได้
ระหว่างมองดูแมวดำตัวน้อยที่ทั้งขี้ขลาดทั้งติดคนตัวนี้ ซีจยาก็ถอนหายใจเบาๆ เขาถอดอู๋เซียงชิงหลีออกจากคอมายัดใส่อุ้งเท้าของส่งส่ง ก่อนจะยัดแมวดำตัวน้อยกับลูกเต๋าสัมฤทธิ์ลงในกระเป๋าเสื้ออีกที จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นมองอาคารที่แทบจะมืดสนิทแล้วรีบสาวเท้าไปทางนั้นทันที
เวลานี้หมอผีต้มตุ๋นแซ่เผยกำลังเอาของกองใหญ่ใส่ลงในกระเป๋าใบเล็กสีเขียวเข้มของตัวเอง เขาฮัมเพลงพร้อมกับโยกศีรษะไปด้วย ทว่าในตอนที่ฮัมเพลงไปได้ครึ่งเพลงจู่ๆ โทรศัพท์ก็สั่นครืด จากนั้นเผยอวี้จึงได้เปิดวีแชตอ่าน
ซีจยา หยดเลือดของอาจารย์เย่แตกแล้ว พลังหยินก่อความวุ่นวายครั้งใหญ่ ผมจะขึ้นไปดูสถานการณ์ก่อน รีบมาเร็วเข้า
ทันใดนั้นดวงตากลมโตที่มีเปลือกตาชั้นเดียวก็เบิกกว้าง เผยอวี้พูดอย่างไม่อยากจะเชื่อ “หยดเลือดของมัจจุราชเย่จะแตกได้ยังไงกัน!” พอพูดจบปุ๊บเผยอวี้ก็กวาดของวิเศษทั้งหมดบนโต๊ะใส่ในกระเป๋าเฉียนคุนอย่างลวกๆ จากนั้นก็รีบพุ่งตัวไปที่ห้องรับแขก “อาจารย์อา ช่วยรีบเตรียมเครื่องบินทหารให้ผมสักลำทีสิ ผมต้องการแบบที่ออกบินได้เดี๋ยวนี้เลย ดูท่าเมืองซูจะเกิดเรื่องแล้ว!”
ภายในเวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมงเครื่องบินลำหนึ่งก็บินออกจากสนามบินทหารในเขตชานเมืองทางตอนใต้ของเมืองหลวงและบินมุ่งหน้าไปทางใต้ โดยที่อีกด้านหนึ่งของเมืองหลวงก็มีชายชุดดำคนหนึ่งกำลังพุ่งตัวผ่านท้องฟ้าและบินไปทางทิศใต้อย่างรวดเร็วเช่นกัน
ส่วนซีจยาในตอนนี้นั้นกำลังเดินไปที่โถงทางเดิน รอบด้านเงียบสงัดไร้สุ้มเสียง มีเพียงพลังงานสีดำหนาทึบที่ค่อยๆ เข้ามาห้อมล้อมร่างกายของเขาทีละนิด ทว่าพวกมันกลับไม่ได้สัมผัสโดนซีจยาเลยแม้แต่น้อย จากนั้นอู๋เซียงชิงหลีในกระเป๋าเสื้อของเขาก็สั่นอย่างรุนแรง ทำเอาพลังหยินพวกนั้นขลาดกลัวจนกระเจิงไปด้านข้าง
ประตูลิฟต์ปิดสนิท หน้าจอแสดงผลด้านบนของลิฟต์มืดสนิทโดยไม่เปล่งแสงบอกตัวเลขชั้น อาคารหลังนี้ดูราวกับบ้านผีสิง ด้านในไม่มีแสงไฟเลยแม้แต่น้อย มีเพียงแสงจันทร์สลัวส่องเข้ามาจากทางหน้าต่างที่พอจะให้ความสว่างได้บ้างเล็กน้อย
ซีจยามองไปยังลิฟต์ที่นิ่งสนิท จากนั้นก็กลับหลังหันเดินไปที่บันไดแทน เขาเดินขึ้นบันไดไปทีละขั้น โดยเดินจากชั้นหนึ่งไปยังชั้นเจ็ดอย่างช้าๆ และทันทีที่ก้าวออกมาจากโถงบันได สิ่งที่เห็นก็คือประตูระหว่างห้องสองห้องและทางเดินตรงกลาง อย่างไรก็ตามเมื่อห้านาทีก่อนสามีภรรยาคู่นั้นกับนักพรตเต๋ายังยืนบริกรรมพิธีตรงทางเดินกันอยู่เลย แต่ตอนนี้พวกเขากลับหายไปดื้อๆ บนพื้นไม่มีกระดาษยันต์ที่ถูกเผาไหม้ มีเพียงกระถางเหล็กที่ยังคงวางอยู่ตรงมุมผนัง ซึ่งสิ่งที่อยู่ในนั้นคือขี้เถ้าจากกระดาษเงินกระดาษทอง
ประกายแสงจุดเล็กๆ ฉายวาบอยู่ในกระถางเหล็กราวกับเพิ่งมีคนมาเผากระดาษในกระถางใบนี้
ซีจยาก้มหน้ามองกระถางเหล็กใบนั้น หลังจากที่เวลาผ่านไปครู่ใหญ่เขาจึงค่อยเดินไปหน้าประตูบานหนึ่ง ก่อนจะยกมือขึ้นเคาะ จากนั้นก็มีเสียงกระแทกพื้นตึงๆๆ ดังมาจากในห้องอีกครั้ง ตาแมวฉายแววน่าพรั่นพรึง ต่อมาประตูก็เปิดออกเสียงดังเอี๊ยดอ๊าด ซีจยาเงยหน้าขึ้นพร้อมรอยยิ้ม เขามองไปยังผู้หญิงหน้าขาวซีดที่อยู่ตรงหน้าและเด็กชายที่เธอจูงมือมาด้วย
“ผมไม่ใช่เทียนซือ ไม่มีความสามารถอย่างอาจารย์เย่ แล้วก็ไม่ได้เก่งเท่าเผยอวี้ ผมไม่รู้ว่าใครเป็นผี ใครเป็นคน หมัดของผมฆ่าคนไม่ได้ ทำได้แค่ซัดจนวิญญาณแตกกระจาย เพราะงั้น…ใครจะลองเป็นคนแรกดี”
* กระเป๋าเฉียนคุนหรือถุงเฉียนคุน เป็นของวิเศษซึ่งมีมิติพิเศษใหญ่กว่าสภาพที่เห็นจากภายนอกอยู่ด้านใน โดยสามารถจุของได้เป็นจำนวนมาก
* เนื้อความท่อนหนึ่งจาก ‘คาถาศักดิ์สิทธิ์ชำระฟ้าดิน’ ใช้สำหรับปัดเป่าภูตผีสิ่งชั่วร้ายเพื่อชำระล้างบ้านเรือนให้สะอาดปราศจากมลทิน
* หลู่ปัน คือช่างผู้มีความสามารถ ทั้งยังเป็นผู้ริเริ่มคิดค้นสิ่งประดิษฐ์สำหรับใช้ในงานช่าง ซึ่งมีบางอย่างที่ตกทอดมาจนถึงปัจจุบัน และเนื่องจากหลู่ปันมีความสามารถในวิชาชีพช่างราวเทวดา ดังนั้นบรรดาช่างจึงยกให้ท่านเป็นเทพเจ้าประจำอาชีพของงานช่าง
* แส้จามรี คือแส้ที่ทำด้วยขนหางจามรี เป็นเครื่องใช้ประกอบพิธีทางศาสนาชนิดหนึ่ง
** ผินเต้า เป็นคำเรียกแทนตัวเองแบบถ่อมตัวของนักพรตเต๋า
*** ทัณฑ์ห้าสายฟ้า อุปมาว่าไม่ตายดีหรือได้รับโทษอย่างรุนแรง เป็นประโยคที่เกิดขึ้นเนื่องจากชาวจีนมีความเชื่อว่าคนทำเรื่องไม่ดีจะต้องโดนฟ้าลงโทษ โดยห้าสายฟ้าในที่นี้หมายถึงสายฟ้าห้าธาตุ ประกอบด้วยทอง ไม้ น้ำ ไฟ และดิน
** เหล้าสยงหวง เป็นเหล้าโบราณชนิดหนึ่งของจีนที่มีส่วนผสมของกำมะถันและสารหนู มีสรรพคุณช่วยต้านพิษและฆ่าเชื้อโรค มีวิธีการผลิตที่ค่อนข้างซับซ้อน เนื่องจากมีส่วนประกอบที่เป็นสารพิษจึงต้องมีการกำจัดฤทธิ์ของสารพิษให้หมดเสียก่อน ถึงจะสามารถนำมาดื่มได้
* นรกเนี่ยจิ้ง เป็นนรกขุมที่สี่จากนรกสิบแปดขุม ตามความเชื่อของจีน
โปรดติดตามตอนต่อไป…