everY
ทดลองอ่าน พวกผีรู้ดี ชีวิตนี้ฉันผ่านอะไรมาบ้าง เล่ม 1 บทที่ 4 #นิยายวาย
ทดลองอ่าน เรื่อง พวกผีรู้ดี ชีวิตนี้ฉันผ่านอะไรมาบ้าง เล่ม 1
ผู้เขียน : โม่เฉินฮวน
แปลโดย : เฉินเมิ่งหาน
ผลงานเรื่อง : พวกผีรู้ดี ชีวิตนี้ฉันผ่านอะไรมาบ้าง
ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน
จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว
หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย
– – – – – – – – – – – – – – – – –
Trigger Warning
นื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับความรุนแรงในครอบครัว
มีการใช้ความรุนแรง มีการกล่าวถึงเลือด สภาพศพ
การกินเนื้อเผ่าพันธุ์เดียวกัน และสถานการณ์อันน่าขยะแขยง
ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ
สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป
โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
** หมายเหตุ: ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **
– – – – – – – – – – – – – – – – –
บทที่ 4
พอซีจยาพูดจบ สายลมดุจคมมีดจากหมัดที่รุนแรงก็พุ่งตรงเข้าหาผู้หญิงที่ดูเหมือนผีดิบตรงหน้าทันที แต่ถึงอย่างนั้นสีหน้าของผู้หญิงคนนั้นกลับไม่เปลี่ยนไปเลยสักนิด ภายใต้การแต่งหน้างานศพหนาเตอะ ลูกตาสีดำสนิทกลอกไปมาสองที ก่อนที่เธอจะเบี่ยงตัวหลบไปด้านข้างด้วยท่าทางที่แข็งทื่อ แต่เธอกลับนึกไม่ถึงเลยว่าจู่ๆ ซีจยาจะเปลี่ยนทิศทางกลางคันแล้วชกไปที่หน้าของเด็กชายแทน
ผู้ชายต่อยเด็ก ถ้าไปทำเรื่องอย่างนี้ที่โลกภายนอกคงได้ถูกสังคมรุมประณามแน่ แต่สำหรับตอนนี้พอซีจยาออมแรงครึ่งหนึ่งแล้วชกเข้าไปที่ตาซ้ายของเด็กชายตรงๆ อีกฝ่ายกลับไม่มีเลือดไหลออกมาเลยแม้แต่หยดเดียว
ซีจยาชักหมัดกลับมาแล้วก้มหน้ามองไปที่เด็กชาย ก่อนจะพบว่าเบ้าตาซ้ายของเด็กชายคนนั้นยุบลงไป ลูกตาขนาดใหญ่ก็หลุดออกมาครึ่งหนึ่ง เขาเงยหน้าขึ้นอย่างแข็งทื่อพลางพูดด้วยความน้อยใจว่า “พี่ชาย ทำไมพี่ต้องต่อยผมด้วย…”
ซีจยาปล่อยหมัดใส่อีกครั้งโดยไม่ลังเลอีกต่อไป ผู้หญิงคนนั้นจึงได้ดึงเด็กชายวิ่งหนีไปด้านหลังทันที ซีจยาจะไล่ตามไป แต่กลับถูกหมอกสีดำหนาทึบที่ลอยมาจากไหนไม่รู้ขวางหน้าเอาไว้
โลกทั้งใบกลับกลายเป็นสีดำสนิท ที่นี่ไม่ใช่ทางเดินชั้นเจ็ดและไม่ใช่ตรงประตูห้อง แต่เป็นมิติประหลาดแห่งหนึ่ง ซีจยามองไปรอบๆ อย่างระแวดระวัง พื้นที่โดยรอบโล่งกว้างและมีพลังงานสีดำเย็นยะเยือกปกคลุมทั่วทุกซอกมุม มิติแห่งนี้ใหญ่จนผิดปกติ ซีจยาเดินอยู่นาน แต่ก็เหมือนเดินวนอยู่ที่เดิมโดยมีพลังหยินสีดำแผ่ปกคลุมเอาไว้
“ผีก่อกำแพง*?”
ส่งส่งในกระเป๋าเสื้อชะโงกหัวเล็กๆ ของมันออกมาแล้วมองไปรอบด้านอย่างระมัดระวัง โดยที่อู๋เซียงชิงหลีก็สั่นไม่หยุดอยู่ในอุ้งเท้าของส่งส่งราวกับกำลังยอมรับการสันนิษฐานของซีจยา
ซีจยาก้มมองลงไปที่อู๋เซียงชิงหลี “ฉันใช้วิชาอาคมไม่เป็น นายช่วยชี้ทางให้ฉันหน่อยได้ไหม”
อู๋เซียงชิงหลีสั่นไหวชั่วขณะ แล้วจู่ๆ ก็ลอยขึ้นมา ก่อนจะชี้ไปยังทิศทางหนึ่ง ซีจยาเดินตรงไปข้างหน้าเรื่อยๆ ตามหลังมัน จากนั้นหมอกสีดำก็ค่อยๆ ขยายใหญ่ขึ้นจนกระทั่งมองไม่เห็นสภาพแวดล้อมโดยรอบ ซีจยาไม่นึกสงสัยในทิศทางที่อู๋เซียงชิงหลีนำทางไปเลยสักนิด แม้เขาจะกำลังเดินไปยังจุดที่หมอกหนากว่าเดิมทีละก้าวก็ตาม
หลังจากเดินต่อไปอีกห้านาที ในขณะที่หมอกสีดำนี้หนาทึบมากขึ้นเรื่อยๆ จนซีจยามองไม่เห็นอู๋เซียงชิงหลีและทำได้เพียงแค่ปล่อยให้อู๋เซียงชิงหลีลากตนเองไป ทันใดนั้นเขาก็ได้ยินน้ำเสียงที่สั่นด้วยความกลัว ซีจยาจึงเดินตามเสียงนั้นไป เมื่อก้าวไประยะหนึ่งท้องฟ้าก็พลันปลอดโปร่ง หมอกหนาทึบสลายไปในชั่วพริบตา
ในสถานที่โล่งกว้างนั้น ผู้เฒ่านักพรตเต๋าซึ่งสวมหมวกเก้าคาด** และชุดนักพรตสีเทากำลังมองท้องฟ้าด้วยความหวาดผวา เขาโบกสะบัดแส้จามรีสภาพเยินๆ อย่างบ้าคลั่ง ทั้งยังตกใจกลัวจนเดี๋ยวล้มเดี๋ยวลุกครั้งแล้วครั้งเล่า ปากก็พูดซ้ำๆ ด้วยความหวาดกลัวว่า “ฉันแค่หลอกเอาเงินนิดหน่อยเอง ฉันไม่เคยทำร้ายใคร ฉันไม่เคยทำร้ายใคร…”
ผู้เฒ่านักพรตเต๋าคำรามใส่อากาศพร้อมกับควักกระดาษยันต์สารพัดแบบออกมาจากกระเป๋า ทันทีที่ยันต์ของเขาลอยขึ้นไปในอากาศ มันก็ติดไฟเอง นับเป็นเรื่องน่ามหัศจรรย์มาก แต่พอรวมเข้ากับสีหน้าหวาดกลัวนั้นแล้วกลับทำให้อีกฝ่ายดูเหมือนผู้เฒ่านักตุ้มตุ๋นที่คอยเร่แสดงปาหี่ไปในยุทธภพเสียมากกว่า
ซีจยาขมวดคิ้ว
แม้ผู้เฒ่านักพรตเต๋าคนนี้จะเป็นนักต้มตุ๋น แต่การโยนอีกฝ่ายมาที่นี่เฉยๆ มันก็ดูเหมือนจะไม่มีเหตุผลสักเท่าไร เขาเดินเข้าไปพูดคุยกับอีกฝ่าย ทว่าใครจะไปนึกว่าผู้เฒ่านักพรตเต๋าคนนี้กลับดูเหมือนจะมองไม่เห็นเขาทั้งยังไม่ได้ยินสิ่งที่เขาพูดด้วย โดยเอาแต่จมปลักอยู่ในโลกของตัวเอง
หลังจากที่ความพยายามไม่เป็นผล ซีจยาเลยหันหลังจากไปอย่างเด็ดเดี่ยว อู๋เซียงชิงหลีดึงเขาให้เดินหน้าต่อ และค่อยๆ ห่างออกมาจากผู้เฒ่านักพรตเต๋า กระทั่งเขาไม่ได้ยินเสียงของอีกฝ่ายอีกต่อไป
คราวนี้ใช้เวลาเดินนานขึ้น ท่ามกลางความมืดมิดเมื่อซีจยาเปิดโทรศัพท์ขึ้นมาก็เห็นได้ชัดว่าไม่มีสัญญาณ หน้าจอโทรศัพท์ค้างอยู่แบบนั้น เวลาก็ไม่เดินเช่นกัน
หลังจากเดินมาได้ประมาณครึ่งชั่วโมง จู่ๆ ก็มีเสียงหัวเราะเริงร่าดังมาจากไกลๆ จากนั้นภาพครอบครัวแสนสุขสันต์ที่มีกันอยู่ห้าคนก็ปรากฏขึ้นมาต่อหน้าซีจยา
เด็กอายุเจ็ดแปดขวบสองคนกำลังวิ่งเล่นอยู่ในห้อง ภายในห้องที่ไม่ได้ถือว่าใหญ่โตอะไรนั้น หญิงวัยกลางคนกำลังทำอาหารอยู่ในครัว สามีของเธอกำลังอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ในห้องรับแขก และชายชราผมสีดอกเลากำลังนั่งเล่นเกมกับหลานตัวน้อยทั้งสองอยู่บนโซฟา
ฉากนี้ปรากฏขึ้นมาอย่างกะทันหันมาก ซีจยาค่อยๆ เม้มปากและมองไปที่สามีภรรยาคู่นั้น
หนึ่งชั่วโมงก่อนหน้านี้ทั้งคู่ยังทะเลาะตบตีกันยกใหญ่อยู่ข้างล่าง ทั้งก่นด่าสาปแช่งให้อีกฝ่ายรีบไปตายเสียอยู่เลย ทว่าตอนนี้พวกเขากลับดูเหมือนคู่สามีภรรยาตัวอย่างที่รักใคร่กันดี ทั้งครอบครัวเต็มไปด้วยความชื่นมื่นและมีชีวิตที่มีความสุข
เมื่อผู้หญิงคนนั้นนำอาหารมาวางบนโต๊ะ พวกเด็กๆ ก็ส่งเสียงอย่างดีอกดีใจว่า “ได้เวลากินแล้ว” พร้อมกับปีนขึ้นไปบนเก้าอี้ ผู้หญิงคนนั้นแสร้งทำเป็นโกรธ “ยังไม่ล้างมือก็จะกินข้าวแล้วเหรอ” เด็กทั้งสองคนจึงวิ่งไปล้างมือที่ห้องน้ำอย่างช่วยไม่ได้
ครอบครัวห้าคนนั่งอยู่รอบโต๊ะอาหารและกำลังกินอาหารกันอย่างมีความสุข
ซีจยาดูฉากที่พวกเขายิ้มแย้มพลางพูดคุยกันอยู่นาน จากนั้นเขาจึงหยิบอู๋เซียงชิงหลีขึ้นมากดแนบไปกับหน้าอกของตัวเองแน่น
“นายช่วยฉันสกัดกั้นพลังหยินทั้งหมดจนฉันมองไม่เห็นผีได้ใช่ไหม”
วิ้ง!
พลังที่มองไม่เห็นกระจายออกมาจากหน้าทั้งสิบแปดด้านของลูกเต๋าสัมฤทธิ์ พอซีจยาลืมตาขึ้นอีกครั้งก็เห็นว่าเบื้องหน้าไม่มีบ้านน้อยแสนอบอุ่นอีกต่อไป เบื้องหน้ากลายเป็นภาพของชายหญิงคู่หนึ่งที่กำลังคุยกับอากาศ ฝ่ายหญิงกล่าวโทษลูกชายที่ไม่มีอยู่จริงว่าทำไมผลสอบของอาทิตย์ก่อนไม่ได้เรื่อง ส่วนฝ่ายชายก็พูดกับอากาศว่าพรุ่งนี้ผมจะลองพาพ่อไปโรงพยาบาลดูอีกที
ซีจยาถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะนำอู๋เซียงชิงหลีใส่กลับเข้าไปในกระเป๋าเสื้อ ในชั่วพริบตานั้นเอง ห้อง คุณปู่ และหลานอีกสองคนก็ปรากฏขึ้นอีกครั้ง เงาร่างของหลานทั้งสองคนเบาบางมากจนดูเหมือนจะสลายหายไปในวินาทีต่อมา ทว่าเงาร่างของปู่กลับดูเป็นรูปเป็นร่างกว่ามาก
เขาไม่ได้หยุดนิ่งนานนัก ซีจยาไปหาแม่ลูกคู่นั้นอีกครั้ง แต่ในขณะที่เขากำลังจะหันหลังเดินจากไป คุณปู่ซึ่งเป็นสมาชิกคนหนึ่งในครอบครัวห้าคนนั้นก็พยักหน้าขอบคุณเขา ก่อนจะรีบหันกลับไปฟังลูกชายและลูกสะใภ้พูดฉอดๆ ต่อ
อย่างไรก็ตามแม้จะใช้เวลาแค่สิบนาทีในการหาตัวผู้เฒ่านักพรตเต๋าและใช้เวลากว่าครึ่งชั่วโมงในการหาตัวคู่สามีภรรยา ทว่าสำหรับการตามหาตัวสองแม่ลูกนั้นนับว่าหนทางยังเหลืออีกยาวไกล
หลังจากนั้นซีจยาก็เดินอยู่ในหมอกสีดำเป็นเวลานาน เขาไม่รู้เวลาที่แน่ชัด แต่อย่างน้อยก็คงผ่านไปหนึ่งชั่วโมงได้แล้ว เขายังคงค้นหาไม่หยุดท่ามกลางพลังหยินอันเข้มข้นนี้ มันเข้มข้นมากถึงขนาดที่แม้แต่อู๋เซียงชิงหลีก็ชี้ไปผิดทางครั้งแล้วครั้งเล่าจนหาตัวอีกฝ่ายไม่เจอ
ขณะที่ไม่รู้ว่าเดินมานานแค่ไหนแล้ว ทันใดนั้นซีจยาก็ได้ยินเสียงฝีเท้าแผ่วเบาระลอกหนึ่ง เขามองไปทางด้านหลังอย่างระมัดระวัง มือกำหมัดแน่น จากนั้นพลังหยินสีแดงโลหิตก็ปรากฏขึ้นมาล้อมรอบนิ้วของเขา
อย่างไรก็ตามเสียงนั้นยังคงใกล้เข้ามาเรื่อยๆ
เมื่อมีหมอกสีดำขวางกั้นเอาไว้ ซีจยาจึงเห็นอีกฝ่ายไม่ชัด กระทั่งเสียงนั้นเดินมาอยู่ตรงหน้า เขาก็ปล่อยหมัดใส่อย่างฉับพลัน แต่อีกฝ่ายกลับหลบได้เสียอย่างนั้น
คนคนนั้นเดินมาข้างหน้าอีกก้าวหนึ่งแล้วพูดอย่างตื่นเต้นยินดีว่า “ซีจยา? ในที่สุดก็หานายเจอสักที!”
ซีจยาพูดอย่างอึ้งๆ “เผยอวี้? ใช่คุณจริงๆ เหรอ” เขาพูดพลางหยิบอู๋เซียงชิงหลีออกมาจากกระเป๋าเสื้อแล้วฟาดไปที่ร่างของเผยอวี้คนนั้นทันที
เผยอวี้ขยับหลบด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัว “ทำอะไรของนายเนี่ย!”
ซีจยาพูดอย่างเฉยเมย “ถ้าคุณเป็นเผยอวี้ตัวจริงไม่ใช่ผี ทำไมถึงต้องหลบอู๋เซียงชิงหลีด้วย”
เผยอวี้พูดด้วยความโมโห “ถ้าอู๋เซียงชิงหลีโดนตัวผีจะทำให้วิญญาณสลายไป แต่ถ้าโดนตัวคนเข้าใครจะไปรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น! นั่นคืออู๋เซียงชิงหลีของมัจจุราชเย่เชียวนะ เอามาใช้ซี้ซั้วได้ซะที่ไหนกัน นายรีบเก็บมันเลยนะ ถ้ามันโดนฉันเข้าแล้วฉันได้รับบาดเจ็บ นายจะชดใช้ให้ฉันไหม!”
ซีจยา “…”
เขาคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะแกว่งอู๋เซียงชิงหลีไปมาต่อหน้าเผยอวี้
เผยอวี้ตกใจจนถอยหนีไปด้านหลัง ซีจยาถอนหายใจแล้วพูดว่า “อืม ผมแน่ใจแล้วว่าคุณไม่ใช่ผี คุณกลับมาเถอะ”
เผยอวี้ “…นายเก็บอู๋เซียงชิงหลีก่อนสิ!”
ซีจยาพูดหน้านิ่ง “เก็บแล้ว ไม่ต้องกลัวแล้ว กลับมาเถอะ”
จากนั้นเผยอวี้ถึงได้เดินกลับมาอย่างไม่ค่อยจะเต็มใจนัก
จากคำบอกเล่าของเผยอวี้ ตอนนี้ซีจยาถึงได้รู้ว่าตัวเองอยู่ในมิติผีก่อกำแพงมาสามชั่วโมงแล้ว โดยกว่าครึ่งชั่วโมงที่แล้วเผยอวี้ได้นั่งเครื่องบินทหารไปยังสนามบินทหารแห่งหนึ่งในเมืองซู แล้วรีบมาที่เขตชุมชนนี้อย่างรวดเร็ว
เมื่อเห็นพลังหยินที่ปะทุรุนแรงจากระยะไกล ครั้งนี้เผยอวี้ไม่กล้าที่จะตระหนี่อีกต่อไป เขาหยิบของวิเศษก้นหีบของตัวเองออกมาเพื่อสะกดพลังหยินในเขตชุมชนให้อยู่ภายในเขตชุมชนนี้เท่านั้น โดยไม่ให้มันแผ่กระจายออกไปด้านนอก จากนั้นเขาก็วิ่งเข้ามาตามหาซีจยาในอาคารนี้
เผยอวี้น้อยอกน้อยใจ “ฉันอุตส่าห์รีบถ่อมาช่วยนายโดยไม่สนว่าทางจะไกลแค่ไหน แต่นายกลับจะเอาอู๋เซียงชิงหลีมาฟาดฉันเนี่ยนะ!”
ซีจยาพูดอย่างช่วยไม่ได้ “…นี่ก็เป็นเพราะผมกังวลว่าคุณจะเป็นภาพลวงตาที่สร้างขึ้นจากผีก่อกำแพงนี่ ตอนที่เดินอยู่ในพลังหยินผมได้เห็นพ่อของผมที่ตายไปหลายปีแล้ว แม้แต่แม่ที่ผมไม่เคยเจอก็ยังโผล่มาด้วยเลย”
เผยอวี้จริงจังขึ้นมา “งั้นเด็กผู้ชายคนนั้นเป็นผีเหรอ แน่ใจนะ?”
ซีจยาถามกลับไปว่า “คุณเคยเห็นคนที่โดนซัดจนลูกตาหลุดออกมาแล้วยังพูดได้ตามปกติโดยไม่มีเลือดออกสักหยดด้วยเหรอ ความจริงผมไม่ได้ออกแรงมากด้วยซ้ำ มันเป็นไปไม่ได้เลยที่เขาจะโดนซัดจนกลายเป็นแบบนั้น แต่ร่างกายของเขาบอบบางอย่างกับเต้าหู้ แค่โดนเบาๆ ลูกตาก็หลุดออกมาแล้ว”
ทั้งสองเดินไปข้างหน้าต่อท่ามกลางพลังงานสีดำ
คราวนี้พอมีเผยอวี้อยู่ด้วยจึงไม่จำเป็นต้องให้ของวิเศษสำหรับปราบผีอย่างอู๋เซียงชิงหลีค้นหาเส้นทางแบบสุ่มสี่สุ่มห้าอีกต่อไป
เผยอวี้หยิบหลัวผานที่มีขนาดเล็กและประณีตออกมาจากกระเป๋าเฉียนคุน หลัวผานอันนี้มีขนาดเล็กกว่าครึ่งหนึ่งเมื่อเทียบกับอันที่เขาเคยใช้มาก่อน หมุดเดือยสีแดงโลหิตและเข็มแม่เหล็กสีดำสนิทในบ่อสวรรค์* ทั้งสองอย่างสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงอยู่ภายในบ่อ จากนั้นเมื่อหัวเข็มและเส้นท้องทะเลบรรจบกัน เผยอวี้ก็เอ่ยขึ้นว่า “ไปทางนี้”
พวกเขาเดินช้ามาก โดยกำลังเดินออกจากพื้นที่ซึ่งมีพลังหยินหนาแน่นมากที่สุดทีละก้าว ต่อมาหลังจากเผยอวี้ใช้หลัวผานเพื่อหาทางเป็นครั้งที่สิบเก้า ซีจยาก็ได้ยินเสียงกระแทกพื้นที่คุ้นเคยดังตึงๆๆ
ทั้งสองสบตากันแวบหนึ่ง ก่อนจะรีบจ้ำอ้าวไปข้างหน้า
หมอกหนาพลันจางหาย แสงไฟสาดส่องลงมา ภายในห้องครัวที่ห่างออกไปไม่ไกลมีเด็กชายตัวเล็กที่ดวงตาข้างซ้ายหลุดมาทั้งดวงกำลังนั่งอยู่ที่โต๊ะเพื่อรอเวลากินข้าวเงียบๆ อย่างน่าเอ็นดู ซีจยาเดินเข้าไปในครัวอีกที ทว่าเขายังไม่ทันได้พูดอะไรก็เห็นหญิงสาวคนนั้นค่อยๆ แกะผ้าพันแผลที่แขนขวาออก
ตั้งแต่ครั้งแรกที่เขาเห็นผู้หญิงคนนี้ ซีจยาก็สังเกตเห็นว่ามือขวาของอีกฝ่ายพันผ้าพันแผลเอาไว้แล้วคล้องไว้ที่คออีกที
เมื่อแกะผ้าพันแผลออก แรกๆ ก็ยังเป็นผ้าสีขาว แต่พอแกะไปถึงช่วงหลังๆ ก็เผยให้เห็นคราบเลือดไม่น่ามองและน้ำหนองสกปรกที่ซึมติดอยู่บนผ้าพันแผล พอแกะผ้าพันแผลไปจนถึงช่วงสุดท้าย ด้วยความที่มีน้ำหนองติดอยู่ที่ผ้าพันแผลจึงทำให้เนื้อหนังถูกดึงติดมาด้วยเล็กน้อย
เมื่อเผยอวี้เห็นฉากนี้เข้า ถึงแม้จะมีประสบการณ์มากแค่ไหนก็ยังรู้สึกสะอิดสะเอียนจนต้องหันกลับมาส่งเสียงโอ้กอ้ากอยู่ดี
ซีจยาเบิกตากว้างพลางจ้องเขม็งไปที่แขนขวาของผู้หญิงคนนั้น
แขนขวาข้างนั้นนับตั้งแต่ข้อมือลงมาขาดหายไปทั้งหมดเหมือนกับว่าถูกใครบางคนสับ สับมือของคนเป็นๆ ทั้งคนราวกับการหั่นเนื้อหมู รอยตัดปากแผลไม่เรียบร้อย น่าจะเป็นเพราะถูกสับออกครั้งแล้วครั้งเล่า ไม่ได้ถูกหั่นเป็นสองส่วนในฉับเดียว ตอนนี้บนพื้นผิวที่ถูกหั่นนั้นมีน้ำหนองสีเหลืองขุ่นและเลือดที่เริ่มกลายเป็นสีดำรวมตัวกัน ทั้งยังมีหนอนสีขาวชอนไชอยู่ที่ปากแผลอีกด้วย
ผู้หญิงคนนั้นหยิบมีดสีเขียวเข้มเล่มเล็กขึ้นมาด้วยใบหน้าที่ไร้ซึ่งความรู้สึกราวกับผีดิบ เธอมองแขนขวาของตัวเองอย่างเฉยเมย จากนั้นก็ฟันลงไป
ซีจยาเบิกตาโพลงมองผู้หญิงคนนั้นเฉือนเนื้อของตัวเองราวกับว่านั่นไม่ใช่ร่างของเธอ!
มีดเล่มเล็กคมมาก มันเฉือนเนื้อเราะกระดูกออกได้อย่างเฉียบคม
ผู้หญิงคนนั้นเฉือนเนื้อเก้าชิ้นใส่ลงในชาม แขนขวาของเธอขาดหายไปอีกหนึ่งส่วน เลือดสดๆ ไหลออกมาจนเต็มไปทั่วทั้งห้องครัว ทว่าเหมือนเธอจะไม่รู้สึกเจ็บปวดหรืออ่อนแรงแต่อย่างใด แสงสีเขียวเข้มปรากฏขึ้นบนบาดแผลของเธอ จากนั้นเลือดก็ค่อยๆ หยุดไหล
ซีจยากับเผยอวี้มองดูผู้หญิงคนนั้นเดินผ่านหน้าพวกเขาไป แล้วนำชามเนื้อมนุษย์ไปวางตรงหน้าเด็กชายตัวน้อย ดวงตาทั้งสองข้างของเด็กชายเป็นประกาย เขาคว้าเนื้อขึ้นมาด้วยท่าทีตื่นเต้นแล้วยัดเข้าปาก
ซีจยาก้าวไปข้างหน้าแล้วผลักชามเนื้อลงไปที่พื้น แต่เด็กชายกลับหมอบลงไปกัดกินเนื้อพวกนั้นที่อยู่บนพื้นราวกับต้องมนตร์ ทุกครั้งที่เขากัดเนื้อเข้าไปหนึ่งคำ ใบหน้าของผู้หญิงจะซีดลงเล็กน้อย เส้นผมก็ร่วงลงมาทีละหน่อยทำให้ดูเหมือนผีดิบมากขึ้นไปอีก
พอเห็นฉากนี้ซีจยาก็หันไปพูดกับเผยอวี้ว่า “เธอเป็นมนุษย์ ส่วนเด็กผู้ชายคนนั้นเป็นผี!”
ขณะที่พูดซีจยาก็ชูหมัดขึ้นมา ก่อนจะชกไปที่ด้านหลังศีรษะของเด็กชายตัวน้อย ทว่าขณะที่เขากำลังจะชกโดนเส้นผมของเด็กชาย มือเรียวยาวข้างหนึ่งก็คว้าหมับเข้าที่ข้อมือ หยุดการเคลื่อนไหวของเขาเอาไว้
ซีจยาเงยหน้าขึ้นมอง ท่ามกลางพลังหยินที่รุนแรงนั้น เทียนซือชุดดำผู้หล่อเหลาและเย็นชาหลุบตามองเขาด้วยสีหน้าตกใจราวกับคิดไม่ถึงว่าเขาจะมาอยู่ที่นี่ หลังจากผ่านไปครู่หนึ่งเย่จิ้งจือก็ขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “เขาเป็นผีจริงๆ นั่นแหละครับ แต่ตอนนี้สิ่งที่เขากำลังใช้คือร่างกายของตัวเอง ต่อให้คุณหั่นเขาเป็นหมื่นๆ ชิ้นก็ฆ่าเขาไม่ได้อยู่ดี เพราะมีคน…เฉือนเนื้อพันธนาการวิญญาณของเขาเอาไว้”
ในสถานการณ์เร่งด่วนเย่จิ้งจือพลิกมือกางเขตอาคมเพื่อผนึกแม่ลูกคู่นั้นไว้ข้างในทันที แตกต่างจากเผยอวี้ที่ได้แต่ยืนเฉยอยู่ตรงนั้น โดยภายในเขตอาคมนั้นเด็กชายตัวเล็กยังคงหมอบกัดทึ้งเนื้ออย่างเอาเป็นเอาตายอยู่บนพื้นราวกับสุนัขที่ไร้ซึ่งความเป็นมนุษย์ ส่วนผู้หญิงก็พุ่งเข้าใส่เขตอาคมครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ก็ถูกขังไว้ด้านในอย่างแน่นหนา
เย่จิ้งจือมองไปที่แม่ลูกคู่นั้น มือก็ขยับร่ายอาคมโดยไม่ท่องคาถา ก่อนจะยกนิ้วชี้ไปทางเขตอาคม พริบตาเดียวก็มีด้ายสีเขียวเข้มโผล่ออกมาจากร่างของเด็ก แล้วเชื่อมเข้ากับแขนขวาที่อาบเลือดของผู้หญิงคนนั้น
ดวงตาของซีจยาฉายแววจริงจังขึ้นมา จู่ๆ เขาก็เริ่มเข้าใจอะไรบางอย่าง ส่วนเย่จิ้งจือก็เขียนยันต์กลางอากาศอีกครั้ง บริเวณที่นิ้วมือของอีกฝ่ายลากเส้นผ่านพลันเกิดอักขระยันต์สีทองปรากฏขึ้นกลางอากาศ ต่อมาเมื่อลากเส้นสุดท้ายเสร็จ แสงสีทองก็ส่องสว่างไปทั่วทั้งห้อง แสงสีทองได้รวมตัวกันตรงแขนขวาที่ขาดไปแล้วของหญิงสาวกลายเป็นมือข้างหนึ่งซึ่งกำลังจูงมือเด็กชายที่อยู่ในสภาพแสงสีทองอันเลือนรางเอาไว้
ฉากนี้เสียดสีกับความเป็นจริงมากเกินไป เพราะในความเป็นจริงเด็กน้อยกำลังหมอบกินเนื้อของผู้เป็นแม่อยู่บนพื้น ทว่าภายใต้แสงสีทองนั้นหญิงผู้เป็นแม่กำลังกุมมือเด็กน้อยเอาไว้
เมื่อเห็นแสงสีทองที่ปรากฏขึ้นบนมือขวาของตัวเองและเด็กชายที่เธอจูงมืออยู่อย่างไม่มีสาเหตุ หญิงสาวก็หยุดการพุ่งชนเขตอาคมอย่างฉับพลัน เธอมองดูเด็กชายที่เกิดจากการรวมตัวของแสงสีทองด้วยความงุนงง แล้วสุดท้ายก็ทรุดลงไปกองกับพื้นพลางร้องไห้โฮเสียงดังลั่น
เย่จิ้งจือชำเลืองมองแวบหนึ่ง ก่อนจะหันมาพูดว่า “พันธนาการวิญญาณเป็นวิชาลับอย่างหนึ่งของการขนศพเซียงซี* มักจะใช้เลือดในการเลี้ยงศพ ดังนั้นจึงต้องจูงมือของวิญญาณเอาไว้เพื่อควบคุมศพและนำพวกเขากลับไปฝังที่บ้านเกิด”
เสียงเย็นยะเยือกดังขึ้นท่ามกลางหมอกหนาที่มืดมิด ซึ่งซีจยาก็ตั้งอกตั้งใจฟังเป็นอย่างดี
“การเฉือนเนื้อพันธนาการวิญญาณไม่ค่อยมีให้พบเห็นสักเท่าไร และไม่ได้ถือว่าเป็นวิชาลับที่อันตรายด้วย แค่ป้อนเลือดนิดเดียวก็ใช้ได้แล้ว แต่แม่คนนี้ไม่มีอาคมไม่น่าจะพันธนาการวิญญาณได้ เพราะแบบนั้นเธอถึงได้ใช้การเฉือนเนื้อพันธนาการวิญญาณโดยอาศัยการจูงมือขวาของเด็กทุกวันเป็นสื่อกลางในการพันธนาการวิญญาณและให้เลือดเนื้อเป็นตัวกระตุ้นเพื่อทำให้วิญญาณของเด็กคนนี้ยังคงอยู่ในโลกมนุษย์”
ก่อนที่เย่จิ้งจือจะมา ซีจยาเดินตามอยู่ด้านหลังเผยอวี้ได้เฝ้าดูหมอผีต้มตุ๋นแซ่เผยถือหลัวผานเดินมั่วซั่วไปทั่ว แต่หลังจากเย่จิ้งจือมาถึง แค่เขาพลิกฝ่ามือก็สร้างเขตอาคมขึ้นมากักขังสองแม่ลูกเอาไว้ได้แล้ว แถมยังมีเวลามาอธิบายสถานการณ์ของแม่ลูกคู่นั้นอย่างใจเย็นอีกด้วย
เมื่อนึกถึงตรงนี้ซีจยาก็อดไม่ได้ที่จะหันไปมองเผยอวี้ที่อยู่ข้างๆ ทำไมคุณถึงได้ห่างชั้นกับเขาขนาดนี้เนี่ย
เผยอวี้ถลึงตาใส่ เอาฉันไปเทียบกับเขาได้ไงกัน นั่นมัจจุราชเย่เลยนะ! นายไปถามว่าในวงการศาสตร์ลี้ลับจะมีสักกี่คนที่กล้าเอาตัวไปเทียบกับเขา อยากจะเข้าไปเลียแข้งเลียขาเขายังไม่ทันเลยโอเคไหม!
ซีจยาส่ายศีรษะอย่างไม่สบอารมณ์กับความไม่เอาอ่าวของอีกฝ่าย
ถ้านี่เป็นลูกชายของเขา เขาได้ตบผัวะให้กลับไปอยู่ในท้องแม่แน่ๆ
ไร้ประโยชน์เกินไปแล้ว!
เย่จิ้งจือเพิ่งจะมองไปที่เผยอวี้ในตอนนี้เอง บนใบหน้าเย็นชาของเขาไม่มีการแสดงออกใดๆ เขาเพียงพยักหน้าให้เล็กน้อย “สหายนักพรตเผย”
เผยอวี้หัวเราะแห้งๆ สองที จากนั้นก็ไปทำตัวลีบอยู่ข้างหลังซีจยาโดยไม่รู้ตัว ในขณะเดียวกันก็หัวเราะแหะๆ พลางพูดว่า “มัจจุระ…ระ…ระ…สหายนักพรตเย่!”
ดูเหมือนเย่จิ้งจือจะฟังไม่ออกว่าอีกฝ่ายพูดอะไร เขาพูดเรียบๆ ว่า “ผมรับรู้ได้ว่าหยดเลือดของผมแตกสลายไป ถึงได้มาดูว่าเกิดอะไรขึ้น ไม่นึกเลยว่าจะเป็นสหายนักพรตเผย”
เผยอวี้รีบพูดอย่างประจบประแจงทันที “ผมซื้อเองครับๆ ผมใช้คะแนนเจ็ดสิบสองคะแนนซื้อมา ผีน้อยตนนี้ร้ายกาจกว่าที่ผมคิดไว้ ไม่รู้ว่าทำไมถึงสามารถทำลายหยดเลือดของสหายนักพรตเย่ได้ด้วย ช่างไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงจริงๆ สหายนักพรตเย่ ผมจะจัดการผีน้อยตนนี้เดี๋ยวนี้เลย จะไม่ให้เขาสร้างปัญหาได้อีก เฮ้! เจ้าผีน้อย มาให้จัดการซะโดยดี!”
เผยอวี้พูดพลางถกแขนเสื้อขึ้นและเข้าไปในเขตอาคม
ซีจยา “…”
เย่จิ้งจือเหลือบมองแวบหนึ่งด้วยแววตาสงบนิ่ง ปล่อยให้อีกฝ่ายไปชิงคะแนน เขาหันหลังกลับมามองซีจยา หลังจากที่สังเกตอยู่ครู่หนึ่งเขาก็ขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “พลังหยินของคุณหนาแน่นขึ้นกว่าที่ผมเคยเห็นก่อนหน้านี้นิดหน่อย คุณสวมพระบรมสารีริกธาตุชิ้นนี้ไว้ก่อนนะครับ หลังจากนี้ผมจะท่องคาถาใส่มันทุกวัน พอผ่านไปสี่สิบเก้าวันมันก็จะสามารถดูดซับพลังหยินของคุณได้เหมือนกับหินไท่ซานก้อนนั้น ส่วนตอนนี้มันสามารถช่วยปกปิดพลังหยินส่วนใหญ่ของคุณได้”
การพบกันอีกครั้งในสถานที่แบบนี้พาให้รู้สึกกระอักกระอ่วนเล็กน้อย ซีจยาได้แต่รับพระบรมสารีริกธาตุโปร่งแสงมาจากมือของเย่จิ้งจือ แล้วพูดขึ้นอย่างรู้สึกเกรงใจอยู่หน่อยๆ ว่า “นี่มัน…มีค่าเกินไปหรือเปล่าครับ”
เย่จิ้งจือกล่าว “ผีอาฆาตชอบกินมนุษย์ธรรมดาที่มีพลังหยินเข้มข้น หลังจากกินเข้าไปแล้วจะทำให้มันมีพลังเพิ่มขึ้นและทำให้รับมือได้ยากขึ้น ถ้าไม่มีอะไรปกปิดพลังหยินของคุณเอาไว้ เกรงว่าผีอาฆาตจำนวนนับไม่ถ้วนคงมาตามหาคุณที่นี่ จนทำให้วงการศาสตร์ลี้ลับเกิดความโกลาหลครั้งใหญ่”
ซีจยา “…” ฉันไม่ได้พูดถึงเรื่องนี้ซะหน่อย!
หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง ในที่สุดซีจยาก็นึกคำคำหนึ่งขึ้นมาได้อย่างยากลำบาก “อาจารย์เย่ ช่าง…จิตใจดีมีเมตตาจริงๆ”
เย่จิ้งจือ “…”
หลังจากกระอักกระอ่วนกันอยู่นาน เสียงที่ทั้งทุ้มต่ำและราบเรียบก็ดังขึ้น “ขอบคุณที่ชมครับ”
ซีจยา “…”
ต้องเป็นแบบอย่างทางศีลธรรมของวงการศาสตร์ลี้ลับนั่นแหละ ไม่ผิดแน่!
ก่อนหน้านี้ซีจยาเคยพบอาจารย์เย่คนนี้เพียงแค่ครั้งเดียว หลังจากนั้นก็เคยแต่ได้ยินเผยอวี้พูดว่าอีกฝ่ายน่ากลัวและน่าครั่นคร้ามมากแค่ไหน ตอนนี้พอกลับมาพบกันอีกครั้งภายใต้สถานการณ์แบบนี้ พวกเขาสองคนเลยไม่รู้ว่าจะพูดอะไร และได้แต่มองหน้ากันเงียบๆ ทว่าหลังจากนั้นไม่นานก็ได้ยินเสียงกระแทกตึงดังลั่น ทั้งคู่จึงหันไปมองทันที
เผยอวี้ในสภาพผมกระเซอะกระเซิงพูดอย่างร้อนรนว่า “หนีไปแล้ว! ผู้หญิงคนนั้นฉวยโอกาสตอนที่ฉันไม่ทันระวังพาลูกชายของเธอหนีไปแล้ว!”
ซีจยา “…” ไหนลองบอกมาทีซิว่านายยังมีประโยชน์อะไรอยู่อีก!
ท่ามกลางหมอกหนาที่มืดมิดจะไปตามหาแม่ลูกคู่นั้นอีกครั้งที่ไหนกัน ชั่วขณะหนึ่งพวกเขาจึงชะงักไปอีกครั้ง
เผยอวี้ทั้งโมโหทั้งร้อนใจ ส่วนซีจยานั้นพูดไม่ออก เขาถึงขั้นอยากจะชูป้ายเพื่อบอกให้โลกรู้แทบใจจะขาดว่า ‘ฉันไม่รู้จักเจ้าตัวไร้ประโยชน์นี่’ แต่ท้ายที่สุดแล้วมัจจุราชเย่ก็คือมัจจุราชเย่ เย่จิ้งจือยังคงมีสีหน้านิ่งสงบ เขายกมือซ้ายขึ้นพลางเอ่ยเรียก “อู๋เซียงชิงหลี”
ลูกเต๋าสัมฤทธิ์ขนาดเล็กที่ประณีตกำลังเล่นกับส่งส่งอยู่ในกระเป๋าเสื้อของซีจยา เมื่อได้ยินเสียงนั้นมันก็สั่นสองที ส่งส่งกะพริบตามองไปที่ลูกบอลเล็กๆ นั่นอย่างอยากรู้อยากเห็น พอผ่านไปครู่หนึ่งอู๋เซียงชิงหลีก็สงบลงอีกครั้งและตัดสินใจว่าจะเล่นกับส่งส่งอีกสักพัก
เย่จิ้งจือ “…อู๋เซียงชิงหลี!”
สิ้นเสียงที่ทั้งเย็นชาและเฉียบขาด ทันใดนั้นลูกเต๋าสิบแปดหน้าสีดำก็พุ่งออกมาจากกระเป๋าเสื้อของซีจยา ก่อนจะไปตกลงที่กลางฝ่ามือของเย่จิ้งจือ พอเขาบิดนิ้วมือลูกเต๋าสัมฤทธิ์ก็เริ่มหมุนตัวขึ้นไปลอยคว้างอยู่กลางอากาศทันที สัมฤทธิ์ทั้งสิบแปดหน้าหมุนไม่หยุด แล้วจู่ๆ หน้าลูกเต๋าด้านหนึ่งก็หยุดอยู่ตรงหน้าเย่จิ้งจือ จากนั้นเย่จิ้งจือก็เอื้อมมือไปแตะ ก่อนจะชักกระบี่ยาวสีทองออกมาจากหน้าลูกเต๋าด้านนั้น
ทันทีที่กระบี่ถูกชักออกจากฝัก…ออกจากลูกเต๋า พลังงานสีดำที่โหมกระหน่ำอยู่รอบด้านก็หยุดลงโดยไม่คาดคิด เย่จิ้งจือถือกระบี่ไว้ในมือขวาแล้วฟันตรงไปข้างหน้า อำนาจกระบี่ทรงพลัง แสงสีทองพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้าส่งผลให้พลังหยินสีดำถูกผ่าแหวกออกจากกัน
ทั่วทุกบริเวณที่แสงสีทองส่องไปถึง พลังหยินก็พลันแตกกระเจิง
หลังจากนั้นไม่นานพลังงานสีดำทั้งหมดก็สลายไป และจู่ๆ ซีจยาก็พบว่าตัวเองกลับมายืนอยู่ที่บันไดชั้นเจ็ดแล้ว! ตรงมุมผนังยังมีกระถางเหล็กที่เคยใช้เผากระดาษเงินกระดาษทองวางเอาไว้อยู่ ประตูห้องสองฝั่งของทั้งสองครองครัวเปิดกว้าง ผู้เฒ่านักพรตเต๋ากับสามีภรรยาคู่นั้นนอนหมดสติอยู่ที่มุมมุมหนึ่ง บริเวณชั้นเจ็ดที่แสนวังเวงนั้นปราศจากการเคลื่อนไหว
เย่จิ้งจือหลับตาลง จากนั้นพอลืมตาขึ้นอีกครั้งก็พูดว่า “ผมจะไปดูทางนี้ พวกคุณไปทางนั้นก็แล้วกัน”
ทั้งๆ ที่เห็นได้ชัดว่าเย่จิ้งจือไม่เคยมาที่อาคารหลังนี้ แต่เย่จิ้งจือกลับเข้าไปในห้องของแม่ลูกคู่นั้นได้อย่างแม่นยำ
ซีจยาพูดขึ้น “อาจารย์เย่เก่งขนาดนี้เชียว เขารู้ด้วยเหรอว่าประตูไหนเป็นของแม่ลูกคู่นั้น”
เผยอวี้พูดทั้งเนื้อตัวสั่นเทา “…มัจจุราชเย่ที่มีอู๋เซียงชิงหลีอยู่ด้วย ไม่ไหว น่ากลัวเกินไปแล้ว ฉันจะกลับบ้าน!”
ซีจยาฟาดผัวะเข้าให้อย่างทนไม่ไหวอีกต่อไป “เข้ามา!”
ในเมื่อเย่จิ้งจือเลือกประตูที่อันตรายไปแล้ว นั่นเท่ากับว่าซีจยาและเผยอวี้แค่เข้าไปเดินเที่ยวเล่นในประตูอีกบานก็เท่านั้นเอง ที่อยู่ของคู่สามีภรรยามีการจัดวางเค้าโครงแบบเดียวกันกับห้องของซีจยา ซีจยาเดินอย่างสบายๆ ไปทั่วทั้งห้องนอนใหญ่ ห้องนอนเล็ก ห้องครัว ห้องน้ำ และห้องรับแขก เมื่อเดินดูห้องรับแขกเสร็จเขาก็พลันชะงักฝีเท้า
“ถ้าบอกว่าพวกเขาเคยเป็นครอบครัวห้าคนที่อาศัยอยู่ด้วยกัน ห้องนอนใหญ่ของสามีภรรยา ห้องนอนเล็กของลูกอีกสองคน แล้วคุณปู่จะอยู่ที่ไหน”
เผยอวี้ชี้ไปยังประตูบานหนึ่งที่อยู่ตรงมุมโดยไม่ได้คิดอะไร “ตรงนั้นยังมีประตูอยู่อีกบานไม่ใช่เหรอ”
ซีจยาขมวดคิ้ว “ห้องเก็บของของห้องผมอยู่ตรงนั้น ขนาดแค่สามตารางเมตรเอง”
“แล้วจะอยู่ที่ไหนได้อีก ยังไงก็คงไม่ปูฟูกนอนบนพื้นหรอกจริงไหม”
ซีจยาไม่ตอบ เขาก้าวไปข้างหน้าแล้วเปิดประตูบานนั้น ทันทีที่ประตูเปิด แสงจันทร์ที่ให้ความรู้สึกอำมหิตและเย็นยะเยือกก็สาดส่องเข้ามาจากหน้าต่างเล็กแคบ ซีจยาค่อยๆ หรี่ตาลงจ้องมองชายชราที่นั่งขดตัวอยู่บนเตียงเหล็ก
เผยอวี้ก็ตามเข้ามาด้วย พอเห็นห้องนี้เขาก็พูดด้วยความตกใจ “ห้องแบบนี้คนอยู่ได้ด้วยเหรอ!”
ซีจยา “เผยอวี้ ลองใช้เนตรหยินหยางของคุณดูสิ”
เผยอวี้รีบวาดยันต์ทันที พอมองห้องนี้อีกครั้งเขาก็เบิกตากว้าง “ผี?!”
ภายในห้องทั้งอับชื้นและสกปรก ข้าวของระเกะระกะกองสุมกันจนชนเพดาน มีเตียงเหล็กกว้างครึ่งเมตรตั้งอยู่กลางห้อง โดยที่บนเตียงมีชายชราร่างผอมจนเห็นกระดูกนั่งอยู่ตรงขอบเตียงในสภาพรันทด ดวงตาดำมืดคู่หนึ่งมองไปที่ซีจยาและเผยอวี้ จากนั้นเขาก็ค่อยๆ แสยะมุมปากเผยให้เห็นฟันสีดำสนิทและเลือดเนื้อที่ติดอยู่ในซอกฟัน
“ทำไม…ต้องทำลายโลกที่ดีงามขนาดนั้นด้วย”
เผยอวี้เผยสีหน้าเยือกเย็น เขารีบดึงยันต์แผ่นหนึ่งออกมาจากกระเป๋าเฉียนคุน แต่ยังไม่ทันได้ท่องคาถาก็ดันถูกพลังหยินที่ทรงพลังซัดกระเด็นไปข้างหลังเสียก่อน
“พรุ่งนี้ลูกชายคนโตจะพาฉันไปโรงพยาบาล หลานคนโตกับคนเล็กยังอยู่ ลูกสะใภ้ก็ไม่ได้ด่าหรือไล่ฉันไปตายทุกวัน…ทำไม ทำไมต้องทำลายโลกที่ดีงามขนาดนั้นด้วย”
ชายชราบนเตียงเหล็กลุกขึ้นยืน กระดูกลั่นดังกร๊อบๆ แขนขาของเขาบิดเบี้ยว ศีรษะด้านหลังก็แตกจนเกิดเป็นหลุมเลือดขนาดเท่าปากชามข้าว เขาคลานไปหาซีจยาพร้อมทั้งรอยยิ้มชวนสยองบนใบหน้า
“พลังหยินของแกเข้มข้นมาก ถ้ากินแกเข้าไปต้องมีประโยชน์กว่ากินเจ้าเด็กนั่นแน่ๆ พอกินแกเข้าไปแล้ว…ลูกชายคนโตกับลูกสะใภ้จะได้กลับมาอยู่กับฉัน…กินแก…ฉันจะกินแก!!!”
ทันใดนั้นเสียงที่ไม่ต่างจากเสียงกรีดร้องก็ดังขึ้น ชายชราใช้แขนขาทั้งสี่ข้างคลานไปหาซีจยาราวกับแมงมุม เผยอวี้รีบท่องคาถาและวาดยันต์ทันที แต่กลับถูกพลังหยินที่ทรงพลังซัดจนปลิวครั้งแล้วครั้งเล่าโดยที่ไม่สามารถต้านทานได้ ซึ่งเขาไม่รู้เลยว่าซีจยานั่นแหละที่ยืนอยู่ในจุดที่พลังหยินเข้มข้นที่สุด ดวงตาของเขาเบิกกว้าง มองพลังหยินสีแดงที่พัวพันร่างของผีเฒ่าด้วยความตกตะลึง
“ฉันจะกินแก!”
ปากของชายชราอ้ากว้าง ปากใหญ่โตนั้นมีขนาดเท่าหัวกะโหลกและเต็มไปด้วยเลือด ซีจยาเบี่ยงตัวหลบโดยยังคงจับจ้องไปที่พลังหยินสีแดงสายนั้น
เผยอวี้ตะโกนเสียงดังด้วยความร้อนใจ “ซีจยา! มานี่เร็ว ผีตนนี้ร้ายกาจเกินไป ร้ายกาจกว่าผีเด็กตนนั้นมาก เรารีบไปหามัจจุราชเย่กันเถอะ มีแต่เขาที่จะปราบผีร้ายตนนี้…ได้…ฉิบหาย!!!”
ซีจยาปล่อยหมัดออกไป แต่ผีเฒ่าไม่ได้ให้ความสำคัญกับมันเลย และยังคงพุ่งตรงไปหาซีจยา จากนั้นเผยอวี้ก็เห็นว่ากำปั้นที่ดูไม่มีพิษมีภัยนี้กระแทกเข้ากับศีรษะของผีเฒ่าอย่างแรงจนทำให้พลังหยินแตกกระเซ็นไปรอบด้าน ผีเฒ่าร้องโอดโอยด้วยความเจ็บปวด พยายามที่จะวิ่งหนีกลับไปข้างหลังอย่างสุดชีวิต ทว่าซีจยาคว้าคอของเขาเอาไว้ได้ จากนั้นก็ลงมือชกหน้าเขาหมัดแล้วหมัดเล่าจนเกิดเป็นหลุมขนาดใหญ่
เผยอวี้ตกใจกลัวจนพูดไม่ชัด “ซีจยา…ไม่สิ พะๆๆ…พี่จยา!!!”
พอซีจยาตวัดเตะขาซ้าย ผีเฒ่าก็ถูกถีบกระเด็นไปชนผนัง ผีร้ายที่เมื่อครู่นี้ทั้งหยิ่งยโส อวดดี และน่ากลัว พอมาตอนนี้กลับเหมือนกำลังเห็นสิ่งที่น่ากลัวที่สุด ดวงตาคู่นั้นถูกต่อยจนหลุดออกจากเบ้า มีเพียงเศษเนื้อเชื่อมติดอยู่กับดวงตา อีกฝ่ายจ้องมองซีจยาด้วยความหวาดกลัวพลางพูดเสียงสั่น
“แกเป็นใคร! แก…แก…อ๊ากกก!!!”
ซีจยาปล่อยหมัดใส่อีกครั้ง เขาชกจนลูกตาของผีเฒ่าแตกไปหนึ่งข้าง จากนั้นก็หิ้วคอผีเฒ่าขึ้นมาแล้วนำผีร้ายตนนี้ไปกดไว้กับผนัง ก่อนจะถามทีละคำด้วยใบหน้าเย็นชา
“คุณกินเด็กคนหนึ่งเข้าไป คุณ…กินเด็กผู้ชายของครอบครัวห้องตรงข้ามเข้าไปงั้นเหรอ”
ผีเฒ่าสั่นสะท้านไปทั้งตัว เขาไม่กล้าโกหก “ฉัน…ฉันเพิ่งตาย แล้วเขามาเคาะประตูพอดี ฉัน…ฉะๆ ฉันก็เลยกินเขา…”
เผยอวี้รีบวิ่งเข้ามาทันที “มิน่าล่ะผีที่ก่อนตายไม่ได้ทำเรื่องชั่วร้ายมากเกินไปอย่างเขา ต่อให้ตายไปพร้อมแรงอาฆาตก็ไม่มีทางที่จะร้ายกาจได้ขนาดนี้ ที่แท้เขาก็กินวิญญาณของเด็กคนหนึ่งไปนี่เอง เลยได้รับแรงอาฆาตและพลังวิญญาณของเด็กคนนั้นไป”
“ไม่ใช่แค่นั้น”
เผยอวี้ผงะ “ไม่ใช่แค่นั้น? พี่จยา ยังมีอะไรอีกเหรอ”
ซีจยาไม่สนใจที่เผยอวี้เรียกตนว่า ‘พี่จยา’ เพียงแค่ใช้แววตาเย็นยะเยือกและไร้ความปรานีราวกับเคียวยมทูตตวัดมองไปที่ร่างของผีเฒ่าอย่างเย็นชา
“บนตัวคุณ…ทำไมถึงมีพลังหยินของผม บอกมา!”
ผีเฒ่าพูดด้วยความหวาดผวา “หลังจากที่ฉันกินเด็กคนนั้นไปจู่ๆ ก็พบว่ามีพลังหยินที่แข็งแกร่งมากอยู่รอบตัว ฉันเลยรีบกินเข้าไปนิดหน่อย ฉันไม่รู้…ฉันไม่รู้อะไรเลยนะ!”
เผยอวี้มองไปที่ซีจยาและผีเฒ่าตนนั้นอย่างงุนงง
หลังจากได้ยินคำพูดของผีเฒ่า รังสีอำมหิตของซีจยาก็สลายหายไปทันที เขาหลับตาลงแล้วถอนหายใจออกมาเบาๆ “คุณฆ่าเด็กคนนั้นก่อน จากนั้นถึงกินพลังหยินของผมเข้าไปงั้นเหรอ คุณตายเมื่อหกวันก่อน หกวันก่อน…หกวันก่อน วันนั้นไง”
ไม่ใช่ฉัน ฉันไม่ได้ทำร้ายเด็กคนนั้น…
เผยอวี้เอ่ยถาม “หกวันก่อนมีอะไรเหรอ”
ซีจยาใช้มือข้างหนึ่งบีบคอของผีเฒ่าเอาไว้ พร้อมกับหันมาพูดว่า “เมื่อหกวันก่อนเป็นวันที่ผมได้เจอกับอาจารย์เย่พอดี หินที่ผมใส่มาหลายปีมันแตก ตอนนั้นอาจจะมีพลังหยินรั่วไหลออกมาเล็กน้อย แล้วผีตนนี้ก็บังเอิญตายตอนนั้นพอดี เลยได้กินพลังหยินของผมไปนิดหน่อย”
หลังจากพูดจบซีจยาก็ปล่อยมือและเตะผีเฒ่าตนนี้ไปที่มุมผนัง ผีเฒ่าตัวสั่นด้วยความหวาดกลัว ส่วนเผยอวี้นั้นหลบอยู่ข้างหลังซีจยาและคอยเฝ้าดูซีจยาเดินไปที่มุมผนังด้วยความอยากรู้อยากเห็น
เสียงเย็นชาของซีจยาดังขึ้นในห้องเก็บของที่คับแคบ “ที่แท้สิ่งที่ฉันเห็นในหมอกหนาก็ไม่ใช่ความจริง แต่เป็นชีวิตที่คุณใฝ่ฝัน อันที่จริงลูกชายของคุณไม่ได้กตัญญูและลูกสะใภ้ของคุณก็หวังอยากให้คุณตายอยู่ทุกวัน แต่นี่เป็นความผิดของพวกเขา พวกเขาไม่กตัญญูแล้วทำไมคุณถึงต้องฆ่าเด็กบริสุทธิ์คนหนึ่งด้วย”
ในฐานะที่เป็นผีร้ายตนหนึ่ง ผีเฒ่าอยากจะพูดมากๆ ว่า ‘ฉันกินเด็กคนนั้นแล้วมันจะทำไม ก็แค่อยากกินไง มันก็เรื่องของฉัน ถ้าไม่กินแล้วฉันจะยังเป็นผีร้ายอยู่อีกหรือไง!’
แต่ตอนนี้เขาได้แต่ขดตัวอยู่มุมห้องด้วยความหวาดผวาจนไม่กล้าพูดอะไร
ดวงตาที่เย็นยะเยือกของซีจยาให้ความรู้สึกเหมือนกับว่ามีมีดกำลังขูดอยู่บนร่างของผีเฒ่า มือขวาของเขากำหมัดแน่น พลังหยินสีแดงโลหิตโอบล้อมอยู่ระหว่างนิ้ว ผีเฒ่าหวาดกลัวจนทั้งร่างแนบสนิทเข้ากับผนัง แทบจะอยากหารอยแตกบนพื้นเพื่อมุดเข้าไปอยู่รอมร่อ มนุษย์แสนน่ากลัวตรงหน้าจะได้มองไม่เห็นเขา ส่วนซีจยาก็ค่อยๆ ชูหมัดขึ้น
แต่ในขณะที่เขากำลังจะใช้กำปั้นชกไปที่ศีรษะผีเฒ่า ทันใดนั้นมือข้างหนึ่งก็คว้ากำปั้นของเขาไว้ ก่อนที่เอวจะถูกใครบางคนรวบไปกอดอย่างฉับพลัน จากนั้นก็ราวกับฉากในละครไอดอลสุดโอเวอร์ทั้งหลาย ซีจยาหมุนตัวกลางอากาศสามร้อยหกสิบองศา ก่อนจะเข้าสู่อ้อมกอดอันอบอุ่นอย่างมั่นคง เขาพิงไหล่ที่มั่นคงและพึ่งพาได้ของคนคนนี้ จากนั้นก็เหลือบตาขึ้นมองอีกฝ่ายด้วยความประหลาดใจ
เย่จิ้งจือหลุบดวงตาหงส์* ลงมามองเขา ไฝในดวงตาดูลึกล้ำเป็นพิเศษเมื่ออยู่ท่ามกลางความมืด เขาถามเสียงต่ำ “ไม่นึกเลยว่าจะถูกผีตนนี้หลอกเอาได้ ผีน้อยตนนั้นไม่ใช่ผีอาฆาต แค่ถูกวิชาพันธนาการวิญญาณทำให้คงอยู่ในโลกมนุษย์ ผีเฒ่าตนนี้ต่างหากที่เป็นผู้บงการเรื่องทั้งหมดนี้ คุณไม่เป็นไรใช่ไหมครับ”
ซีจยาที่ถูกปกป้องเอาไว้ในอ้อมกอด “…ไม่เป็นไรครับ”
เผยอวี้ที่มองอย่างตกตะลึงจากด้านข้าง “…”
พี่จยาจะเป็นอะไรได้ยังไงกันเล่า!!!
ถ้าคุณมาถึงเร็วหรือช้ากว่านี้หนึ่งก้าวคงได้เห็นพี่จยาของเราฉีกร่างผีด้วยมือเปล่าไปแล้ว โอเคไหม!!!
ในห้องขนาดเล็กที่คับแคบ ซีจยาถูกอาจารย์เย่โอบกอดจากด้านหลังด้วยแขนข้างเดียว เผยอวี้ยืนเบิกตาค้างอยู่ด้านข้าง ผีเฒ่าที่ถูกทุบตีอย่างน่าอนาถยังคงแนบตัวติดกับผนัง เมื่อเห็นแบบนั้นเขาก็รีบหันกลับมาใช้เล็บสีดำสกปรกตะกุยผนังราวกับต้องการจะฉวยโอกาสหนี
เย่จิ้งจือเหลือบตาขึ้นมองแล้วขยับนิ้วเล็กน้อย จากนั้นลูกเต๋าสัมฤทธิ์ก็พุ่งทะลุหน้าอกของผีเฒ่าเสียงดังสนั่นราวกับสายฟ้าฟาด
เย่จิ้งจือปล่อยมือจากซีจยาทันทีโดยไม่ได้คิดอะไรมาก จากนั้นก็ก้าวไปข้างหน้าแล้วเริ่มจัดการกับผีเฒ่าตนนั้น แต่ซีจยากลับจ้องมองเขาด้วยสีหน้าแปลกๆ อยู่พักหนึ่ง
เดิมทีผีเฒ่าตนนั้นถูกทำร้ายจนสาหัสสากรรจ์อยู่แล้ว ตอนนี้ต้องมาเจอมัจจุราชเย่ลงมือซ้ำเข้าไปอีก อู๋เซียงชิงหลีพุ่งทะลุร่างผีเฒ่าตนนั้นเป็นรูจนทำให้ร่างวิญญาณเลือนรางราวกับจะสลายหายไปได้ทุกเมื่อ โดยไม่จำเป็นต้องเปลืองแรงอะไรเลย
เย่จิ้งจือรู้สึกประหลาดใจมากและไม่ค่อยเข้าใจว่าทำไมจู่ๆ ผีเฒ่าตนนี้ถึงได้อ่อนแอขนาดนี้ โดยที่เขาไม่รู้เลยว่าขณะเดียวกันที่ด้านหลังของเขานั้น เผยอวี้รีบเข้ามาประชิดตัวซีจยาอย่างรวดเร็ว แล้วหัวเราะฮิๆ อย่างประจบประแจง
“พี่จยา อะไรของพี่เนี่ย รู้จักกันมาตั้งนานผมไม่ยักรู้เลยว่าพี่ก็เป็นคนของวงการศาสตร์ลี้ลับด้วย พี่เรียนมาจากสำนักไหนเหรอ ทำไมผมถึงไม่เคยได้ยินชื่อพี่มาก่อนเลย”
ตรงมุมห้อง เย่จิ้งจือทำท่ามุทรา* แล้วใช้นิ้วนิ้วหนึ่งดีดอู๋เซียงชิงหลี ทันใดนั้นผีเฒ่าก็ส่งเสียงร้องโอดครวญอย่างน่าเวทนาออกมา ซีจยาชำเลืองมองไปทางนั้นแวบหนึ่ง หลังจากมั่นใจว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น เขาก็ดึงเผยอวี้ให้เดินออกไปข้างนอก
ขณะที่เดินอยู่เผยอวี้ก็พูดเสียงเบาว่า “พี่จยา ด้วยระดับแบบนี้ของพี่ต้องขึ้นเป็นท็อปสิบอันดับแรกของโม่โต่วได้แน่นอน! พี่จะไม่ฝักใฝ่ในลาภยศเกินไปแล้ว เดี๋ยวผมจะส่งร่างบทความไปให้ ‘พวกผีรู้ดี’ เพื่อช่วยกระจายข่าวให้พี่เอง รับรองได้เลยว่าแค่รวดเดียวพี่ก็ขึ้นถึงจุดสูงสุดของอันดับโม่โต่ว…อะแฮ่ม มันก็ไม่แน่ว่าจะถึงจุดสูงสุด เพราะไม่มีใครในหมู่คนรุ่นเยาว์ของเรารู้ขอบเขตความสามารถของมัจจุราชเย่เลย แต่ผมคิดว่าพี่ต้องเหนือกว่าหนานอี้เยอะมากแน่ๆ เอาแค่ท่าที่พี่ต่อยผีเฒ่าเมื่อกี้นี้ก็อย่างเท่แล้ว! ผมเคยเห็นหนานอี้ปราบผีมาก่อน เขาเป็นศิษย์พี่ใหญ่ของสำนักจื่อเวยซิง ก็แค่นักพรตเต๋าจอมคร่ำครึธรรมดาๆ คนหนึ่งเท่านั้นแหละ จะเอามาเทียบกับพี่จยาได้ยังไง…”
“พูดภาษาคนหน่อยได้ไหม!”
เผยอวี้รีบพุ่งเข้ามาประชิดตัว “ฮิๆ พี่จยา หลังจากนี้เราสองคนมาตั้งทีมกันเถอะ เหมือนอย่างพี่น้องตระกูลเจียงไง เรามาตั้งทีมปราบผีกันเถอะ ผมจะเป็นคนตามหาผี ส่วนพี่ก็ปราบผี แบบนี้ต้องขึ้นเป็นอันดับสองของโม่โต่วได้แน่นอน!”
ภายในห้องเก็บของขนาดเล็ก เย่จิ้งจือพันธนาการผีเฒ่าตนนั้นไว้อย่างแน่นหนาด้วยยันต์สีทอง อักขระยันต์สีทองที่ร้อนฉ่าทำเอาผีเฒ่าเจ็บปวดจนไม่อยากจะมีชีวิตอยู่ต่อไป ทุกจุดที่ถูกสัมผัสจะส่งเสียงไหม้ดังฉ่าๆ และร่างของเขาก็ค่อยๆ กลายเป็นความว่างเปล่า
ภายนอกห้องเก็บของ สีหน้าของซีจยาค่อยๆ จริงจังขึ้นมา เขาใช้สายตาที่จริงจังและสงบนิ่งมองดูหมอผีต้มตุ๋นแซ่เผยที่ทำหน้าประจบประแจงมาขอเกาะ หลังจากผ่านไปครู่ใหญ่เขาก็ถอนหายใจ “เผยอวี้ ผมแค่อยากมีชีวิตที่แสนสงบสุขและมั่นคงเหมือนคนทั่วๆ ไป”
พอได้มองสีหน้าที่เคร่งขรึมและจริงจังของชายหนุ่มผมดำ รอยยิ้มเบิกบานบนใบหน้าของหมอผีต้มตุ๋นแซ่เผยก็ค่อยๆ จางหายไป
หลังจากผ่านไปหนึ่งนาที เมื่อเย่จิ้งจือก้าวออกจากห้องเก็บของก็ได้เห็นซีจยาที่ยืนสงบนิ่งกับเผยอวี้ที่ยังคงตัวสั่นเทาอยู่ เขามองทั้งสองแวบหนึ่ง ในจังหวะนั้นอู๋เซียงชิงหลีก็ลอยออกมาจากข้างหลังเขาอย่างรวดเร็ว แล้วตรงเข้าไปในกระเป๋าเสื้อของซีจยา
แมวดำตัวน้อยที่รู้สึกเบื่อหน่ายมานาน จู่ๆ พอได้เจอลูกเต๋าสัมฤทธิ์ลูกเล็กที่หายไปจึงเริ่มเล่นกับมันอีกครั้งอย่างดีอกดีใจ เย่จิ้งจือจ้องเขม็งไปที่กระเป๋าของซีจยาด้วยสีหน้าแปลกๆ ไม่นานก็พูดว่า “ผีเฒ่าตนนี้วิญญาณดับสูญไปแล้ว ส่วนเรื่องของผีน้อยตนนั้นค่อนข้างยุ่งยาก ผมไม่ถนัดเรื่องส่งวิญญาณเข้าสู่สังสารวัฏ…สหายนักพรตเผยคงต้องให้คุณช่วยแล้ว”
ทั้งสามคนเดินเข้าไปในห้องฝั่งตรงข้ามพร้อมกัน
เมื่อเข้ามาด้านในแสงไฟก็มืดลงทันที ม่านหนาทึบปิดกั้นแสงอย่างแน่นหนา ภายในห้องเต็มไปด้วยกลิ่นเหม็นเน่า ซีจยาอดไม่ได้ที่จะอุดจมูก ขณะที่เพิ่งผ่านประตูเข้ามาไม่กี่ก้าวก็เห็นแม่ลูกคู่นั้นนั่งอ่อนแรงอยู่บนพื้นเย็นเฉียบในห้องรับแขก
หญิงสาวผมเผ้ากระเซอะกระเซิง เธอกอดลูกชายของตัวเองแน่น ปากก็เรียกชื่อ ‘เสี่ยวหลิน’ ซ้ำๆ ไม่หยุด นั่นคงจะเป็นชื่อเล่นของลูกชายเธอ เด็กชายตัวน้อยไม่ได้มีท่าทางสติแตกเหมือนคนเป็นแม่ เพียงแค่ถูกแม่กอดไว้ในอ้อมแขนแน่นอยู่อย่างนั้น พอเห็นพวกซีจยาสามคนมา เขาก็เอียงศีรษะอย่างน่าเอ็นดูและมองพวกเขาด้วยความอยากรู้อยากเห็น จากนั้นก็ก้าวขาเล็กๆ ของตัวเองหมายจะวิ่งไปหาทั้งสามคนนั้น
“เสี่ยวหลิน!!!” ผู้หญิงคนนั้นกรีดร้องและกอดลูกชายแน่นขึ้นกว่าเดิม
เป็นธรรมดาที่ซีจยาจะไม่เข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้า แม้แต่เผยอวี้ที่เป็นคนในวงการศาสตร์ลี้ลับ พอเห็นฉากนี้เข้าก็งงงันเล็กน้อยเช่นกัน
เสียงเยือกเย็นของเย่จิ้งจือดังขึ้น “ผีน้อยตนนี้ถูกผีอาฆาตฆ่าตาย เขาถูกกินไทกวง* ซึ่งเป็นแกนหลักของสามจิตเจ็ดวิญญาณ** ไป ไทกวงปกครองอายุขัย พอไม่มีจิตไทกวงเขาก็เลยไม่สามารถไปเกิดใหม่ได้ ทำได้แค่กลายเป็นผีเร่ร่อน แต่แหล่งกำเนิดไทกวงมาจากร่างของมารดา แม่คงมาเจอเขาหลังจากตายได้ไม่นาน จากนั้นก็เฉือนเนื้อพันธนาการวิญญาณหล่อเลี้ยงเขาด้วยเลือดเนื้อและจิตวิญญาณของผู้เป็นแม่เพื่อเติมเต็มไทกวงให้เขา”
ซีจยานึกขึ้นมาได้ “ถ้าโดนผีเฒ่าตนนั้นกินจิตวิญญาณไปแล้ว อาจารย์เย่ เมื่อกี้คุณได้เอาจิตวิญญาณของเขากลับคืนมาหรือเปล่า”
เย่จิ้งจือพลิกมือ แสงสีเขียวอ่อนปรากฏขึ้นที่ฝ่ามือของเขา “ถึงฉันจะหาเจอ แต่ไทกวงดวงนี้ก็ถูกกินไปครึ่งหนึ่งแล้ว ต่อให้คืนกลับไปก็ไม่มีประโยชน์อยู่ดี ดังนั้นสหายนักพรตเผย สำนักของพวกคุณมีการฝึกจากคัมภีร์จินคุ่ยเย่าเลวี่ย*** นี่ คุณช่วยเติมจิตวิญญาณผีน้อยตนนี้ให้กลับมาสมบูรณ์ แล้วส่งเขากลับสู่สังสารวัฏได้ไหม”
แม้เผยอวี้จะไม่น่าเชื่อถือเอามากๆ แต่พอต้องเผชิญหน้ากับเรื่องการช่วยชีวิตคน เขาก็ค่อนข้างที่จะจริงจัง เขารับไทกวงมาจากมือของเย่จิ้งจือ แล้วหยิบคัมภีร์ที่มีสภาพเก่าโทรมเล่มหนึ่งออกจากกระเป๋าเฉียนคุน จากนั้นก็ฉีกกระดาษหน้าหนึ่งออกมาอย่างเด็ดเดี่ยว
เผยอวี้ท่องคาถาในใจ ต่อมากระดาษหนังสือเก่าๆ หน้านั้นก็ค่อยๆ ลอยขึ้นกลางอากาศ และจิตวิญญาณของเด็กชายก็ลอยอยู่เหนือหน้ากระดาษอย่างนุ่มนวล
“ปัจจัยจากสภาพลมฟ้าอากาศทั้งหกถือเป็นผู้มาเยือน ไหลทวนกระแสก่อกำเนิดเป็นโรค ความชื้นเข้ากระทบเส้นลมปราณไท่อินธาตุดิน ไฟเข้ากระทบเส้นลมปราณเซ่าอิน ลมเข้ากระทบเส้นลมปราณเจวี๋ยอินธาตุไม้ ความแห้งเข้ากระทบเส้นลมปราณหยางหมิงธาตุทอง ไทกวงปรากฏ โลหิตมารดาดำรงอยู่ ขอใช้กระดาษหน้าหนึ่งของคัมภีร์จินคุ่ยอวี้หาน**** เป็นสื่อนำ เพรียกหาผู้อยู่ห่างไกลถึงแดนยมโลก ดวงจิตจงหวนคืน…ดวงจิตจงหวนคืน!”
ทันใดนั้นเผยอวี้ก็ลืมตาขึ้น ก่อนจะใช้ฝ่ามือฟาดลงบนหน้าหนังสือและจิตวิญญาณที่อยู่ตรงหน้า ในชั่วพริบตาก็มีแสงสีเขียวปะทุขึ้น แสงสีเขียวอันอบอุ่นสาดส่องออกมาจากหน้าหนังสือ ค่อยๆ หล่อเลี้ยงจิตวิญญาณที่ล่องลอยอยู่เบื้องบนทีละนิด จากนั้นจึงพุ่งไปยังร่างของผีน้อย
ใบหน้าสีเขียวคล้ำของผีน้อยค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีแดงเรื่อ หญิงสาวค่อยๆ หยุดร้องไห้แล้วมองดูลูกชายของตัวเองด้วยความประหลาดใจ ทว่าในจังหวะนั้นเองจู่ๆ ก็มีมีดสีเขียวเข้มขนาดเล็กเล่มหนึ่งพุ่งออกมาจากห้องครัวแล้วพุ่งตรงไปยังหน้าหนังสือที่อยู่ด้านหน้าเผยอวี้
สีหน้าของเย่จิ้งจือเย็นเยือกขึ้นมาทันที แต่ในขณะที่เขากำลังคิดจะลงมือก็เห็นเงาดำกระโจนออกมาจากกระเป๋าเสื้อของซีจยา มันกระแทกเข้ากับมีดเล่มเล็กเสียงดังเคร้งทำให้มีดเปลี่ยนทิศทางแล้วปักเข้าไปในผนังแทน หลังจากจัดการเรื่องทั้งหมดนี้เสร็จ อู๋เซียงชิงหลีก็บินกลับมาด้วยท่าทางคึกคักแล้วสั่นดุ๊กดิ๊กตรงหน้าซีจยาสองที ก่อนจะบินกลับไปเล่นกับส่งส่งในกระเป๋าต่อ
ซีจยา “…”
เย่จิ้งจือ “…”
…ทำไมถึงรู้สึกว่ามีตรงไหนแปลกๆ
ผ่านไปไม่นานจิตวิญญาณที่เป็นของเด็กชายก็กลับคืนสู่ร่างของเขาและหน้าหนังสือที่อยู่ข้างหน้าเผยอวี้ก็หายไปอย่างเงียบๆ
ทันทีที่จิตวิญญาณของเขากลับเข้าร่าง นัยน์ตาของเด็กชายก็กลับมามีประกายอีกครั้ง เขากอดแม่ของตัวเองและเอาตัวถูไถราวกับออดอ้อน ส่วนแม่ของเขาก็เอาแต่ร้องไห้ด้วยความปวดใจในขณะที่กอดเขาเอาไว้แน่น
น้ำเสียงเรียบนิ่งของเย่จิ้งจือทำลายฉากการได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันของแม่ลูกคู่นี้ “เขาตายไปแล้ว คุณควรจะปล่อยให้เขาไปผุดไปเกิด”
ผู้หญิงคนนั้นไม่สติแตกอีกต่อไป เธอลุกขึ้นยืนโดยที่ยังกอดลูกชายเอาไว้ ก่อนจะเดินมาตรงหน้าคนทั้งสาม จากนั้นก็คุกเข่าลงเสียงดังฟึ่บ ทว่าพอเย่จิ้งจือขยับนิ้ว เข่าของผู้หญิงคนนั้นก็หยุดค้างอยู่กลางอากาศราวกับว่ามีอะไรบางอย่างรองรับเข่าของเธออยู่ด้านล่าง ไม่ว่าจะทำอย่างไรก็คุกเข่าลงไปไม่ได้
ผู้หญิงคนนั้นเข้าใจได้ในทันที เธอปาดน้ำตา ก่อนจะยืนขึ้นแล้วพูดว่า “ฉันแซ่เลี่ยวค่ะ ส่วนพ่อของเด็กคนนี้เขาด่วนจากไปก่อน หลายปีมานี้ฉันกับเขาใช้ชีวิตแบบพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน อาจารย์ท่านนี้พูดถูกแล้ว ตาของฉันเป็นคนขนศพชื่อดังในเซียงซี สำนักขนศพสืบทอดให้เฉพาะผู้ชายไม่ให้ผู้หญิงสืบทอด คุณตามีแม่ฉันเป็นลูกสาวคนเดียว เขาไม่ยอมส่งต่อให้แม่ของฉัน แต่แม่ของฉันถือตัวอวดดี เธอเลยแอบเรียนรู้ทักษะเล็กๆ น้อยๆ ด้วยตัวเอง แล้วก็สอนมันให้ฉันก่อนที่เธอจะเสียไป”
ซีจยาถามว่า “คุณเป็นคนของชนเผ่าเหมียวเหรอ”
ผู้หญิงคนนั้นชะงักไป “ใช่ ฉันเป็นคนชนเผ่าเหมียว แซ่เกอกวา แซ่ฮั่นคือเลี่ยว ส่วนมีดเล่มเล็กนั่นแม่ของฉันทิ้งไว้ให้ฉัน แม่ของฉันไม่มีอาคม เธอบอกฉันว่าถ้าฉันต้องการจะขนศพต้องอาศัยความช่วยเหลือจากมีดเล่มเล็กเล่มนั้น เดิมทีจะฝังศพตาของฉันต้องฝังเครื่องมือวิเศษสำหรับขนศพทั้งหมดไปพร้อมกันด้วย แม่ของฉันก็เหลือไว้แค่มีดเล็กๆ เล่มนี้ มันมีพลังซากศพและพลังอาคมที่หลงเหลือจากการขนศพมานานหลายปีจากคุณตาของฉันอยู่”
ซีจยาหันไปมองมีดเล่มเล็กที่ปักอยู่บนผนัง
เผยอวี้พยักหน้าแล้วพูดว่า “ไม่น่าแปลกใจที่มีดเล่มนั้นจะสามารถตัดกระดูกได้เหมือนเป็นโคลน เห็นได้ชัดว่าคุณไม่มีอาคม แถมยังสามารถพันธนาการวิญญาณของผีน้อยตนนี้ได้ด้วย แต่เพราะเครื่องมือวิเศษประเภทนี้ได้สัมผัสพลังงานซากศพเป็นเวลานานก็เลยเกิดความชั่วร้ายขึ้นมา แถมคุณยังไม่มีอาคมของผู้ขนศพอีก ยิ่งเป็นไปไม่ได้เลยที่จะควบคุมมัน ถ้าหากคุณยังใช้มันเพื่อพันธนาการวิญญาณต่อไป อย่างมากสุดหนึ่งเดือนคุณก็จะกลายเป็นวิญญาณไปด้วย”
“ไม่ใช่แค่นั้น” เสียงทุ้มต่ำดังขัดคำพูดของเผยอวี้ เย่จิ้งจือก้มตัวลงเล็กน้อยแล้วมองไปทางเด็กชายที่ซ่อนตัวอยู่ข้างหลังแม่ของเขา “ถึงจะมีเครื่องมือวิเศษ แต่การเฉือนเนื้อพันธนาการวิญญาณก็ไม่มีทางสำเร็จง่ายๆ อยู่ดี ตัวเธอเอง…อยากอยู่ปกป้องแม่ของเธอเหรอ”
เด็กชายกะพริบตามองเทียนซือแปลกหน้าที่อยู่ตรงหน้าเขาอย่างงุนงง
เมื่อได้ฟังคำพูดของเย่จิ้งจือ ผู้หญิงคนนั้นก็เบิกตากว้างและเอามือปิดปากอย่างไม่อยากจะเชื่อ หลังจากผ่านไปครู่ใหญ่ลูกชายของเธอก็ดึงชายเสื้อเธอแล้วพูดเสียงแผ่วว่า “แม่ครับ เจ็บจังเลย…”
พอผู้หญิงคนนั้นก้มหน้าลงก็เห็นเด็กที่น่าเอ็นดูบุ้ยปากพลางพูดอย่างจริงจังว่า “แม่ครับ อย่าโดนคุณปู่กัดนะ มันเจ็บมากเลย…”
ผู้หญิงคนนั้นร้องไห้โฮออกมาอย่างกลั้นไม่ไหวอีกต่อไป เธอคุกเข่าลงกอดลูกชายของตัวเองแน่น ลูกชายของเธอที่ยอมอยู่ในโลกมนุษย์เพื่อปกป้องเธอ ส่วนเด็กชายนั้นไม่เข้าใจอะไรเลย ได้แต่คอยบอกแม่ว่าอย่าไปหาคุณปู่นะ คุณปู่กัด และมันเจ็บมาก
ขณะที่แม่ลูกกอดกันแน่น เย่จิ้งจือก็มองดูด้วยสีหน้าสงบนิ่ง เผยอวี้เบนสายตาหนีอย่างทนดูไม่ไหว ส่วนซีจยาค่อยๆ คุกเข่าลง ก่อนจะลูบศีรษะของเด็กชายตัวเล็กพร้อมพูดด้วยเสียงนุ่มนวล “คุณปู่จากไปแล้ว เขาทำร้ายแม่นายไม่ได้อีกต่อไปแล้ว แล้วก็กัดแม่นายไม่ได้แล้วด้วย”
เด็กชายมองซีจยาอย่างจริงจังด้วยดวงตากลมโตสีดำขลับ ต่อมารอยยิ้มที่แสนบริสุทธิ์และไร้เดียงสาก็ค่อยๆ ปรากฏขึ้นบนใบหน้าเล็กๆ ที่อ่อนเยาว์ของเขา ก่อนจะมีเสียงใสแจ๋วของเด็กดังขึ้นเบาๆ ว่า “ขอบคุณนะครับพี่ชาย”
รอยยิ้มที่แสนบริสุทธิ์และไร้เดียงสาของเด็กน้อยทิ่มแทงจิตใจของซีจยา ขณะที่หญิงสาวร้องไห้ก็เอามือเช็ดน้ำตาไม่หยุด แต่ก็พยายามฝืนยิ้มเอาไว้ “เสี่ยวหลิน แม่จะใช้ชีวิตอยู่ต่อไปให้ดีๆ ลูกก็ต้องดูแลตัวเองดีๆ นะเข้าใจไหม ไม่ต้องเป็นห่วงแม่ แม่สบายดีทุกอย่างเลย ดีทุกอย่าง…”
จุดแสงสีขาวค่อยๆ ปรากฏขึ้นบนร่างของเด็กชาย และในตอนสุดท้ายเขาก็ร้องเรียกเสียงแผ่วเบาว่า “แม่ครับ” จากนั้นร่างกายของเขาก็ล้มลง รอยช้ำสีเขียวคล้ำปรากฏขึ้นบนผิวของศพด้วยความเร็วที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่า ผู้หญิงคนนั้นกอดศพลูกที่แข็งทื่อและเย็นเฉียบเอาไว้แน่น เธอไม่สามารถประคองรอยยิ้มที่ฝืนสร้างขึ้นมาเมื่อครู่นี้ไว้ได้อีกต่อไป สิ่งที่หลงเหลืออยู่มีเพียงการร้องไห้ด้วยความเจ็บปวดและสิ้นหวัง
ถึงอย่างไรเด็กชายก็ตายมาหลายวันแล้ว เผยอวี้จึงอาศัยเส้นสายของเขาเพื่อช่วยแจ้งเรื่องใบมรณะบัตรให้เด็ก ส่วนศพได้ถูกเผาไปอย่างรวดเร็ว จากนั้นในวันที่สาม หญิงสาวคนนี้ก็กอดโกศอัฐิออกจากเขตชุมชนไป ว่ากันว่าเธอกำลังไปหาญาติผู้พี่ที่อยู่ห่างไกล เนื่องจากไม่อยากอยู่ในสถานที่อันน่าเศร้าแห่งนี้ที่เธอต้องสูญเสียทั้งคนรักและลูกอีกต่อไป
ในที่สุดเรื่องราวก็จบลง โดยมี ‘ผีเฒ่าวิญญาณดับสูญกับผีน้อยไปผุดไปเกิด’ เป็นตอนจบของเรื่อง อย่างไรก็ตามคู่สามีภรรยาในห้องที่มีผีเฒ่าดูเหมือนจะเริ่มทำเรื่องหย่าร้างกันแล้ว สามีภรรยาคู่นั้นปฏิบัติตัวกับคุณปู่แย่มาก ในวันที่คุณปู่เสียชีวิต ตำรวจได้นำตัวทั้งสองคนกลับไปสอบปากคำ สุดท้ายหลังจากยืนยันได้ว่าคุณปู่ประสบอุบัติเหตุพลัดตกจากเตียงเสียชีวิต ทั้งคู่ก็ได้รับการปล่อยตัว
แต่ไม่ว่าจะอย่างไรในที่สุดเขตชุมชนก็กลับสู่ความสงบตามเดิม
ตอนที่พวกเขาทั้งสามคนออกจากห้องของผีน้อยก็เป็นเวลากลางดึกแล้ว ซีจยาแหงนหน้ามองฟ้า แสงไฟจากตัวเมืองส่องสว่างถึงท้องฟ้าจนเขาหาดาวไม่เจอสักดวง
เผยอวี้เอ่ยทอดถอนใจเสียงเบา “นี่มันอะไรกัน ถ้าผมรู้แต่แรกว่าผีเฒ่านั่นกินจิตวิญญาณของลูกคนอื่นไปจนทำให้แม่เขาต้องตัดแขนครึ่งหนึ่งมาใช้พันธนาการวิญญาณ ผมคงลงมือปราบตาเฒ่านั่นด้วยตัวเองแน่ๆ เอาให้วิญญาณแตกสลายไปเลย!”
ซีจยายกมุมปากขึ้นพลางถามว่า “คุณเอาชนะเขาได้เหรอ”
เผยอวี้แสดงสีหน้าเก้อเขิน “ผม…ถึงผมจะเอาชนะเขาไม่ได้ แต่ผมก็ยังมีพี่จยาไม่ใช่เหรอ!”
เย่จิ้งจือเดินออกจากอาคาร แล้วแหงนหน้ามองท้องฟ้ายามค่ำคืนที่สว่างจากแสงไฟ จากนั้นก็หันไปมองซีจยา “พระบรมสารีริกธาตุชิ้นนั้นต้องให้ผมเสริมอาคมทุกวัน ตลอดเจ็ดวันเจ็ดสัปดาห์เป็นเวลาสี่สิบเก้าวัน ตอนนี้ยังไม่สามารถปิดกั้นพลังหยินของคุณได้อย่างสมบูรณ์ ในช่วงหนึ่งเดือนครึ่งนี้ผมจะอยู่ในเมืองซู เพราะงั้นคุณไม่ต้องกังวลว่าจะถูกผีอาฆาตตามรังควานนะครับ”
เผยอวี้เผลอพูดออกมาโดยไม่รู้ตัว “พี่จยาจะไปกลัวผีตามรังควานได้ยังไง ผีพวกนั้นพอเห็นพี่จยาเข้า จะเผ่นหนียังไม่ทะ…”
“เผยอวี้!”
ซีจยาดุด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด หมอผีต้มตุ๋นแซ่เผยชะงัก พอรู้ตัวว่าพูดอะไรผิดไปจึงรีบหุบปากฉับทันที
จากนั้นซีจยาก็หันไปมองเย่จิ้งจือ “ว่าแต่อาจารย์เย่ ช่วงนี้คุณคิดจะพักที่ไหนเหรอครับ ผมจำได้ว่าแถวนี้เป็นเขตที่อยู่อาศัยทั้งนั้นเลย”
เย่จิ้งจือ “ผมจะหาโรงแรมสักที่เพื่อเข้าพักครับ แล้วเดี๋ยวผมจะมาท่องคาถาลงอาคมให้คุณทุกวัน”
ซีจยา “…แบบนั้นก็น่าเกรงใจแย่เลยไม่ใช่เหรอครับ”
เย่จิ้งจือส่ายศีรษะ “ไม่เป็นไรครับ”
ซีจยา “…”
คุณคิดว่าไม่เป็นไร แต่พอเป็นแบบนี้เขาก็ติดหนี้คุณมากเกินไปน่ะสิ
ก่อนหน้านี้ที่เผยอวี้เรียกเย่จิ้งจือว่า ‘แบบอย่างทางศีลธรรมของวงการศาสตร์ลี้ลับ’ ซีจยาก็ยังไม่เชื่อสักเท่าไร แม้แต่ด้านล่างบทความในบัญชีทางการ ‘พวกผีรู้ดี’ ที่พวกคนวงการศาสตร์ลี้ลับพากันชื่นชมเย่จิ้งจือว่าเป็นแบบอย่างทางศีลธรรม ซีจยาก็ยังไม่ค่อยเชื่ออยู่ดี
บนโลกนี้มีพวกพ่อพระแม่พระที่ให้โดยไม่หวังสิ่งตอบแทนอยู่จริงๆ เหรอ
จะเป็นไปได้ยังไง!
กระทั่งซีจยาได้พบกับมัจจุราชตนหนึ่งที่ถูกขนานนามว่าเป็นแบบอย่างทางศีลธรรม
ด้วยความที่รู้สึกเกรงใจจริงๆ พอซีจยาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก็คิดได้ว่า “ไม่งั้น…อาจารย์เย่ คุณมาพักที่ห้องผมสักระยะหนึ่งดีไหมครับ ห้องผมมีสองห้องนอน พอให้ใช้อยู่แล้ว”
เผยอวี้พูดขึ้นทันที “เดี๋ยวก่อนนะ พี่มีแค่สองเตียง พอมัจจุ…อาจารย์เย่มา ผมจะนอนที่ไหน”
ซีจยาถามกลับ “ทำไมคุณยังจะไปที่ห้องผมอีก”
เผยอวี้พูดอย่างไม่กระดากปาก “ถ้าผมไม่ไปห้องพี่แล้วผมจะไปอยู่ที่ไหน”
ซีจยาพูดโดยไม่ต้องคิดว่า “อยู่โรงแรมไง”
เผยอวี้ “…” เรื่องอะไรต้องให้ผมอยู่โรงแรม ทำไมไม่ให้มัจจุราชเย่อยู่โรงแรมเล่า!!!
ดูเหมือนเย่จิ้งจือจะไม่สันทัดเรื่องการมีปฏิสัมพันธ์กับคนอื่นเอาเสียเลย หลังจากซีจยาเชิญเขา ตอนแรกเขาก็ปฏิเสธอยู่พักหนึ่ง แต่พอเจอซีจยาเชิญชวนด้วยสารพัดวิธี เขาก็ทำได้แค่ตอบตกลง
เมื่อกลับถึงห้อง ซีจยาก็จงใจหอบผ้าห่มที่เพิ่งเอาออกไปตากก่อนหน้านี้ออกมา แล้วนำไปวางไว้ที่เตียงในห้องนอนเล็ก ส่วนเผยอวี้ก็กำลังนั่งยองๆ อยู่ในห้องรับแขกด้วยความน้อยใจ กระทั่งถึงเวลาเข้านอนซีจยาก็ชี้ไปที่มุมผนัง
“มีเตียงสนามอยู่ตรงนั้น คุณกางเอาเองนะ แค่นั้นก็นอนได้แล้ว”
เผยอวี้ “ทำไมให้มัจจุราชเย่นอนในห้องนอน ส่วนผมนอนในห้องรับแขก!”
ซีจยาถามด้วยความประหลาดใจ “คุณเสียงดังขนาดนี้ ไม่กลัวว่าอาจารย์เย่จะได้ยินเหรอ”
เผยอวี้รีบวิ่งไปข้างหลังด้วยความหวาดกลัวและรีบซ่อนตัวหลังโซฟาทันที พอผ่านไปสามนาทีหลังจากแน่ใจว่าเย่จิ้งจือไม่ได้ออกมาซ้อมเขา เขาก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก
“มัจจุราชเย่อาจจะหลับไปแล้ว ไม่นึกไม่ฝันมาก่อนเลยว่าในชีวิตนี้ผมจะได้นอนใต้ชายคาเดียวกันกับมัจจุราชเย่ ให้ตายเถอะ ผมนี่มันสุดยอดจริงๆ พี่จยา พี่ไม่รู้หรอกว่าคนอย่างมัจจุราชเย่น่ะโคตรน่ากลัว! คนรุ่นเยาว์ในวงการศาสตร์ลี้ลับอย่างพวกผมมีอยู่ไม่กี่คนหรอกที่สนิทกับเขา ถึงเขาจะเป็นแบบอย่างทางศีลธรรมที่ปราบผีเยอะยิ่งกว่าเกลือที่พวกเรากินเข้าไป แต่ตอนที่เขาปราบผีจนวิญญาณแตกสลาย ฉากแบบนั้นมันสยองเกินจนไม่มีใครกล้าเข้าใกล้เขาเลย”
เดิมทีซีจยากะจะกลับห้องไปพักผ่อน แต่พอได้ยินคำพูดของเผยอวี้ เขาก็อดไม่ได้ที่จะถามด้วยความสงสัยใคร่รู้ “คนรุ่นเยาว์อย่างพวกคุณไม่สนิทกับเขาเลยเหรอ”
เผยอวี้ส่ายศีรษะ “มีอยู่ไม่กี่คนที่สนิทกับเขา ผมจำได้ว่าพระวัดต้าวั่นโซ่วมีความสัมพันธ์ที่ดีกับเขา เขาน่ากลัวซะขนาดนี้ ความสามารถเหนือกว่ากลุ่มพวกเรามาก ใครจะกล้าไปยุ่งกับเขากัน ถ้าวันไหนเขาอารมณ์ไม่ดีขึ้นมา ไม่อยากเป็นแบบอย่างทางศีลธรรมแล้ว แค่ทำอะไรพลาดไปทีเดียวพวกเราทุกคนก็จบเห่กันหมดแล้ว โอเคไหม”
ซีจยาเอ่ยถามนิ่งๆ ว่า “…พวกคุณไม่มีใครเข้าไปยุ่งกับเขาเลยเหรอ”
เผยอวี้ตอบโดยไม่ต้องคิด “ทำไมต้องไปยุ่งกับเขาด้วย เขาคือมัจจุราช ส่วนเราเป็นคนธรรมดา เราคุยกันคนละภาษาน่ะ”
ภายในห้องรับแขก เผยอวี้พูดถึงวีรกรรมระดับตำนานมากมายของเย่จิ้งจือ เรื่องที่ว่าเย่จิ้งจือได้ปราบผีร้ายเกือบหมื่นตนในเฟิงตูเมื่อสี่ปีก่อน ซีจยาเคยได้ยินมานานแล้ว ครั้งนี้เขายังพูดถึงเรื่องที่เย่จิ้งจือเคยพาอู๋เซียงชิงหลีไปปราบผีร้ายอายุร้อยปีตนหนึ่งจนวิญญาณดับสูญไปด้วย
พูดไปพูดมาเผยอวี้ก็เริ่มง่วงและผล็อยหลับไป ทว่าฝ่ายซีจยากลับเดินย่องไปที่ประตูห้องนอนเล็ก ก่อนจะเคาะประตูเบาๆ
“อาจารย์เย่ คุณนอนหรือยังครับ”
ผ่านไปไม่นานประตูก็เปิดออก เย่จิ้งจือยังคงสวมเสื้อกันลมสีดำตัวเดิมอยู่ สีหน้าของเขาเฉยเมยไม่รับแขกราวกับจะกันไม่ให้ใครเข้าใกล้ในระยะพันลี้ ซีจยามองผ่านช่องว่างของประตูเข้าไป เห็นว่าผ้าห่มบนเตียงไม่ได้ถูกแตะต้องเลย ผ้าปูที่นอนก็เรียบลื่น ไม่มีร่องรอยว่าเคยมีคนนอนลงไปเช่นกัน
มันทำให้ภายในใจนึกเชื่อมโยงไปถึงคำพูดที่เป็นธรรมชาติของเผยอวี้ที่ว่า ‘ทำไมต้องไปยุ่งกับเขาด้วย’ ซีจยายกมุมปากเผยรอยยิ้มที่อ่อนโยนออกมา แล้วพูดเบาๆ ว่า “อาจารย์เย่ รีบเข้านอนหน่อยนะครับ ราตรีสวัสดิ์”
นัยน์ตาที่ลึกล้ำสั่นไหวเล็กน้อย เย่จิ้งจือทำปากขมุบขมิบ หลังจากผ่านไปครู่ใหญ่เขาจึงพูดเสียงต่ำว่า “ราตรีสวัสดิ์ครับ”
ดวงจันทร์ขึ้นกลางท้องฟ้า ถึงเวลายามจื่ออันเป็นช่วงเวลาที่พลังหยินในโลกมนุษย์สูงที่สุด
นอกจากนี้ยังเป็นช่วงเวลาที่บัญชีทางการ ‘พวกผีรู้ดี ชีวิตนี้ฉันผ่านอะไรมาบ้าง’ จะอัพเดตบทความประจำวันอีกด้วย
เทียนซือหลายคนที่กำลังล่าผี ตามหาผี และเล่นกับผีเร่ร่อน เวลานี้ต่างพากันหยิบโทรศัพท์มือถือออกมากดไปที่บัญชีทางการและเตรียมอ่านข่าวซุบซิบของวันนี้…ข่าววันนี้ยังคงมีหนึ่งบทความพาดหัวกับอีกสามบทความสั้นๆ เช่นเคย แต่คราวนี้เทียนซือทุกคนต่างตกตะลึงทันทีที่กดเปิดบัญชีทางการ
ณ วัดต้าวั่นโซ่ว มู่อวี๋* จันทน์แดงที่ภิกษุหนุ่มใช้มาสิบปีถูกเคาะจนแตกไปดื้อๆ
ณ สำนักจื่อเวยซิง ศิษย์รุ่นเยาว์สองสามคนพากันอุทานด้วยความตกใจทำให้ศิษย์พี่ใหญ่หนานอี้ขมวดคิ้วแน่น
ณ คฤหาสน์เขตชานเมืองแห่งหนึ่งในเมืองไห่ ชายชราผมขาวโพลนทั้งศีรษะตะโกนลั่น ทำเอากระจกทั้งหมดในบ้านสะเทือนจนแตกเป็นเสี่ยงๆ ลูกชายวัยหกสิบกว่าของเขาวิ่งขึ้นบันไดมาด้วยความระอาเข้ากระดูกดำ
“พ่อ! ผมขอร้องละ เลิกดู ‘พวกผีรู้ดี’ ได้แล้วน่า! พ่อไปเต้นที่ลานสาธารณะไม่ได้เหรอ การเต้นที่ลานดีจะตายไป ดีทั้งต่อสุขภาพกายแล้วก็ใจด้วย!”
นักพรตฉีซานเบิกตาโตพลางพูดว่า “แกอ่านบทความที่อัพเดตคืนนี้หรือยัง”
ชายชราวัยหกสิบกว่าส่ายศีรษะ “ยังครับ นี่ผมก็เพิ่งจะเปิดโทรศัพท์ แต่พ่อคำรามสะเทือนฟ้าจนทำกระจกแตกหมดซะก่อน ผมเลยขึ้นมาดูเนี่ย”
นักพรตฉีซานตบโต๊ะทันที “แกรีบไปดูเร็ว! มันสนุกมาก ที่แท้ก่อนตาแก่อี้หลิงจื่อนั่นจะตาย ยังจัดการเรื่องหมั้นหมายไว้ให้ลูกศิษย์ของเขาด้วย!”
ชายสูงวัยเอ่ยด้วยความตกใจ “ผู้อาวุโสอี้หลิงจื่อ? เขามีลูกศิษย์แค่คนเดียวไม่ใช่เหรอ ก็มัจจุ…พ่อหนุ่มเย่?”
นักพรตฉีซานหัวเราะฮ่าๆ “ถูกต้อง ข่าวพาดหัวของ ‘พวกผีรู้ดี’ ในวันนี้ก็คือเมื่อสิบเก้าปีก่อนอี้หลิงจื่อได้ทำการหมั้นหมายไว้ให้เย่จิ้งจือ!”
* ผีก่อกำแพง เป็นวลีที่เกิดขึ้นเนื่องจากชาวจีนสมัยก่อนเชื่อว่าผีสร้างกำแพงที่มองไม่เห็นล้อมรอบเอาไว้ทำให้คนที่เดินในความมืดต้องวนกลับมาที่เดิม ความหมายคล้ายกับผีบังตาของไทย
** หมวกเก้าคาด คือหมวกของนักพรตเต๋า โดยจะมีลายคาดเก้าแถบอยู่ด้านบนเหมือนสันหลังคา
* บ่อสวรรค์ คือตำแหน่งวางเข็มทิศซึ่งอยู่จุดศูนย์กลางชั้นในสุดของหลัวผาน ประกอบด้วยหมุดเดือย เข็มแม่เหล็ก และเส้นท้องทะเล
* การขนศพเซียงซี เป็นที่นิยมกระทำในชนเผ่าเหมียวในเขตปกครองตนเองเซียงซี ด้วยความเชื่อที่ว่าเมื่อมีคนตายลง ศพจะต้องถูกฝังในบ้านเกิดจึงมีการทำพิธีปลุกศพให้ลุกขึ้นมากระโดดตามกันเป็นขบวน โดยจะมีการสั่นกระดิ่งเป็นการให้จังหวะ
* ดวงตาหงส์ คือดวงตาที่มีลักษณะรูปตารีเล็ก เรียวยาว หางตายกขึ้นเล็กน้อย
* ท่ามุทรา เป็นการใช้มือและนิ้วมือทำท่าทางแสดงสัญลักษณ์ทางพิธีกรรมในศาสนาฮินดูและศาสนาพุทธ
* ไทกวง คือชื่อของหนึ่งในจิตสามจิตของมนุษย์ตามความเชื่อลัทธิเต๋า
** สามจิตเจ็ดวิญญาณ ลัทธิเต๋าเชื่อว่าร่างกายของมนุษย์ประกอบไปด้วยสามจิตเจ็ดวิญญาณ สามจิต ได้แก่ ฟ้า ดิน คน เจ็ดวิญญาณ ได้แก่ รัก โลภ โกรธ หลง เศร้า กลัว ดีใจ หากขาดอย่างใดอย่างหนึ่งไปจะถือว่าอยู่ในสภาพไม่สมบูรณ์
*** คัมภีร์จินคุ่ยเย่าเลวี่ย คือชื่อคัมภีร์โบราณด้านการแพทย์ของประเทศจีน
**** คัมภีร์จินคุ่ยอวี้หาน คือชื่อคัมภีร์โบราณด้านการแพทย์ของประเทศจีน
* มู่อวี๋ คืออุปกรณ์ที่พระจีนใช้เคาะเวลาสวดมนต์
โปรดติดตามตอนต่อไป…