everY
ทดลองอ่าน พวกผีรู้ดี ชีวิตนี้ฉันผ่านอะไรมาบ้าง เล่ม 1 บทที่ 5 #นิยายวาย
ทดลองอ่าน เรื่อง พวกผีรู้ดี ชีวิตนี้ฉันผ่านอะไรมาบ้าง เล่ม 1
ผู้เขียน : โม่เฉินฮวน
แปลโดย : เฉินเมิ่งหาน
ผลงานเรื่อง : พวกผีรู้ดี ชีวิตนี้ฉันผ่านอะไรมาบ้าง
ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน
จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว
หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย
– – – – – – – – – – – – – – – – –
Trigger Warning
นื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับความรุนแรงในครอบครัว
มีการใช้ความรุนแรง มีการกล่าวถึงเลือด สภาพศพ
การกินเนื้อเผ่าพันธุ์เดียวกัน และสถานการณ์อันน่าขยะแขยง
ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ
สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป
โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
** หมายเหตุ: ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **
– – – – – – – – – – – – – – – – –
บทที่ 5
ถ้าจะพูดถึงคนรุ่นเยาว์ในวงการศาสตร์ลี้ลับรุ่นนี้ ทุกคนล้วนมองมัจจุราชเย่เป็นเหมือนกับภัยพิบัติใหญ่ สำหรับรุ่นของนักพรตฉีซานกับรุ่นของลูกชายเขา ‘อี้หลิงจื่อ’ ชื่อนี้น่ากลัวจนเด็กยังต้องหยุดร้องไห้
ยกตัวอย่างเช่นลูกชายของนักพรตฉีซาน สมัยนั้นเขาถูกนักพรตฉีซานตำหนิทุกวัน ‘แกลองเทียบกับอี้หลิงจื่อดูสิ! แกลองเทียบดู! เขาอายุสิบหกก็ได้ที่หนึ่งของโม่โต่วแล้ว! แล้วแกล่ะ? ไหล่ก็แบกหาบไม่ไหว มือก็ยกของไม่ขึ้น** ทำไมฉันถึงได้มีลูกไร้ประโยชน์แบบแกกันนะ!’
ตอนนั้นเด็กหนุ่มผู้มีความสามารถโดดเด่นติดสิบอันดับแรกของโม่โต่วถูกตำหนิจนร้องไห้โฮ
เขาเทียบกับผู้อาวุโสอี้หลิงจื่อได้หรือไง
ผู้อาวุโสอี้หลิงจื่อคือลูกคนข้างบ้าน* ที่แท้!
ถึงแม้อี้หลิงจื่อจะแข็งแกร่ง แต่มาจนถึงวันนี้นักพรตฉีซานและพวกคนรุ่นเดียวกันก็ยังไม่มีใครรู้อยู่ดีว่าในตอนนั้นเขาเก่งกาจถึงระดับไหนกันแน่ ทว่าอี้หลิงจื่อค่อนข้างเข้าหาง่าย ไม่ได้มีนิสัยรักสันโดษไม่เอาใครอย่างเย่จิ้งจือลูกศิษย์ของเขาที่รู้จักแต่การปราบผีเท่านั้น ตอนแรกอี้หลิงจื่อมักจะเข้าร่วมกิจกรรมของคนรุ่นเดียวกันอยู่เป็นประจำ ถือได้ว่าเป็นคนที่มีชีวิตชีวาอยู่พอสมควร
เมื่อนึกถึงเรื่องราวความเจ้าสำราญสมัยก่อนตอนที่ยังหนุ่มขึ้นมา นักพรตฉีซานก็ทอดถอนใจอย่างใจหาย “น่าเสียดาย เมื่อสิบเก้าปีก่อนฉันยังนัดดื่มเหล้ากับอี้หลิงจื่ออยู่เลย ไม่คิดว่าจะเป็นการจากกันชั่วนิรันดร์ นึกไม่ถึงว่าเขาจะตายไปพร้อมกับปีศาจภัยแล้งพันปี”
ในครั้งนี้พอชื่อของ ‘อี้หลิงจื่อ’ ปรากฏในบทความของ ‘พวกผีรู้ดี’ ผ่านไปครู่เดียวบรรดาอาจารย์รุ่นอาวุโสก็ทยอยกันปรากฏตัวออกมาแสดงความคิดเห็นระลึกถึงเรื่องในตอนนั้น เพียงพวกเขาออกปาก เหล่าลูกศิษย์ไหนเลยจะกล้าเหิมเกริมอีกจึงทำได้เพียงแอบซุบซิบกันหลังไมค์เท่านั้น
‘มัจจุราชเย่มีคู่หมั้นสาวด้วยเหรอ อาจารย์ของเขาเชี่ยวชาญศาสตร์การทำนายมาก ไม่อย่างนั้นจะรู้ล่วงหน้าได้ยังไงว่าเย่จิ้งจือจะเย็นชาจนไม่มีแฟนมาถึงตอนนี้ ดังนั้นเมื่อสิบเก้าปีก่อนตอนที่มัจจุราชเย่ยังไม่ได้ชื่อว่ามัจจุราชเย่ อาจารย์ถึงได้ช่วยเขาขุดหลุมดักเด็กสาวคนหนึ่งมาลงขุมนรก?’
‘ผู้อาวุโสอี้หลิงจื่อมองการณ์ไกลจริงๆ! ทำไมอาจารย์ของฉันถึงไม่ช่วยเลือกคู่หมั้นตั้งแต่เด็กไว้ให้ฉันบ้างนะ ตอนนี้ฉันก็สามสิบปลายๆ แล้ว ลูกสะใภ้สักคนยังไม่มีด้วยซ้ำ ดูอย่างมัจจุราชเย่เขาสิ เมื่อวานยังหัวเดียวกระเทียมลีบอยู่เลย วันนี้ดันมีคู่หมั้นสาวขึ้นมาแล้ว! ทำเอาผินเต้าอิจฉาจนหน้าบูดหน้าเบี้ยวแทบจำหน้าไม่ได้!’
‘มัจจุราชเย่มีร่างไตรอสูร** ร่างกายแบบนี้ของเขาสามารถทำให้ภรรยาตายทั้งเป็นได้ เขาน่าจะหาภรรยาไม่ได้ถึงจะถูก ผู้อาวุโสอี้หลิงจื่อสุดยอดเกินไปแล้ว ไม่แปลกที่ตอนนี้พอปู่ฉันได้ยินชื่อผู้อาวุโสอี้หลิงจื่อถึงยังตัวสั่นด้วยความกลัวอยู่เลย คิดไม่ถึงว่าเขาจะสามารถหาผู้หญิงที่มีพลังหยินรุนแรงมาเติมเต็มให้มัจจุราชเย่ได้พอดี’
‘เอ๊ะ ไม่ใช่สิ ในบทความไม่ได้บอกว่าคู่หมั้นสาวของมัจจุราชเย่อยู่ที่ไหนนี่นา’
ขณะนั้นเอง ณ เชิงเขาทางทิศเหนือของเขาหลี เมืองฉางอัน มณฑลส่าน
ภิกษุชราศีรษะโล้นเลี่ยนรูปหนึ่งกำลังนั่งคร่อมอยู่บนต้นไม้เก่าแก่ พร้อมกับจ้องไปด้านหน้าอย่างเป็นกังวล เขาอยู่ในทุ่งกว้าง ไกลออกไปสองกิโลเมตรคือสุสานจิ๋นซีฮ่องเต้*** ที่ถูกยกให้เป็นสิ่งมหัศจรรย์อันดับที่แปดของโลก เมื่อเข้าสู่ยามราตรี นักท่องเที่ยวที่เดินกันขวักไขว่ในตอนกลางวันก็หายไป เขาหลีที่มืดครึ้มแลดูน่าสะพรึงได้กลายเป็นเงาดำขนาดใหญ่ทอดลงมายังพื้นดินอย่างเงียบงัน
ภิกษุชราชี้นิ้วออกไป ปากก็พึมพำท่องคาถา เมื่อด้านหน้าของเขาปรากฏกระจกวารีทรงกลมบานหนึ่ง เขาก็รีบพูดอย่างใจร้อนว่า “อาตมาได้บอกข่าวซุบซิบหัวข้อที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่รู้กับพวกคุณไปหมดแล้ว ทำไมพวกคุณยังไม่ให้คะแนนอาตมาอีก ตอนนี้เวลาก็เลยยามจื่อมาแล้ว อาตมาไล่ล่าผีอาฆาตสามร้อยปีตนนี้มาหนึ่งเดือนแล้ว ถ้าปล่อยให้มันหนีเข้าไปในสุสานปฐมจักรพรรดิจริงๆ แล้วรบกวนสิ่งที่อยู่ในสุสานเข้า ถึงตอนนั้นวงการศาสตร์ลี้ลับคงวุ่นวายครั้งใหญ่ อาตมาคงแบกรับความรับผิดชอบนี้ไม่ไหว!”
อีกด้านของกระจกวารีคือชายหนุ่มสวมแว่นคนหนึ่ง ด้านหลังของเขามีบรรดาชายหนุ่มหญิงสาววัยรุ่นหลายคนกำลังเดินทำงานวุ่นกันให้ควั่ก
เมื่อได้ยินที่ภิกษุชราบอก ชายหนุ่มคนนี้ก็ดันแว่นแล้วพูดขึ้นว่า “อาจารย์ปู้สิ่ง ข่าวเด็ดของท่านเพิ่งโพสต์ขึ้นมาเมื่อครู่ ต้องให้เวลาพวกผมจัดทำสถิติยอดอ่านกับยอดไลค์หน่อยสิครับ อ้อใช่ อีกอย่างยังมีสหายนักพรตอีกไม่น้อยที่ให้รางวัลแก่ท่าน ของพวกนี้ก็จะถูกแปลงเป็นคะแนนเข้าบัญชีของท่านด้วย แต่ถ้าท่านอยากให้พวกผมแปลงคะแนนให้ตอนนี้ ถ้าอย่างนั้นคะแนนที่จะได้รับหลังจากนี้ก็จะไม่ถูกนับเข้าบัญชีของท่านนะครับ”
เมื่อได้ยินประโยคนี้มุมปากของอาจารย์ปู้สิ่งก็กระตุกอย่างเจ็บปวดระคนเสียดาย “เอาล่ะๆ อาตมาไม่เอาคะแนนพวกนั้นแล้ว เอาคะแนนมาตอนนี้เลย จะไม่ทันแล้ว อาตมาต้องรีบไปซื้อผีกองกอยร้อยปีของสำนักเทียนกงมาหลอมของวิเศษ ไม่อย่างนั้นผีอาฆาตตนนั้นต้องหนีไปแน่!”
แอดมินของ ‘พวกผีรู้ดี’ ยิ้มอย่างพึงพอใจ แล้วพูดว่า “ผมจะโอนคะแนนเข้าบัญชีของท่านให้ครับ”
หนึ่งนาทีต่อมา อาจารย์ปู้สิ่งเปิดโม่โต่วของตัวเองและพบว่ามีคะแนนเพิ่มเข้ามาในบัญชีหนึ่งแสนกว่าคะแนน พอเห็นตัวเลขที่เยอะจนน่ากลัวแบบนี้ เขาก็นิ่งงันไป ก่อนจะพึมพำออกมาว่า “ข่าวซุบซิบของอี้หลิงจื่อกับเย่จิ้งจือมีค่าขนาดนี้เลยเหรอ” ต่อมาเขาก็ส่ายหน้าแล้วพูดว่าอมิตาภพุทธติดๆ กันหลายคำ “สหายอี้หลิงจื่อ ตอนแรกเป็นอาตมาที่นำหินไท่ซานก้อนนั้นมาด้วยกัน ตอนนั้นสหายก็ยอมตายเพื่อวงการศาสตร์ลี้ลับ ตอนนี้อาตมาจะจับผีอาฆาตสามร้อยปีตนนี้เพื่อวงการศาสตร์ลี้ลับ แต่ขาดคะแนนที่ต้องใช้ซื้อวัสดุหลอมของวิเศษอยู่อีกเล็กน้อย เลยต้องเปิดเผยเรื่องซุบซิบของพวกคุณศิษย์อาจารย์ออกมา สหายที่อยู่ในยมโลกคงไม่ถือโทษอาตมาหรอกใช่ไหม…โอ๊ย!”
ทันใดนั้นลูกผีผาขนาดเท่ากำปั้นก็ตกลงมากระแทกใส่ศีรษะโล้นเลี่ยนของอาจารย์ปู้สิ่งอย่างรุนแรงจนโน
อาจารย์ปู้สิ่งลูบศีรษะโล้นเลี่ยนของตัวเองแล้วพึมพำต่อ “สหายจะโทษอาตมาไม่ได้นะ อาตมาเองก็ทำเพื่อกำจัดภัยร้ายให้ผู้คน และเป็น…โอ๊ยๆๆ!”
ลมพัดมาวูบหนึ่งลูกผีผาที่ออกผลเต็มต้นก็พากันตกลงมาราวกับสายฝน กระแทกลงบนศีรษะของอาจารย์ปู้สิ่งดังปึ้กๆๆ อาจารย์ปู้สิ่งถูกกระแทกจนศีรษะโนไปหมดจึงรีบทะยานลงมาจากต้นไม้ต้นนั้นแล้ววิ่งเข้าไปในสุสานจิ๋นซีฮ่องเต้ โดยหนีไปพลางตะโกนไปพลางว่า “อาตมาจะไปจับผีร้ายแล้ว!”
ในค่ำคืนนี้สี่บทความซุบซิบของ ‘พวกผีรู้ดี’ มีเพียงข่าวซุบซิบเรื่อง ‘มัจจุราชเย่มีคู่หมั้นสาว’ เท่านั้นที่ถูกวงการศาสตร์ลี้ลับพูดถึงอย่างคึกคัก อีกสามข่าวนอกจากนั้นล้วนไม่ได้รับการเหลียวแลราวกับถูกปัดเข้าตำหนักเย็น
คืนนั้นเอง เย่จิ้งจือกำลังหยิบไม้กวาดมาทำความสะอาดห้อง จู่ๆ โทรศัพท์ก็ดังขึ้นมา เมื่อเขาเปิดดูก็พบว่ามีอาจารย์อาวุโสกลุ่มหนึ่งส่งข้อความมาทักทายเขา อีกทั้งสอบถามเขาว่าจะแต่งงานตอนไหน อี้หลิงจื่อตายไปแล้ว เหล่าผู้อาวุโสพวกนี้สามารถเป็นผู้ใหญ่ให้เย่จิ้งจือและช่วยเป็นเจ้าภาพงานแต่งให้เขาได้
นอกจากนี้แล้วก็มีคนรุ่นเยาว์เพียงแค่สามคนเท่านั้นที่ส่งข้อความมาไถ่ถาม
เย่จิ้งจือขมวดคิ้วเล็กน้อยแล้วกดเปิดบทความนั้นของ ‘พวกผีรู้ดี’ จึงได้รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
เขาวางไม้กวาดลงแล้วตอบทีละข้อความอย่างจริงจัง
‘เมื่อสิบเก้าปีก่อน ครั้งสุดท้ายที่ผมได้เจออาจารย์ เขาเคยพูดถึงจริงๆ ว่าได้ทำสัญญาหมั้นหมายไว้ให้ผมและมอบหินไท่ซานไว้เป็นสิ่งยืนยัน แต่ตอนนั้นปีศาจภัยแล้งพันปีได้ถือกำเนิดขึ้นบนโลกพอดี อาจารย์ไม่ทันได้อธิบายให้ชัดเจนก็จากไปพร้อมกับปีศาจภัยแล้งพันปีในศึกใหญ่ครั้งนั้นซะก่อน ผมก็ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นใคร หลายปีมานี้อีกฝ่ายก็ไม่เคยมาหา เคยได้ยินอาจารย์บอกเท่านั้นว่าเป็นเด็กผู้หญิงที่มีพลังหยินรุนแรงมาก อายุน้อยกว่าผมสองปี เข้ากันได้ดีพอดี ปีนี้ก็น่าจะอายุยี่สิบสามปีแล้ว’
ผู้อาวุโสทั้งหลายไม่ได้มาเพื่อฟังคำอธิบายอยู่แล้ว พวกเขาก็แค่อยากมาล้วงลึกข่าวซุบซิบเท่านั้น
อาจารย์ของสำนักเทียนจีรีบตอบกลับ
‘พ่อหนุ่มเย่ คนแก่อย่างฉันจะทำนายให้เธอเอง จะได้ช่วยเธอหาว่าคู่หมั้นสาวคนนั้นของเธออยู่ที่ไหน!’
ริมฝีปากบางของเย่จิ้งจือเม้มเล็กน้อย ขณะตั้งใจจะปฏิเสธ ในความคิดเขา การที่ไม่มีข่าวคราวของอีกฝ่ายเลยตลอดสิบเก้าปีมานี้ นั่นแสดงให้เห็นว่าคนคนนั้นคงจะไม่ใช่คนในวงการศาสตร์ลี้ลับ หรือไม่ก็ได้ยินชื่อเสียงของเขาเลยรังเกียจ ไม่อยากแต่งงานกับเขา ไม่อยากเป็นภรรยาของเขา ในเมื่อเป็นแบบนี้เขาเองก็ไม่ควรฝืนใจอีกฝ่าย เลยแสร้งทำเหมือนไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้นมาก่อน
แต่อาจารย์ของสำนักเทียนจีดันตอบกลับมาภายในห้านาที
‘หลิงเซียวสืบถาม ผูกพันสามภพ พลังหยินและอสูรมาบรรจบ ถือกำเนิดตามคำมั่น…เอ๊ะ พ่อหนุ่มเย่ ดูจากกระดานทำนาย เธอน่าจะเคยเจอคู่หมั้นสาวคนนั้นมาแล้วนะ’
ม่านตาของเย่จิ้งจือหดแคบลง เขาตอบอย่างเยือกเย็น
‘ขอบคุณมากครับผู้อาวุโส’
อย่างที่เผยอวี้บอก ในบรรดาคนรุ่นเยาว์ของวงการศาสตร์ลี้ลับ นอกจากคนไม่กี่คนแล้วก็ไม่มีใครกล้ามาข้องแวะกับมัจจุราชเย่เลย แม้จะมีข่าวใหญ่ขนาดนี้เปิดเผยออกมา แต่เย่จิ้งจือก็ใช้เวลาตอบข้อความถึงแค่ตีหนึ่งเท่านั้น และไม่มีใครมาสอบถามอีก แม้เหล่าผู้อาวุโสจะซุบซิบกัน แต่ก็อายที่จะออกหน้าจึงเอาแต่ถามคนที่เกี่ยวข้อง ส่วนคนรุ่นเยาว์ถึงจะหน้าหนา แต่ก็มีแค่ไม่กี่คนที่จะกล้ามาข้องแวะกับเขา
ในคืนที่มืดมิดและเงียบสงัด ชายหนุ่มร่างสูงตระหง่าน หน้าตาหล่อเหลาปิดโทรศัพท์แล้วตั้งใจทำความสะอาดต่อคล้ายไม่อยากติดหนี้คนอื่นจึงคิดจะอาศัยการทำแบบนี้แทนค่าเช่าห้อง
เมื่อซีจยาตื่นขึ้นในเช้าวันต่อมา ทันทีที่ก้าวออกจากประตูห้องก็เห็นเผยอวี้วิ่งเข้ามาหาด้วยท่าทางลิงโลด เผยอวี้ดึงเขาเข้าไปในห้องอีกรอบแล้วจงใจล็อกประตู ทำถึงขนาดนี้แล้วก็ยังรู้สึกว่าไม่น่าวางใจสักเท่าไร จึงกางเขตอาคมขึ้นมาอีกหนึ่งชั้น
ซีจยาถามด้วยความประหลาดใจ “มีเรื่องจะคุยกับผม แต่ให้อาจารย์เย่ได้ยินไม่ได้เหรอ”
เผยอวี้รีบพยักหน้าทันที
ซีจยา “คุณกางเขตอาคมพวกนี้จะกันอาจารย์เย่ได้จริงๆ เหรอ”
เผยอวี้สีหน้าแข็งค้าง “ยังไง…ยังไงผมก็สบายใจแบบนี้ ผมสบายใจ! ผมจะบอกพี่ว่าเมื่อเช้านี้ตอนตื่นนอนพี่เห็นหรือยัง เมื่อคืน ‘พวกผีรู้ดี’ โพสต์ข่าวซุบซิบสะเทือนวงการ!”
ซีจยาไม่สนใจเรื่องนี้เลยสักนิด “ข่าวซุบซิบในวงการศาสตร์ลี้ลับของพวกคุณเกี่ยวอะไรกับผมล่ะ” พูดจบก็คิดจะเปิดประตูออกไป
ทว่าเผยอวี้กลับดึงเขาเอาไว้ “รอบนี้มันเกี่ยวกับมัจจุราชเย่! มัจจุราชเย่มีคู่หมั้นสาว นึกไม่ถึงเลยว่าเขาจะมีคู่หมั้นสาว แถมยังเป็นคู่หมั้นตั้งแต่เด็กด้วย! การคลุมถุงชนที่ร้ายกาจแบบนี้ ทำไมตอนนั้นอาจารย์ของผมถึงไม่ทำให้ผมบ้าง ผมถึงได้ไม่มีแฟนมาจนทุกวันนี้”
ซีจยาอึ้งไปเล็กน้อย “…อาจารย์เย่มีคู่หมั้นสาว?”
คำถามนั้นกระตุกต่อมความสนใจของเผยอวี้ขึ้นมาทันที เขารีบเปิดบัญชีทางการของวีแชต แล้วเอาบทความให้ซีจยาดู
หลังอ่านบทความจบซีจยาก็อดที่จะขมวดคิ้วไม่ได้ หลังจากนั้นเขาก็เปิดประตูห้อง “นั่นเป็นเรื่องของอาจารย์เย่ คุณจะนินทาไปทำไม ถึงผมจะไม่เข้าใจสาเหตุ แต่ไม่ว่ายังไงก็เป็นเรื่องส่วนตัวของเขา พวกเรา…”
เสียงของเขาหยุดลงอย่างกะทันหัน ซีจยาเบิกตากว้าง มองห้องรับแขกด้านหน้าที่สะอาดจนเปล่งประกายวิบวับ!
กระเบื้องสีขาวถูกถูจนเงาวับชนิดที่แค่ก้มหน้าก็ใช้ส่องแทนกระจกได้เลย คราบที่ฝังลึกบนผนังมาปีกว่าตอนนี้ก็หายเกลี้ยง ฝุ่นตามมุมผนังและฝ้าเพดานก็ไม่เหลือ สนิมบนตู้เย็นก็ไม่มีให้เห็น แม้แต่ไผ่กวนอินที่ไม่ได้เปลี่ยนน้ำมาครึ่งปีก็กลับมามีชีวิตชีวา!
ซีจยาหันไปมองเผยอวี้อย่างไม่อยากจะเชื่อ…นายทำเหรอ
เผยอวี้เพิ่งได้เห็นความผิดปกติภายในห้อง ผมเปล่านะ เกิดอะไรขึ้น เมื่อกี้ผมไม่ทันได้สังเกตเลย
เวลานี้เองกลิ่นอาหารหอมกรุ่นแตะจมูกก็โชยออกมาจากในห้องครัว เมื่อได้กลิ่นนี้เข้าคนซื่อตรงอย่างซีจยาก็อดไม่ได้ที่จะกลืนน้ำลาย ส่วนเผยอวี้นั้นยิ่งกว่าซีจยาอีก เขาพุ่งตรงไปทางห้องครัวด้วยความตื่นเต้นก่อนแล้ว
“เกิดอะไรขึ้น พี่ทำอาหารด้วยเหรอ พี่จยา พี่เพิ่งตื่นไม่ใช่เหรอ”
ทันทีที่ไปถึงห้องอาหาร จู่ๆ เผยอวี้ก็ตัวแข็งอยู่กับที่
เขาเห็นเพียงแค่ร่างสูงใหญ่ของชายผู้หล่อเหลาคนหนึ่งเดินออกมาจากในห้องครัว ก่อนจะนำอาหารหลายจานมาวางบนโต๊ะด้วยสีหน้านิ่งสนิท พอเห็นเผยอวี้ เย่จิ้งจือก็พยักหน้าให้นิ่งๆ “สหายนักพรตเผย” จากนั้นเขาก็เงยหน้ามองซีจยาที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกล “เมื่อคืนรบกวนแล้ว”
สองขาเผยอวี้สั่นระริก จนกระทั่งเผลอวิ่งกลับไปโดยไม่รู้ตัว เขาวิ่งตรงไปอยู่ข้างๆ ซีจยา แล้วกระซิบว่า “ไม่ไหว เห็นมัจจุราชเย่แล้วผมกินข้าวไม่ลง ผมขอแก้ปัญหาด้วยการออกไปข้างนอกก่อนนะ น่ากลัวเกินไปแล้ว ร่วมโต๊ะกินข้าวกับมัจจุราชเย่…พี่จยา ผมทนไม่ไหวหรอก ฝากพี่ด้วย”
พอพูดจบเผยอวี้ก็บังคับน่องที่สั่นอยู่ตลอดให้หยุดสั่น แล้วพูดอย่างเคร่งขรึมจริงจังว่า “เมื่อกี้หลัวผานของผมพบว่าห่างออกไปไม่ไกลคล้ายจะมีผีอาฆาตอยู่ตนหนึ่ง เดี๋ยวผมจะไปจัดการผีตนนั้น สหายนักพรตเย่ พี่จยา พวกคุณกินกันเลย กินให้อร่อยนะครับ”
เพิ่งจะพูดจบเผยอวี้ก็วิ่งแจ้นหนีไปทันที
ซีจยา “…”
เย่จิ้งจือ “…”
ซีจยาถาม “อาจารย์เย่ ได้ยินว่าคุณเห็นพลังหยินมาตั้งแต่เกิด แถวๆ นี้มีผีไหมครับ”
เย่จิ้งจือเงียบไปพักหนึ่ง “ผมอาจจะมองผิดไป”
ซีจยากลั้นยิ้ม
หมอผีต้มตุ๋นแซ่เผยคิดแต่จะรีบหนีไปให้ไกลๆ แต่กลับไม่ฉุกคิดว่าขนาดมัจจุราชเย่ยังไม่เจอผี แล้วเขาจะเจอได้อย่างไร
เป็นเพราะเผยอวี้ไม่กล้าอยู่ในห้อง บนโต๊ะอาหารจึงเหลือแค่ซีจยาและเย่จิ้งจือที่นั่งอยู่ตรงข้ามกันเท่านั้น ตอนแรกซีจยาก็ไม่ค่อยกล้าขยับตะเกียบ ถึงแม้อาหารพวกนี้จะมีกลิ่นหอมมากทั้งยังดูน่ากินจนชวนให้น้ำลายสอ แต่…อาจารย์เย่ทำอาหารเป็นจริงๆ เหรอ
หลังจากกินอย่างยอมรับชะตากรรมไปหนึ่งคำ ซีจยาก็ตาโต ก่อนจะรีบขยับตะเกียบอีกครั้ง
อาหารบนโต๊ะถูกกินจนหมดเกลี้ยง นี่แสดงให้เห็นถึงระดับความอร่อยของอาหารพวกนี้
ชายหนุ่มผมดำนั่งอยู่บนเก้าอี้อย่างอิ่มหนำสำราญ ทันใดนั้นก็นึกถึงบทความที่เพิ่งอ่านไปเมื่อครู่ เขาจึงอดคิดไม่ได้ว่าถ้าได้เป็นภรรยาของอาจารย์เย่ อย่างน้อยก็คงมีความสุขเรื่องอาหารไปทั้งชีวิตอย่างแน่นอน
แต่ไม่นานเขาก็นึกถึงอีกเรื่องขึ้นมาได้ “อาจารย์เย่…คุณทำความสะอาดห้องให้ผมเหรอครับ”
เย่จิ้งจือตอบเสียงต่ำ “ตอบแทนที่คุณดูแลครับ”
ซีจยาไม่อาจบอกได้ว่าในใจกำลังรู้สึกอย่างไร แต่เมื่อมองท่าทางอึดอัดใจและนิ่งเงียบของผู้ที่ครองอันดับหนึ่งในหมู่คนรุ่นเยาว์แห่งวงการศาสตร์ลี้ลับคนนี้แล้ว ไม่รู้ทำไมจู่ๆ ซีจยาก็รู้สึกว่าคนคนนี้ดูค่อนข้างโดดเดี่ยวและค่อนข้าง…น่าสงสาร
ในบทความนั้นบอกเอาไว้ว่าเมื่อสิบเก้าปีก่อนอาจารย์ของอาจารย์เย่เสียชีวิตไปพร้อมกับปีศาจพันปีตนหนึ่งเพื่อวงการศาสตร์ลี้ลับและเพื่อผู้คน อาจารย์เย่ในตอนนั้นเพิ่งจะอายุได้หกขวบ เขาถูกอาจารย์รับมาเลี้ยงดู ไม่มีพ่อแม่ หลังจากอาจารย์เสียไปอย่างกะทันหัน เขาก็ไม่ได้เข้าร่วมกับสำนักอื่นและยังคงปกป้องสำนักของอาจารย์เอาไว้
สำนักของพวกเขา มาตรฐานของเงื่อนไขในการรับลูกศิษย์นั้นสูงมาก และมักจะมีผู้สืบทอดเพียงแค่คนเดียวเท่านั้น
ด้วยเหตุนี้อาจารย์เย่จึงใช้ชีวิตคนเดียวและฝึกฝนด้วยตัวเองคนเดียวมาตั้งแต่อายุหกขวบ หลังจากเขาแข็งแกร่งขึ้นมา คนอายุที่พอๆ กันในวงการศาสตร์ลี้ลับต่างก็หวาดกลัวและไม่กล้ายุ่งกับเขา คนแบบนี้สามารถกลายเป็นแบบอย่างทางศีลธรรมได้โดยที่ไม่กลายเป็นคนเลวร้าย ช่างเป็นเรื่องที่หาได้ยากจริงๆ
ริมฝีปากของซีจยาขมุบขมิบ สุดท้ายก็ไม่รู้ว่าควรจะต้องพูดอะไร แต่กลับเห็นว่าเย่จิ้งจือวางตะเกียบลง แล้วพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำว่า “พวกเศษหินไท่ซานที่แตกไปของคุณ ผมเอาไปให้เพื่อนคนหนึ่งในสำนักเทียนกงเพื่อขอให้เขาช่วยซ่อมให้คุณ สองวันนี้ก็น่าจะซ่อมเสร็จแล้ว ได้ยินว่าคุณเองก็ติดตาม ‘พวกผีรู้ดี’ ไปแล้ว ได้รับโม่โต่วหรือยังครับ”
ซีจยาส่ายหน้า “ผมไม่ได้เขียนที่อยู่ครับ”
เย่จิ้งจือพยักหน้าเบาๆ “ตามปกติถ้าจะซื้อโม่โต่วต้องใช้ยี่สิบคะแนน คุณกรอกที่อยู่ไว้ก็ได้ พอถึงเวลาผมจะให้คนในสำนักเทียนกงส่งโม่โต่วกับหินไท่ซานของคุณกลับมาให้พร้อมกันนะครับ”
ซีจยาไม่อยากยุ่งเรื่องของวงการศาสตร์ลี้ลับ หลังติดตามบัญชีทางการ ‘พวกผีรู้ดี’ เขาก็ไม่เคยคอมเมนต์อะไรเลย เพียงแค่เลื่อนดูเวลาเบื่อๆ เท่านั้น แต่ของที่ให้ฟรีนั้นไม่รับไว้ก็เสียของแย่ โม่โต่วนั่นไม่นึกเลยว่าจะใช้ยี่สิบคะแนนต่ออัน เผยอวี้เป็นสิบอันดับแรกของอันดับโม่โต่วสามารถทำคะแนนได้อย่างมากสุดก็หนึ่งร้อยคะแนนต่อเดือน เพราะแบบนี้โม่โต่วนี่จึงมีค่ามากจริงๆ
ซีจยากรอกที่อยู่อย่างรวดเร็ว จากนั้นก็เพียงแค่รอให้อีกฝั่งส่งของมา
อาจเป็นเพราะปอดแหกจนเกินไป จนถึงช่วงบ่ายเผยอวี้ก็ยังไม่กลับมา แถมยังจงใจแสร้งทำเป็นส่งข้อความมาทางวีแชตว่า ‘ผมเจอผีร้ายตนหนึ่งตบะสูงมาก ต้องตามล่าอีกสักพัก ตอนเย็นไม่ต้องรอผมกินข้าวนะครับ’
ซีจยาเปิดโปงอีกฝ่ายด้วยสีหน้าตายด้าน ‘อืม อาจารย์เย่กลับไปพักที่ห้องเมื่อไหร่ ผมค่อยเรียกคุณกลับมาแล้วกัน’
เผยอวี้ซาบซึ้งใจสุดๆ ‘พี่จยาผู้มีคุณธรรม!!!’
เมื่อกินข้าวเสร็จ ซีจยาที่คิดจะไปล้างจานก็ถูกข้อความของเผยอวี้รั้งเอาไว้ แต่พอเขาไปที่ห้องครัวอีกครั้ง สิ่งที่ปรากฏตรงหน้ากลับกลายเป็นเย่จิ้งจือที่ก้มหน้าล้างจานอยู่หน้าซิงก์ อีกฝ่ายสวมเสื้อคลุมสีดำตัวหนึ่ง ดวงตาหงส์รียาวหลุบต่ำ นิ้วมือเรียวยาวที่เดิมทีควรใช้ในการปราบผีเวลานี้กำลังเช็ดขอบจานและตะเกียบอย่างพิถีพิถัน
เหมือนกับผ้าห่มผืนนั้นที่ไม่เคยถูกใครใช้งานมาก่อน เนื่องจากซีจยารู้สึกไม่สบายใจเอามากๆ ถึงได้เชิญอาจารย์เย่มาพักในห้องของตน แต่ใครจะไปรู้ว่าคนคนนี้ไม่ใช่แค่ไม่นอนเลย แต่กลับใช้เวลาทั้งคืนในการช่วยเขาทำความสะอาดห้องและทำอาหาร แถมตอนนี้ยังจะมาล้างจานอีก
ซีจยาอยู่ร่วมกับเผยอวี้มาสองสามวัน หมอผีต้มตุ๋นแซ่เผยนั้นแต่ไหนแต่ไรก็เป็นคุณชายใหญ่ที่นิ้วมือทั้งสิบไม่เคยแตะงานบ้าน อย่าว่าแต่ล้างจานเลย ขนาดเกลือกับน้ำตาลยังแยกไม่ออกเลยด้วยซ้ำ ทำเป็นแค่นั่งถือตะเกียบเคาะชามรออยู่ในห้องอาหารเท่านั้น ทว่าคนที่ถูกเรียกว่ามัจจุราชเย่คนนี้กลับมีความนุ่มนวลและละเอียดอ่อนต่างจากภาพลักษณ์ภายนอกโดยสิ้นเชิง เขายังคงมีท่าทีปฏิเสธราวกับไม่อยากให้ใครเข้าใกล้ในระยะพันลี้ แต่กลับทำหลายๆ อย่างที่คนส่วนใหญ่มักไม่ชอบทำอยู่เงียบๆ
เมื่อเจอคนแปลกหน้าที่มีพลังหยินรุนแรงมาก เขาจะนำของวิเศษของตัวเองออกมาข่มพลังหยินของอีกฝ่ายเอาไว้ จากนั้นก็พยายามหาวิธีช่วยเหลือและจัดการปัญหาอย่างสุดความสามารถ
ซีจยาวิจารณ์ด้วยจิตใจที่สงบนิ่ง ถ้าเขาเป็นเย่จิ้งจือแล้วได้เจอตัวเองเมื่อสัปดาห์ก่อน ไม่ว่าอย่างไรก็จะไม่ยอมช่วยอย่างแน่นอน แต่เย่จิ้งจือกลับอาสามาช่วยเหลือเขา แถมยังช่วยมากถึงเพียงนี้อีก คนแบบนี้ควรค่าแก่การยกย่องให้เป็นแบบอย่างทางศีลธรรมจริงๆ
ซีจยาก้าวไปด้านหน้า ยืนอยู่อีกด้านของซิงก์ ก่อนจะหยิบชามและตะเกียบขึ้นมาล้างน้ำ
เย่จิ้งจือเงยหน้าขึ้นมองเขาคล้ายไม่เข้าใจว่าเขาจะมาล้างจานตรงนี้ทำไม ซีจยายกมุมปากขึ้นส่งยิ้มให้ ริมฝีปากที่อ้าออกของเย่จิ้งจือค่อยๆ หุบลง โดยไม่พูดอะไรแล้วหันไปตั้งใจล้างจานต่อ
ช่วงพลบค่ำ เมื่อหยินหยางบรรจบกัน เย่จิ้งจือก็เริ่มลงท่องคาถาลงอาคมให้พระบรมสารีริกธาตุ
“พระบรมสารีริกธาตุชิ้นนี้เป็นหนึ่งในสี่พระบรมสารีริกธาตุที่สร้างขึ้นมาเมื่อตอนที่อาจารย์ปู้ขู่เจ้าอาวาสรูปสุดท้ายของวัดต้าวั่นโซ่วมรณภาพ ตอนยังมีชีวิตอยู่อาจารย์ปู้ขู่เป็นหน้าตาของศาสนาพุทธ ต่อให้ตีด้วยกระบอง พระบรมสารีริกธาตุของท่านก็ไม่แตกหักเสียหาย ศาสนาพุทธแต่เดิมเป็นสิ่งที่คอยปราบปรามสิ่งชั่วร้ายทั้งปวงในโลก ดังนั้นหลังท่องคาถาใส่พระบรมสารีริกธาตุชิ้นนี้ครบสี่สิบเก้าวันก็จะสามารถปิดบังพลังหยินของคุณได้อย่างสมบูรณ์ แต่ประสิทธิภาพจะต่างจากหินไท่ซานอันก่อนของคุณโดยสิ้นเชิง”
ซีจยาถาม “ต่างกันโดยสิ้นเชิง?”
เย่จิ้งจือพยักหน้า “ใช่ครับ หินไท่ซานก้อนนั้นของคุณใช้วิธีการสกัดกั้นพลังหยินของตัวคุณไว้เพื่อปิดบังพลังหยินของคุณ แต่พระบรมสารีริกธาตุชิ้นนี้ไม่ได้กันไม่ให้พลังหยินของคุณรั่วไหลออกมา แต่เป็นการขัดขวางไม่ให้พลังชั่วร้ายเข้าใกล้คุณ หรือพูดง่ายๆ ก็คือพระบรมสารีริกธาตุได้กางเขตอาคมไว้รอบตัวคุณ ผีร้ายจะไม่สามารถสัมผัสได้ว่าคุณอยู่ในเขตอาคม แต่คุณสามารถปล่อยมันออกมาได้”
ซีจยาเข้าใจได้ในทันที ตอนที่ใช้หินไท่ซานก้อนนั้นเขาจะเป็นแค่คนธรรมคนหนึ่ง พลังหยินจะถูกซ่อนไว้ในร่างกาย ส่วนตอนใช้พระบรมสารีริกธาตุชิ้นนี้ พลังหยินจะไม่ได้ถูกซ่อนไว้จริงๆ แต่จะเป็นการทำให้โลกภายนอกไม่สามารถรับรู้หรือสัมผัสได้ก็เท่านั้น
เวลาไม่คอยท่า เย่จิ้งจือพลิกมือหยิบพระบรมสารีริกธาตุที่โปร่งใสแวววาวออกมาวางไว้กลางฝ่ามือ เขาเหลือบตาขึ้นมองซีจยาทำให้ซีจยาผงะไปเล็กน้อย ก่อนจะมองเขากลับบ้าง หลังจากผ่านไปสักพักเย่จิ้งจือก็ดึงมือของซีจยาไปวางบนฝ่ามือของเขาดื้อๆ
ซีจยาเบิกตาโต “อาจารย์เย่?”
เย่จิ้งจือพูด “ต่อไปผมจะท่องคาถาให้พระบรมสารีริกธาตุนะครับ”
ซีจยา “…ท่องคาถาต้องจับมือด้วยเหรอครับ”
เย่จิ้งจือพยักหน้าให้เขาด้วยสีหน้าหนักแน่น
ซีจยา “…”
นี่มันวิชาของสำนักไหนกัน!
แต่ยังไม่ทันที่ซีจยาจะได้ค่อนขอด วิ้ง! ลมปราณที่เย็นสบายละมุนละไมสายหนึ่งก็กระจายจากฝ่ามือไปถึงสมองของเขา และทันใดนั้นเสียงสวดภาษาสันสกฤตก็ดังขึ้นในหัวของเขา พระเกจิจำนวนนับไม่ถ้วนกำลังสวดเนื้อหาคัมภีร์ท่อนเดียวกัน ทั่วทุกหนแห่งถูกชำระล้างด้วยบทสวดภาษาสันสกฤตที่ดังขึ้นไม่ขาดสาย
ซีจยาตกอยู่ในภวังค์ของเขตแดนที่ดีงามเช่นนี้ ต่อมาเขาก็ค่อยๆ ได้ยินเสียงของชายคนหนึ่งจึงลืมตาขึ้น และเห็นชายหนุ่มผู้หล่อเหลาอย่างหาที่เปรียบไม่ได้กำลังขมวดคิ้วเรียวยาวพลางท่องคาถาอย่างเคร่งขรึมจริงจังด้วยน้ำเสียงที่ทุ้มต่ำ
นิ้วชี้ของเย่จิ้งจือจรดอยู่ที่ข้างริมฝีปาก ทุกครั้งที่เขาออกเสียงท่อง อักขระยันต์สีทองก็จะออกมาจากปากของเขา ก่อนจะลอยไปซ้อนทับอยู่บนมือของพวกเขา อักษรยันต์ที่ร้อนผ่าวผ่านมือของซีจยาไปและหายไปจากกลางฝ่ามือของทั้งสองคน จากนั้นความรู้สึกเย็นสบายจากพระบรมสารีริกธาตุก็หายไปอย่างช้าๆ สองมือที่จับกันแน่นทำให้ซีจยารู้สึกได้ถึงอุณหภูมิร้อนผ่าวจากฝ่ามือของอีกฝ่าย
ฝ่ามือของเย่จิ้งจือร้อนมาก ต่างจากรูปลักษณ์ภายนอกที่เย็นชาโดยสิ้นเชิง ซีจยาอดไม่ได้ที่จะมองให้นานขึ้นอีกหน่อย ทว่าทันใดนั้นเขาก็ส่งเสียงร้องด้วยความตกใจ
เย่จิ้งจือกำมือของเขาแน่น “ตอนท่องคาถา พระบรมสารีริกธาตุอาจจะค่อนข้างร้อน ซี…ซีจยา อดทนหน่อยนะ”
สองมือของคนสองคนจับกันแน่น หลังจากนั้นครึ่งชั่วโมงในที่สุดการท่องคาถาก็เสร็จสิ้น
หลังท่องคาถาเสร็จ ซีจยาถึงได้นำพระบรมสารีริกธาตุมาใส่ไว้ที่คออีกครั้ง แล้วก็พบว่ามันให้ความรู้สึกต่างกันจริงๆ โดยครั้งนี้เขายังคงมองเห็นพลังหยินอ่อนแรงพวกนั้นที่กำลังลอยอ้อยอิ่งอยู่ในอากาศได้อย่างชัดเจนแจ่มแจ้ง ทั้งที่เมื่อวานพลังหยินพวกนี้ต่างก็อยากพุ่งเข้าหาร่างของเขาอย่างอดรนทนไม่ไหวแท้ๆ แต่ครั้งนี้พวกมันกลับลังเลอยู่พักใหญ่และวนเวียนรอบตัวเขาอยู่นานกว่าจะพุ่งเข้ามาอย่างดีอกดีใจ
มัจจุราชเย่ผู้เป็นหนึ่งเดียวในวงการศาสตร์ลี้ลับที่สามารถมองเห็นพลังหยินได้ตั้งแต่เกิดเอ่ยขึ้นว่า “หลังครบสี่สิบเก้าวันพวกมันก็จะไม่มาอีก”
ซีจยายิ้มขณะพยักหน้า “ขอบคุณครับอาจารย์เย่”
นี่เป็นเรื่องของการท่องคาถา ตกกลางคืนหลังจากเย่จิ้งจือกลับเข้าห้อง ซีจยาก็ส่งข้อความไปบอกเผยอวี้ ผ่านไปหนึ่งนาทีเผยอวี้ก็กลับมาถึงห้องแล้วพูดอย่างตื่นเต้นว่า “พี่จยา พี่เห็นหรือยัง ‘พวกผีรู้ดี’ โพสต์ซีรี่ส์บทความต่อเนื่องแล้ว วันนี้ก็ยังพูดถึงสัญญาหมั้นหมายของมัจจุราชเย่!”
ซีจยารินชาให้ตัวเองต่อไปโดยไม่คิดที่จะสนใจเรื่องนี้เลยสักนิด
เผยอวี้พูดจ้อน้ำไหลไฟดับ “คราวนี้ผู้อาวุโสของสำนักเทียนจี…พี่รู้จักสำนักเทียนจีใช่ไหม สำนักของพวกเขาเชี่ยวชาญในการทำนายให้ผู้คน ในอดีตก็มักจะเป็นโหราจารย์ของจักรพรรดิ ผู้อาวุโสของสำนักเทียนจีส่งร่างบทความไปให้ ‘พวกผีรู้ดี’ เล่าว่ามัจจุราชเย่เคยเจอกับคู่หมั้นสาวของเขามาแล้ว! ตอนนี้ลูกศิษย์กลุ่มหนึ่งของสำนักเทียนจีกำลังนับนิ้วทำนายว่าสาวสุดโชคร้ายที่มีสัญญาหมั้นหมายกับมัจจุราชเย่เป็นใครกันแน่ ฮ่าๆๆ”
ซีจยา “คนในวงการศาสตร์ลี้ลับอย่างพวกคุณว่างกันขนาดนี้เลยเหรอ”
ว่างจนไม่มีอะไรให้ทำ แต่ไม่คิดที่จะไปทำนายเรื่องสำคัญของประเทศ ดันมาทำนายเรื่องซุบซิบของคนอื่นซะงั้น คุณไม่ลองทำนายเลขลอตเตอรี่สองสามตัวที่จะออกพรุ่งนี้ดูล่ะ แบบนั้นยังพอให้ชมว่ามีอุดมการณ์ได้หน่อย แต่การทำนายเรื่องซุบซิบของคนอื่นมันจะได้อะไรกัน
เผยอวี้พูดอย่างเป็นเหตุเป็นผล “ลูกศิษย์ของสำนักเทียนจีไม่ได้ถนัดเรื่องการปราบผีสักหน่อย ได้แต่โปรยทรายกับแกว่งกระดองเต่าเพื่อทำนายทั้งวัน ถ้าสามารถทำนายได้ว่าคู่หมั้นสาวของมัจจุราชเย่เป็นใคร แล้วส่งร่างบทความให้ ‘พวกผีรู้ดี’ จะต้องได้คะแนนเยอะมากแน่…เฮ้อ ถ้าผมทำนายได้บ้างจะดีแค่ไหนกันนะ”
ซีจยา “…”
อนาคตของนายมันก็ได้แค่นี้แหละ
“จริงสิ พี่จยา ผมจองตั๋วเครื่องบินกลับเมืองหลวงของวันพรุ่งนี้แล้วนะ ตอนนี้มัจจุราชเย่ต้องอยู่ห้องพี่อีกนาน ผมอยู่ต่อไม่ไหวแน่ๆ อาจารย์ก็อยากให้ผมกลับไปพอดี พี่จยา อีกสักพักเลยกว่าพวกเราจะได้เจอกัน”
ซีจยาตอบรับอย่างขอไปที “อื้อ”
เผยอวี้ “…”
นาทีต่อมาหมอผีต้มตุ๋นแซ่เผยก็พูดขึ้นอย่างโกรธเคือง “พี่จะไม่รั้งผมไว้หน่อยเหรอ!”
ซีจยาถามกลับ “ทำไมผมต้องรั้งคุณไว้ด้วย คุณทั้งขี้เกียจทั้งขี้ขลาด ปราบผีก็ไม่เก่งเท่าอาจารย์เย่ ทำอาหารไม่เป็น ทำความสะอาดก็ไม่ทำ กินฟรีดื่มฟรีอยู่ห้องผมไปวันๆ…อืม ดูเหมือนจะไม่มีเหตุผลอะไรที่ผมต้องรั้งคุณไว้จริงๆ”
เผยอวี้ “…” อยากจะคว่ำโต๊ะชะมัด แต่จะว่าไปที่เขาพูดมามันก็มีเหตุผล…
เผยอวี้พานโกรธเอาดื้อๆ เช้าตรู่วันต่อมาจึงจากไปโดยไม่ล่ำลา ก่อนออกไปยังแสร้งทำเป็นสุภาพเรียบร้อยด้วยการทิ้งโน้ตไว้หนึ่งแผ่น แต่ซีจยาไม่เห็นกลับเป็นเย่จิ้งจือที่ตื่นเช้าแล้วเห็นเข้าจึงเอามาให้ซีจยา
‘ในฐานะเทียนซือมือปราบผีแห่งยุค ผู้โดดเด่นในหมู่คนรุ่นเยาว์ ผมจะมัวเสียช่วงวัยรุ่นอย่างไร้ประโยชน์ได้ยังไง ผมจะกลับไปปราบผีที่เมืองหลวงแล้ว ไม่ต้องเป็นห่วงนะ
เผยอวี้’
ซีจยา “…” ต่อหน้าอาจารย์เย่ นายกล้าพูดอีกรอบไหมว่าใครเป็นผู้โดดเด่นในหมู่คนรุ่นเยาว์
ภายในห้องขนาดใหญ่เหลือเพียงแค่ซีจยากับเย่จิ้งจือสองคน แต่ตอนกลางวันเย่จิ้งจือไม่อยู่ห้องเพราะออกไปปราบผีข้างนอก
ก่อนหน้านี้เผยอวี้เคยบอกว่าสถานที่ที่มัจจุราชเย่อยู่เป็นธรรมดาที่จะมีผีอาฆาตเป็นจำนวนมาก ความจริงไม่ใช่เพราะเย่จิ้งจือดึงดูดผีร้าย แต่เป็นเพราะผีร้ายดึงดูดเย่จิ้งจือมาต่างหาก ช่วงนี้เมืองซูมีผีอาฆาตเยอะ เย่จิ้งจือเห็นว่าเมืองซูมีพลังหยินปกคลุมท้องฟ้ามากกว่าเมืองที่อยู่รอบข้างมากถึงได้มาที่นี่
ช่วงพลบค่ำมีเสียงเคาะประตูห้องดังขึ้น เมื่อซีจยาเปิดประตูดูก็พบว่าไม่ใช่เย่จิ้งจือ แต่เป็นชายหนุ่มที่สวมชุดของขนส่งเทียนเทียน
ชายหนุ่มคนนี้ในปากคาบแท่งไม้ขนาดเล็กสีดำสนิท ส่วนในมือก็ถือกล่องพัสดุขนาดเท่าฝ่ามือเอาไว้ เมื่อเห็นซีจยา เขาก็มองซีจยาขึ้นๆ ลงๆ อยู่ครู่หนึ่ง
“สหายนักพรตท่านนี้ไม่เคยเจอมาก่อนเลยนะ เอ้า เซ็นรับของหน่อย”
ซีจยาตั้งสติแล้วมองตัวอักษรที่สกรีนอยู่บนหมวกของพนักงานส่งของคนนี้ มันไม่ใช่ ‘ขนส่งเทียนเทียน’ แต่เป็น ‘ขนส่งเทียนกง’ ต่างหาก!
ซีจยา “…”
พวกคุณจะทำเลียนแบบแบรนด์ก็ช่างเถอะ แต่ขนาดสีตัวอักษรยังเหมือนเขาเป๊ะเลยเนี่ยนะ!
ดูแบบโลโก้ที่สกรีนออกมานี่สิ มโนธรรมของพวกคุณไม่เจ็บปวดบ้างเหรอ
มโนธรรมของพี่ชายขนส่งไม่ใช่แค่ไม่เจ็บปวด แต่ยังปลื้มอกปลื้มใจเป็นที่สุดอีกต่างหาก หลังซีจยาเซ็นรับพัสดุเสร็จ อีกฝ่ายก็คาบแท่งไม้ขนาดเล็กนั่นไว้ขณะหมุนตัวเดินออกไปอย่างเอ้อระเหยลอยชาย ทว่าชั่ววินาทีก่อนที่จะจากไปเขาก็เหลือบสายตามองมาแวบหนึ่ง พอดีกับที่ส่งส่งวิ่งไล่อู๋เซียงชิงหลีมาจากในห้องรับแขกพอดี พี่ชายคนนี้พึมพำประโยคหนึ่งออกมา “บอลสีดำลูกนั้นดูคุ้นตาอยู่หน่อยๆ หรือเปล่านะ” ก่อนจะเดินหายไปจากโถงทางเดิน
ซีจยาถือกล่องพัสดุเอาไว้ขณะหันหลังกลับเข้าไปในห้อง
ในห้องรับแขก ลูกเต๋าสัมฤทธิ์ลูกเล็กน่ารักลอยไปลอยมาในอากาศโดยมีส่งส่งเล่นไล่ตามอยู่ด้านหลัง พอเห็นซีจยากลับมา ส่งส่งก็หมุนตัวแล้วกระโจนเข้าไปในอ้อมกอดของเจ้านายทันที จากนั้นก็หาตำแหน่งที่สบายแล้วนอนลงไป
อู๋เซียงชิงหลีก็ตามมาอย่างดีอกดีใจและเอาตัวเข้าถูไถกับคอของซีจยา เมื่อเห็นพระบรมสารีริกธาตุโปร่งใสชิ้นนั้น อู๋เซียงชิงหลีก็กระแทกตัวใส่มันอย่างเหยียดหยาม โดยที่พระบรมสารีริกธาตุอยู่อย่างสงบเสงี่ยมไม่กล้าต่อต้านแม้แต่น้อย
ซีจยาจับมันเอาไว้อย่างช่วยไม่ได้ “แกเก่งที่สุดแล้ว โอเคไหม”
เมื่อได้ยินดังนั้นอู๋เซียงชิงหลีถึงได้ลอยไปลอยมาในอากาศด้วยความพึงพอใจ
หลังเปิดกล่องพัสดุเขาก็พบว่าโม่โต่วสีดำที่บรรจุอยู่ข้างในไม่ต่างอะไรจากของเผยอวี้ ซีจยาขยับมันไปมาอยู่นานและลองทำตามคู่มือ สุดท้ายก็ได้เห็นอันดับโม่โต่วที่ว่านั่นจริงๆ
ครั้งนี้เผยอวี้กลับมาอยู่อันดับที่เจ็ดอีกครั้ง โดยมีคะแนนของพี่น้องเจียงที่อยู่ลำดับต่อจากเขาตามติดอย่างเหนียวแน่น เมื่อดูต่อไปสิ่งที่เห็นได้มากที่สุดก็ยังคงเป็นชื่อหนานอี้ ซีจยาเงยหน้ามองเพดาน น่าเสียดายที่ห้องขวางเอาไว้ เขาเลยไม่ได้เห็นชื่อของเย่จิ้งจือ
ซีจยาถือโม่โต่วเดินไปที่ระเบียง ยื่นมือออกไปวางโม่โต่วไว้นอกหน้าต่างแล้วแหงนหน้าขึ้นมองอีกครั้ง คราวนี้ถึงได้เห็นดวงดาวที่ลอยสูงอยู่บนท้องฟ้า ดวงดาวสีทองที่อยู่สูงลิบด้านบนนั้นดูไม่เข้ากับคนอื่นๆ มองดูแล้วให้ความรู้สึกเงียบเหงาเป็นพิเศษ
“ได้รับของแล้วเหรอครับ”
น้ำเสียงเยือกเย็นดังขึ้นมาจากทางด้านหลัง ซีจยาหันไปมองเย่จิ้งจือที่ไม่รู้ว่ากลับมาถึงตอนไหน
ซีจยาเดินกลับไปที่ห้องรับแขก จากนั้นก็นำโม่โต่วมาวางบนโต๊ะแล้วเริ่มหยิบของในกล่องออกมาอีกครั้ง
“อืม ได้รับแล้วครับ หินก้อนนั้นของผมก็อยู่ในนี้” ขณะที่พูดชายหนุ่มผมดำก็หยิบหินสีเลือดขนาดเท่านิ้วหัวแม่มือออกมาจากในกล่อง
พลังหยินที่เข้มข้นได้ย้อมหินไท่ซานก้อนนี้ที่เคยดูน่าเกรงขามจนกลายเป็นสีแดงสด ซีจยาก้มหน้ามองสำรวจหินก้อนที่ตัวเองเคยสวมมากว่าสิบเก้าปี แล้วก็ให้รู้สึกแปลกใจที่พบว่าก้อนหินซึ่งเคยเห็นว่าแตกเป็นชิ้นๆ ตอนนี้แม้แต่ร่องรอยการเชื่อมยังหาไม่เจอด้วยซ้ำ ลูกศิษย์ของสำนักเทียนกงฝีมือล้ำเลิศจริงๆ
แน่นอนว่าเขาไม่ทันสังเกตว่าตอนที่เขาหยิบหินก้อนนี้ออกมา ดวงตาของเย่จิ้งจือก็พลันเบิกกว้างพลางจ้องหินก้อนนี้ไม่วางตา อีกฝ่ายกลั้นหายใจ ม่านตาสั่นไหว และไม่กะพริบตาเลย ก่อนที่ห้านาทีต่อมาจะพูดด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือเล็กน้อยว่า “หินก้อนนี้…ให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ”
ซีจยามึนงง แต่ไม่คิดอะไรมาก เขาส่งหินให้เย่จิ้งจือ
ต่อมาเย่จิ้งจือก็หมุนตัวเข้าไปในห้องของตัวเอง
ซีจยาตกใจมาก ต้องเข้าไปดูในห้องด้วยเหรอ หรือว่าหินก้อนนี้มีอะไรผิดปกติ?
ภายในห้อง เย่จิ้งจือหยิบหินสีขาวก้อนหนึ่งออกมาจากกระเป๋าเฉียนคุน หินก้อนนี้เป็นสีขาวล้วน เมื่อมองมันยามต้องแสงจันทร์ก็ให้ความรู้สึกสบายใจเป็นอย่างมาก
เย่จิ้งจือถือหินสีเลือดไว้มือหนึ่ง ส่วนอีกมือหนึ่งก็ถือหินสีขาวก้อนนี้ไว้ แล้วประกบมือทั้งสองข้างเข้าด้วยกัน
แกร๊ก
หินทั้งสองก้อนที่สีแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงประกบเข้าหากันได้อย่างสมบูรณ์และกลายเป็นสัญลักษณ์หยินหยางพอดี! หินสีเลือดคือปลาหยิน หินสีขาวคือปลาหยาง เมื่อปลาหยินหยางทั้งสองตัวบรรจบกันก็กลายเป็นสัญลักษณ์หยินหยางที่สมบูรณ์แบบ
ถ้าอาจารย์ปู้สิ่งอยู่ที่นี่ต้องตกใจจนร้องเสียงหลงเป็นแน่ ‘หินไท่ซานที่หยินหยางบรรจบกันดิบดี ทำไมถึงกลายเป็นสีแดงไปได้!’
และสิ่งที่เย่จิ้งจือทำคือการจ้องหินทั้งสองก้อนนั้นไม่วางตา
เขาแยกออกแล้วประกบใหม่อีกรอบ
…อืม ยังคงเข้ากันได้อย่างสมบูรณ์และกลายเป็นสัญลักษณ์หยินหยาง
เขาแยกออกอีกครั้งแล้วประกบใหม่อีกรอบ
…ก็ยังเป็นสัญลักษณ์หยินหยาง
แยกออกแล้วประกบ แยกออกแล้วก็ประกบ…
หลังจากที่ทำแบบนี้ซ้ำไปมาครบสิบรอบ เย่จิ้งจือก็ไม่ได้ขยับทำอะไรอีก เขามองหินไท่ซานสีขาวแล้วก็มองหินไท่ซานสีเลือดก้อนนั้น
ห้านาทีต่อมาประตูห้องก็เปิดออก ซีจยาที่กำลังนั่งเล่นโม่โต่วอยู่ในห้องรับแขกเห็นอาจารย์เย่ออกมาจากห้อง แต่ไม่รู้ว่าเพราะอะไรซีจยาถึงรู้สึกว่า…อาจารย์เย่ดูแปลกๆ ตรงไหนชอบกล แต่เมื่อมองให้ดีๆ ก็ดูเหมือนกับว่าไม่ได้มีอะไรผิดปกติ
เย่จิ้งจือส่งหินไท่ซานสีเลือดให้เขา “ซ่อมได้ดีมาก แต่น่าเสียดายที่ต่อไปจะไม่สามารถปิดกั้นพลังหยินให้คุณได้แล้ว”
ซีจยายื่นมือไปรับโดยไม่ได้คิดอะไรมาก “ขอบคุณครับอาจารย์เย่ ผม…”
นิ้วมือของทั้งสองคนสัมผัสกันอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง ซีจยายังคงพูดอยู่ แต่เย่จิ้งจือกลับชักมือออกทันทีเหมือนโดนไฟช็อต ทำเอาซีจยาถึงกับตกอกตกใจ
ผ่านไปสักพัก
ซีจยา “…อาจารย์เย่?”
เย่จิ้งจือหูแดง
ซีจยาถามอีกรอบ “อาจารย์เย่?”
เย่จิ้งจือ “ผมขอ…ขอตัวกลับห้องก่อนนะครับ” พูดจบก็หน้าแดงหูแดง ก่อนจะรีบวิ่งกลับห้องอย่างกับว่ากำลังหนีอะไรบางอย่าง
ซีจยา “…”
คนในวงการศาสตร์ลี้ลับอย่างพวกคุณเป็นพวกเพี้ยนๆ กันหมดเลยใช่ไหมเนี่ย!
ช่วงนี้ซีจยาพบว่าอาจารย์เย่คนนี้…ค่อนข้างแปลก
วันแรกที่อยู่ด้วยกัน ตื่นขึ้นมาเขายังเห็นเย่จิ้งจือและได้ร่วมโต๊ะกินข้าวด้วยกัน แต่หลังจากวันนั้นไม่ว่าในแต่ละวันเขาจะตื่นเช้าขนาดไหน ห้องก็ว่างเปล่าอยู่เสมอ บนโต๊ะมีอาหารอุ่นๆ วางทิ้งไว้ ในห้องได้รับการทำความสะอาดจนสะอาดเอี่ยมอ่อง แต่กลับไม่เห็นแม้แต่เงาของอาจารย์เย่
พอตกเย็นอาจารย์เย่ถึงจะกลับมา กลางวันเอาแต่ออกล่าท้าผีข้างนอกทั้งวัน ทุ่มเทสุดตัวในระดับที่เรียกได้ว่าเป็นพนักงานตัวอย่าง
จะว่าไปเรื่องนี้ก็ไม่นับว่าแปลก เพราะถึงอย่างไรซีจยากับอาจารย์เย่ก็ไม่ได้สนิทกันสักเท่าไร การที่คนสองคนที่ไม่คุ้นเคยกันต้องมาอาศัยอยู่ใต้ชายคาเดียวกันก็อาจจะทำให้เกิดความรู้สึกไม่สบายใจอยู่บ้าง เลยเลือกที่จะออกไปข้างนอกจะได้ไม่ต้องเจอหน้าและหลีกเลี่ยงความอึดอัดชวนให้วางตัวไม่ถูก บางทีมันอาจจะเป็นแบบนี้ก็ได้ แต่พอถึงช่วงค่ำตอนที่อาจารย์เย่จะท่องคาถาใส่พระบรมสารีริกธาตุ ความแปลกนี้ก็ยิ่งทวีความประหลาดมากขึ้นไปอีก
ทั้งสองคนนั่งอยู่ตรงมุขหน้าต่างเหมือนเช่นเคย ซีจยาไม่คิดอะไรเลย หลังถอดพระบรมสารีริกธาตุออกจากคอก็ยื่นมือออกมาแล้วมองเย่จิ้งจือราวกับจะสื่อว่า ‘จับมือ ท่องคาถา’
เย่จิ้งจือ “…”
รออยู่พักใหญ่ก็ไม่เห็นอาจารย์เย่เคลื่อนไหวสักที ซีจยาจึงขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจและอดไม่ได้ที่จะถามไถ่ “อาจารย์เย่?”
แสงจันทร์สว่างไสวสาดส่องจากนอกหน้าต่างเข้ามาในห้องตกกระทบลงบนร่างของพวกเขาทั้งสองคน ชายหนุ่มเม้มริมฝีปาก ใบหน้าหล่อเหลาและสงบนิ่งไม่เปลี่ยนแปลง แต่ส่วนบนของหูกลับแดงระเรื่อ พอซีจยาถามซ้ำอีกครั้ง เย่จิ้งจือถึงได้บอกเสียงทุ้มต่ำว่า “ไม่…ไม่ต้องจับมือครับ คุณแค่ถือไว้กลางฝ่ามือก็พอ ผมจะท่องคาถาให้คุณเลย”
ซีจยาพูดอย่างแปลกใจ “เมื่อวานบอกว่าต้องวางพระบรมสารีริกธาตุนี่ไว้กลางฝ่ามือของพวกเราแล้วจับกันไว้ แบบนี้จะสะดวกต่อการท่องคาถาร่ายอาคมไม่ใช่เหรอครับ”
เย่จิ้งจือน้ำเสียงหนักแน่น “ผมเข้าใจผิด”
ซีจยา “…”
สรุปแล้วคนของวงการศาสตร์ลี้ลับเป็นบ้าอะไรกัน!
จิตใต้สำนึกของซีจยารู้สึกว่าเมื่อวานอาจารย์เย่ไม่ได้เข้าใจผิดแน่ๆ และครั้งนี้เมื่อท่องคาถาให้พระบรมสารีริกธาตุ เขาก็ตั้งใจสังเกตฝ่ายตรงข้ามอย่างละเอียดเป็นพิเศษ ดวงตาทั้งสองข้างของอาจารย์เย่ปิดสนิท นิ้วชี้จรดริมฝีปากแล้วท่องคาถาด้วยเสียงต่ำ อักขระสีทองเช่นเดียวกันกับเมื่อวานทะลุเข้าไปในพระบรมสารีริกธาตุกลางฝ่ามือของเขา แต่ครั้งนี้หน้าผากของอาจารย์เย่กลับมีเหงื่อผุดซึมออกมา อีกทั้งสีหน้าก็ดูไม่ค่อยดีสักเท่าไร
วันแรกที่ท่องคาถาใช้เวลาแค่ครึ่งชั่วโมงก็เสร็จ แต่การท่องคาถาในวันที่สองนี้อาจารย์เย่กลับใช้เวลาถึงหนึ่งชั่วโมงเต็มๆ กว่าจะแล้วเสร็จ
กระทั่งวันที่สามเย่จิ้งจือก็ยังกลับห้องมาตอนฟ้ามืด ครั้งนี้ทั้งสองคนยังคงนั่งอยู่ตรงมุขหน้าต่าง เย่จิ้งจือหลับตาเตรียมท่องคาถา แต่ในขณะที่เขาเพิ่งจะหลับตาลงก็มีมืออุ่นๆ ข้างหนึ่งมาจับมือของเขาเอาไว้
เย่จิ้งจือลืมตาขึ้นด้วยความตกใจ แล้วก็เห็นว่าซีจยาจับมือของเขาไปวางบนฝ่ามือของตัวเอง มือของทั้งสองคนประสานกัน พระบรมสารีริกธาตุชิ้นเล็กถูกวางไว้กลางฝ่ามือแผ่กลิ่นอายเย็นสบายออกมา
แสงจันทร์กระจ่างส่องสว่างลงบนร่างกาย ซีจยาเผยอริมฝีปากขึ้นพร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงเจือหัวเราะ “อาจารย์เย่ ถ้าจับมือแล้วท่องคาถาจะเร็วกว่าหน่อย…แล้วคุณก็จะสบายกว่าหน่อยด้วยใช่ไหมครับ ผมโอเคนะ ถ้าแบบนี้ดีกว่าผมก็ไม่ว่าอะไร”
เย่จิ้งจือหรี่ตามองเล็กน้อย ไฝเม็ดเล็กสีดำที่ซ่อนอยู่ในส่วนลึกของดวงตาข้างขวาทวีความลึกล้ำมากยิ่งขึ้น ชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้ามีรอยยิ้มอบอุ่น อุณหภูมิที่ส่งผ่านมาจากสองมือที่จับกันนั้นร้อนผ่าว ผ่านไปเนิ่นนานกว่าที่เขาจะได้ยินเสียงตัวเองบอกออกไปว่า “โอเคครับ”
เทียนซือชุดดำตั้งใจท่องคาถาอย่างระมัดระวัง โดยมีชายหนุ่มผมดำฟังอยู่ใกล้ๆ
ความจริงซีจยาไม่เข้าใจในสิ่งที่เย่จิ้งจือท่องออกมาเลยสักนิด เขารู้จักอักษรพวกนั้นทุกตัว แต่เมื่อนำมาพูดรวมกันแล้วกลับจับใจความอะไรไม่ได้เลย ช่วงเวลาครึ่งชั่วโมงที่ท่องคาถา ซีจยาเดี๋ยวก็มองทิวทัศน์นอกหน้าต่าง เดี๋ยวก็คิดเรื่องที่อีกสองวันต้องไปถ่ายทำ และอีกเดี๋ยวก็มองอาจารย์เย่ที่อยู่ตรงหน้า
ในตอนนี้เองซีจยามีเวลามากมายในการสังเกตมัจจุราชเย่ที่อยู่ในเรื่องเล่าคนนี้
เย่จิ้งจือคล้ายจะใส่ชุดสีดำอยู่เป็นประจำ จากลักษณะก็ดูเหมือนมัจจุราชอยู่มากจริงๆ แต่ความจริงแล้วเขาเป็นคนที่หล่อเหลามาก คิ้วทรงกระบี่ดวงตาสุกใส จมูกโด่งริมฝีปากบาง หากอยู่ในวงการบันเทิงคงสามารถอยู่แนวหน้าได้ เพียงแต่เขามักจะมีท่าทางเย็นชาและพูดน้อยมาก แบบที่ว่าถ้าคุณไม่เป็นฝ่ายเริ่มคุยกับเขา เขาจะไม่มีทางเป็นฝ่ายเริ่มคุยกับคุณเลย
พอมองแบบนี้อีกฝ่ายยิ่งดูเหมือนมัจจุราชหน้าตาย
พอท่องคาถาจบเย่จิ้งจือก็กำชับอย่างมีน้ำอดน้ำทน “ตอนนี้ผลของพระบรมสารีริกธาตุยังไม่สามารถแสดงออกมาได้เต็มที่ สิ่งชั่วร้ายและผีอาฆาตยังหาตัวคุณเจอได้อยู่ ตอนกลางวันที่ผมออกไปข้างนอก คุณต้องใส่อู๋เซียงชิงหลีเอาไว้นะครับ ถ้ามีผีร้ายที่ตบะแก่กล้าเข้ามาจริงๆ อู๋เซียงชิงหลีสามารถปกป้องคุณได้ คุณไม่ต้องกลัวนะ”
ซีจยาชะงักเล็กน้อย “กลัว?”
เย่จิ้งจือพยักหน้า “ครับ ไม่ต้องกลัว พลังหยินของคุณรุนแรงมาก สำหรับผีอาฆาตมันคือยาบำรุงชั้นยอดที่สามารถเพิ่มพลังให้แข็งแกร่งขึ้นได้ ตอนกลางวันผมไม่ได้อยู่ห้องตลอด ถ้ามีผีอาฆาตเข้ามาจริงๆ ก็ให้อู๋เซียงชิงหลียื้อเวลาไว้สักพักแล้วผมจะรีบกลับมา มันจะปกป้องคุณ”
อู๋เซียงชิงหลีที่เล่นจับผีเสื้ออยู่กับส่งส่งพอได้ยินประโยคนี้ก็รีบบินมาสั่นดุ๊กดิ๊กอยู่ตรงหน้าซีจยาด้วยความภาคภูมิใจ
พอตกดึกทั้งสองคนต่างก็กลับไปที่ห้องของตัวเอง ซีจยามองลูกเต๋าสัมฤทธิ์ที่ให้ความรู้สึกคุ้นเคยเหมือนรู้จักกันมานานแล้วก็อดที่จะยิ้มออกมาไม่ได้
“อาจารย์เย่ให้นายมาปกป้องฉันเหรอ”
อู๋เซียงชิงหลีบินขึ้นลงคล้ายจะบอกว่า ‘ถูกต้องๆ ข้ามาปกป้องเจ้า!’
ซีจยาหัวเราะ “นี่เป็นครั้งแรกเลยที่ฉันถูกคนอื่นปกป้องแบบนี้ แถมยังถูกคน…อืม…ปกป้องจากเงื้อมมือของผีอาฆาตซะด้วย”
ซีจยาไม่อาจรู้ได้เลยว่าห้องข้างๆ ที่ห่างกันเพียงแค่ผนังกั้นนั้น มัจจุราชเย่ที่เมื่อครู่มีท่าทีเย็นชา เมื่อกลับมาถึงห้องก็เปิดวีแชตแล้วค้นหาหนึ่งในเพื่อนสนิทของตัวเองที่มีอยู่แค่สามคน
‘มีเครื่องมือวิเศษอะไรที่สามารถปกปิดพลังหยินได้บ้าง ฉันอยากซื้อค่ายกลกับม้วนอาคมอีกสักหน่อย’
ศิษย์พี่ใหญ่ของสำนักเทียนกงที่เห็นข้อความนี้
‘…ไอ้บ้าคนไหนใช้แดนมายาส่งวีแชตซี้ซั้วมาหาฉันเนี่ย เล่นซะสมจริงเลย แต่ว่านะ คนอย่างเย่จิ้งจือจะอยากซื้อของเล็กน้อยพวกนี้ไปทำไมกัน ได้ท่องวิชาพื้นฐานอย่างแดนมายาให้ชัดเจนหรือเปล่า น้ำตกลงด้านล่าง ดวงอาทิตย์ขึ้นทางตะวันออก เย่จิ้งจือไม่มีทางจะซื้อของพวกนี้ สิ่งที่ขัดต่อกฎธรรมชาติไม่อาจปรากฏได้ในแดนมายาเข้าใจไหม’
หนึ่งนาทีให้หลังเย่จิ้งจือก็ส่งไปว่า ‘ฉันเอง ตอนนี้นายมีเท่าไร ฉันซื้อหมดเลย’
ศิษย์พี่ใหญ่ของสำนักเทียนกง ‘@%@$%@#$!#~!!!’
หลังจากซื้อเครื่องมือวิเศษและของวิเศษกองใหญ่ ในที่สุดอาจารย์เย่ก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก
คู่หมั้นสาว ไม่สิ…คู่หมั้นหนุ่มร่างกายอ่อนแอไม่สามารถใช้อาคมได้ แถมยังดึงดูดผีร้ายได้ง่ายด้วย น่าเป็นห่วงมาก!
ด้วยเหตุนั้นเองวันต่อมาซีจยาจึงได้รับวัตถุขนาดเล็กที่แปลกประหลาดกองหนึ่ง กระดิ่งลูกเล็กที่ทำจากหยกขาว ม้วนคัมภีร์ที่มีกลิ่นอายโบราณเรียบง่ายสองม้วน และกล่องกล่องหนึ่งที่มี ‘ของเล่นชิ้นเล็ก’ สารพัดแบบอยู่ด้านใน ซึ่งสิ่งที่แปลกที่สุดคือกระจกแปดทิศขนาดเท่าฝ่ามือบานหนึ่ง กระจกแปดทิศบานนี้ทำจากสัมฤทธิ์ ด้านในกระจกบานเล็กไม่สามารถสะท้อนเงาใครได้เลย
เย่จิ้งจือเอ่ยขึ้น “กระจกแปดทิศเทียนกังเอาไว้ใช้ส่องผี”
ซีจยาเข้าใจทันที “กระจกส่องปีศาจ?”
เย่จิ้งจือชะงัก “…ครับ ประมาณนั้น” เขายัดของพวกนั้นใส่อ้อมแขนของซีจยาทั้งหมด ก่อนจะพูดอย่างจริงจังว่า “เครื่องมือวิเศษพวกนี้สามารถช่วยคุณจัดการผีอาฆาตทั่วไปได้ และถ้าเจอผีอาฆาตเข้าจริงๆ มีอู๋เซียงชิงหลีอยู่ด้วยก็ไม่ต้องกลัวแล้วครับ”
ซีจยาพูดอย่างกลืนไม่เข้าคายไม่ออก “ขอบคุณครับอาจารย์เย่ ผม…เอ่อ ไม่กลัวจริงๆ นะครับ”
หลังจากที่ได้รับเครื่องมือวิเศษมามากมายขนาดนี้ซีจยาก็ยิ่งรู้สึกเกรงใจมากขึ้นและอยากจ่ายเงินให้เย่จิ้งจือ แต่เขาได้ยินมาจากเผยอวี้ว่าเครื่องมือวิเศษพวกนี้ใช้เงินซื้อไม่ได้ โดยจะต้องใช้คะแนนไปแลกเท่านั้น ซีจยาคิดอยู่นาน แต่ก็ทำได้แค่ทำอาหารอร่อยๆ ให้อาจารย์เย่แบบจัดเต็มและเชิญแบบอย่างทางศีลธรรมแห่งวงการศาสตร์ลี้ลับมากินอาหารมื้อใหญ่
เย่จิ้งจือกลับมาถึงห้องในตอนเย็นพอเห็นอาหารบนโต๊ะก็ตกใจมาก จากนั้นเมื่อได้ฟังคำของซีจยาเขาก็ส่ายหน้าทันที “ผมมีคะแนนเยอะ เยอะมากๆ คุณสามารถใช้ได้ตามสบาย ใช้ยังไงก็ได้ ใช้ไม่หมดหรอกครับ”
ซีจยานิ่งอึ้งอยู่กับที่ทันที
แบบอย่างทางศีลธรรมแห่งวงการศาสตร์ลี้ลับของพวกคุณมี ‘ศีลธรรม’ ถึงขนาดเอาเงินให้คนอื่นใช้จ่ายได้ตามใจเลยเหรอ!
ไม่กี่วันต่อมาซีจยาก็ไปถ่ายหนังผีเรื่องหนึ่งที่เหิงเตี้ยน โดยที่ยังคงรับบทตัวประกอบ เมื่อเฉินเทามองเห็นเขาก็ยกนิ้วโป้งขึ้นมาแล้วพูดว่า “พี่จยา ไม่เจอสองสามวันนี่นายถูกลอตเตอรี่หรือไปปล้นธนาคารมาน่ะ? หยกชิ้นนี้หยกขาวมันแพะใช่ไหม ลูกบอลสัมฤทธิ์จิ๋วอันนี้…โอ้แม่เจ้า ดูเหมือนของโบราณเลย! เอ๋? ทำไมมันถึงขยับได้ด้วยล่ะ”
อู๋เซียงชิงหลีสะบัดมือของเฉินเทาออกอย่างโกรธเคืองแล้วมุดเข้าไปในคอเสื้อของซีจยา
ซีจยาพูดอย่างเยือกเย็น “นายมองผิดแล้ว ทั้งหมดนี้เป็นของปลอม ซื้อจากร้านข้างทางแค่ห้าหยวนเอง”
อู๋เซียงชิงหลีพอได้ยินประโยคนั้นเข้าก็เริ่มกลิ้งไปมาในเสื้อผ้าของซีจยาอย่างไม่พอใจ
ซีจยารูดซิปขึ้นสูงแล้วมองไปที่เฉินเทา “เมื่อไหร่จะถึงฉากของฉัน รถเที่ยวสุดท้ายเป็นรอบหกโมงเย็น ฉันต้องรีบทำเวลา”
เฉินเทาทำท่าแบมืออย่างจนปัญญา “นายมีถ่ายทั้งหมดห้าฉาก สบายใจได้ ที่จริงครั้งนี้เป็นผู้กำกับหวังที่แนะนำให้นายมาถ่ายหนังเรื่องนี้ เหมือนว่าผู้กำกับหนังเรื่องนี้จะเป็นพวกก๊วนนั้นนะ นายก็รู้นี่นา พวกคนโง่เงินเยอะไง พวกเขาเข้ามาเล่นสนุกในวงการบันเทิงแล้วก็จ่ายค่าตัวให้นักแสดงแต่ละคนเยอะมากเลยด้วย”
แค่ช่วงกลางวันก็ถ่ายฉากทั้งหมดจบแล้ว พอห้าโมงเย็นซีจยาก็นั่งรถบัสกลับเมืองซู
ป่าเขียวขจีน้ำสีเขียวใสของหมู่บ้านริมน้ำแห่งเจียงหนานเคลื่อนผ่านหน้าต่างไปอย่างรวดเร็ว ท้องฟ้าเริ่มมีฝนตกลงมาปรอยๆ ส่งเสียงดังเปาะแปะ โทรศัพท์ที่อยู่ในกระเป๋าสั่นดังครืด ซีจยาจึงหยิบมาเปิดดู
เย่จิ้งจือ เย็นนี้กลับมาทานข้าวไหมครับ
ทันใดนั้นที่รับรู้ว่ามีคนรอตัวเองกินข้าวอยู่ที่ห้อง ซีจยาก็มีสีหน้าตะลึงงันเล็กน้อย เขามองค้างอยู่นานกว่าจะตอบกลับไป
ซีจยา น่าจะไม่ทันครับ คิดว่าคงถึงห้องช่วงเช้ามืด
อาจารย์เย่เป็นคนพูดน้อยจริงๆ เขาตอบกลับมาแค่ ‘ครับ’ คำเดียว แล้วก็ไม่ได้พูดอะไรอีก
หลังจากหลับบนรถได้สักพัก ซีจยาก็ได้รับโทรศัพท์สายหนึ่ง เบอร์ที่โทรเข้ามาเป็นเบอร์แปลก แต่หมายเลขที่ปรากฏนั้นระบุแหล่งที่มาคือบ้านเกิดของซีจยา เมื่อเห็นดังนั้นเขาก็ได้สติและรีบรับสายทันที
“สวัสดีครับ ผมซีจยา…อาสะใภ้เหรอครับ”
“ใช่แล้ว เสี่ยวจยา อาสะใภ้สามของเธอเอง! เธอจำไม่ได้เหรอ ตอนเธอเด็กๆ อายังเคยไปร่วมพิธีเหล้าครบเดือน* ของเธออยู่เลย…อืมๆ ความจริงแล้วก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ว่าแต่ตอนนี้เธออยู่เมืองซูไม่ใช่เหรอ ญาติผู้พี่ของเธอก็หางานทำอยู่ที่เมืองซู แต่เจ้าของห้องเช่าบอกว่าต้องรอเดือนหน้าถึงจะย้ายเข้าอยู่ได้ เดือนนี้ยังเหลืออีกสองสามวัน อยากจะขออาศัยอยู่กับเธอระยะสั้นๆ เธอสะดวกไหมจ๊ะ”
ซีจยาขมวดคิ้วเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้เอ่ยแย้งอะไร
ญาติคนนี้เป็นอาสะใภ้ก็จริง แต่ก็เป็นญาติที่ความสัมพันธ์ห่างกันคนละโยชน์ เป็นเครือญาติฝ่ายลูกพี่ลูกน้องชายของลูกพี่ลูกน้องสาวของพ่อซีจยา นับว่าไม่มีความเกี่ยวข้องทางสายเลือดกับซีจยาเลยแม้แต่น้อย ทว่าในความเป็นจริงญาติที่ไม่มีความเกี่ยวข้องทางสายเลือดกับเขาไม่มีทางโทรหาเขา แต่ควรจะหลีกเลี่ยงเขาเหมือนกับว่าเขาเป็นภัยพิบัติร้ายแรงต่างหาก…
ที่จริงอยู่แค่สองสามวันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่ที่ห้องมีอาจารย์เย่อยู่ด้วย แถมนั่นยังเป็นลูกพี่ลูกน้องสาว เป็นหญิงสาวที่ยังไม่แต่งงาน…
ซีจยาถามเสียงเบา “อาสะใภ้ ญาติผู้พี่เป็นผู้หญิง มาอยู่ห้องผมอาจจะไม่ค่อยสะดวกหรือเปล่าครับ”
อาสะใภ้พูดรัวๆ “พวกเราจะไปส่งญาติผู้พี่ของเธอด้วย แล้วก็จะอยู่เมืองซูสองสามวัน ขอบใจจริงๆ นะ เสี่ยวจยา พวกเราไม่คุ้นเคยกับการอยู่เมืองซู การมีญาติอยู่ที่นั่นสักคนมันดีมากเลย!”
สถานการณ์ถูกกำหนดให้เป็นไปตามนี้เสียแล้ว
เย่จิ้งจือพูดคุยกับคนอื่นไม่ค่อยเก่ง ความจริงแล้วซีจยาเองก็ไม่ถนัดในเรื่องพวกนี้เช่นกัน โดยเฉพาะการพูดคุยกับญาติ ตั้งแต่เล็กจนโตนอกจากพ่อแล้ว พวกญาติพี่น้องล้วนไม่เคยมีใครพูดคุยกับเขาเลย
ตอนแรกซีจยานึกว่าอาสะใภ้คนนี้คิดจะมาเอาเปรียบเขาและอาจสร้างความยุ่งยากให้ แต่เขาก็ไม่ได้กังวล พวกคนที่บ้านเกิดใครบ้างจะไม่รู้ว่าเขาเป็นตัวซวย การอยู่กับเขานานๆ จะทำให้โชคร้ายหรืออาจจะถึงขั้นเจ็บป่วยได้ คิดว่าอย่างมากที่สุดก็คงอยู่สักสองสามวัน ถ้าอาสะใภ้คนนี้ไม่ยอมไปจริงๆ เขาก็ไม่ถือสาที่จะถอดพระบรมสารีริกธาตุและอู๋เซียงชิงหลีออกเพื่อทำให้ญาติพวกนี้ได้รับรู้ถึงพลังหยินกันสักนิดสักหน่อย
แต่ครั้งนี้หลังจากครอบครัวของอาสะใภ้เดินทางไกลมาจนถึงเมืองซู พอเปิดประตูก็ยัดของกองใหญ่ให้ซีจยาทันที
หญิงวัยกลางคนที่หน้าตาซื่อๆ พูดขอบคุณเขาไม่หยุด “เสี่ยวจยา ขอบคุณเธอมากเลยนะ พักโรงแรมมันแพงมาก ก่อนหน้านี้บ้านอาเคยถามคนบ้านเกิดเดียวกันมาหลายคนก็ไม่มีใครยอมให้อยู่ด้วยเลย ไข่ไก่พวกนี้เธอเอาไปนะ เป็นไข่จากไก่ของที่บ้านเอง เพิ่งออกไข่เมื่อวานสดๆ ร้อนๆ เลย ยังมีไส้กรอกพวกนี้อีก เป็นของที่ที่บ้านทำเอง เธอเอาไปกินนะ พวกเราอยู่ไม่กี่วันก็ไปแล้ว เดือนหน้า…เดือนหน้าห้องที่เสี่ยวจวนเช่าก็เข้าไปอยู่ได้แล้วล่ะ”
ซีจยาเผลอมองออกไปนอกประตูโดยไม่รู้ตัว แล้วก็เห็นหญิงสาวหน้าตาสะสวยและบุคลิกดีคนหนึ่งพยักหน้าให้เขา ทั้งยังพูดกับเขาอย่างกระตือรือร้นว่า “ขอบใจนายมากจริงๆ นะ ญาติผู้น้อง พวกเราเคยเจอกันตอนน้องเขยของปู่เสีย นายจำได้ไหม”
ซีจยามองหญิงสาวเบื้องหน้าที่ให้ความรู้สึกทั้งแปลกหน้าและคุ้นเคย ผ่านไปเนิ่นนานเขาถึงพูดขึ้นพร้อมรอยยิ้มบาง “จำได้ครับ ญาติผู้พี่เล่นเกมเก่งมาก”
หญิงสาวที่ดูบุคลิกดีรีบส่ายหน้าแล้วช่วยพ่อแม่ย้ายของเข้าไปในห้อง ก่อนจะพูดว่า “นั่นเป็นเรื่องเมื่อก่อน ครั้งนี้ต้องขอบคุณนายมากจริงๆ ญาติผู้น้อง”
จากนั้นหญิงสาวก็ช่วยพ่อแม่ขนย้ายของอย่างขันแข็ง ก่อนจะช่วยทำความสะอาดห้องและเริ่มทำอาหาร
เธอปฏิบัติตัวเหมือนหญิงสาวทั่วไปที่ทั้งร่าเริง มองโลกในแง่ดี กตัญญูต่อพ่อแม่ และดูแลซีจยาในหลายๆ อย่าง แต่เมื่อมองอีกฝ่ายที่กำลังยุ่งอยู่ ซีจยากลับค่อยๆ ขมวดคิ้ว เขาคิดอยู่สักพักก็ส่ายศีรษะอย่างอดไม่ได้ “…ผู้หญิงพอโตขึ้นก็เปลี่ยนไปสิบแปดแบบ* จริงๆ งั้นเหรอ”
เมื่อสองปีก่อน เนื่องจากปู่เสียชีวิต ซีจยาจึงต้องกลับไปที่นั่นทำให้ได้เจอญาติบางคน
ตอนนั้นเขาเรียนมหาวิทยาลัยอยู่ปีสี่ การปิดกั้นพลังหยินของหินไท่ซานอ่อนแรงลงบางส่วน พอญาติพวกนั้นเห็นเขาก็วิ่งหนีไปทันที รวมถึงพวกครอบครัวญาติผู้พี่คนนี้ด้วย
ซีจยาจำได้อย่างชัดเจน ตอนนั้นญาติผู้พี่คนนี้สวมแว่นตาหนาเตอะ เห็นได้ชัดว่ามาร่วมงานศพ ทันทีที่ผ่านประตูเข้ามาก็ไปขลุกอยู่ในห้องใหญ่ กอดคอมพิวเตอร์ไว้ไม่ยอมปล่อย โดยมีพ่อแม่เป็นคนคอยส่งอาหารต่างๆ เข้าไปให้ แถมเวลาที่ซุปร้อนเกินไปหน่อยยังถูกลูกสาวดุด่าจนเป็นที่อับอายขายหน้าต่อหน้าญาติอีกด้วย
ตอนที่เจอญาติผู้พี่คนนี้อีกฝ่ายไม่ได้ระงับความรังเกียจของตัวเองเอาไว้ แล้วถามเขาตรงๆ เลยว่า ‘นายอยู่มหา’ลัยแล้วเหรอ เรียนอะไร เล่นเกมเป็นไหม’
ซีจยาพูด ‘คอมพิวเตอร์ครับ แต่ไม่ค่อยเล่นเกม’
มือที่เล่นเกมอยู่ของญาติผู้พี่ยังคงขยับไม่หยุด เธอที่อยู่ในสภาพผมเผ้ายุ่งเหยิงพูดอย่างเหยียดๆ ว่า ‘เด็กเนิร์ด’
สองปีผ่านไปทุกอย่างเปลี่ยนไปตามกาลเวลาจริงๆ ไม่นึกเลยว่าญาติผู้พี่คนนี้จะเปลี่ยนไปมากขนาดนี้
ขณะที่กำลังคิด ทันใดนั้นซีจยาก็ได้ยินเสียงเปิดประตู พอเขาหันไปมองก็เห็นว่าเย่จิ้งจือเปิดประตูเข้ามา เมื่อเย่จิ้งจือเห็นคนมากมายก็ตกใจจนนิ่งงันอยู่กับที่ ซีจยายิ้มพร้อมกับออกปากอธิบาย
“อาจารย์เย่ ญาติของผมมาเมืองซูจะมาพักอยู่ที่นี่กับผมประมาณสองสามวันครับ”
เย่จิ้งจือพยักหน้าเบาๆ
ญาติผู้พี่คนนั้นนำปลาซอสแดงกลิ่นหอมแตะจมูกมาให้แล้วรีบทักทาย “ญาติผู้น้อง แล้วก็…แล้วก็พี่ชายคนนี้ รีบมากินข้าวกันเถอะ พวกเธอชอบกินอะไรบอกพี่ได้นะ ขอบคุณสำหรับการดูแลในช่วงสองสามวันนี้”
ซีจยาพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม จู่ๆ ก็รู้สึกว่าการคบค้าสมาคมกับญาติเหมือนจะไม่ใช่เรื่องยากสักเท่าไร
จนกระทั่งถึงตอนที่กำลังจะเข้านอนในช่วงค่ำ ทันใดนั้นเขาก็นึกขึ้นได้ว่าตัวเองลืมอะไรบางอย่างไป
ซีจยา “…อาจารย์เย่ คุณอยากนอนกับผมไหม”
เย่จิ้งจือ “…”
** ไหล่ก็แบกหาบไม่ไหว มือก็ยกของไม่ขึ้น อุปมาถึงการขาดการฝึกฝน
* ลูกคนข้างบ้าน หมายถึงลูกคนข้างบ้านที่เก่งจนผู้ปกครองมักเอาเราไปเปรียบเทียบว่าสู้อีกฝ่ายไม่ได้
** ร่างไตรอสูร คือคนที่เกิดมาในฤกษ์อัปมงคลตามศาสตร์ฮวงจุ้ย
*** สุสานจิ๋นซีฮ่องเต้ คือสุสานกองทหารดินเผาที่จิ๋นซีฮ่องเต้หรือปฐมจักรพรรดิแห่งราชวงศ์ฉินสั่งให้สร้างขึ้นเพื่อใช้เป็นสถานที่เก็บพระบรมศพของพระองค์เอง
* พิธีเหล้าครบเดือน คือพิธีที่จัดขึ้นเพื่อฉลองให้ทารกเมื่อมีอายุครบหนึ่งเดือน
* ผู้หญิงพอโตขึ้นก็เปลี่ยนไปสิบแปดแบบ หมายถึงผู้หญิงพอโตขึ้นก็เปลี่ยนไปจากเดิมมาก เป็นประโยคที่ใช้ชมในทางที่ดี
ติดตามเรื่องราวทั้งหมดได้ใน พวกผีรู้ดี ชีวิตนี้ฉันผ่านอะไรมาบ้าง เล่ม 1
วางจำหน่ายแบบรูปเล่มที่เว็บไซต์ Jamsai Store, ร้าน Jamclub และร้านหนังสือทั่วไป
รวมถึงในรูปแบบอีบุ๊กที่
Meb / OOKBEE / Fictionlog / Naiin App / SE-ED / Hytexts / comico และ ARN