X
    Categories: everYทดลองอ่านยุทธจักรเริงรมย์

ทดลองอ่าน ยุทธจักรเริงรมย์ ตอน พิษโอสถ บทที่ 2 #นิยายวาย

หน้าที่แล้ว1 of 4

บทที่สอง

 

“ไม่ได้เด็ดขาด!” อวิ๋นชิงแย้งข้อเสนอของเสี่ยวชุน

เสี่ยวชุนตะลึงงัน แล้วจึงนึกได้ว่าอวิ๋นชิงเป็นคนรักสะอาด ขนาดอาบน้ำยังต้องอาบสามครั้ง ยิ่งเครื่องนอนหากไม่ใช่ของใหม่จะไม่ใช้ หากให้เขาไปเรียกหญิงคณิกาที่ผ่านมือแขกนับพันนับหมื่นมาช่วยดับความร้อนรุ่มคงเป็นการฝืนใจเขาเกินไปหน่อยจริงๆ

“นี่มันยามใดแล้ว หรือเจ้าคิดจะไปหาหญิงคณิกาที่ยังบริสุทธิ์อยู่?” เสี่ยวชุนถามกลับ

“หญิงคณิกาบริสุทธิ์?” อวิ๋นชิงไม่เคยได้ยินคำนี้มาก่อน ไม่เข้าใจความหมายของเสี่ยวชุน

“ไม่หรอกกระมัง ไม่เคยได้ยินคำว่าหญิงคณิกาบริสุทธิ์รึ” เสี่ยวชุนได้ยินแล้วก็หัวเราะอย่างประหลาด “เป็นไปได้หรือว่าเจ้าไม่เคยมีสัมพันธ์กับหญิงคณิการะดับนี้”

ในราตรี เสียงเพลงขับขานร่ายรำไม่ขาดสาย บางครั้งคำหยาบโลนลามกดังแว่วมา อวิ๋นชิงได้ยินเสี่ยวชุนหัวเราะเยาะก็ไม่ตอบคำ เพียงแค่จ้องเสี่ยวชุน

“ความจริงจะไม่เรียกหญิงคณิกามาก็ได้ ถูกพิษยาปลุกกำหนัดนั้นง่ายมาก แค่ให้มันระบายออกมาก็พอแล้ว” เสี่ยวชุนยังคงยิ้มมีเลศนัยและชั่วร้าย “ยกห้องนี้ให้เจ้าก่อนแล้วกัน จัดการเอาเองเถอะ ข้าจะไปเดินเล่นข้างนอก แล้วจะกลับมาดึกหน่อย”

รอยยิ้มในเวลานี้ของเสี่ยวชุนในสายตาของอวิ๋นชิงกลายเป็นความรู้สึกอีกแบบ อวิ๋นชิงรู้สึกว่าดวงตาดอกท้อของอีกฝ่ายมีตะขอ เกี่ยวจนหัวใจของเขาสั่นสะท้าน

“ทำอย่างไร” อวิ๋นชิงควบคุมน้ำเสียงแล้วเอ่ยถาม

“อะไรทำอย่างไร” เสี่ยวชุนกะพริบตาไม่เข้าใจ

“ระบายที่เจ้าว่า”

“เอ๋? ไม่น่านะ แม้แต่เรื่องนี้เจ้าก็ไม่รู้รึ!” เสี่ยวชุนประหลาดใจยิ่ง ไม่คิดเลยว่าคนตรงหน้าคนนี้จะไร้เดียงสากับเรื่องนี้ขนาดนี้ มิน่าเล่าเขาถึงได้ข่มแล้วข่มอีก ข่มกลั้นจนอาการบาดเจ็บภายในสาหัสขนาดนี้

“ข้าไม่เข้าใจแล้วอย่างไรล่ะ!” ดวงหน้าเย็นชาของอวิ๋นชิงเจือสีแดงก่ำจากอาการป่วย ตอนนี้เขายืนลังเลอยู่กลางห้องเหมือนเด็กไม่รู้ความ ฟังคำพูดของเสี่ยวชุนไม่เข้าใจ ไฟตรงท้องน้อยกองนั้นก็แผดเผาจนเขาหงุดหงิดกลุ้มใจสุดแสน

เสี่ยวชุนเห็นอวิ๋นชิงท่าทางเริ่มหมดความอดทนแล้วจริงๆ อยากจะปล่อยอีกฝ่ายไว้ไม่สนใจอีก แต่เมื่อช่วยคนมาแล้ว ถึงตอนนี้จะทำแบบนี้ก็เป็นการขัดกับนิสัยของเขาจริงๆ

หลังจากที่ความลังเลต่างๆ นานาต่อสู้กันแล้ว เสี่ยวชุนก็กัดฟันแล้วคว้ามืออวิ๋นชิง

พออวิ๋นชิงถูกอีกฝ่ายแตะก็พลันสั่นสะท้านไปทั้งตัว สีหน้าทำอะไรไม่ถูกระคนตกตะลึงนั้นทำให้เสี่ยวชุนถอนหายใจ

ตั้งแต่แวบแรกที่เห็นอวิ๋นชิง เสี่ยวชุนก็รู้ว่าตนเองถูกลิขิตให้ไม่มีทางทิ้งคนคนนี้ไว้โดยไม่ไยดีได้

เสี่ยวชุนพาเขาไปข้างเตียง ผลักลงกลางเตียงผ้าไหมนุ่มแล้วก้มตัวบอก “เก็บอาวุธลับของเจ้าซะ แล้วข้าจะสอนให้”

อวิ๋นชิงพยักหน้า

เสี่ยวชุนปลดสายรัดเอวของอวิ๋นชิง เสื้อผ้าหลวมคลายเผยให้เห็นเสื้อผ้าฝ้ายตัวในสีขาว จากนั้นเขาก็สอดมือเข้าไปสำรวจในกางเกงชั้นในของอวิ๋นชิง กอบกุมส่วนหนึ่งของอวิ๋นชิงที่ผงาดบวมปวดหนึบมานานแล้ว

“เจ้าทำอะไร!” อวิ๋นชิงตัวแข็งทื่อ

ด้วยกลัวว่าจะถูกจู่โจมอีก มือของเสี่ยวชุนรีบห่อหุ้มส่วนนั้นของอวิ๋นชิงไว้แล้วคลึงเคล้น การเคลื่อนไหวในทันทีทันใดทำให้อวิ๋นชิงสูดหายใจเฮือกดังคาด ตัวแข็งค้างไปทั้งตัวทันที

“สบายใจได้ ข้าไม่ทำร้ายเจ้าหรอก” เสี่ยวชุนพูดแบบนั้น จ้องดวงหน้างามเลิศล้ำที่เปลี่ยนเป็นสีแดงของอวิ๋นชิงแล้วยิ้ม

เด็กหนุ่มวางสองมือลงไป บางครั้งหมุนรอบ บางคราวรูดรั้ง ยิ่งกว่านั้นก็ยังลูบไล้ถุงหยกคู่นั้นที่อยู่ข้างใต้อย่างใส่ใจด้วย

แม้ทำเรื่องแบบนี้ให้คนอื่นครั้งแรก แต่คาดไม่ถึงเลยว่าจะไม่รู้สึกรังเกียจเท่าไรนัก

เสี่ยวชุนรู้สึกว่าตนเองทิ้งคนคนนี้ไว้ไม่ได้ พอเห็นสีหน้าที่เย็นชาแต่กลับว่างเปล่าของคนคนนี้แล้ว สายตาก็ไม่อาจละจากร่างของอีกฝ่ายได้ ไม่ว่าอย่างไรก็อยากทำอะไรบางอย่างเพื่อคนคนนี้ ไม่ให้เขามีสีหน้าแบบนั้นที่เห็นแล้วชวนให้รู้สึกเศร้าได้ตลอดอีก

อวิ๋นชิงหอบหายใจรัวเร็วขึ้น บางครั้งในคอก็ยังมีเสียงครางต่ำที่หลุดลอดจากการสะกดกลั้น เขายังไม่ชินกับเรื่องแบบนี้ ความสุขสมรุนแรงที่ทำให้ตัวสั่นเข้าจู่โจม ความตื่นตระหนกในชั่วขณะทำให้เขาขับเคลื่อนกำลังภายในฝืนระงับไว้อีก

“คนงาม บอกว่าไม่ให้เจ้าฝืนไว้อย่างไรเล่า ทำแบบนี้เจ้าจะบาดเจ็บได้นะ” เสี่ยวชุนรับรู้อย่างเฉียบไวว่าพลังปราณในร่างอวิ๋นชิงเคลื่อนที่ผิดปกติ จึงเอาฝ่ามือลูบหน้าอีกฝ่ายทันที เรียกสติของอวิ๋นชิงกลับมา

อวิ๋นชิงลืมตาที่ปิดแน่น เห็นเตียงที่มีแสงรำไรและแสงระยิบระยับเจิดจ้าในดวงตาสีดำสนิทของเสี่ยวชุน

เขาในตอนนี้ถูกดึงดูดไว้อย่างลึกซึ้งด้วยดวงตาทอยิ้มคู่นั้นของอีกฝ่าย

“เฮ้อ อย่ามองข้าแบบนั้น” เสี่ยวชุนหนังหน้าบาง คนงามอยู่ในอ้อมอกแล้วยังถูกมองแบบนี้อีก หน้าก็เริ่มร้อนขึ้น เขาเอื้อมมือปิดตาทั้งคู่ของอวิ๋นชิง บดบังสายตาขุ่นมัวเปิดเปลือยเพราะความปรารถนาที่พลุ่งพล่านของอวิ๋นชิง

“เจ้าพูดมา…เจ้าชื่ออะไร…” ในช่วงที่อวิ๋นชิงรู้สึกหวั่นไหว เขาเอ่ยถามด้วยเสียงแหบพร่า

“จ้าวเสี่ยวชุน” เสี่ยวชุนบอก “เจ้าเรียกข้าว่าเสี่ยวชุนก็ได้ อาจารย์กับศิษย์พี่ก็เรียกข้าแบบนี้”

“เสี่ยวชุน…” อวิ๋นชิงพึมพำ

“แล้วเจ้าล่ะ ข้าควรเรียกเจ้าว่าอะไร” เสี่ยวชุนลูบส่วนนั้นของอวิ๋นชิงที่กำลังร้อนไหม้ ลูบไล้เคล้นคลึงไม่หยุด “ตงฟาง?”

อวิ๋นชิงรู้สึกไม่ชอบใจขึ้นมานิดๆ คำว่าตงฟางทำให้เขานึกถึงเจ้าสารเลวสำนักภูษานิล เจ้าสารเลวนั่นเรียกเขาแบบนี้

“ไม่ชอบหรือ” เสี่ยวชุนรู้สึกว่าความพองขยายของอวิ๋นชิงที่อยู่ในมือเขาเต้นตุบๆ เบาๆ เกือบจะถึงจุดสูงสุดแล้ว “ถะ…ถ้าอย่างนั้นข้าเรียกเจ้าว่าอวิ๋นชิงได้หรือไม่”

เสี่ยวชุนใช้นิ้วหัวแม่มือปาดผ่านช่องทางเล็กๆ นั้นเบาๆ ใช้ปลายนิ้วจิกและกดไว้ การกระตุ้นอย่างรุนแรงทำให้อวิ๋นชิงเกือบจะกระโดดขึ้นมา

“อื้อ…”

เสียงเบาๆ ที่หลุดลอดออกมาฟังคล้ายเสียงคราง คล้ายดังคำอนุญาต

อวิ๋นชิงตัวแข็งทื่อ เกร็งแน่นไปทั้งร่าง รู้สึกถึงส่วนนั้นที่อยู่ในมือของเสี่ยวชุนปลดปล่อยของเหลวเปียกชื้นออกมา ส่วนอ่อนไหวนั้นเต้นตุบไม่หยุด ความรู้สึกชาหนึบที่ไม่เคยมีมาก่อนระคนกับความสุขสมระเบิดตัวอยู่ในร่างเขา แผ่ซ่านไปทุกที่และทุกชุ่นของร่างกาย ไม่อาจบรรยายได้ด้วยคำพูด

 

เมื่อตื่นขึ้นมาตอนเที่ยง เสี่ยวชุนแต่งกายเรียบร้อยอย่างเบามือ เห็นอวิ๋นชิงหน้าตาดูเหนื่อยล้าน่าจะนอนให้มากหน่อยจึงไม่กวนเขา เด็กหนุ่มดึงสาวใช้ข้างนอกมากำชับให้คอยดูแลอวิ๋นชิงที่อยู่ในห้อง จากนั้นตนเองก็ออกจากทางเดินมืดๆ ลงไปข้างล่างอย่างไม่รีบร้อน

ระหว่างที่เดินอยู่ก็ยังได้ยินเสียงขับขานเต้นรำดังจากสองสามห้องนั้น ในหัวพลันปรากฏภาพเมื่อก่อนแวบผ่าน เสียงเพลงที่หยาบโลนและกลิ่นที่อ้อยอิ่งอยู่ตรงจมูกไม่จางหายทำให้เขาหวนนึกถึงบางอย่างแต่ไม่ได้คิดอะไรมาก เขาหัวเราะแล้วเดินออกไปจากหอพู่หิมะ

เขาจำได้ว่าอาจารย์เก็บเขากลับมาหุบเขาเทพเซียนตอนเขาอายุสิบห้า

ตอนนั้นแม่ของเขาล่วงเกินขุนนางผู้ใหญ่ท่านหนึ่งในราชสำนัก เขาเสียแม่ไป ร่างกายบาดเจ็บสาหัส อาจารย์ช่วยเขาที่ขาข้างหนึ่งย่างเหยียบเข้าสู่ประตูผีแล้ว รับเขาเป็นศิษย์ ให้ที่พักอาศัย ข้าวสามมื้อ และเสื้อผ้า ทว่านับแต่บัดนั้นเขาก็ถูกพากลับมาที่หุบเขาเทพเซียน ใช้ชีวิตที่ตัดขาดจากโลกภายนอกอยู่กับเหล่าศิษย์พี่ในหุบเขา

ยืนอยู่หน้าถนนที่รถม้าขวักไขว่ เสียงผู้คนจ้อกแจ้กจอแจ คนที่มาเดินตลาดเบียดผ่านร่างเขาไป พ่อค้าที่ร้องเรียกตะเบ็งเสียงตะโกนลั่น เสียงหนวกหูทำเอาหูของเขาปวดเล็กน้อย

แต่ทว่าไม่ได้เห็นภาพที่คึกคักแบบนี้มานานแปดปีเต็ม โลกที่เต็มไปด้วยสีสันใบนี้เขาห่างหายจากมันไปแปดปีเต็มแล้ว ตอนนี้พอได้มาเห็นอีกครั้ง หมึกกับพู่กันก็ไม่อาจบรรยายความรู้สึกในใจได้

แม้ชีวิตในหุบเขาจะสุขสบาย ไม่ต้องพะวงเรื่องอาหารเครื่องนุ่งห่ม แต่เขาก็ยังคิดถึงภาพผู้คนมากมายที่ทะเลาะกันในตลาดเสียงดังหนวกหูแบบนี้ แต่ไรมาเขาไม่ใช่คนที่บริสุทธิ์ปราศจากกิเลสตัณหา และหาใช่ไร้ปรารถนาและความต้องการอย่างศิษย์พี่รองจนแทบจะใช้ชีวิตเรียบง่ายและโดดเดี่ยวชนิดที่ไปบวชพระได้ เขาแค่ชอบเสียงเอะอะหนวกหู เกิดมาก็ถูกลิขิตให้เป็นคนในโลกโลกีย์ไปชั่วชีวิต

เสี่ยวชุนยืนยิ้มกว้างเซ่อซ่าคนเดียวอยู่บนถนนใหญ่ พาให้คนข้างๆ พากันหันกลับมามอง เด็กสาวสองสามคนที่เดินผ่านข้างเขาไปแอบมองเขาแวบหนึ่ง เขาผงกหัวทักทายแต่กลับทำให้พวกนางเขินอายหน้าแดง

เสี่ยวชุนยิ้มอย่างภาคภูมิ คิดไม่ถึงว่าตนเองจะร้ายกาจนัก ออกจากหุบเขาคราวนี้อาจทำให้สตรีนับไม่ถ้วนลุ่มหลง คว้าหัวใจของเด็กสาวเป็นร้อยตระกูลเชียวล่ะ!

ถือโอกาสหาภรรยากลับไปคารวะอาจารย์เลยก็แล้วกัน! เขาหัวเราะคิกคัก

เสี่ยวชุนเดินจับจ่ายซื้อของในเมืองหานหยางทั้งบ่ายอย่างสำราญใจ เห็นของเล่นแปลกใหม่หลากหลายแบบ ของที่ซื้อมาทั้งห่อเล็กห่อใหญ่แขวนเต็มสองแขน

เล่นสนุกดูชมพอแล้วตะวันก็ค่อยๆ คล้อยเอียงไปทางทิศตะวันตก เขาจึงได้หอบสิ่งของกองนั้นกลับหอพู่หิมะ

โคมไฟสีแดงเข้มอยู่นอกหอพู่หิมะ คราวนี้เขาคร้านจะสำแดงวิชาตัวเบากระโดดขึ้นกระโดดลง จึงเลือกเดินเข้าทางประตูหน้า คิดไม่ถึงว่ายังไม่ทันก้าวข้ามธรณีประตู แม่เล้าร่างอ้วนท้วนสมบูรณ์ก็พุ่งเข้ามาชนเขา เขายังไม่ทันยืนได้มั่นคงก็แทบกระเด็นออกไป ดีที่สตรีที่อยู่ข้างๆ รีบมาประคองเขาไว้

“คุณชายระวังเจ้าค่ะ!” แม้แม่นางคนนั้นประคอง แต่จากนั้นกลับประชิดเข้ามาทั้งตัว

“ขอบใจแม่นางมาก” เสี่ยวชุนหัวเราะแล้วเบี่ยงขวาหลบอย่างแนบเนียนจนคลาดกับแม่นางคนนั้นพอดี แม้แต่ชายเสื้อก็ไม่ให้อีกฝ่ายสัมผัสโดน

“ไอ้หยาๆ! เชิญแขกผู้มีเกียรติประมุขซือถูเจ้าค่ะ ขออภัยที่ไม่ได้ออกมาต้อนรับด้วยตนเอง ดูสิข้านี่สมควรตายจริงๆ ดึกขนาดนี้กว่าจะออกมา ท่านประมุขเป็นคนใจกว้างต้องไม่ถือสาแน่ๆ ใช่หรือไม่เจ้าคะ!” แม่เล้าตะเบ็งเสียงร้องเรียก

เสี่ยวชุนมองไปทางแม่เล้า เห็นบุรุษร่างบึกบึนกำยำกระโดดลงจากม้า บ่าวรับใช้จูงม้าไป แม่เล้าเดินไปรับอีกฝ่ายข้างหน้าทันที คลี่ยิ้มงดงามราวกับเห็นภูเขาทองคำและเหมืองเงิน

ซือถูร่างสูงใหญ่กำยำ คิ้วดาบ ดวงตาสุกใสมีชีวิตชีวา แต่งกายด้วยชุดที่ทะมัดทะแมงคล่องตัว ตรงเอวยังผูกกระบี่สองเล่มที่สลักลายมังกรและเฟิ่งหวงไว้ด้วย เขาก้าวเดินอย่างทรงพลังอำนาจ ลำพังแค่ท่วงท่าองอาจก็แทบจะกวาดคนให้ล้มได้ก็มิปาน

“ช่วงนี้เลี่ยวเชี่ยวดีขึ้นบ้างไหม” ซือถูส่งโสมหนึ่งกล่องและเทียบสีแดงให้แม่เล้า “นี่ให้เลี่ยวเชี่ยว รบกวนส่งต่อให้ด้วย บอกว่าซือถูอยากเชิญแม่นางเลี่ยวเชี่ยวไปรวมตัวกันที่คฤหาสน์”

แม่เล้าเปิดกล่องยาออกดู เห็นโสมร้อยปีชั้นดีก็ยิ้มเจิดจ้ากว่าเดิม “บ่าวจะเอาโสมกล่องนี้ไปให้เลี่ยวเชี่ยวเดี๋ยวนี้เลยเจ้าค่ะ ประมุขซือถูโปรดรอสักครู่”

เมื่อแม่เล้าเดินไปแล้ว คนอีกกลุ่มก็เข้ามารับรองแขกผู้มีเกียรติ แค่มารินน้ำชาเทน้ำก็ปาไปสามคนแล้ว รวมบีบขาทุบหลังก็มีทั้งสิ้นห้าคนด้วยกัน

“นี่มันอะไรกันเนี่ย” เสี่ยวชุนนึกสงสัย

“ผู้นี้คือซือถูอู๋หยา ประมุขปราสาทเขาหลิวเขียวเมืองหานหยางเรา”

แม่นางหน้าตาน่ารักที่อยู่ข้างๆ ตอบก็ตอบแล้ว แต่มือขาวเรียวทั้งคู่ยังเกาะไหล่พร้อมลูบไล้เสี่ยวชุน แต่ไรมาเสี่ยวชุนมีแต่เกี้ยวพาราสีคนอื่น ไม่ให้คนอื่นเกี้ยวพาน พอเจอแม่นางแบบนี้เข้าก็หลบหลีกทันที ทั้งสองคนผลักกันไปยื้อกันมา เป็นที่สะดุดตาในห้องโถงทีเดียว

“ประมุขปราสาทเขาหลิวเขียวรึ” เสี่ยวชุนถาม

“ท่านไม่รู้จักปราสาทเขาหลิวเขียวหรือ” แม่นางผู้นั้นตัวอ่อนระทวยเบียดร่างเสี่ยวชุน เล่นสนุกจนติดใจพลางบอกอย่างกระเซ้าแหย่ “ปราสาทเขาหลิวเขียวคือสำนักใหญ่ร้อยปีในยุทธภพ และยังเป็นสำนักอันดับหนึ่งในใต้หล้าที่ประสบความสำเร็จเลื่องชื่อ คุณชายน้อย ท่านคงไม่ค่อยออกจากสำนักกระมัง ดูใบหน้าท่านขาวผ่องอมชมพูผิวพรรณเนียนลื่น ท่าทางไม่ค่อยโดนแดด”

“เป็นเช่นนี้แต่กำเนิดน่ะ” เสี่ยวชุนเบี่ยงตัวก็หลุดจากกรงเล็บมารที่ยื่นออกมาของแม่นางผู้นั้นอย่างง่ายดาย

ความจริงแล้วเสี่ยวชุนค่อนข้างสงสัยใคร่รู้เกี่ยวกับประมุขสำนักอันดับหนึ่งแห่งใต้หล้านี้นักว่าเขามาหาผู้ใด

เลี่ยวเชี่ยวที่แม่เล้าคนนั้นพูดถึงคงเป็นหญิงคณิกาชื่อดังของหอพู่หิมะ ในเมื่อมาถึงหอพู่หิมะแล้วไม่ได้เห็นยอดหญิงงามของที่นี่จะได้อย่างไร!

คิดใคร่ครวญแล้วเสี่ยวชุนก็เอาของในมือยัดให้บ่าวรับใช้ที่เดินผ่านมาข้างเขา ให้อีกฝ่ายเอาไปส่งที่ห้องโดยตรง ส่วนเขาก็ก้าวฉับๆ ขึ้นชั้นบนแอบตามหลังแม่เล้า อยากเห็นว่าคนที่ชื่อเลี่ยวเชี่ยวเป็นหญิงงามหน้าตาเช่นไร!

ข้ามผ่านทางเดินยาวหลายอาคาร เสี่ยวชุนตามแม่เล้ามาจนถึงห้องปีกห้องหนึ่งที่อยู่ห่างไกล ฉวยโอกาสตอนที่แม่เล้าผลักประตูเข้าไปในห้อง ร่างของเสี่ยวชุนก็แวบตามเข้าไปในห้องด้วย แล้วกระโดดขึ้นบนคานยาวอย่างว่องไว เคลื่อนไหวร่างอย่างรวดเร็วเสียจนแม่เล้ารู้สึกแค่มีลมพัดผ่าน หนาวจนหดคอ

“เลี่ยวเชี่ยวจ๊ะ ประมุขซือถูมาเยี่ยมเจ้าอีกแล้ว” แม่เล้าตะเบ็งเสียงเรียก

ในห้องที่ม่านโปร่งคลุมอยู่ครึ่งห้องคล้ายมีเสียงดนตรีขับขาน สาวใช้คู่หนึ่งเลิกม่านขึ้น เผยให้เห็นสตรีในอาภรณ์เขียวที่เล่นพิณอยู่หลังม่าน

มือของหญิงสาวเรียวยาว หน้าผากกว้าง คิ้วงามสวย คล้ายจันทร์กระจ่างที่บดบังด้วยเมฆบาง ล่องลอยดุจหิมะโปรยปรายในสายลม หว่างคิ้วขมวดเล็กน้อยมีร่องรอยของอาการป่วย ดูเปราะบางน่าหลงใหล เห็นแล้วบังเกิดความรักใคร่เอ็นดู

เสี่ยวชุนตะลึงงันไปอีกแล้ว

คนงาม!

เขาออกเดินทางคราวนี้ช่างโชคดีอะไรอย่างนี้ พอออกจากหุบเขาก็ได้พบคนงามล้ำเลิศสองคนติดๆ กัน

คนงาม!!

ทำให้เขาน้ำลายไหลในทันที จะหยุดก็หยุดไม่ได้!

เลี่ยวเชี่ยวรับกล่องผ้าถักและเทียบสีแดงจากแม่เล้า ฉีกเปิดเทียบสีแดง หยิบกระดาษสีแดงและตั๋วเงินในนั้นออกมาดู ดวงหน้าซีดขาวด้วยอาการป่วยปรากฏความขมฝาดเพิ่มขึ้นมา

“ไปรวมกันที่จวนแล้วแนบเงินแสนตำลึงมาด้วย…ให้ข้าไปปราสาทเขาหลิวเขียวด้วยเงินแสนตำลึง…ทำไมเขาถึงไม่ยอมเลิกไถ่ตัวข้าอีกนะ…” เลี่ยวเชี่ยวไอเสียงดังชัดสองทีแล้ววางกระดาษสีแดงลง

พอแม่เล้าได้ยินว่าแสนตำลึง ดวงตาทั้งคู่ก็เปล่งประกายเจิดจ้า หยิบเอาตั๋วเงินยัดใส่อกเสื้อ

แม่เล้าคลี่ยิ้มดุจบุปผาแรกแย้มแล้วบอก “ลูกสาวคนดีของข้า เลี่ยวเชี่ยวคนดี คราวนี้เจ้าได้เจอกับผู้สูงศักดิ์แล้วนะ! หายากนักที่ประมุขใหญ่แห่งปราสาทเขาหลิวเขียวจะมาไถ่ตัวให้เจ้าโดยเฉพาะ นี่เป็นบุญที่เจ้าสั่งสมมาหลายชาติ แม่จะไปเอาสัญญาไถ่ตัวมาให้เจ้า เจ้ารอเดี๋ยว! แม่จะไปพาประมุขใหญ่ซือถูมา”

เลี่ยวเชี่ยวปิดปากไออีกหลายที ไม่มีแก่ใจจะตอบคำ มองแม่เล้าที่ออกไปจากห้องปีกแวบหนึ่งแล้วก้มหน้ามองกล่องผ้าถักสีแดง ในใจราวกับมีรสชาตินับร้อยที่ยากจะอธิบายให้ชัดแจ้ง ใบหน้าดูเป็นกังวลยิ่งนัก คิ้วสวยขมวดมุ่นมิคลาย

ทันใดนั้นมืออุ่นๆ ข้างหนึ่งก็พลิกข้อมือนาง นิ้วเรียวยาวดุจหยกแตะบนชีพจรของนาง

“เจ้า…” เลี่ยวเชี่ยวตกตะลึง ใจหายวาบ ไม่รู้ว่ามีหนุ่มน้อยหน้าตาหล่อเหลาท่วงท่าสง่างามมานั่งข้างๆ ตั้งแต่เมื่อไร

เมื่อครู่เสี่ยวชุนมองเลี่ยวเชี่ยวอยู่บนคานพักหนึ่ง พบว่านางป่วยหนักทั้งไม่ได้รักษาให้ดี ซูบผอมไปทั้งตัวคล้ายดอกเบญจมาศที่ร่วงโรย ชวนให้รู้สึกปวดใจจริงๆ ดังนั้นสมองยังไม่ทันได้ขบคิดให้ดี มือเท้าก็ชิงเคลื่อนไหวไปก่อน พลิกตัวลงมาจากคาน

หลังจากที่ตรวจชีพจรอย่างละเอียดแล้ว เสี่ยวชุนก็นั่งตัวตรงเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง “แม่นาง ชีพจรของเจ้าทั้งลอยทั้งอ่อนแรง เลือดลมติดขัด มีปัจจัยเกิดโรคทำให้เป็นฝีในปอด อีกทั้งม้ามโต คล้ายซึมเศร้าจนเจ็บป่วย คล้ายถูกกระตุ้นจากภายนอกจนลมปราณในตับเดินติดขัด”

“ไม่ทราบว่าคุณชายคือ…” เลี่ยวเชี่ยวพยายามควบคุมความปั่นป่วนในใจขณะเอ่ยถาม

“ไอ้หยา! ดูสิ ข้าลืมไปเลย ขออภัยจริงๆ” เสี่ยวชุนบอก “เมื่อครู่ข้าตามแม่เล้าเข้ามา เดิมแค่ใคร่รู้อยากเห็นว่าคนงามที่ประมุขสำนักอันดับหนึ่งในใต้หล้าชมชอบคือใคร ต่อมาพอเห็นเจ้าเหมือนป่วยมานานไม่ได้รับการรักษาจึงอดไม่ไหวเดินเข้ามา ข้าทำตัวหยาบคายเช่นนี้แม่นางเลี่ยวเชี่ยวโปรดอย่าได้ถือสา” อยู่ๆ เสี่ยวชุนก็คลี่ยิ้ม “ความเห็นข้า แม้อาการป่วยของแม่นางเลี่ยวเชี่ยวจะไม่หนักหนา แต่กลับเป็นๆ หายๆ ไม่ทุเลา น่ารำคาญใจนัก แม่นาง เจ้าหาหมอมานานเท่าใดแล้ว ไม่เกิดผลเลยใช่หรือไม่ แต่ไม่เป็นไรทั้งนั้น! วันนี้แม่นางพบข้าจ้าวเสี่ยวชุนแล้ว โรคเก่าๆ ทุกอย่างที่รักษาไม่ได้มาเนิ่นนานล้วนรักษาให้หายได้ เมื่อได้ยาก็รักษาให้หายขาดได้ ข้ามิได้คุยโว ในโลกนี้ยังไม่มีโรคที่ข้ารักษาไม่ได้”

เสี่ยวชุนหยิบกระดาษและพู่กันโดยไม่ไถ่ถาม เขียนสูตรยาอยู่บนโต๊ะ ไม่สนใจสายตาประหลาดใจของเจ้าของห้องที่อยู่ข้างๆ เลยสักนิด

เลี่ยวเชี่ยวใช้ชีวิตเป็นคณิกามาหลายปี มากน้อยอย่างไรก็ได้ความสามารถในการดูคนมาบ้าง

นางเห็นเสี่ยวชุนขีดเขียนอย่างสบายๆ ไร้ข้อผูกมัด ลายมือเป็นเส้นหนาอย่างธรรมชาติสร้าง จากตัวอักษรและเทียบเชิญ สามารถดูนิสัยคนได้ง่ายที่สุด อีกทั้งเห็นเสี่ยวชุนมีสีหน้าเป็นธรรมชาติ ไม่มีท่าทีจะแทะโลมเกี้ยวพาราสีสักนิด นางจึงได้ถอนใจโล่งอกยิ้มขื่น แม้เด็กหนุ่มผู้นี้จะบุกเข้ามาอย่างเสียมารยาท แต่ไม่น่ามีจุดประสงค์ร้าย

“ครั้งละหนึ่งเทียบ กินติดต่อกันสิบสี่วันจึงเริ่มเห็นผล แต่หลังจากเห็นผลแล้วยังต้องกินต่อเนื่องสามเดือนขึ้นไป จนไม่มีอาการไอก็จวนจะหายแล้วล่ะ”

เสี่ยวชุนส่งสูตรยาที่น้ำหมึกยังไม่แห้งให้เลี่ยวเชี่ยว หญิงสาวดูแล้วก็ต้องประหลาดใจขึ้นมาอีก

“สูตรยาที่คุณชายน้อยเขียนให้ข้าล้วนแล้วแต่เป็นสมุนไพรทั่วไปมิใช่หรือ” เลี่ยวเชี่ยวถามด้วยความสงสัย

“ข้าเดาว่าด้วยฐานะคณิกาชื่อดังแห่งหอพู่หิมะของเจ้า อีกทั้งยังเป็นนางในดวงใจของประมุขปราสาทเขาหลิวเขียว ท่านแม่ของเจ้าต้องลงทุนกับอาการป่วยของเจ้าไปมากแน่ๆ ทั้งโสม เห็ดหลิงจือ เหอโส่วอู* คงไปเสาะหาจากทุกสารทิศมาบำรุงร่างกายให้เจ้าแน่นอน”

“เป็นเช่นนั้นจริงๆ ที่แท้เป็นการเสียแรงเปล่าหรือ” ตอนนี้เลี่ยวเชี่ยวจึงได้ตระหนักถึงจุดประสงค์ที่ใช้ฝูหลิง** และใบเซียนผา*** ในสูตรยาของเสี่ยวชุน

“ถูกต้อง” เสี่ยวชุนยิ้มบอก “แม่นางร่างกายอ่อนแอมาก เป็นอย่างที่ภาษิตว่าไว้ หากร่างกายอ่อนแอจะใช้ยาแรงไม่ได้ สิ่งของเหล่านี้มีธาตุร้อนและแห้งง่าย ร่างกายของแม่นางเสียหายจนไม่รู้จะเสียหายอย่างไรแล้ว ยิ่งกินของพวกนี้ก็ยิ่งทำให้อาการป่วยของเจ้ายิ่งรุนแรงขึ้นเท่านั้น ความจริงแล้วสมุนไพรบนเขาที่มีฤทธิ์เป็นกลางหรือฤทธิ์เย็นจะดีกับแม่นางที่สุด ค่อยๆ บำรุงไป จะรีบร้อนไม่ได้ โยนพวกโสมและเห็ดหลิงจือพวกนั้นทิ้งไป อีกสองสามวันอาการป่วยของเจ้าก็จะดีขึ้น”

เลี่ยวเชี่ยวเก็บสูตรยา ผงกศีรษะกล่าวขอบคุณ “หากอาการป่วยของเลี่ยวเชี่ยวหายดี จะต้องตอบแทนคุณชายน้อยอย่างดีแน่นอน”

“คุณชายก็คุณชายสิ ทำไมต้องเติมคำว่าน้อยด้วย” เสี่ยวชุนคลี่ยิ้ม

“คุณชายจ้าวอายุยังน้อยก็ออกมาท่องยุทธภพแล้ว ครอบครัวไม่เป็นห่วงหรือเจ้าคะ” เลี่ยวเชี่ยวถาม

“ครอบครัวไม่มีนานแล้วล่ะ” เสี่ยวชุนยิ้มบอกอย่างไม่ใส่ใจ

จากนั้นอยู่ๆ เขาก็นึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ “ว่าแต่แม่นางเลี่ยวเชี่ยว เจ้าอยู่ที่หอพู่หิมะนี่จะต้องรู้จักคนมากแน่ๆ ไม่ทราบว่าเจ้าเคยได้ยินชื่อสือโถวในยุทธภพบ้างไหม”

“สือโถว? แซ่สือ ชื่อโถวหรือเจ้าคะ” เลี่ยวเชี่ยวถามกลับ

“เฮ้อ…บอกตามตรง สือโถวเป็นชื่อเล่นของศิษย์พี่ใหญ่ข้า ความจริงข้าเองก็ไม่รู้ว่าเขามีชื่อจริงว่าอะไร เขาอยู่ข้างนอกมานานแล้ว ข้าออกจากสำนักมาครั้งนี้ก็เพื่อจะตามหาเขา ทว่าแม้แต่เขาอยู่ที่ไหนข้าก็ยังไม่รู้เลย…” เสี่ยวชุนนึกถึงศิษย์พี่ใหญ่ที่ไม่ได้พบหน้ากันมานาน

วันเกิดอาจารย์วันนั้น เขาแอบได้ยินว่าศิษย์พี่ใหญ่ก่อเรื่องใหญ่โตอยู่ข้างนอกก็รู้สึกไม่ค่อยสบายใจ ไม่รู้ว่าตอนนี้ศิษย์พี่ใหญ่เป็นอย่างไรบ้าง ตอนที่เขาอายุสิบสองศิษย์พี่ใหญ่ก็ออกจากหุบเขาไปแล้ว แม้แต่รูปร่างหน้าตาของศิษย์พี่ใหญ่เป็นอย่างไรเขาก็แทบจำไม่ได้

อาจารย์คิดถึงศิษย์พี่ใหญ่ขนาดนั้น คราวนี้หากเขากลับไปพร้อมกับศิษย์พี่ใหญ่ อาจารย์ต้องดีใจแน่ๆ!

“ถ้าหากมีแค่ชื่อเล่น ในใต้หล้าคนที่ใช้ชื่อเล่นเช่นนี้เกรงว่าจะมีมากจนนับไม่ไหวเจ้าค่ะ” เลี่ยวเชี่ยวบอกเป็นเชิงขออภัย “หากไม่รู้ชื่อแซ่ เลี่ยวเชี่ยวความสามารถน้อยนิด มิอาจช่วยได้จริงๆ เจ้าค่ะ”

“ไม่เป็นไรๆ เรื่องนี้ไม่ได้รีบร้อนหรอก” ให้สูตรยาแล้ว คนงามก็ได้เห็นแล้ว ตอนนี้ไม่มีธุระแล้วเสี่ยวชุนก็จะลาไป ทว่าพอเห็นกล่องผ้าถักสีแดงที่บรรจุโสมแก่ร้อยปี ดวงตาสีดำทั้งคู่ก็กะพริบอีก ยิ้มบอก “ในเมื่อแม่นางไม่เหมาะจะกินยาบำรุงแรงๆ แล้ว โสมนี้คงไม่มีประโยชน์แน่แล้วกระมัง!”

“หากคุณชายจ้าวไม่รังเกียจ ก็ถือเป็นของขวัญที่เลี่ยวเชี่ยวได้สูตรยามา ท่านโปรดรับไว้ด้วยเจ้าค่ะ” เลี่ยวเชี่ยวเองก็ไม่ได้ขี้เหนียวหวงแหน ส่งกล่องผ้าถักสีแดงให้เสี่ยวชุน

“ขอบคุณมาก!” เสี่ยวชุนรับกล่องมาอย่างดีอกดีใจ “หลายวันมานี้สหายคนหนึ่งของข้าบาดเจ็บสาหัส โสมนี้เอาไปหั่นต้มน้ำได้พอดี ให้เขาดื่มเป็นชา บำรุงเลือดลม”

ทันใดนั้นประตูของห้องปีกก็ถูกใครบางคนสะเทือนเปิดออกด้วยฝ่ามือเดียว เสียงที่ดังสนั่นดุจระฆังใบใหญ่ดังขึ้น เสี่ยวชุนหันกลับไป เห็นซือถูอู๋หยาเดินเข้ามาอย่างไม่สบอารมณ์พอดี

ซือถูเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ฝืนข่มโทสะไว้ “ข้านึกว่าเจ้าไม่สบายกำลังพักผ่อน ที่แท้ก็มีแขกนี่เอง”

เลี่ยวเชี่ยวสีหน้าเปลี่ยนเล็กน้อย “ประมุขซือถูกล่าวเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร”

“เจ้าเอาของที่ข้าให้เจ้าส่งต่อให้เขา?” ซือถูเห็นกล่องผ้าถักในมือเสี่ยวชุน สีหน้าพลันดำมืดยิ่งกว่าอีกา เอื้อมมือข้างหนึ่งไปหมายจะแย่งกลับมา

เสี่ยวชุนยึดกล่องผ้าถักแล้วใส่ในอกเสื้อ ขยับเคลื่อนสองเท้า ทำให้ซือถูคว้าความว่างเปล่า

เสี่ยวชุนบอกตามตรง “แม่นางเลี่ยวเชี่ยวไม่ต้องใช้มันแล้วจึงมอบให้ข้า ยาวิเศษระดับนี้ต้องใช้ให้ถูกที่จึงไม่เสียคุณค่าไปเปล่าๆ เอามันให้ข้าย่อมดีที่สุด ข้าจะไม่ให้โสมต้องเสียเปล่าแม้แต่หนวดเดียว”

“คุณชายจ้าวท่านนี้มาช่วยตรวจอาการป่วยให้ข้า ประมุขซือถูโปรดสำรวมด้วย” เห็นเขาสองคนพูดจาไม่ลงรอยกัน เกรงแต่ว่าจะสู้กันขึ้นมา เลี่ยวเชี่ยวจึงรีบบอกตามตรง

“ให้ข้าสำรวม? ได้ เห็นแก่หน้าเจ้า ในเมื่อของนั้นให้เจ้าแล้ว เจ้าอยากให้ใครก็ให้คนนั้น ข้าจะไม่ยุ่ง” ซือถูดึงมือกลับอย่างไม่สบอารมณ์แล้วว่าต่อ “ข้าได้สัญญาขายตัวของเจ้ามาแล้ว เจ้าไม่จำเป็นต้องอยู่ที่นี่อีก กลับปราสาทเขาหลิวเขียวกับข้าเถอะ!”

ซือถูเดินไปทางเลี่ยวเชี่ยว โอบเอวบางเข้าสู่อ้อมอกโดยไม่ถามความสมัครใจของสาวงาม ทำเอาเลี่ยวเชี่ยวร้องตระหนก “ปล่อยข้า!”

“งานชุมนุมผู้กล้าใกล้เข้ามาแล้ว เจ้าอยู่ที่หอพู่หิมะ ข้าดูแลเจ้าไม่ได้ มีแต่ต้องพาเจ้ากลับไปจึงจะดูแลให้ดีได้” ซือถูบอกด้วยท่าทางแข็งกร้าว ไม่ได้สนใจเลี่ยวเชี่ยวที่ขัดขืนอยู่ในอ้อมอก

เสี่ยวชุนหรือจะทนดูหญิงชาวบ้านถูกฉุดคร่าได้…

เอ่อ…หญิงคณิกา

เอ่อ…หญิงคณิกาชื่อดัง…เกิดเรื่องแล้ว เขากระโดดไปข้างหน้าแล้วสู้กับซือถูโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง

ซือถูรู้ว่าวิทยายุทธ์ตนเองไม่อ่อนด้อย แต่พอประมือกับเสี่ยวชุนที่เอาชนะด้วยกระบวนท่าที่ว่องไว อีกทั้งยังห่วงคนในอ้อมกอดด้วย จึงกินแรงอย่างเลี่ยงไม่ได้

ทว่าหลังจากสามกระบวนท่า พลังปราณของเสี่ยวชุนก็ขาดห้วงจนเห็นชัดว่ามีอาการอ่อนล้า เมื่อคืนเขาช่วยบรรเทาความทรมานจากพิษกำเริบให้อวิ๋นชิงทั้งคืน คงสูญพลังปราณไปกว่าครึ่งให้อวิ๋นชิงแล้ว หลังสิบกระบวนท่าร่างกายท่อนล่างก็โซเซ รับฝ่ามือซือถูเข้าหนึ่งฝ่ามือ เสียงดังเปรี้ยงคล้ายกระแทกไปถึงข้างหน้าต่าง มึนหัวตาลายเกือบจะร่วงออกไปข้างนอก

“คุณชายจ้าว!!” เลี่ยวเชี่ยวร้องตระหนก

“ไม่เป็นไรๆ” เสี่ยวชุนสะบัดหัว หน้าอกปวดหนึบ

“น้ำใจที่ช่วยเลี่ยวเชี่ยววันนี้ข้าจะจดจำไว้” เลี่ยวเชี่ยวบอกเสี่ยวชุนด้วยความซาบซึ้งใจ “ท่านไม่ต้องเป็นห่วง ประมุขซือถูเป็นสหายเก่าของข้าที่สนิทสนมกันตั้งแต่เด็ก ท่านอย่าได้ทำให้ตัวเองต้องเจ็บตัวเพราะช่วยข้าเลยเจ้าค่ะ”

“ไปเถอะ!” ซือถูเห็นหญิงที่ตนเองรักเป็นห่วงเป็นใยคนอื่นแบบนี้ก็ให้รู้สึกหงุดหงิด

“ท่านอย่าทำร้ายคนอื่นส่งเดช” เลี่ยวเชี่ยวบอกเสียงค่อย

ซือถูพาเลี่ยวเชี่ยวจากไปแล้ว เสี่ยวชุนก็ตะโกนไล่หลังอย่างไม่ยอมแพ้ “แม่นางเลี่ยวเชี่ยว! เราสองคนมีวาสนาต่อกันเช่นนี้ น่าเสียดายกลับถูกคนป่าเถื่อนมาทำให้เสียบรรยากาศ แต่ไม่เป็นไร จากนี้เจ้าต้องรักษาอาการป่วยให้ดี วันหน้าข้าจะขึ้นไปหาเจ้าที่ปราสาทเขาหลิวเขียวแน่นอน ถึงตอนนั้นเจ้าต้องดีดพิณให้ข้าฟังอีกนะ คุยเล่นกับข้าด้วย จะให้ดีก็ดื่มสุรากันนิดหน่อย หรืออาจจะคุยกันท่ามกลางแสงเทียนในยามราตรีด้วย เจ้าจำไว้ว่าต้องรอข้านะ!!”

ด้วยรู้ว่าคำพูดนี้ของเสี่ยวชุนจงใจยั่วยุซือถู เห็นซือถูทำหน้าบึ้งตึงท่าทางไม่มีที่ให้ระบายอารมณ์ เลี่ยวเชี่ยวก็คลี่ยิ้มโดยไม่รู้ตัว

เสี่ยวชุนเห็นเพียงสาวงามมองตอบแล้วยิ้มละไม ตอนนั้นตะเกียงเอย แก้วแหวนอัญมณีเอย ทุกสิ่งล้วนเผือดสีไปหมด โลกพลันมืดมนในพริบตา รัศมีเปล่งประกายอยู่แค่ร่างสาวงามเปราะบางผู้นั้น

“งามเหลือเกิน!” เสี่ยวชุนบอกด้วยอาการตะลึงงัน

ซือถูแค่นเสียงหึด้วยความหงุดหงิด เสียงดีดพิณที่แว่วอยู่ในหู ทั้งหมดทุกอย่างกลายเป็นเสียงพร่ำรัก เลี่ยวเชี่ยวไปเจอเจ้าคนลามกนี่จากไหนกันแน่ ถ้าหากไม่ใช่เพราะต้องพาเลี่ยวเชี่ยวกลับไปแต่เนิ่นๆ เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาตามมาแล้วล่ะก็ เขาจะต้องสั่งสอนเจ้าสารเลวนี่ให้สาสมแน่นอน

 

* เหอโส่วอู (ห่อสิ่วโอว) เป็นสมุนไพรประเภทรากไม้ มีสรรพคุณช่วยให้ผมดกดำ กระตุ้นลำไส้ บำรุงเลือด ตับ ไต ไขกระดูก ช่วยล้างพิษ ลดความดันโลหิต ลดไขมันในเลือด ช่วยรักษาอาการวิงเวียน ตาลาย นอนไม่หลับ เป็นต้น

** ฝูหลิง หรือฮกเหล็ง คือสมุนไพรที่ใช้บำรุงม้าม ขับความชื้นในร่างกาย บำรุงกระเพาะอาหาร

*** ใบเซียนผา หรือใบผีผาสด หรือใบปีแปะเฮียะ ใช้เป็นยาแก้ไอ ละลายเสมหะ

อวิ๋นชิงตื่นขึ้นมาพักใหญ่ไม่เห็นผู้ใด เขานึกว่าเขาลืมตาขึ้นมาก็น่าจะเจอจ้าวเสี่ยวชุนคนนั้น คิดไม่ถึงว่าในห้องกลับว่างเปล่าไร้เงาคน

สาวใช้ที่รออยู่นอกห้องได้ยินเสียงอวิ๋นชิงตื่นแล้วก็ยกกับข้าวก่อนเคาะประตูเข้ามาในห้อง อวิ๋นชิงนึกว่าจ้าวเสี่ยวชุนกลับมาแล้ว พอเงยหน้าเห็นว่าไม่ใช่อีกฝ่าย สายตาพลันเย็นยะเยือกพร้อมซัดเข็มดอกท้อออกไป สาวใช้ถูกพิษหมดสติล้มลงบนพื้นข้างโต๊ะทันที

กับข้าวหกคว่ำไปแล้ว แต่อวิ๋นชิงก็มิได้ใส่ใจ สถานที่เช่นนี้ อาหารแบบนี้ ชาวบ้านระดับนี้ ทั้งหมดล้วนไม่อยู่ในสายตาเขา เขารู้สึกว่าตนเองกลายเป็นหงุดหงิด สถานที่แปลกหน้า เรื่องทางโลก จ้าวเสี่ยวชุนที่หายตัวไป และพิษในร่างที่เขาไม่อาจควบคุมได้ล้วนแล้วแต่ทำให้เขาไม่สบอารมณ์

ผ่านไปสองชั่วยาม* บ่าวรับใช้ก็เข้ามาในห้องอีก

อวิ๋นชิงนึกว่าคราวนี้น่าจะเป็นจ้าวเสี่ยวชุนแน่แล้ว คิดไม่ถึงว่าเมื่อมองให้ดีๆ แล้วกลับเป็นคนที่ไม่ได้หน้าตาคล้ายจ้าวเสี่ยวชุนเลยสักนิด

อาวุธลับผละจากมือไปอีกหน ถุงห่อใหญ่ห่อเล็กที่บ่าวรับใช้ถืออยู่หล่นกระจายบนพื้น จากนั้นก็มีเสียง ‘โครม’ ดังสนั่น หัวของอีกฝ่ายกระแทกเสาข้างประตูแล้วล้มพับหมดสติไป

หนึ่งก้านธูป** ให้หลัง คราวนี้คนที่มาผลักประตูเข้ามาเลยโดยไม่เคาะประตู

เข็มดอกท้อของอวิ๋นชิงพุ่งแหวกผ่านอากาศอีกครั้ง แต่กลับได้ยินเสียงร้องที่คุ้นเคย

“โอ๊ย! ไยเจ้าเอาอีกแล้ว!” เสี่ยวชุนที่เพิ่งก้าวข้ามธรณีประตูกรีดร้อง เข็มสามเล่มเขาหลบพ้นแค่เล่มเดียว ที่ตัวมีรูเล็กๆ เพิ่มขึ้นมาสองรู เข็มจมหายเข้าไปในเนื้อหัวไหล่ ฝังเข้ากระดูกไปแล้ว

เมื่อเห็นคนนอนอยู่ที่พื้นสองคน เสี่ยวชุนก็สะดุ้งโหยง รีบลากสองคนนั้นออกไปจากห้องปีกโดยไม่สนใจดึงเข็มบนตัวที่เจ็บแทบตายออกก่อน เสี่ยวชุนช่วยดึงเข็มออกให้พวกเขา แล้วใช้เข็มสีทองช่วยให้เลือดหมุนเวียนสะดวก

ตอนที่กลับมาในห้อง อวิ๋นชิงนั่งอยู่ที่ขอบเตียงด้วยใบหน้าไร้อารมณ์ มองเขาด้วยสายตาเย็นยะเยือก

“เจ้าเกือบฆ่าคนสองคน” เสี่ยวชุนบอก

“ฆ่าก็ฆ่าสิ” อวิ๋นชิงไม่ไยดีเลยสักนิด

“ชีวิตคนเชียวนะ!” เสี่ยวชุนโอดครวญ แต่เขาคาดเดาว่าคนที่ขยับดาบก็บั่นหัวคนได้อย่างเฉียบขาดหมดจดแบบนี้คงไม่เห็นว่าชีวิตคนมีค่าอะไรแน่

“พิษยางน่องเจ้ายังถอนได้อย่างง่ายดาย เข็มพิษพวกนั้นไม่เหลือบ่ากว่าแรงเจ้าหรอก” อวิ๋นชิงไม่เห็นว่าเรื่องของคนพวกนี้จะมีอะไรให้น่าพูดถึง

“เพราะว่าข้าเก่งกาจ” เสี่ยวชุนเลิกเสื้อคลุมนั่งข้างโต๊ะกลม รินน้ำดื่มให้ชุ่มคอ “แต่ต่อให้เก่งกาจสักแค่ไหน หากคนหมดลมหายใจแล้วก็ยากจะช่วย”

“ไม่มีลมหายใจแล้วก็ช่วยให้ฟื้นได้ด้วยรึ” อวิ๋นชิงรู้สึกว่าคนคนนี้คุยโม้เกินเหตุ

“ช่วยยาก ไม่อาจบอกว่าจะช่วยให้ฟื้นได้แน่ๆ พวกที่ร่างแข็งทื่อเน่าเฟะส่งกลิ่นเหม็นเน่านั้นช่วยไม่ได้แล้ว หากตัวอุ่นนิ่มเพิ่งตายได้ไม่นานเท่าไรอาจฝืนลองดูได้” เสี่ยวชุนใช้ความคิดแล้วบอกอีก “แต่พิษที่ตัวเจ้าค่อนข้างน่าปวดหัว เป็นพิษที่ข้าไม่เคยเจอมาก่อน ทั้งยังแปลกประหลาดด้วย และเป็นครั้งแรกที่เจอยาพิษหลอมรวมกับยาปลุกกำหนัด ส่งเสริมและหักล้างกันอย่างไร้ที่ติ พิษชนิดนี้หากเจอข้าล่าช้าไปหนึ่งวัน ตอนนี้เจ้าคงได้ไปดื่มชาขบเมล็ดแตงกับยายเมิ่ง*** แล้วล่ะ”

“พิษชนิดนี้ ในโลกนี้ไม่มีใครถอนได้” หลันชิ่งประมุขสำนักภูษานิลซึ่งได้รับฉายาว่า ‘เซียนเนรเทศมือพิษ’ ที่ทั้งยุทธภพยกย่องว่าร้อยปีจะเจอสักคนเคยกล่าวไว้เช่นนี้

“ไม่แน่หรอก” เสี่ยวชุนเขย่าน้ำชาในถ้วยแล้วหัวเราะ “อาจารย์ข้าบอกไว้ว่าหากทำยาพิษออกมาได้ก็ต้องทำยาถอนพิษได้ แต่ก่อนตอนอยู่ที่หุบเขา อาจารย์ก็เคยชมศิษย์พี่ใหญ่ของข้าว่าไร้บรรพบุรุษ ไม่มีทายาท ยาพิษที่ใช้เรียกว่าใต้หล้าไม่มีสอง ในโลกนี้ไร้ศัตรู ต่อมาข้าเข้าหุบเขา เขานึกครึ้มขึ้นมาชั่วขณะวางยาพิษร้อยแปดชนิดที่ตัวข้า ข้าเจ็บจนนอนกลิ้งร้องหาพ่อหาแม่ทั้งวัน แต่สุดท้ายข้าก็ยังหาวิธีแก้พิษได้ทีละชนิด สิ่งหนึ่งย่อมขจัดอีกสิ่งหนึ่งโดยธรรมชาติ ไม่มีพิษใดที่ไร้วิธีถอน”

“หึ!” อวิ๋นชิงแค่นเสียงขึ้นจมูก ดูแคลนความมั่นใจในตนเองของเสี่ยวชุน ทว่าคนที่ไม่ตายด้วยพิษร้อยแปดชนิดคนนี้กลับไม่กลัวพิษของลูกศรพิษที่เข็มของเขาจริงๆ

ร่างกายที่ร้อยพิษไม่กล้ำกรายนั้นได้มาอย่างไร อวิ๋นชิงหรี่ตามองเสี่ยวชุน เขาค่อนข้างสนใจในข้อนี้

เสี่ยวชุนรู้สึกหนาวสะท้านพลางฉีกยิ้ม ไม่รู้ตอนนี้อวิ๋นชิงกำลังคิดอะไรอยู่ เห็นสายตาของเขาราวกับงูที่จ้องกบอย่างไรอย่างนั้น

จากนั้นเสี่ยวชุนก็ถอดเสื้อนอกออกจนเผยให้เห็นหัวไหล่อย่างช้าๆ เขาลูบบาดแผล หยิบหินแม่เหล็กหมายจะดูดเข็มเล่มเล็กในเนื้อออกมา ทว่าเข็มที่ฝังเข้ากระดูกติดอยู่ลึกเกินไปจึงดูดไม่ออก เสี่ยวชุนจึงได้แต่กัดฟันเอากริชมากรีดผิวเนื้อออกแล้วควักเข็มออกมาทั้งอย่างนั้น

เมื่อครู่เขาถูกซือถูอู๋หยาซัดจนเจ็บหน้าอก จึงได้แต่เคลื่อนไหวช้าๆ กลัวว่าจะรั้งไปถึงหน้าอกแล้วกระดูกหัวไหล่จะเจ็บไปด้วย จากนั้นจึงหยิบห่อสัมภาระแล้วเอาขวดสุราเล็กๆ สีเหลืองส้มออกมาสาดยาลงไป คิดแล้วก็อ้าปากกรอกเข้าปากนิดหน่อย กินพร้อมสุราดอกท้อที่เหลืออยู่ในถุงน้ำ

“ขมชะมัด” เสี่ยวชุนอับจนคำพูด

เห็นอวิ๋นชิงไม่เลิกมองตนเองเสียที เสี่ยวชุนก็นึกขึ้นได้ว่าอวิ๋นชิงก็ต้องใช้ยานี้เหมือนกัน เขาปาดเหงื่อเย็นบนหน้าผากแล้วโยนขวดให้อีกฝ่าย

“อาการบาดเจ็บภายในของเจ้าไม่ใช่เบาๆ ขวดนี้ให้เจ้าก็แล้วกัน! นี่เป็นของดีนะ ข้าทำจากซานชี**** ไป๋จี***** และสมุนไพรราคาแพงอีกนิดหน่อย ใช้รักษาแผลจากมีดดาบเลือดตกยางออก หกล้มถูกซัดจนบาดเจ็บภายใน ใช้ทาภายนอกหรือกินก็ได้หมด ผู้ใหญ่หรือเด็กก็ใช้ได้ทั้งนั้น ไม่ว่าบาดแผลจะใหญ่แค่ไหน อาการบาดเจ็บภายในจะหนักหนาแค่ไหน ขอเพียงใช้แค่นิดเดียว รับรองว่าครู่เดียวเห็นผล บาดแผลฉีกเป็นทางจากดาบบนร่างของเจ้าพวกนั้นข้าก็ใช้มันทาให้จนหายดี เรียกได้ว่าเป็นยาวิเศษรักษาแผลเชียวล่ะ!”

 

 

* ชั่วยาม เป็นหน่วยนับเวลาของจีนในสมัยโบราณ เท่ากับ 2 ชั่วโมง ครึ่งชั่วยามจึงเท่ากับ 1 ชั่วโมง

** หนึ่งก้านธูป เป็นคำเรียกเวลาโดยประมาณของคนจีนโบราณ บางตำราว่าประมาณครึ่งชั่วโมง บางตำราว่า 1 ชั่วโมง

*** มีตำนานเล่าว่าหญิงแซ่เมิ่งในสมัยฮั่นตะวันตกคนหนึ่งเป็นผู้ถือศีลกินเจ สวดมนต์ และครองพรหมจรรย์จวบสิ้นอายุขัย ทั้งยังคอยเตือนให้ผู้คนอย่าได้ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต เมื่อตายไปสวรรค์จึงแต่งตั้งให้เป็นเทพประจำอยู่ในยมโลก

**** ซานชี หรือซาฉิก เป็นพืชตระกูลเดียวกับโสมคน มีสรรพคุณสลายเลือดคั่ง ห้ามเลือด

***** ไป๋จี หรือแปะกิ๊บ เป็นสมุนไพรจีนชนิดหนึ่ง ใช้รักษาโรคเกี่ยวกับทางเดินอาหาร

เสี่ยวชุนพูดจนเหมือนหมอในยุทธภพที่เร่ขายยา แต่ยาตัวนี้ของเขาใช้ดีจริงๆ ตอนแรกที่ศิษย์พี่ห้าศิษย์พี่หกตัดสินใจออกเดินทางท่องไปทั่วสี่คาบสมุทรและยุทธภพ เขาก็เคยให้ไปเป็นโหล ไม่ว่าจะให้คนอื่นหรือใช้เองก็ได้ทั้งนั้น!

“เจ้าบาดเจ็บภายในหรือ” อวิ๋นชิงเดินมาจับแขนแล้วช่วยตรวจชีพจรให้ น้ำเสียงพลันสูงขึ้น

“เฮ้อ…อื้ม…ทักษะสู้ผู้อื่นไม่ได้ พอเผลอ…ก็เลยถูกซัดเข้า…” เสี่ยวชุนเดาะลิ้น ซือถูอู๋หยานั้นคือยอดฝีมือตัวจริง “เฮ้อ…ไม่ต้องสนใจหรอก แค่เรื่องเล็กน้อยเท่านั้น…”

อวิ๋นชิงดึงมือกลับแล้วนั่งข้างเสี่ยวชุน แค่นเสียงหึเย็นชา

“แล้วสองคนนั้นยั่วโทสะเจ้าเข้ารึ คนทั่วไปหากถูกเจ้าซัดเข็มใส่ก็ไปพบยมบาลแล้ว โชคดีที่ข้ากลับมาเร็ว ไม่อย่างนั้นพวกเขาต้องไปแดนปรภพแน่” เสี่ยวชุนรินน้ำชาให้อวิ๋นชิง เห็นอีกฝ่ายแค่เหลือบมอง คงรังเกียจที่ถ้วยนั้นสกปรกจึงไม่อยากดื่ม

เสี่ยวชุนไม่สนใจอวิ๋นชิง จากนั้นก็เก็บสิ่งของชิ้นใหญ่ชิ้นเล็กที่ซื้อกลับมาจากบนพื้นเอามากองบนโต๊ะแล้วแกะออกทีละอย่าง ได้ซื้อของเล่นที่ไม่ค่อยได้เห็นในหุบเขาทำให้เขาเบิกบานใจยิ่งนัก

อวิ๋นชิงเห็นเสี่ยวชุนท่าทางอิ่มเอมใจ โทสะก็แล่นปราด บอกไม่ถูกเหมือนกันว่าทำไมตนเองอยู่ๆ ก็รู้สึกสับสน เอ่ยขึ้นด้วยความหงุดหงิด “เจ้าไปไหนมา ทำไมข้าตื่นมาไม่เจอเจ้า”

“ไปซื้อของมาน่ะสิ!” เสี่ยวชุนหยิบห่อขนมลูกสน* เอามาชิมสองชิ้นอย่างสำราญใจ “หวานจัง”

“ไปซื้อของ?” ที่แท้ที่หายไปไม่เห็นเงาเพราะไปซื้อของ คำตอบของเสี่ยวชุนทำให้ใบหน้าของอวิ๋นชิงเย็นชาอย่างที่ไม่รู้จะเย็นชาไปกว่านี้ได้อย่างไรในทันที

พอเห็นบรรยากาศไม่ชอบมาพากล เสี่ยวชุนก็รีบยัดขนมลูกสนสองชิ้นใส่ปากอวิ๋นชิง

“อร่อยใช่ไหม หวานๆ” เสี่ยวชุนจ้องอวิ๋นชิง ดวงตาทอยิ้มจนกลายเป็นพระจันทร์โค้ง นัยน์ตาสีดำสว่างไสวคล้ายดวงดาวระยิบระยับ

อวิ๋นชิงจะกลืนก็ไม่ใช่ จะคายก็ไม่เชิง ได้แต่ขมวดคิ้วอมไว้

“เมื่อครู่ข้าไปซื้อยาให้เจ้า คิดไม่ถึงว่าจากนั้นจะได้เจอของแปลกหายากบางอย่าง จึงกลับมาช้าหน่อย” เสี่ยวชุนบอก แล้วยังเขย่าป๋องแป๋งดังตึงตังๆ

อวิ๋นชิงพึมพำอยู่ครู่หนึ่งแล้วถามสิ่งที่เขาสงสัยมาตลอด “เหตุใดจึงช่วยข้า”

“อยากช่วยก็ช่วยอย่างไรเล่า!” เสี่ยวชุนไม่ได้ใส่ใจ

“ต่อให้ข้าจะฆ่าเจ้า เจ้าก็จะช่วยข้าหรือ”

“แต่เจ้าไม่ได้ฆ่าข้านี่ ตอนนี้ข้าก็นั่งอยู่ดีตรงนี้ไม่ใช่หรือ”

อวิ๋นชิงเงียบ เสี่ยวชุนลืมไปแล้ว นั่นเพราะร้อยพิษทำอะไรเขาไม่ได้ มิฉะนั้นอาศัยแค่พิษร้ายแรงของลูกศรพิษคงสิ้นใจไปปรโลกนานแล้วตั้งแต่ตอนที่เขาเห็นตนสู้กับคนชุดดำ ตอนนี้อยู่ๆ อวิ๋นชิงก็ดีใจนิดๆ ดีใจที่เสี่ยวชุนมีร่างกายที่ร้อยพิษไม่กล้ำกราย ไม่ได้ตายเร็วเกินไป

จากนั้นเสี่ยวชุนก็นั่งยองอยู่ข้างเตาถ่าน เริ่มบดยาพลางเอาสมุนไพรจากบนเขาแบ่งส่วนโยนใส่หม้อ ปากก็ครวญเพลงพื้นบ้านไม่ทราบชื่อ

“ตะวันตกฝนแรก ตะวันออกฟ้าใส คืนนัดพบแอบคบชู้…”

“…” ได้ยินคนผู้นี้ร้องคำว่าคบชู้ออกมาอย่างง่ายดายเช่นนี้ อวิ๋นชิงก็เงียบกริบ

“จันทร์ลอยสูงเหนือกิ่งไม้ พี่สาวก้มหน้าแดงก่ำ…เรียกยอดดวงใจซ้ำๆ ม้วนม่านกลิ้งขึ้นเตียง…” เสี่ยวชุนครวญเพลงอย่างมีความสุข

อวิ๋นชิงไม่เคยฟังเพลงเช่นนี้ รู้สึกแค่ว่าเนื้อเพลงเขียนได้จะแจ้งกระตุ้นอารมณ์ แต่เสี่ยวชุนครวญเพลงด้วยเสียงใสนุ่มเบาๆ ดวงหน้าปราศจากตัณหาราคะ ก้มหน้าร้องวนซ้ำ แต่กลับเหมือนกำลังสารภาพความในใจ

ขนมลูกสนในปากละลายช้าๆ อวิ๋นชิงจ้องเสี่ยวชุนที่นั่งยองบนพื้นพร้อมโบกพัดเตาอย่างเงียบๆ เขาใช้กำลังภายในเอาสองมือแปะรอบหม้อโคจรพลังเคี่ยวยา ท่าทางมีความสุขสำราญใจ ปากเขาก็ยังร้องครวญเพลงนั้นรอบแล้วรอบเล่า

ในห้องปีกที่ฟุ้งด้วยกลิ่นขมฝาดของยาชวนให้อารมณ์ของคนสงบพอควร อวิ๋นชิงเองก็ไม่มีความหงุดหงิดเช่นในตอนแรกแล้ว ความอัดอั้นที่อ้อยอิ่งอยู่ในอกก็ค่อยๆ สลายไป

ครู่หนึ่งเสี่ยวชุนเคี่ยวยาเสร็จแล้วก็ปั้นยาลูกกลอนขนาดเท่านิ้วมือและเอาใส่ขวดลายครามส่งให้อวิ๋นชิงเก็บไว้

เสี่ยวชุนถือโอกาสป้อนยาให้อวิ๋นชิงเม็ดหนึ่งด้วย ตอนนี้ถึงเวลาพิษกำเริบ อวิ๋นชิงจึงมีเหงื่อไหลเต็มหน้าผากนานแล้ว

เสี่ยวชุนบอก “ยานี้แม้จะไม่ใช่ยาถอนพิษแต่ก็ช่วยให้เจ้าเจ็บน้อยลงได้หลายส่วน และเพื่อยับยั้งฤทธิ์ของยาพิษ ตัวยาจึงต้องมีฤทธิ์รุนแรง หากใช้เยอะจะทำให้บาดเจ็บ เจ้าต้องจำไว้ว่าประมาณเวลานี้ของทุกวัน หากเจ็บค่อยกิน ครั้งละหนึ่งเม็ดก็ได้ แต่ห้ามถือวิสาสะเพิ่มปริมาณยาเอง”

ตอนที่กำชับเสร็จก็เป็นเวลาดึกแล้ว เสี่ยวชุนเหนื่อยมาทั้งวัน เขาดับไฟแล้วคลำหาในความมืด ปีนขึ้นเตียงนอนลงข้างอวิ๋นชิง ขณะที่อวิ๋นชิงกำลังหลับตาอดทนกับความเจ็บปวดที่จู่โจมอย่างรุนแรงซึ่งสะเทือนอยู่ในร่าง ฝ่ามือของเสี่ยวชุนก็ทาบลงบนหลังอวิ๋นชิง ส่งพลังปราณเข้ามาช่วยให้อวิ๋นชิงข้ามพ้นความทุกข์

ยาออกฤทธิ์เต็มที่แค่ในเวลาสั้นๆ อวิ๋นชิงรู้สึกว่าความเจ็บรุนแรงที่อัดแน่นทั้งแขนขาและกระดูกบรรเทาลงมาก ไม่เพียงแค่อัศจรรย์ใจที่ยานี้วิเศษถึงเพียงนี้ หากยิ่งประหลาดใจที่คนทำยานี้อายุยังน้อยแต่กลับมีความสามารถขนาดนี้

ผ่านไปหนึ่งชั่วยามเสี่ยวชุนก็ผล็อยหลับไป อวิ๋นชิงจ้องใบหน้ายามหลับที่ไร้การระวังตัวของเสี่ยวชุน ไม่ง่วงงุนสักนิดเดียว

คนคนนี้กล้าหลับสนิทขนาดนี้เชียว…

ความร้อนค่อยๆ ทะลักขึ้นมาและแผ่ลามอย่างรวดเร็ว อวิ๋นชิงรออยู่พักหนึ่งก็ไม่เห็นเสี่ยวชุนจะทำอะไรต่อไปจึงเอ่ยขึ้น “จ้าวเสี่ยวชุน ตื่นขึ้นมาเดี๋ยวนี้”

“ทำไมหรือ” เสี่ยวชุนลืมตาอย่างสะลึมสะลือ

“เจ้าลืมแล้ว” อวิ๋นชิงบอก

“ลืมอะไร…” เสี่ยวชุนง่วงงุนยิ่งนัก

“เจ้ายังไม่ได้ช่วยข้าปลดปล่อย” อวิ๋นชิงบอกอย่างตรงไปตรงมา ไม่รู้สึกเลยสักนิดว่ามีอะไรไม่เหมาะสม

เสี่ยวชุนคราง “เรื่องแบบนี้ทำเองก็ได้ เมื่อวานข้าสอนเจ้าแล้วไม่ใช่หรือ แล้วก็คำว่าปลดปล่อยนี้อย่าได้พูดดังขนาดนั้น ข้าไม่กลัวขายหน้า แต่กลัวเจ้าจะขายหน้า”

“เจ้าทำ”

“เราเป็นผู้ชายเหมือนกัน ทำไม่ได้” เสี่ยวชุนถอนใจ ในเรื่องนี้อวิ๋นชิงช่างราวกับกระดาษขาวเสียจริง ทำไมแม้แต่เรื่องนี้ก็ไม่เข้าใจ

“ทำไมผู้ชายด้วยกันถึงทำไม่ได้”

“เอ่อ…” เสี่ยวชุนผงะ “ก็ใช่ ทำไมเป็นผู้ชายเหมือนกันถึงทำไม่ได้ ยิ่งกว่านั้นใบหน้าของเจ้าก็งดงามกว่าสตรีเสียอีก” เมื่อเทียบกันแล้ว แม้แต่เลี่ยวเชี่ยวคณิกาชื่อดังที่เจอวันนี้ก็เหมือนจะรูปโฉมด้อยกว่าอวิ๋นชิงอยู่หน่อยๆ

“ไม่ทำรึ” รอจนหมดความอดทนแล้ว อวิ๋นชิงหรี่ตา แววตาเริ่มฉาบฉายความอันตราย

“ทำ! ข้าทำ ทำไมจะไม่ทำ!” สายตาของอวิ๋นชิงทำให้เสี่ยวชุนนึกถึงเข็มดอกท้อ เขาเอามือเกาะกุมใต้ท้องน้อยของอวิ๋นชิงโดยไม่พูดพร่ำทำเพลงทันที

แว่วเสียงหอบหายใจแผ่วเบา ลมหายใจที่พรูออกมาของอวิ๋นชิงกวาดผ่านใบหน้าเสี่ยวชุน ทำเอาเสี่ยวชุนจั๊กจี้จมูกนิดๆ เสี่ยวชุนเอ่ยเสียงค่อย “เจ้าเอามือมาด้วยสิ ทำเองจะเร็วขึ้นเยอะทีเดียวนะ!”

อวิ๋นชิงจึงยื่นมือออกมา สำรวจในกางเกงเสี่ยวชุน กอบกุมอวัยวะสำคัญของเด็กหนุ่มไว้

“อ๊าก!!” เสี่ยวชุนร้องลั่น เสียงเริ่มสั่นเครือ “ไม่ใช่จับของข้า! จับของเจ้าสิ!!”

“ทำไมเจ้าไม่ตื่นตัว” อวิ๋นชิงเหลือบมองแล้วถาม เสี่ยวชุนอ่อนปวกเปียกไม่เหมือนอย่างของเขา

“ข้าไม่ได้ถูกพิษยาปลุกกำหนัด…”

มือของเสี่ยวชุนเคลื่อนไหวไม่หยุด ทำเอาอวิ๋นชิงสบายตัวยิ่งนัก อวิ๋นชิงแค่นเสียงขึ้นจมูกเบาๆ ร่างสั่นสะท้านแล้วขยับมือไปด้วย เสียงนั่นลอยเข้าหูเสี่ยวชุน อีกทั้งส่วนนั้นยังถูกรูดรั้งด้วย แม้เดิมทีเสี่ยวชุนจะไม่ได้ต้องการแบบนั้น แต่ร่างกายก็เกิดปฏิกิริยาไปโดยธรรมชาติ

ลืมไปแล้วว่าเริ่มต้นอย่างไร เสี่ยวชุนรู้แค่ว่าตอนที่ตนเองได้สติ อวิ๋นชิงก็ปฏิบัติกับเขาด้วยวิธีเดียวกันนั้น

ตอนที่เขาปลดปล่อยออกมาในมืออวิ๋นชิง หายใจหอบกระชั้น อวิ๋นชิงก็ทำฝ่ามือเขาเปียกชื้นเช่นกัน

ป่ายปีนขึ้นสูงไปบนก้อนเมฆแล้วร่วงหล่นลงมา เสี่ยวชุนหอบหายใจถี่กระชั้น อยู่ๆ นิ้วมือชื้นๆ ของอวิ๋นชิงก็ไล้กลีบปากของเสี่ยวชุน

“ทำไมหรือ” เสี่ยวชุนตะลึงงัน

ปลายนิ้วของอวิ๋นชิงไล้กลีบปากแดงก่ำของเสี่ยวชุน กดไว้เบาๆ รู้สึกถึงความนุ่ม ตอนที่อีกฝ่ายเอ่ยถาม นิ้วมือของเขาก็ไหลเข้าไปในปากเสี่ยวชุน สัมผัสถึงผนังอุ่นชื้นเปียกร้อนด้านใน

ปลายนิ้วถูไถลิ้นของเสี่ยวชุน ค่อยๆ ขูดปุ่มนูนเล็กๆ บนลิ้น อวิ๋นชิงอาวรณ์ไม่อยากหยุด ไม่ยอมผละจากไป จนกระทั่งเสี่ยวชุนไม่อาจหุบปากได้ น้ำใสๆ ไหลเยิ้มออกมาจากมุมปาก ร้องครางอย่างติดขัด อวิ๋นชิงจึงได้สติแล้วดึงมือกลับ

ชายหนุ่มเริ่มหลับตา ความเจ็บปวดรุนแรงผ่านไปแล้ว ร่างกายก็เบาสบายแล้ว ความง่วงของอวิ๋นชิงปะทุขึ้นมา ซุกตัวอยู่ข้างกายเสี่ยวชุนแล้วหลับไป เขาไม่รู้ว่านี่คือเรื่องอะไรกันแน่ รู้แค่ว่าคนคนนี้ตอนนี้ให้อยู่ข้างกายเขาได้ และให้สัมผัสแตะต้องได้ชั่วคราว

เสี่ยวชุนมองคนที่นอนได้ไม่นานเท่าไรก็เริ่มกรนด้วยความตะลึงงัน ไม่รู้ว่าคนคนนี้เป็นอะไรไปอีกแล้ว เอานิ้วมือมากวนในปากเขานานสองนาน จากนั้นก็ไม่พูดอะไรเลย หลับตาแล้วนอนหลับไปโดยไม่สนใจใคร

ต่อมาพอนึกขึ้นได้ เสี่ยวชุนก็รีบลุกขึ้น “ถุยๆๆ…” ไม่หยุด ถ่มน้ำลายลงใต้เตียงอย่างต่อเนื่อง รู้สึกว่ายังไม่พอก็ปราดไปหยิบกาน้ำชากรอกเข้าปาก หลังจากบ้วนปากแล้วก็ถุยจนหมดเกลี้ยง

นิ้วมือของอวิ๋นชิงเลอะน้ำหวานของเขา แล้วยังเอานิ้วสอดเข้ามาในปากเขา มิน่าเล่าเขาถึงรู้สึกว่าในปากมีกลิ่นแปลกๆ ที่แท้ก็กินสิ่งนั้นเข้าไปแล้ว

“ถุยๆๆ…”

 

* ขนมลูกสน เป็นขนมที่ทำจากข้าวพองเคลือบน้ำตาลชนิดหนึ่ง เมื่อพองตัวแล้วจะมีลักษณะคล้ายลูกสน

 

โปรดติดตามตอนต่อไป…

หน้าที่แล้ว1 of 4

Comments

comments

Editor Jamsai: