everY
ทดลองอ่าน พ้นเที่ยงคืนกลืนมิติ เล่ม 3 บทที่ 90-91 #นิยายวาย
ทดลองอ่าน เรื่อง พ้นเที่ยงคืนกลืนมิติ เล่ม 3
ผู้เขียน : เหยียนเหลียงอวี่
แปลโดย : สนสราญ
ผลงานเรื่อง : พ้นเที่ยงคืนกลืนมิติ
ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน
จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว
หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย
– – – – – – – – – – – – – – – – –
Trigger Warning
เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับความรุนแรง
ปัญหาครอบครัว การทำร้ายทางร่างกายและจิตใจ
การตาย การฆาตกรรม การบังคับหรือโน้มน้าวให้ทำบางอย่างโดยไม่เต็มใจ
การกักขังหน่วงเหนี่ยว การทรมาน การบูลลี่ การกล่าวถึงเลือด สภาพศพ
และสถานการณ์อันน่าขยะแขยง ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ
สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป
โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
** หมายเหตุ: ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **
– – – – – – – – – – – – – – – – –
บทที่ 90
ตราประทับพิเศษ
หลังอธิบายถึงแดนน่าสะพรึงสุดขีดจบดีมอสก็ไม่ลืมสร้างความชอบธรรมให้ตัวเอง “ฉันเคยบอกแล้วว่าเจอฉันโชคดีกว่าเข้าสู่แดนน่าสะพรึงสุดขีดหลายเท่า”
คนที่เข้ามาทำเควสต์ฝ่าด่านทั้งยี่สิบสี่คนไม่มีสักคนเดียวที่จะตอบรับ พวกเขาต่างนึกหัวเราะอยู่ในใจ
ก็แค่โชคร้ายกับโชคร้ายกว่าเท่านั้น
“เอาล่ะ พิธีเปิดจบลงแล้ว” ดีมอสเงยหน้ามองอากาศราวกับที่นั่นมีจอมอนิเตอร์ที่มีเพียงเขาเท่านั้นที่มองเห็น
เสี้ยววินาทีต่อมาหว่างคิ้วของเขาก็ขยับน้อยๆ
ทันใดนั้นเหนือผนังวิหารเทพเจ้าก็มีลำแสงสีม่วงสายหนึ่งทอดลงมา ห่อคลุมร่างของคนที่เข้ามาทำเควสต์ฝ่าด่านทั้งหมดไว้ภายใน อาบย้อมวิหารเทพเจ้าให้กลายเป็นสีม่วงอ่อน
ตอนแรกทุกคนต่างตกใจ แต่เพียงไม่นานพวกเขาก็พบว่าแสงดังกล่าวไม่ได้ส่งผลอะไรต่อพวกเขามากนัก แค่รู้สึกเหมือนกับบนหัวมีไฟสปอตไลต์สีม่วงเพิ่มขึ้นดวงหนึ่ง
อีกสองสามนาทีให้หลังแสงสีม่วงก็จางหาย วิหารเทพเจ้าตกอยู่ภายใต้แสงสีเหลืองหม่นอึมครึมเช่นเดิม
หลังจากนั้นเสียงของดีมอสก็ดังขึ้นอีกคราว “ดูที่แขนของพวกนายสิ ตอนนี้คนที่มีตราประทับพิเศษให้ไปยืนอยู่ทางด้านซ้ายของฉัน ส่วนคนที่ไม่มีไปทางขวา”
“ตราประทับพิเศษอะไร” บางคนรีบยกแขนขึ้นดูเพื่อตรวจสอบ ส่วนพวกที่ไม่ขยับห้าหกคนนั้นต่างพึมพำงึมงำไม่พอใจ “ดีชั่วยังไงก็น่าจะอธิบายให้ฟังสักหน่อยถึงจะถูก”
ถังหลิ่นยกแขนขึ้นดูก็พบว่าข้างๆ ภาพนกเค้าแมวนั่นมีสัญลักษณ์สีม่วงอ่อนปรากฏเพิ่มขึ้นมาอันหนึ่ง มันส่องประกายจางๆ คล้ายตราประทับสีสะท้อนแสงบนแขนที่ใช้สำหรับผ่านเข้าไปร่วมงานปาร์ตี้ในไนต์คลับ
ตราประทับรูปโล่มีดาบขนาดใหญ่วางพาดอยู่ด้านบนขนาดเท่าเหรียญกษาปณ์นั้นให้ความรู้สึกของอัศวินผู้กล้า
นี่คือตราประทับพิเศษที่ว่างั้นเหรอ
ดีมอสไม่อธิบายอะไรเพิ่มเติม เพราะบางคนแค่ยกแขนขึ้นมองเพียงปราดเดียวก็เข้าใจได้แล้ว
ถังหลิ่นลดแขนลง นึกอยากดูแขนของฟั่นเพ่ยหยาง แต่นึกไม่ถึงว่าทันทีที่ช้อนตาขึ้นเขาก็พบว่าอีกฝ่ายสำรวจดูแขนของตัวเองเสร็จเรียบร้อยแล้ว ตอนนี้กำลังจ้องมองแขนของเขาอยู่
“เหมือนกับคุณ” ฟั่นเพ่ยหยางบอกคำตอบออกมารวดเร็วไม่รอให้ถังหลิ่นเอ่ยปากถาม
ถึงจะไม่รู้ชัดว่าตราประทับนี้ซ่อนความหมายอะไรไว้ แต่ไม่ว่าอย่างไรมันก็บอกให้เห็นชัดอยู่แล้วว่าเขากับฟั่นเพ่ยหยางจะต้องเผชิญหน้ากับสถานการณ์แบบเดียวกัน ไม่แน่ว่าอาจร่วมมือกันต่อสู้ได้ ดังนั้นจิตใจของถังหลิ่นจึงค่อนข้างสงบ “พวกเราอยู่ฝั่งเดียวกัน”
“อืม” ฟั่นเพ่ยหยางกับเขาเดินไปยืนอยู่ทางซ้ายมือของดีมอส “ถ้าอีกเดี๋ยวเขาให้คนที่มีตราประทับแบบเดียวกันฆ่ากันเอง คุณก็ลงมือได้เลยไม่ต้องคิดอะไรทั้งนั้น”
ถังหลิ่น “…”
ไม่แปลกใจเลยที่ต่อให้เขาฝึกหนักขนาดไหนก็ไล่ตามระดับความอันตรายโดยรวมของฟั่นเพ่ยหยางไม่ทัน
ความแตกต่างที่แท้จริงไม่ใช่กำลังกาย ไม่ใช่ความสามารถในการโจมตี แต่เป็นปณิธานในการต่อสู้ขั้นสูง ‘ที่พร้อมจะพาตัวเองกระโจนเข้าสู่แดนชำระ* อยู่ตลอด’ ต่างหาก
จากนั้นคนที่เข้ามาทำเควสต์ฝ่าด่านทั้งยี่สิบสี่คนก็ถูกแบ่งออกเป็นสองกลุ่ม แยกกันยืนซ้ายขวา หันหน้าไปทางดีมอส
คนที่ยืนอยู่ฝั่งคนที่มีตราประทับมีทั้งหมดหกคน ประกอบด้วยถังหลิ่น ฟั่นเพ่ยหยาง หลวงจีนจากกลุ่มเฉ่าเหมยเถียนเถียนเชวียน ชุยจั้นจากกลุ่มสือเซ่อ ไป๋ลู่เสียจากกลุ่มไป๋จู่ และฉีฮว่าจากกลุ่มหวนเซียงถวน
ส่วนที่เหลืออีกสิบแปดคนยืนอยู่ทางฝั่งขวา
เห็นได้ชัดว่าคนที่มีตราประทับมีจำนวนน้อยกว่า
ดีมอสไม่ได้ปล่อยให้พวกเขาสงสัยนานนัก ทันทีที่ทุกคนเข้าประจำตำแหน่งเขาก็เฉลยปริศนา “คนคุมด่านแต่ละด่านจะทิ้งตราประทับส่วนตัวลงบนตัวคนที่เข้ามาทำเควสต์ฝ่าด่านที่เขาให้การยอมรับ”
“แล้ว?” ชุยจั้นแกว่งแขน “ดาบซังกะบ๊วยนี่คือ…”
“เทียร์” ดีมอสตอบด้วยน้ำเสียงยินดีคล้ายเห็นด้วยกับคำว่า ‘ดาบซังกะบ๊วย’
ถังหลิ่นมีคำตอบให้กับตัวเองอยู่ก่อนหน้าแล้ว
ตอนนี้พวกเขาอยู่ที่ด่าน 2/10 ด่านที่ผ่านมาก็มีแค่ด่าน 1/10 และผู้คุมด่านที่เขาประมือด้วยก็มีเพียงเทียร์คนเดียวเท่านั้น นอกจากนี้ในประมวลเรื่องปรัมปรานอร์สเทียร์คือเทพเจ้าแห่งความยุติธรรมและสงคราม เป็นตัวแทนของความกล้าหาญ การใช้ดาบใหญ่เป็นตราสัญลักษณ์เรียกได้ว่าเหมาะสมแล้ว
เพียงแต่ถังหลิ่นนึกไม่ถึงว่าเทียร์จะมอบตราประทับให้เขากับฟั่นเพ่ยหยาง
การต่อสู้ระหว่างพวกเขาสองคนกับเทียร์ไม่อาจเรียกว่าเป็นไปอย่างมีความสุข โดยเฉพาะฟั่นเพ่ยหยาง
“ของฉันไม่ใช่ดาบใหญ่” ฉีฮว่าที่เอาแต่นิ่งเงียบไม่ทำตัวเป็นจุดเด่นมาตลอดอดเอ่ยปากออกมาไม่ได้
พอได้ยินแบบนั้นถังหลิ่น ฟั่นเพ่ยหยาง ชุยจั้น และหลวงจีนก็ต่างพากันมองไป พบว่าตราประทับบนแขนของฉีฮว่ากลับเป็นรองเท้าหุ้มข้อข้างหนึ่ง
“ฉันรู้ว่านายไม่ใช่” ดีมอสมองเพียงปราดเดียวก็ดูออกแล้วว่าตราประทับของอีกฝ่ายคืออะไร “คนที่มอบตราประทับนี้ให้กับนายคือวิดาร์”
ฉีฮว่าไม่พูดไม่จา
วิดาร์ต้องเป็นผู้คุมด่าน 1/10 ที่เขาเคยเจอมาก่อนแน่
ถังหลิ่นขมวดคิ้วน้อยๆ ครุ่นคิดวิเคราะห์เรียบเรียงข่าวสารที่ได้มาใหม่ทันที
ในประมวลเรื่องปรัมปรานอร์สวิดาร์เป็นเทพเจ้าแห่งป่าเขา ลักษณะเด่นคือสวมรองเท้าหุ้มข้อข้างเดียว ด้วยเหตุนี้เขาจึงให้รองเท้าหุ้มข้อเป็นตราประทับแก่ฉีฮว่า เหตุผลก็เหมือนกับที่เทียร์ใช้ดาบใหญ่เป็นตราประทับ
ชื่อของผู้คุมด่าน 1/10 ทั้งวิดาร์และเทียร์ล้วนเลือกมาจากประมวลเรื่องปรัมปรานอร์ส บางทีอาจเพราะต้องการให้สอดคล้องกับหัวข้อหลักของด่าน 1/10 ขณะเดียวกันก็เป็นไปได้ว่าอาจมีความหมายแฝงอื่นด้วย
แต่ทั้งหมดล้วนไม่สำคัญ ที่ถังหลิ่นใส่ใจคือการมีตัวตนของผู้คุมด่านพวกนี้ต่างหาก
คนพวกนี้คล้ายผลัดกันเข้าเวร คอยต้อนรับผู้ที่เข้ามาทำเควสต์ฝ่าด่านนับแต่วันเปิดด่านของแต่ละรอบจนกระทั่งถึงด่านสุดท้าย
เป็น NPC ที่ถูกจัดลำดับการปรากฏตัวไว้ก่อนล่วงหน้า?
หรือว่าเป็นคนที่เข้ามาทำงานให้ด่านด้วยเหตุผลและแรงผลักดันบางอย่างที่ไม่รู้ชัด?
จู่ๆ เสียงผิวปากแผ่วเบาก็ลอดผ่านออกมาจากริมฝีปากงดงามของดีมอส
ถังหลิ่นเงยหน้า พบว่าอีกฝ่ายกำลังมองดูไป๋ลู่เสีย
ไม่เหมือนกับพวกเขาหรือฉีฮว่า ตราประทับบนแขนของไป๋ลู่เสียเป็นใบหน้าด้านข้างของสาวสวยผมยาวคนหนึ่ง
“ซีฟไม่ให้ตราประทับกับใครง่ายๆ” ดีมอสจ้องดูไฝน้ำตาที่อยู่ทางด้านล่างของตาไป๋ลู่เสียคล้ายจดจำอะไรได้บางอย่าง สีหน้าของเขาล้ำลึกแบบเดียวกับพวกที่ชอบยุ่งเรื่องชาวบ้าน พยายามย้อนนึกถึงคำที่ซีฟใช้เรียกขานอีกฝ่าย “นายก็คือ ‘ไอ้ตัวทุเรศ’ ที่ทำให้ซีฟโกรธสินะ?”
สายตายี่สิบสามคู่ของคนที่เข้ามาทำเควสต์ฝ่าด่านกวาดอยู่บนตัวของไป๋ลู่เสีย
ซีฟคือใคร ไม่มีใครรู้ชัด แต่ฟังดูแล้วน่าจะเป็นผู้คุมด่าน 1/10 ที่ไป๋ลู่เสียเคยเจอมาก่อน ทว่าผลลัพธ์การประเมินที่ผู้คุมด่านมีให้กับคนที่เข้ามาทำเควสต์ฝ่าด่านน่าจะมีแค่ ‘ฉันรู้สึกว่านายไหว ผ่านด่านได้’ หรือไม่ก็ ‘ฉันคิดว่านายไม่ไหว ไสหัวไป’ สองอย่างนี้เท่านั้น แต่ ‘ไอ้ตัวทุเรศ’ นี่เป็นผลการประเมินใหม่หรืออย่างไรกัน?
“ก็แค่ตัดผมหล่อนไปนิดหน่อย” ไป๋ลู่เสียยักไหล่ไม่นำพา มองตาคนที่เข้ามาทำเควสต์ฝ่าด่านคนอื่นๆ กลับอย่างไม่อินังขังขอบ “แบบนี้เรียกว่าทุเรศเหรอ”
หลวงจีนกลุ่มเฉ่าเหมยเถียนเถียนเชวียนลูบหัวโล้นเลี่ยนของตัวเองพลางเอ่ยเสียงหนักว่า “ก็ต้องดูว่าสำหรับอีกฝ่ายแล้วเส้นผมหมายความถึงอะไร”
ชายหนุ่มเจ้าของรอยสักลายเสือลงเขายืนอยู่ฝั่งที่ไม่ได้รับตราประทับ เขาถามเสียงแผ่วเบาออกมาประโยคหนึ่ง “ตกลงซีฟคือใคร”
“ในประมวลเรื่องปรัมปรานอร์สซีฟคือเทพีแห่งผืนดินและการเก็บเกี่ยวอันอุดมสมบูรณ์” ถังหลิ่นให้คำตอบกับอีกฝ่าย “ในตำนานบอกว่าเธอมีผมยาวสีทอง ส่องประกายระยิบระยับงดงามเสียยิ่งกว่าทองคำ ดังนั้นซีฟจึงภาคภูมิใจในเส้นผมของตัวเองที่สุด”
คนที่เข้ามาทำเควสต์ฝ่าด่านทั้งหมด “…”
ไอ้ตัวทุเรศเอ๊ย
“บรรยากาศต้องแบบนี้สิถึงจะถูก ทุกคนพูดคุยกัน” ดีมอสเดินลงมาจากบริเวณรูปปั้นเทพเจ้าด้วยท่าทีสบายๆ “ถึงตอนนี้พวกนายจะมีตราประทับแค่อันเดียว แต่วันหน้ายังมีโอกาสได้อีกสองถึงสามอัน เวลาผู้คุมด่านคนอื่นๆ เห็นตราประทับพวกเขาก็จะรู้ได้ทันทีว่านายได้รับการยอมรับแล้ว คนที่ได้รับตราประทับจากผู้คุมด่านหลายอัน ปกติพวกเราจะให้การพิจารณาเป็นพิเศษ”
เสียงของเขาสูงขึ้นเล็กน้อย แฝงไว้ซึ่งความรู้สึกเหนือกว่าและความดูแคลนจากก้นบึ้งของหัวใจ “มีก็แต่คนที่มีพลังแฝงเท่านั้น จึงจะมีค่าให้ทุ่มเทแรงกายแรงใจฟูมฟักดูแล”
พูดเรื่องฟูมฟักดูแลอีกแล้ว
ทุกคนต่างพากันนิ่งเงียบ ในเวลานี้พวกเขาเพิ่งจะตระหนักได้ว่าตราประทับของผู้คุมด่านที่พูดถึงนั้น แทนที่จะบอกว่าเป็นสัญลักษณ์ของการได้รับการยอมรับ ไม่สู้บอกว่าพวกเขาเป็นก็แค่เพียงสิ่งของดีกว่าเหรอ ส่วนตราประทับนั่นก็ไม่ต่างอะไรกับตราประทับที่โรงฆ่าสัตว์ประทับลงบนตัวหมูเพื่อช่วยให้ผู้บริโภคสามารถดูเข้าใจได้ในปราดเดียวว่าอันไหนคือเนื้อหมูชั้นดี อันไหนสามารถกินได้อย่างสบายใจ
การสบประมาทดูแคลนที่ยากจะยอมรับได้นี้ไม่เพียงอยู่บนตราประทับ ไม่เพียงอยู่บนตัวผู้คุมด่าน แต่กลับอยู่ทั่วทุกกฎเกณฑ์ในทุกหนแห่งบนโลกใบนี้
ความอัปยศอดสูและความแปลกประหลาดเป็นดั่งเงาตามตัวที่ยากจะสลัดหลุด
“เริ่มจากพวกนายก่อนก็แล้วกัน” ดีมอสหยุดยืนอยู่ระหว่างคนทั้งสองกลุ่ม เขาหันมองไปทางกลุ่มคนที่ไม่มีตราประทับ สายตาราบเรียบกวาดมองไปยังคนที่เกาะกลุ่มอยู่ด้วยกันทั้งสิบแปด สุดท้ายก็หยุดอยู่บนร่างของชายที่อยู่ใกล้เขามากที่สุด
คนคนนั้นเป็นสมาชิกกลุ่มหวนเซียงถวน รูปร่างสูงใหญ่ ผมสั้นหน้าเหลี่ยม เขายืนอยู่ข้างฉงเยวี่ยห่างจากดีมอสไปเพียงก้าวเดียว ตอนดีมอสหันไป ทั้งสองก็ปะหน้ากันพอดี
สายตาจับจ้องกัน เส้นประสาทของชายหน้าเหลี่ยมเขม็งตึงขึ้นมา เนื้อตัวแข็งทื่อทันที
“สิ่งที่นายกลัวที่สุดคงไม่ใช่ฉันใช่ไหม” ดีมอสหัวเราะเยาะ จ้องลึกเข้าไปในดวงตาของชายหน้าเหลี่ยมช้าๆ “ไม่อย่างนั้นฉันคงผิดหวังแย่”
ชายหน้าเหลี่ยมคล้ายจะอยากเอ่ยปากพูด แต่หลังจากอ้าปากอยู่สองสามครั้งเขาก็ยังคงไม่อาจเปล่งเสียงพูดอะไรออกมาได้ จากนั้นภายใต้สายตาของดีมอสที่จ้องมองมา สติของเขาก็เริ่มหลุดลอย
ความรู้สึกหนาวสะท้านแปลกประหลาดคืบคลานอยู่บนแผ่นหลังของทุกคนที่อยู่รอบๆ
นี่มันความสามารถแบบไหนกัน
สะกดจิต?
ดูดวิญญาณ?
“อา…” ดีมอสจงใจลากหางเสียงยาวๆ ชายหน้าเหลี่ยมก็เปลี่ยนมาได้สติ แววตาเองก็เช่นกัน
ดีมอสยิ้มแล้วพูดขึ้นด้วยเสียงที่ทุกคนสามารถได้ยิน “ที่แท้สิ่งที่นายกลัวที่สุดในเวลานี้คือการถูกคนรู้ว่านายฆ่าก่งฝานหมิงไปแล้ว”
ใบหน้าของชายหน้าเหลี่ยมซีดเผือด สีเลือดจางหายไปจากหน้าอย่างรวดเร็ว
สมาชิกกลุ่มหวนเซียงถวนสามคนที่เหลือต่างร้องออกมาด้วยความตกตะลึง “นายว่าอะไรนะ!”
ฉงเยวี่ยที่ยืนอยู่ข้างๆ ถามชายหน้าเหลี่ยมอย่างไม่นึกเชื่อว่า “นายบอกว่าเหล่าก่งถูกคนที่ชิงปลอกคอฆ่าตายไม่ใช่หรือไง!”
คำพูดเรียบง่ายสองประโยค ทุกคนที่อยู่ที่นั่นต่างฟังเข้าใจ
เห็นได้ชัดว่า ‘เหล่าก่ง’ ที่สามารถทำให้ฉงเยวี่ยตวาดออกมาตรงๆ ได้รายนั้นเป็นพรรคพวก เป็นคนของกลุ่มหวนเซียงถวน
คนคนนี้ตายไประหว่างการทดสอบด่าน ‘ใจคนน่าสะพรึง’
ชายหน้าเหลี่ยมบอกว่าเหล่าก่งถูกคนที่มาชิงปลอกคอฆ่าตาย แต่ตอนนี้ดีมอสกลับบอกว่าฆาตกรก็คือชายหน้าเหลี่ยม
ระหว่างชายหน้าเหลี่ยมกับดีมอส แน่นอนว่าต้องมีใครคนใดคนหนึ่งโกหก
“ฉันจะไปฆ่าเหล่าก่งได้ยังไง!” ในที่สุดชายหน้าเหลี่ยมก็หาเสียงของตัวเองพบ ท่าทีและน้ำเสียงต่างเห็นชัดว่าไม่ยอมให้อีกฝ่ายหยามเหยียด “เขาจงใจยุให้พวกเราแตกคอกัน”
หลังจากบอกกับฉงเยวี่ยที่ไม่เชื่อใจตนเองจบเขาก็หันไปประณามอย่างฉุนเฉียวใส่ดีมอส “เหล่าก่งเป็นพี่น้องของฉัน นายบอกว่าฉันฆ่าเขา เหอะ! คิดจะโกหกก็หัดหาเรื่องโกหกที่มันเข้าท่าหน่อย!”
“เหล่าก่ง…”
จู่ๆ เหนือศีรษะของทุกคนก็มีเสียงเรียกสมจริงผนวกอยู่กับเสียงจากสภาพแวดล้อมจ้อกแจ้กจอแจดังขึ้นมา
คนที่เข้ามาทำเควสต์ฝ่าด่านแต่ละคนต่างเงยหน้า
พวกเขามองเห็นจอขนาดใหญ่ปรากฏอยู่กลางอากาศ ภาพที่ฉายอยู่บนนั้นเป็นภาพเมืองวงแหวนภายในด่านทดสอบ ‘ใจคนน่าสะพรึง’
ภาพที่ปรากฏต่อสายตาทุกคนคือชายหน้าเหลี่ยมที่เพิ่งตั้งธงประกาศว่าเหล่าก่งเป็นพี่น้องของตัวเองนั้นกำลังตรงดิ่งเข้าไปหาพรรคพวกที่ได้รับบาดเจ็บด้วยสีหน้าวิตกกังวล “ใครทำร้ายนาย”
พรรคพวกที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสรายนั้นไม่มีแรงพูดอะไรมาก ได้แต่เอ่ยปากด้วยเสียงขาดห้วงแผ่วเบาว่า “ไอเทมเวท…รักษา…”
เห็นอยู่ชัดๆ ว่าอีกฝ่ายกำลังขอไอเทมเวทรักษาจากพรรคพวก
ชายหน้าเหลี่ยมที่อยู่ในจอฟังเข้าใจแล้ว เพราะเขาตอบอีกฝ่ายว่า “วางใจ ฉันต้องช่วยนายแน่!”
แต่การกระทำของเขากลับตรงกันข้าม
เขาช้อนแขนของอีกฝ่ายขึ้น เปิด ‘กล่องไอเทม’ ของตัวเองและอีกฝ่าย ภายใต้สายตาขอความช่วยเหลือของเพื่อนร่วมกลุ่ม เขาถ่ายโอนไอเทมที่เหลือของอีกฝ่ายมาไว้ในกล่องของตัวเอง
ทุกครั้งที่ไอเทมถูกโอนย้ายก็จะมีเสียงสัญญาณเตือนดัง
สายตาวาดหวัง ขอความช่วยเหลือ ตกตะลึง และกระเสือกกระสนของชายที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสค่อยๆ หายลับไปตามเสียงติ๊งๆ ที่ดังขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า
จากภาพที่ปรากฏในจอ ที่อยู่ห่างออกไปคือสมาชิกกลุ่มหวนเซียงถวนสองคน หนึ่งในนั้นคือหนึ่งในสามของสมาชิกกลุ่มหวนเซียงถวนที่กำลังยืนตะลึงอยู่ตอนนี้
ชายหน้าเหลี่ยมมองเห็นพวกเขาสองคนก่อน ตอนนี้เขากำลังก้มหน้ามองดูเหล่าก่งที่หายใจรวยรินคล้ายกำลังประเมินว่าเหล่าก่งจะสามารถรักษาลมหายใจสุดท้ายจนคนทั้งคู่เดินเข้ามาใกล้ได้หรือเปล่า
ผลจากการประเมินคือเขาชักมีดสั้นที่เก็บไว้ในรองเท้าหุ้มข้อออกมาแทงลงทะลุแผ่นหลัง ตัดขั้วหัวใจของเหล่าก่ง
ในที่สุดสมาชิกของกลุ่มหวนเซียงถวนทั้งสองก็พบว่าที่นี่มีพรรคพวกของตนเองอยู่ พวกเขารีบวิ่งตรงเข้าไป
ชายหน้าเหลี่ยมเก็บมีดเรียบร้อยแล้วเปลี่ยนมาปั้นหน้าทุกข์ระทมเจียนขาดใจ
ภาพบนจอหยุดอยู่เพียงเท่านั้น
สมาชิกกลุ่มหวนเซียงถวนที่ยังไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นรายนั้นยามนี้เข้าใจเรื่องราวได้ทั้งหมดแล้ว เขาคว้าคอเสื้อของชายหน้าเหลี่ยม น้ำเสียงโกรธขึ้งสั่นสะท้าน “แกแม่งยังเป็นคนอีกไหม…”
“ฉันไม่ได้เป็นคนทำ!” ชายหน้าเหลี่ยมเป็นตายก็ไม่ยอมรับ พูดเสียงสูงกว่าอีกฝ่าย “NPC อย่างพวกเขาคิดจะสร้างภาพปลอมย่อมง่ายเสียยิ่งกว่าพลิกฝ่ามือ!”
ฉงเยวี่ยฉวยโอกาสตอนชายหน้าเหลี่ยมไม่ทันได้ระวังตัวจับแขนเขา แตะเปิด ‘กล่องไอเทม’ แล้วบิดแขนของเขาบังคับให้แสดงข้าวของภายในออกมา “แล้วไอเทมพวกนี้นายจะอธิบายยังไง แต่ไหนแต่ไรช่องไอเทมของนายก็ไม่เคยเต็มสักแถว หรือจะบอกว่าข้าวของที่เพิ่มขึ้นมาพวกนี้ดีมอสตั้งใจใช้ปรักปรำนาย!”
ทุกอย่างล้วนกระจ่างแล้ว
คนที่เข้ามาทำเควสต์ฝ่าด่านทุกคนล้วนดูออก ชายหน้าเหลี่ยมยอมรับอยู่เงียบๆ ฉงเยวี่ยกับพรรคพวกกลุ่มหวนเซียงถวนอีกสามคนทั้งตกใจทั้งเป็นทุกข์ นึกอยากแทงอีกฝ่ายให้ตายคามือเพื่อล้างแค้นให้เหล่าก่ง ทว่าตั้งแต่ต้นจนจบฉีฮว่ากลับทำเพียงยืนนิ่งอยู่ในกลุ่มคนที่มีตราประทับ ดูไฟชายฝั่ง คล้ายความขัดแย้งภายในนี้เป็นเรื่องของคนอื่น ไม่เกี่ยวอะไรกับหัวหน้ากลุ่มหวนเซียงถวนอย่างเขาแม้แต่น้อย
“แกไปตายซะ…” จู่ๆ ชายหน้าเหลี่ยมก็เปลี่ยนจากอับอายเป็นโกรธแค้น เขาผลักพี่น้องกลุ่มหวนเซียงถวนที่จับคอเสื้อของตัวเองไว้รายนั้นออกรวมถึงฉงเยวี่ยที่จับแขนเขาไว้ ค้อมกายพุ่งเข้าใส่ดีมอส
คนที่เข้ามาทำเควสต์ฝ่าด่านซึ่งอยู่รอบๆ ต่างตกใจแตกฮือ นอกจากกลุ่มหวนเซียงถวนแล้ว คนที่เหลือต่างถอยหลังหลบเลี่ยงไม่ให้ถูกลูกหลง
ที่แท้แล้วความรู้สึกอับอายที่กลายเป็นโกรธแค้นของชายหน้าเหลี่ยมนั้นคือการพังทลายของอารมณ์ความรู้สึก
ความลับที่เพียรซ่อนงำไว้ในใจสุดท้ายก็ถูกคนขุดค้นออกมา ท้ายที่สุดความรู้สึกหวาดหวั่น อึดอัด และตื่นตระหนกก็ผสมปนเปอยู่ด้วยกันกลายเป็นแรงกดดันหนักหน่วงระเบิดใส่ตัวต้นเหตุแห่งหายนะ
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้คนย่อมไม่อาจควบคุมตนเองได้
เขาต้องการก็แค่ระบายความรู้สึก ต้องการออกไปให้พ้นจากสภาวะยากลำบากจนลืมคิดว่าศักยภาพของเขากับดีมอสนั้นห่างชั้นกันเกินไป
คนที่ถอยออกไปอยู่ในระยะปลอดภัยเป็นที่เรียบร้อยแล้วนั้นต่างมองเห็นฉากตบหน้าที่เกิดขึ้นตามมาได้อย่างชัดแจ้ง
ชายหน้าเหลี่ยมชนเข้ากับความว่างเปล่า
เพราะจู่ๆ ดีมอสก็ถอยหลังออกไปไกลด้วยความเร็วที่ไม่มีใครเห็นชัดว่าเขาทำได้แบบไหนอย่างไร
แต่ชายหน้าเหลี่ยมเองก็ไม่ช้า
ตอนที่เกือบจะชนคนเข้าเขาก็เรียกใช้ต้นไอเทมทันที ใบไม้บางๆ ราวปีกจักจั่นขอบข้างคมกริบจำนวนนับไม่ถ้วนพุ่งตรงเข้าใส่ดีมอสไม่ต่างอะไรกับตาข่ายใบมีดสีเขียว!
สองตาของชายหน้าเหลี่ยมแดงก่ำ สองมือกำหมัดเข้าหากันแน่น กล้ามเนื้อขมวดตึง เห็นได้ชัดว่าทุ่มเทพลังจิตทั้งหมดไปกับการโจมตีครั้งนี้
ดีมอสไม่มีที่ให้หลบ ใบไม้พุ่งมาจากทั่วทุกสารทิศ สิ่งเดียวที่เขาพอจะทำได้คือป้องกันตัว
แต่เขาไม่ขยับ
ตรงกันข้ามเขากลับยืนมองชายหน้าเหลี่ยมผ่านใบไม้สีเขียวไม่ต่างอะไรกับตอนสำรวจความหวาดกลัวภายในจิตใจของอีกฝ่ายในครั้งแรก
ใบไม้สีเขียวดุดันเกรี้ยวกราดพวกนั้นพลันหยุดนิ่ง
ชายหน้าเหลี่ยมเนื้อตัวแข็งทื่ออยู่ที่นั่นราวกับจู่ๆ ก็ถูกฟ้าผ่า สองตาเบิกกว้างเจียนถลนออกนอกเบ้า
หลังจากนั้นไม่กี่วินาทีใบไม้เขียวปลิดวิญญาณพวกนั้นก็หายลับ ชายหน้าเหลี่ยมหงายหลังล้มตึงลงไปนอนกองอยู่กับพื้น
เขานอนหงายใบหน้าเต็มไปด้วยความรู้สึกหวาดหวั่น ตายตาไม่หลับ
วิหารเทพเจ้าเงียบสงัดจนน่าขนลุก
การตายของชายหน้าเหลี่ยมทำเอาหัวสมองของคนที่เข้ามาทำเควสต์ฝ่าด่านว่างเปล่าขาวโพลนไปชั่วขณะ
ที่พวกเขาคิดคือชายหน้าเหลี่ยมคงถูกตบหน้า ถูกดีมอสสั่งสอนเล่นงานอยู่ฝ่ายเดียว ไม่เคยนึกมาก่อนว่าคนจะตายไปเงียบๆ แบบนี้
ที่น่ากลัวไปกว่านั้นคือแม้แต่ดีมอสทำอะไรพวกเขาก็ไม่รู้
ในที่สุดผู้คุมด่านผมทองก็ถอดเสื้อคลุมออก
ทักซิโดสีดำงดงามบนตัวอีกฝ่ายแลดูงามสง่าสูงส่งอยู่ท่ามกลางแสงสีเหลืองอึมครึมภายในวิหาร
เขาเดินไปหยุดอยู่ข้างศพของชายหน้าเหลี่ยมอย่างไม่สะทกสะท้าน ใช้เท้าถีบอีกฝ่ายสองทีด้วยท่าทางรังเกียจเดียดฉันท์ จากนั้นเขาก็เงยหน้าขึ้น น้ำเสียงเฉื่อยเนือยระคนโอดครวญเล็กๆ ดังทำลายความเงียบงัน “คุยไม่สนุก จบไปแล้วคนหนึ่ง”
* แดนชำระ มาจากความเชื่อทางศาสนาคริสต์ เป็นสภาวะหรือขั้นตอนในการชำระวิญญาณให้บริสุทธิ์หรือการลงโทษชั่วคราว