ทดลองอ่าน พ้นเที่ยงคืนกลืนมิติ เล่ม 3 บทที่ 90-91 #นิยายวาย – หน้า 2 – Jamsai
Connect with us

Jamsai

everY

ทดลองอ่าน พ้นเที่ยงคืนกลืนมิติ เล่ม 3 บทที่ 90-91 #นิยายวาย

2 of 2หน้าถัดไป

บทที่ 91

แดนน่าสะพรึงสุดขีด

 

ติ๋งๆ

ติ๋งๆ

เจิ้งลั่วจู๋ลืมตาตื่นขึ้นมาท่ามกลางเสียงน้ำที่หยดลงมาเป็นจังหวะ

สิ่งแรกที่เขามองเห็นคือหัวก๊อกขึ้นสนิมอันหนึ่ง แม้มันจะถูกบิดแน่นแล้ว แต่น้ำก็ยังหยดออกมาจากปากก๊อกไม่หยุด

หยดน้ำทุกหยดหล่นลงไปในถังน้ำพอดิบพอดี

จานชามแก้วน้ำใช้แล้วกองอยู่ในนั้นเต็มไปหมด คราบมันคราบสกปรกตกค้างขึ้นราหมดแล้ว กลิ่นชวนคลื่นเหียนแปลกๆ ย้อนกลับมาจากปากท่อระบายน้ำ

ที่นี่เป็นห้องครัวเก่าๆ ห้องหนึ่ง เขานอนขดอยู่ตรงมุมครัวเปียกชื้น สองมือกอดเข่า ใบหน้าครึ่งหนึ่งซุกอยู่ตรงกลาง เผยให้เห็นแค่ดวงตา แมลงสาบสองสามตัวคืบคลานอยู่ตรงหน้า แต่เขากลับเหมือนมองไม่เห็น

ท่วงท่าเช่นนี้ไม่สบายเลยแม้แต่น้อย

เจิ้งลั่วจู๋ไม่รู้ว่าทำไมตัวเองถึงมานอนอยู่ในท่าแบบนี้ ทั้งขาทั้งคอเจ็บปวดเกินทน

เขารู้สึกกลัดกลุ้มไม่เข้าใจ ไม่รู้ว่าที่นี่เป็นที่ไหนกันแน่

แต่เขาก็ไม่ได้เปลี่ยนท่า ทำเพียงกลอกตาไปมา ลอบพิจารณาดูพื้นที่รอบๆ

อิฐกระเบื้องบนผนังครัวถูกควันรมจนดำ ยากจะมองออกว่าสีเดิมของมันคืออะไร ซ้ำยังเต็มไปด้วยรอยร้าว มุมกระเบื้องบิ่นแตกอยู่หลายแผ่น เผยให้เห็นถึงผิวซีเมนต์กระดำกระด่างด้านล่าง

บนเตามีคราบมันหนาเตอะจับอยู่เป็นชั้นๆ มองเห็นวัตถุแปลกปลอมที่ถูกลมพัดจนแห้งได้อยู่เลาๆ คล้ายเศษอาหารที่ตกหล่นอยู่บนเตาตอนทำอาหาร ขณะเดียวกันก็คล้ายเป็นซากหนอนซากแมลงอะไรบางอย่าง

เครื่องดูดควันรุ่นเก่าที่ตั้งอยู่เหนือเตาเต็มไปด้วยคราบไขมันสีเหลืองหม่น รูร่องบนตะแกรงกรองอุดตัน ชวนให้คนนึกสงสัยว่ามันยังทำงานได้อยู่หรือเปล่า

ในห้องครัวนี้ไม่มีหน้าต่าง มีเพียงหลอดไฟวัตต์ต่ำดวงหนึ่งเปล่งแสงสลัวๆ

สกปรก อึมครึม คร่ำคร่า และเศร้าสลด

ติ๊ง

ภายใต้สภาพแวดล้อมแบบนี้ทำให้เสียงสัญญาณเตือนฟังดูกระจ่างชัดโดดเด่นเป็นพิเศษ

เจิ้งลั่วจู๋ตอบสนองทันควัน เขารีบยกแขนขึ้นดู การเคลื่อนไหวนี้คล้ายทำลายผนึกอะไรบางอย่าง เข่าที่งออยู่คลายกลับมาอยู่ในท่านั่งขัดสมาธิที่สบายกว่า

 

[โน้ตย่อ : ยินดีต้อนรับสู่แดนน่าสะพรึงสุดขีด]

 

ข้อความแจ้งเตือนสั้นๆ มีเพียงบรรทัดเดียว ทว่าหลังกวาดตามองจบเขาก็ได้รับข้อความที่สอง

ติ๊ง

 

[โน้ตย่อ : สวม ‘ปลอกคอชวนสะพรึง’ ใหม่อีกครั้ง]

 

ปลอกคอชวนสะพรึง?

เพิ่งนึกสงสัยได้ไม่ทันไร ทันใดนั้นลำคอของเจิ้งลั่วจู๋ก็มีอะไรบางอย่างรัดแน่น เมื่อยกมือขึ้นคลำดูเขาก็พบกับวัตถุแข็งๆ เย็นๆ อะไรบางอย่าง

เขาคุ้นเคยกับความรู้สึกนี้ดี

เจ้าสิ่งนี้มันคือเครื่องมือทดสอบในด่านก่อนหน้านี้ไม่ใช่หรือไง ถ้าไม่ใช่เพราะปลอกคอถูกชิงไป เขาก็คงไม่ต้องมาอยู่ที่นี่ ตอนนี้คืนปลอกคอให้เขามันหมายความว่าอะไร

ติ๊ง

 

[โน้ตย่อ : ‘ปลอกคอชวนสะพรึง’ จะดึงความรู้สึกหวาดกลัวของผู้ที่สวมใส่เปลี่ยนเป็นค่าความหวาดกลัว ค่าของมันจะเปลี่ยนไปตามอารมณ์ความรู้สึกแท้จริงในช่วงเวลานั้นๆ โดยจะขยับขึ้นลงอยู่ระหว่าง 0 ถึง 100 ทันทีที่ค่าของมันขึ้นไปถึง 100 ซึ่งเป็นค่าสูงสุดที่ ‘ปลอกคอชวนสะพรึง’ รับได้ มันจะปล่อยกระแสไฟฟ้าเข้าสู่หัวใจของผู้สวม เป็นเหตุให้หัวใจหยุดเต้นถึงแก่ความตาย]

 

ติ๊ง

 

[โน้ตย่อ : ขอเตือนด้วยความเป็นมิตร ตอนปฏิบัติภารกิจขอให้ระมัดระวังเรื่องการควบคุมอารมณ์ให้ดี]

 

เจิ้งลั่วจู๋ “…”

ถ้าห่วงใยชีวิตของคนที่เข้ามาทำเควสต์ฝ่าด่าน นายก็ไม่ควรใส่เจ้าของบ้าๆ นี่ลงบนคอชาวบ้าน! สวมเสร็จแล้วยังมีหน้ามาเตือนด้วยความเป็นมิตร มิตรแม่มึงสิ!

หลังจากรอสองสามวินาที เมื่อมั่นใจว่าไม่มีข่าวสารใหม่อะไรอีก เจิ้งลั่วจู๋ก็เดินไปที่หน้าประตูห้องครัว มองเข้าไปยังประตูกระจกบานเลื่อนขอบอะลูมิเนียมที่กั้นอยู่ระหว่างห้องครัวกับห้องรับแขก ประตูนั้นไม่ได้ปิด บานประตูสองบานทับซ้อนกันอยู่ หนึ่งในนั้นหลุดร่วงออกจากราง เอียงขัดอยู่ที่นั่น

ห้องรับแขกไม่ได้ใหญ่กว่าห้องครัวสักเท่าไหร่ เป็นห้องรับแขกที่ไม่มีหน้าต่าง

เมื่อเอาคำสำคัญอย่างแดนน่าสะพรึงสุดขีด ปลอกคอชวนสะพรึง ค่าความหวาดกลัว และถูกกระแสไฟฟ้าช็อตจนหัวใจหยุดเต้นมาผนวกเข้าด้วยกัน เขาก็เดาวิธีการทดสอบนี้ได้ทันที มันก็แค่สร้างของชวนขนหัวลุกออกมาทำให้คนอกสั่นขวัญแขวนเจียนตาย กลัวจนค่าความหวาดกลัวพุ่งทะลุขีดสูงสุดจนถูกไฟฟ้าช็อตตาย

กฎกติกาหยาบๆ เรียบง่ายแบบนี้ คิดจะผ่านด่านก็ไม่มีอะไรมาก แค่ดูว่าใครจะทนแบกรับความหวาดกลัวที่ประเดประดังเข้ามาไหว ข่มความรู้สึกหวาดกลัวนั้นไว้ในขอบเขตปลอดภัยได้สำเร็จ

ดีมอสเตรียมเรื่องราวสยองขวัญชุดใหญ่อะไรไว้ให้บ้างนะ

เจิ้งลั่วจู๋คิด สายตาหยุดอยู่บนกระจกประตูบานเลื่อนโดยไม่ตั้งใจ แม้ว่าบนกระจกจะเต็มไปด้วยคราบสกปรก ทว่าแสงไฟหม่นๆ นั่นก็ยังคงพอฉายให้เห็นภาพสะท้อนได้อยู่

เขามองเห็นปลอกคอบนลำคอของตัวเองก่อนเป็นลำดับแรก

ไม่ต่างอะไรกับปลอกคอในตอนที่ทำการทดสอบ ‘ใจคนน่าสะพรึง’ เลยแม้แต่น้อย ความต่างเพียงหนึ่งเดียวคือตรงกลางของปลอกคอมีจอมอนิเตอร์เล็กๆ อยู่อันหนึ่ง ตัวเลขบนนั้นกะพริบไปตามจังหวะการเต้นของหัวใจ

 

‘20…21…22…19…20’

 

ค่าความหวาดกลัวที่แปรผันไปตามอารมณ์ความรู้สึกในเวลานี้ของเขา

เจิ้งลั่วจู๋รู้สึกประหลาดใจอยู่เล็กๆ ตอนนี้เขายังไม่เจออะไรสักหน่อย ค่าความหวาดกลัวของเขาก็น่าจะเป็น 0 ไม่ใช่เหรอ

หรือจะบอกว่าสภาพแวดล้อมสกปรกอึมครึมไม่คุ้นเคยนี้กระตุ้นให้จิตใต้สำนึกของเขารู้สึกไม่ปลอดภัย

เดี๋ยวก่อน!

เจิ้งลั่วจู๋เนื้อตัวแข็งทื่อไปทั้งร่าง

เงาที่อยู่ในกระจกนั่นคือใคร

ตัวผอมแห้ง ไม่สมวัย ใส่เสื้อกล้ามลายการ์ตูนขาดๆ เผยให้เห็นแขนเล็กลีบที่มีเพียงหนังหุ้มกระดูก หัวใหญ่กว่าตัวอย่างเห็นได้ชัด เหมือนหัวเป็นของเด็กเจ็ดแปดขวบแต่ร่างกายกลับไม่ต่างอะไรกับเด็กห้าหกขวบ คล้ายสารอาหารไม่เพียงพอต่อการเจริญเติบโต ทำให้ร่างกายแลดูขัดแย้งแปลกประหลาดไม่สอดคล้อง

แต่ดูเหมือนว่าตัวประหลาดนี้จะไม่น่ากลัวสักเท่าไหร่ เพราะบนร่างนั้นเต็มไปด้วยจ้ำเลือดสีแดงรอยช้ำสีม่วงตัดสลับไปมารวมถึงรอยหยิกรอยบิดรอยตีด้วยฝ่ามือ เห็นได้ชัดว่าเจ้าตัวประหลาดนี้ถูกรังแกอยู่เป็นประจำ

ตัวประหลาดที่ว่าก็คือเขาเอง

“ระวัง ระวัง ค่าความหวาดกลัวเกิน 60 แล้ว”

ทันใดนั้นเสียงเตือนร้อนอกร้อนใจก็ดังขึ้นที่ข้างหู

ลมหายใจของเจิ้งลั่วจู๋ชะงักค้างติดขัด เขารีบตั้งสติ ของปลอม พวกนี้มันของปลอมทั้งหมด มันแค่ต้องการทำให้ฉันตกใจก็เท่านั้น เจิ้งลั่วจู๋พร่ำบอกกับตัวเองอยู่ในใจ ขณะเดียวกันก็พยายามชักสายตาจากกระจกประตูไปที่ห้องรับแขก มองดูทีวีสีล้าสมัย มองดูพัดลมที่เต็มไปด้วยฝุ่น มองดูตู้เย็นที่มีน้ำเจิ่งนองอยู่ทางด้านล่างเพราะประตูช่องฟรีซปิดไม่สนิท

กริ๊กๆ

เสียงพวงกุญแจดังมาจากนอกประตู

จู่ๆ เจิ้งลั่วจู๋ก็ตัวแข็งทื่ออีกครั้ง

“ระวัง ระวัง ค่าความหวาดกลัวเกิน 70 แล้ว”

ลูกกุญแจถูกเสียบเข้ากับแม่กุญแจดังกริ๊ก ประตูกันขโมยถูกเปิดออก

เงาร่างสูงใหญ่ของคนคนหนึ่งเดินผ่านประตูเข้ามา มือกดลงบนสวิตช์ไฟ

หลอดไฟสีขาวเปลี่ยนให้ห้องรับแขกสว่างไสว ขับไล่แสงไฟสีเหลืองอึมครึมจากห้องครัวที่คลุมอยู่บริเวณมุมห้องออกไป

เงาดำไม่ใช่เงาดำอีกต่อไป

โครงร่างเพรียวระหง ผมลอนทันสมัย ใบหน้าสะสวยแต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่อาจปิดบังซ่อนเร้นความทุกข์ระทมเอาไว้ได้

ผู้หญิงทั่วไปคนหนึ่ง

แต่เจิ้งลั่วจู๋กลับรู้สึกว่าผู้หญิงคนนั้นตัวสูงใหญ่เหลือกำลัง ต้องออกแรงเงยหน้าถึงจะมองเห็นใบหน้าของอีกฝ่ายได้

“ทำไมแกถึงได้สกปรกแบบนี้” หญิงคนดังกล่าวมองดูเขาด้วยสายตารังเกียจเดียดฉันท์ก่อนจะเดินตรงไปที่ตู้เย็นคล้ายไม่รับรู้ถึงกลิ่นเหม็นที่ลอยออกมาจากช่องฟรีซ เปิดช่องถนอมอาหาร หยิบเอาเบียร์เย็นๆ ออกมาสองขวด เธอเดินกลับมาพลางถาม “พ่อแกล่ะ”

ตายไปแล้ว

ตายไปตั้งแต่เมื่อหลายร้อยปีก่อนแล้ว

เจิ้งลั่วจู๋รู้ดีแก่ใจ แต่ทันทีที่เอ่ยปากเสียงของเขากลับกลายเป็นเสียงงึมงำของเด็ก “ไม่รู้”

น้ำเสียงกระจ่างชัดของเด็กน้อยแฝงไว้ซึ่งความรู้สึกหวาดหวั่นอย่างเห็นได้ชัด

น้ำเสียงดังกล่าวชวนให้เจิ้งลั่วจู๋หวนนึกถึงความทรงจำไกลห่างชวนประหวั่นพวกนั้น

ไม่ ไม่ใช่ความทรงจำ แต่เป็นฝันร้าย

ในห้องครัวที่เต็มไปด้วยคราบน้ำมัน ห้องรับแขกอึมครึมคับแคบ ช่องฟรีซที่เจิ่งนองไปด้วยน้ำอยู่ตลอดเวลา

ที่นี่ไม่ใช่สถานที่แปลกประหลาดที่เจิ้งลั่วจู๋ไม่รู้จักมักคุ้นแต่อย่างใด

ที่นี่คือบ้านของเขา บ้านสมัยที่เขายังเป็นเด็ก

“อันตราย อันตราย ค่าความหวาดกลัวเกิน 80 แล้ว! ค่าความหวาดกลัวเกิน 80 แล้ว!”

เสียงภายในหูถี่กระชั้น โหวกเหวก และแหลมคม

ใจของเจิ้งลั่วจู๋เต้นไม่เป็นส่ำ เขารู้ดีว่าหากเป็นแบบนี้ต่อไปตัวเองต้องแย่แน่ๆ ทันทีที่ค่าความหวาดกลัวเกิน 100 เมื่อไหร่ ถึงตอนนั้นเขาก็มีแต่ต้องตาย แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังคงควบคุมความรู้สึกไม่อยู่ ความรู้สึกหวาดหวั่นนั่นไม่ต่างอะไรกับถุงพลาสติกที่ครอบอยู่บนหัวของเขา ยิ่งพยายามสูดลมหายใจมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งขาดอากาศหายใจมากเท่านั้น

“ไสหัวไปให้พ้น!” หญิงที่ถือขวดเบียร์ไว้ในมือเตะเขาเต็มแรงคราวหนึ่ง ร่างของเขากระเด็นออกไปไม่ต่างอะไรกับขยะ จากนั้นอีกฝ่ายก็เดินไปนั่งลงข้างโต๊ะสี่เหลี่ยมที่ตั้งอยู่ริมผนัง ใช้ที่เปิดขวดที่วางทิ้งไว้อยู่บนโต๊ะเปิดขวดเบียร์ แล้วกรอกมันใส่แก้วให้ตัวเอง

ก็แค่เตะทีเดียวเท่านั้น

เบากว่าที่เจิ้งลั่วจู๋คาดไว้อยู่โข

เสียงเตือนค่าความหวาดกลัวในหูบอกให้เขารู้ว่าตอนนี้มันกลับมาอยู่ที่ 60 แล้ว

หญิงคนนั้นเทเบียร์ใส่แก้วโครมๆ ฟองเบียร์สีขาวล้นออกมาจากปากแก้วราคาถูก เจิ่งนองไปทั่วทั้งโต๊ะ

เธอก้มหน้าลงไปหมายจิบก่อนสักสองสามคำ แต่จู่ๆ ประตูกันขโมยก็ถูกคนทุบตึงตังเต็มแรง

หญิงคนนั้นหน้าบึ้งตึงขึ้นมาทันที เธอร้องด่าพลางเดินไปเปิดประตู “ทำไมแกถึงไม่ไปตายอยู่ข้างนอกให้รู้แล้วรู้รอดนะ”

ประตูเปิดแล้ว ชายที่มีนัยน์ตาแดงก่ำเต็มไปด้วยเส้นเลือดคนหนึ่งเดินเข้ามา ไม่สนใจรองเท้าแตะบนพื้น เขาเดินตรงดิ่งเข้าไปในห้องรับแขก “วันทั้งวันเหล่าจื่อ* ทำงานเหนื่อยแทบตายเพื่อใคร ถ้าไม่ใช่เพื่อคนบ้านนี้!”

หญิงคนนั้นยิ้มหยันพลางเดินตามเข้าไป “เพื่อคนบ้านนี้? ฉันว่าแกแพ้พนันหมดตูดแล้วมากกว่าถึงได้ซมซานกลับบ้านมา”

ถูกอีกฝ่ายพูดแทงใจดำแบบนั้น ชายคนนั้นก็โมโหขึ้นมาทันที “แม่งเอ๊ย วันนี้ดวงซวยเป็นบ้า!”

เดิมทีเธอก็แค่ด่าส่งเดชออกไป นึกไม่ถึงว่าตัวเองจะทายถูก เธอจึงกรีดร้องออกมาทันที “แกบอกว่าจะเลิกเล่นพนันแล้วไม่ใช่หรือไง!”

“แกจะไปเข้าใจอะไร วันนี้ตอนแรกฉันเกือบจะถอนทุนคืนได้อยู่แล้วเชียว ก็เพราะไอ้เวรเหล่าหลี่นั่นแหละ จะโทรมาตอนไหนไม่โทรดันโทรมาขัดลาภกันได้”

“เชอะ คนอย่างแกมันก็มีข้ออ้างตลอดนั่นแหละ! ฉันถามหน่อย หลายปีมานี้แกเคยชนะรึไง ไม่ใช่แค่ครั้งเดียวที่ชนะน้อยเสียมาก ฉันพูดกี่ทีแล้วว่าคนอย่างแกมันไม่มีดวงเอาดีด้านการพนัน”

เพียะ!

ชายคนนั้นขัดจังหวะการพูดของหญิงคนนั้นด้วยการตบทีหนึ่ง และตัดบทยุติการทะเลาะภายในบ้าน

สองตาของหญิงคนนั้นแดงก่ำ สายตาเกลียดชังราวกับต้องการจะฆ่าคน ทว่าสุดท้ายกลับไม่ได้โถมเข้าใส่อีกฝ่าย

ชายคนนั้นเดินอ้อมหญิงคนนั้นไปอย่างไม่รู้สึกรู้สา เตรียมกลับเข้าห้อง

เจิ้งลั่วจู๋ขดตัวอยู่ที่มุมกำแพง พยายามขดตัวให้เล็กที่สุดเท่าที่จะทำได้ ถึงจุดที่ถูกเตะเมื่อครู่จะเจ็บปวด แต่เขาก็ไม่นึกสนใจ คิดก็แค่เพียงต้องการขดตัวให้เล็กที่สุด เล็กจนไม่ว่าใครก็มองไม่เห็น

แต่ชายคนนั้นก็ยังคงมองเห็น

สายตาสองคู่สบประสานกัน เจิ้งลั่วจู๋หนาวสะท้านไปทั้งร่าง

พ่อแม่เขาตายไปแล้ว ใช่ ตายไปนานแล้ว นานเสียจนเขาเกือบลืมไปแล้วว่ารูปร่างหน้าตาของคนทั้งคู่เป็นอย่างไร

แต่ทำไมคนทั้งสองที่อยู่ตรงหน้านี้ถึงได้เหมือนจริงขนาดนี้

พวกเขาคล้ายปีศาจร้ายที่โผล่ออกมาจากใต้ดิน ยืมศพคืนชีพ ห่อคลุมร่างด้วยหนังของคนที่ได้ชื่อว่าพ่อแม่

“แกมันไอ้เด็กดื้อ แม้แต่พ่อก็ไม่เรียกสักคำ ฮ้า?” ชายคนนั้นเดินตรงดิ่งเข้ามาด้วยความโมโห คว้าตัวเขาออกมาจากมุมห้อง ลากเขาไปข้างแผงกระจายความร้อน ใช้เชือกรองเท้าที่ตากอยู่ด้านบนมัดมือทั้งสองข้างของเขาเอาไว้กับแผงกระจายความร้อน “ไม่จัดการแกสักวันคงไม่ได้สินะ”

หลังมัดเสร็จชายคนนั้นก็หอบหายใจ เดินไปเข้าห้องน้ำอย่างสบายอารมณ์

เจิ้งลั่วจู๋เจ็บปวดแสนสาหัส ปวดข้อมือ ปวดแขน ปวดไปทั้งเนื้อทั้งตัว

แต่เพราะคุ้นชินกับการลงโทษแบบนี้แล้ว ดังนั้นเขาจึงไม่กลัวสักเท่าไหร่ อย่างมากก็แค่หลับไปกับแผงกระจายความร้อน ลำบากนิดๆ หน่อยๆ และข้อมือชา พอพรุ่งนี้เช้าเพราะต้องไปโรงเรียนอีกฝ่ายก็จะมาปลดให้เขาเอง ไม่อย่างนั้นคุณครูก็จะมาถามเอากับผู้ปกครอง

เสียงกดน้ำดังมาจากห้องน้ำ

ชายคนนั้นเดินสะโหลสะเหลออกมาพลางอ้าปากหาว หลังจากนั้นก็ตรงดิ่งกลับเข้าห้องนอนไม่แม้แต่จะมองไปที่ห้องรับแขก

เสียงปิดประตูห้องนอนลั่นดัง บรรยากาศภายในห้องรับแขกเงียบสงัดลงอีกครั้ง

เหลือเพียงเสียงร่ำไห้กระซิกๆ ของผู้หญิง

ผู้หญิง?

ความรู้สึกหนาวเหน็บกะทันหันทำเจิ้งลั่วจู๋ถึงกับเนื้อตัวสั่นสะท้าน เขาลืมไปแล้วว่าในห้องรับแขกยังมีคนอยู่อีกคน

เสียงร่ำไห้ค่อยๆ ไกลออกไปพร้อมกับเสียงฝีเท้า

เพียงไม่นานเสียงก็ดังใกล้เข้ามาอีกคราว

เจิ้งลั่วจู๋ไม่กล้าเงยหน้า จนกระทั่งเงาดำปกคลุมอยู่เหนือศีรษะเขา

“ทำไมต้องทำให้พ่อโกรธด้วย”

น้ำเสียงทั้งแผ่วเบาทั้งอ่อนโยนดังมาจากขุมนรก

เจิ้งลั่วจู๋เงยหน้าอย่างหวาดๆ เพราะมองย้อนแสงจึงเห็นใบหน้าของอีกฝ่ายไม่ชัด แต่กระนั้นเขากลับมองเห็นไม้แขวนเสื้อเหล็กในมืออีกฝ่ายถนัดตา

ที่อีกฝ่ายเดินห่างออกไปแล้วย้อนกลับมา ที่แท้ก็ไปเอาไม้แขวนเสื้อที่ระเบียงนี่เอง

“ทำไมต้องทำให้พ่อโกรธ!”

เธอถามซ้ำอีกครั้ง น้ำเสียงจู่ๆ ก็เปลี่ยนเป็นดุดันเกรี้ยวกราด ไม้แขวนเสื้อในมือฟาดลงมาเต็มแรง

เจิ้งลั่วจู๋กัดฟันแน่น ไม่ร้องแม้แต่แอะเดียว ทว่าน้ำตากลับหล่นร่วงไม่หยุด

“พูดสิ ท่าทางของแกแบบนี้หมายความว่าอะไร”

อีกฝ่ายฟาดแรงขึ้นทุกที ไม่เลือกที่ตี แค่หวดไม้แขวนเสื้อใส่ร่างเขาไม่ยั้ง

เจิ้งลั่วจู๋ก้มหน้า ซุกหัวแนบอยู่กับแขนที่ถูกตรึงไว้ เนื้อตัวเกร็งขึงรับการโบย

ไม้แขวนเสื้อฟาดใส่หัว ไหล่ แขน และแผ่นหลังของเขา

เจ็บปวดจริงๆ

เจ็บปวดจนเขานึกอยากตาย

“อันตราย อันตราย ค่าความหวาดกลัวเกิน 80 แล้ว! ค่าความหวาดกลัวเกิน 80 แล้ว!”

เขากลัว

เขาไม่เคยบอกกับคนอื่นมาก่อนว่าเขากลัวจริงๆ กลัวถึงขนาดแค่ได้ยินเสียงพ่อแม่กระแอมออกมาคำหนึ่งก็เนื้อตัวสั่นเกินกว่าจะควบคุมได้

“อันตราย อันตราย ค่าความหวาดกลัวเกิน 90 แล้ว! ค่าความหวาดกลัวเกิน 90 แล้ว!”

ไม่มีปีศาจร้ายยืมศพคืนชีพ

นี่คือพ่อแม่ของเขา

พ่อแม่ที่ให้กำเนิดเขา แต่กลับไม่เคยเห็นเขาเป็นมนุษย์

“สัญญาณเตือนขั้นสูงสุด สัญญาณเตือนขั้นสูงสุด ค่าความหวาดกลัวเกิน 95 แล้ว! ค่าความหวาดกลัวเกิน 95 แล้ว!”

ตายเถอะ

ตายแล้วจะได้จบๆ กัน!

“เตือนครั้งสุดท้าย ค่าความหวาดกลัวถึง 99 แล้ว! ค่าความหวาดกลัว…”

“กรี๊ดดดด…”

เสียงกรีดร้องแสบแก้วหูทรงพลังดังกลบเสียงเตือนในหูไปจนหมด

ขณะเดียวกันก็ตัดทำลายความหวาดกลัวที่สะสมจนเกือบถึงจุดวิกฤตของเจิ้งลั่วจู๋

ไม่ใช่ว่าเขาไม่กลัวแล้ว

เพียงแต่ความสนใจที่อยู่ท่ามกลางความหวาดกลัวแต่เดิมนั้นถูกเสียงกรีดร้องเปี่ยมพลังนั่นทำกระเจิดกระเจิงหมดสิ้น

‘เสียงกรีดร้องของแมนเดรก II’

นอกจากคนที่ควบคุมต้นไอเทมดังกล่าวก็ไม่มีใครจะคุ้นเคยกับเสียงกรีดร้องนุ่มนวลงดงามนี้ไปกว่าเจิ้งลั่วจู๋แล้ว

หนานเกอ!

ด่าน คู่หู นครใต้พิภพ โลกใต้บาดาล ความทรงจำนับไม่ถ้วนเอ่อท้นออกมาราวกับสายน้ำหลาก เพียงพริบตาเจิ้งลั่วจู๋ตัวน้อยก็ถูกพาตัวกลับออกมาจากฝันร้าย

เขาเติบใหญ่แล้ว

ไม่ใช่เด็กที่ไม่อาจตอบโต้ได้นานแล้ว

ตาเนื้อของเขามองเห็นข้อมือเล็กบางที่ถูกเชือกรองเท้ามัดคู่นั้นเปลี่ยนเป็นกำยำแข็งแกร่งชัดเจน

แม้แต่หญิงคนนั้นก็เปลี่ยนไป ไม่ได้สูงใหญ่แบบนั้นอีก

เจิ้งลั่วจู๋สูดลมหายใจเข้าลึกๆ คำรามออกมาทีหนึ่ง สะบั้นเชือกรองเท้าที่มัดเขาไว้กับแผงกระจายความร้อน

เขาดีดตัวผลุงขึ้นราวกับปลาไนทะยานพ้นผิวน้ำ หญิงคนนั้นเตี้ยและอ่อนแอลงอย่างเห็นได้ชัด

‘เสียงกรีดร้องของแมนเดรก’ ยังคงดำเนินต่อไปไม่หยุด

เสียงนั่นดังผ่านประตูกันขโมยเข้ามา

เจิ้งลั่วจู๋ไม่มองดูหญิงคนนั้นอีก เขาพุ่งตรงไปเปิดประตูกันขโมยและก้าวเท้าออกไปอย่างไม่ลังเล

ทันทีที่เท้าของเขาพ้นออกจากประตู ทุกสิ่งที่อยู่ทางด้านหลังก็ลับหาย

ไม่มีห้องรับแขก ไม่มีห้องครัว ไม่มีเครื่องใช้ไฟฟ้าเก่าคร่ำคร่า รวมถึงหญิงคลุ้มคลั่งคนนั้นด้วย

มีแต่ห้องพักผู้โดยสารเรียบง่ายห้องหนึ่ง โต๊ะเขียนหนังสือตัวหนึ่ง เตียงหลังหนึ่งซึ่งหัวเตียงมีห่วงยางอันหนึ่งแขวนไว้ นอกหน้าต่างทรงกลมข้างเตียงคือใต้ทะเลลึกดำมืด

ใต้ทะเลลึก?

เจิ้งลั่วจู๋เดินออกมาจากห้อง พบว่าตัวเองอยู่บนโถงทางเดินยาวๆ บนโถงทางเดินเรียงรายไปด้วยประตูบานแล้วบานเล่า ประตูพวกนั้นไม่ต่างอะไรกับบานประตูที่อยู่ด้านหลังเขาที่เพิ่งปิดลง สภาพของที่นี่คล้ายเป็นห้องพักบนเรือ

เสียงต่างๆ นานาดังมาจากหลังบานประตูแต่ละบาน

เสียงกรีดร้อง

เสียงตะโกน

เสียงร้องรันทด

เสียงด่าทอ?

เขาไม่สนใจวิเคราะห์ปฏิกิริยาหวาดหวั่นพรั่นพรึงสารพัดรูปแบบพวกนั้น เจิ้งลั่วจู๋ทำเพียงตั้งอกตั้งใจตามหา ‘เสียงกรีดร้องของแมนเดรก’

“กรี๊ดดดด…”

เยี่ยม ไม่ต้องหาแล้ว ขอเพียงหนานเกอกรีดร้อง มงกุฎราชินีย่อมเป็นของเธอ

เจิ้งลั่วจู๋อาศัยความเร็วคล้ายการวิ่งร้อยเมตรพาร่างพุ่งผ่านประตูสิบกว่าบานไปในรวดเดียวก่อนจะมาหยุดอยู่หน้าประตูที่เสียงกรีดร้องดังกล่าวเล็ดลอดออกมา เขาเริ่มลงมือทุบประตูปึงปัง “หนานเกอๆ”

เขาทุบประตูอยู่ราวๆ สิบนาที

ระหว่างนั้นเขาใช้สารพัดวิธี ไม่ว่าจะใช้ไหล่กระแทก ใช้เท้าถีบ หรือใช้มีดสั้นงัด แต่ประตูนั่นกลับไม่ขยับแม้แต่น้อย

หลังจากตะโกนจนลำคอแหบแห้ง ในที่สุดประตูก็เปิดออกจากทางด้านใน

หนานเกอหอบหายใจวิ่งออกมา ใบหน้าซีดเผือด เส้นผมเปียกชื้นเพราะเหงื่อแนบติดอยู่กับสองแก้ม

เจิ้งลั่วจู๋ใช้มือลูบใบหน้าให้อีกฝ่ายก่อนจะถามด้วยความห่วงใยว่า “ไม่เป็นไรใช่ไหม”

เจิ้งลั่วจู๋ลงมือจริงจังจนสันจมูกของหนานเกอแทบจะถูกเขาลูบแบน แต่เห็นแก่ที่พรรคพวกรายนี้ไม่ต่างอะไรกับทหารเทพจากสวรรค์มาช่วยเธอไว้ได้ทันการณ์ เธอจึงยกโทษให้ “ค่าความหวาดกลัวของฉันเกือบจะถึง 100 อยู่แล้ว โชคดีที่นายมาทุบประตูเรียก”

เจิ้งลั่วจู๋ “ฉันก็เกือบถึง 100 เหมือนกัน โชคดีที่พี่สาวกรี๊ดออกมาพอดี!”

หนานเกอตะลึง “นายได้ยินเสียงกรีดร้องของฉัน?”

“แน่นอน ถ้าไม่อย่างนั้นฉันจะรู้ได้ยังไงว่าพี่สาวอยู่หลังประตูบานไหน” เจิ้งลั่วจู๋รู้สึกว่าหนานเกอน่าจะรู้จักอานุภาพต้นไอเทมของตัวเธอเองดี “ฉันคิดว่าคนกว่าครึ่งบนเรือลำนี้น่าจะได้ยินเสียงเธอ”

“เรือ?” หนานเกอเพิ่งเอาชีวิตรอดออกมาจากแดนน่าสะพรึงสุดขีดเลยไม่ทันได้สังเกตดูรอบๆ พอได้ยินเจิ้งลั่วจู๋พูดแบบนั้นเธอถึงพบว่าบนผนังอีกด้านของโถงทางเดินล้วนแต่เป็นหน้าต่างทรงกลม ที่อยู่นอกหน้าต่างคือผืนน้ำสีฟ้าเข้ม มีเงาดำของปลานานาชนิดว่ายผ่าน

“ฉันคิดว่ามันน่าจะเหมือนกับในโรงแรมโลกใต้บาดาลนั่น เป็นเรือที่อยู่ใต้ทะเลลึก” เจิ้งลั่วจู๋อนุมานตามประสบการณ์

หนานเกอคิดอยู่ครู่หนึ่ง “บางทีอาจเป็นเรือที่จมอยู่ใต้ทะเลเพราะประสบกับพายุมรสุมอะไรพวกนั้น ฝังร่างของคนบนเรือไว้ใต้ทะเลทั้งหมด หลังจากหลายปีผ่านไปในที่สุดก็มีพวกนักสำรวจแวะเวียนเข้ามาค้นหาสมบัติ และเพราะพบเจอกับเรื่องประหลาดครั้งแล้วครั้งเล่า เรือลำนี้จึงถูกขนานนามให้เป็นเรือผีสิง”

“พี่สาว” เจิ้งลั่วจู๋ก่ายหน้าผาก “ถ้าพี่ยังพบเจอเรื่องน่าสะพรึงสุดขีดไม่พอ ฉันส่งพี่กลับเข้าไปในห้องต่อก็ได้”

หนานเกอค้อนปะหลับปะเหลือกใส่เจิ้งลั่วจู๋คราวหนึ่ง “ไม่ว่าจะเรื่องน่ากลัวอะไรขอเพียงพูดออกมามันก็ไม่น่ากลัวอีก เข้าใจหรือเปล่า”

หนานเกอพูดอย่างมั่นอกมั่นใจฉะฉานมีเหตุมีผล แต่หลังจากนั้นเธอก็ไม่ได้เอ่ยปากล้อเล่นอะไรต่อ

เจิ้งลั่วจู๋เพิ่งสังเกตเห็นว่าค่าความหวาดกลัวที่แสดงอยู่บนปลอกคอของหนานเกอนั้นอยู่ที่ 40

เธอยังคงหวาดกลัวและตื่นตระหนกต่อสิ่งที่ประสบพบเจอหลังบานประตูนั่น

เพราะเหตุนี้เธอถึงได้จงใจพูดย้อมใจตัวเอง

หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่งเจิ้งลั่วจู๋ก็ตัดสินใจเอ่ยปากถาม “ตอนอยู่ในห้องพี่สาวเห็นอะไร” เพราะกลัวว่าหนานเกอจะไม่ยอมปริปากบอก เขาจึงรีบพูดเสริมออกมาประโยคหนึ่ง “ฉันก็แค่ถามเท่านั้น พี่ไม่จำเป็นต้องตอบก็ได้”

“นครใต้พิภพ” หนานเกอพูดออกมาสามคำเบาๆ

เจิ้งลั่วจู๋งุนงง “นครใต้พิภพทำไม”

หนานเกอถอนหายใจ ระยะเวลาเพียงนาทีเดียวเธอมองค้อนเขาไปแล้วถึงสองครั้ง “นครใต้พิภพ ช่วงที่ฉันเป็นอัมพาตอยู่บนเตียงขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวไม่ได้”

เจิ้งลั่วจู๋ตระหนักได้ทันที จู่ๆ เขาก็รู้สึกว่าการที่ตัวเองถูกอีกฝ่ายค้อนใส่แบบนั้นมันเป็นเรื่องสมควรแล้ว

หนานเกอกลับไม่ปิดบังซ่อนเร้น ในเมื่อพูดแล้วก็ต้องพูดออกมาให้หมด “ตอนนั้นฉันทำอะไรไม่ได้แม้แต่นิดเดียว โดยเฉพาะตอนเพื่อนฉันออกไปหาอาหาร เวลาที่ข้างนอกมีเสียงฝีเท้าดังใกล้เข้ามา ฉันจะรู้สึกกลัวเป็นพิเศษ กลัวว่าจู่ๆ จะมีคนบุกเข้ามา”

หลังจากนั้นล่ะ?

ทันใดนั้นเจิ้งลั่วจู๋ก็ไม่กล้านึกต่อ

หนานเกอที่พูดอยู่ดีๆ ก็โมโห ค่าความหวาดกลัวบนปลอกคอลดลงมาเหลือ 10 ราวกับผาขาด “ตลอดระยะเวลาหลายปีที่ฉันเป็นอัมพาตอยู่ในนครใต้พิภพ เพราะพวกเราระมัดระวังตัวอยู่ตลอดเวลาเลยไม่เคยมีใครบุกเข้ามาในที่พักของพวกเรา แต่เมื่อกี้ตอนอยู่ในห้องบ้านั่นมันกลับฉายภาพผู้ชายบุกเข้ามา แถมมันยังมากันเป็นฝูง!”

เจิ้งลั่วจู๋ “ฝูง…ฝูงเหรอ”

หนานเกอ “ใช่ นายว่าฉันจะไม่กลัวได้ไหมล่ะ ค่าความหวาดกลัวของฉันพุ่งขึ้นไปถึง 90 ฉันเลยเริ่มส่งเสียงกรีดร้อง ทันทีที่กรีดร้องค่าความหวาดกลัวก็ไม่ขยับขึ้นอีก แถมพวกผู้ชายทั้งหมด แม้แต่ห้องเองก็เริ่มสั่น ยิ่งสั่นฉันก็ยิ่งกรีดร้องหนัก หลังจากนั้นนายก็ทุบประตู”

เจิ้งลั่วจู๋ “…”

ประโยคที่พูดว่า ‘ร้องสิ ร้องให้ตายก็ไม่มีใครมาช่วยเธอหรอกพอมาถึงหนานเกอแล้ว มันกลับถูกดัดแปลงแก้ไขเสียใหม่

“นายล่ะ” หนานเกอไม่ได้เอาแต่พูดถึงแต่เรื่องตัวเอง “นายเจออะไร”

เจิ้งลั่วจู๋เองก็พูดออกมาแค่สามคำ “พ่อแม่ฉัน”

หนานเกอนิ่งเงียบ ไม่ถามอะไรอีก

เพราะไม่มีอะไรให้พูดถึง พ่อแม่ของจู๋จื่อตอนนั้นปฏิบัติต่อเขาแบบไหนอย่างไร เธอฟังแค่รอบเดียวก็พอแล้ว ขืนให้ฟังอีกเป็นรอบที่สองเรื่องค่าความหวาดกลัวอาจไม่มีปัญหา แต่ค่าความโมโหไม่น่าจะพอ

“เพราะฉะนั้นที่นี่ถึงเรียกว่า ‘แดนน่าสะพรึงสุดขีด’?” เจิ้งลั่วจู๋เปลี่ยนหัวข้อสนทนา “คนที่เข้ามาทำเควสต์ฝ่าด่านทุกคนล้วนต้องเข้าไปอยู่ในห้องห้องหนึ่ง สัมผัสกับเรื่องราวน่าสะพรึงที่สร้างขึ้นให้กับคนคนนั้นเป็นการเฉพาะ”

หนานเกอมองดูประตูแต่ละบานที่อยู่ตรงหน้าก่อนจะส่ายหน้าครุ่นคิด “ถ้าเป็นแบบนั้น ทำไมพวกเราตอนนี้ถึงยังไม่ได้รับสัญญาณแจ้งบอกว่าผ่านด่านแล้วล่ะ”

“ก็จริง” เจิ้งลั่วจู๋พยักหน้าเห็นด้วย แต่เพิ่งครุ่นคิดได้ไม่ทันไรจู่ๆ ประตูที่อยู่ห่างออกไปสองเมตรก็เปิดออกดังโครมใหญ่

คนคนหนึ่งพุ่งออกมาจากด้านใน ความเร็วไม่ได้ลดลงแม้แต่น้อย เขากระแทกเข้ากับหน้าต่างทรงกลมที่โถงทางเดินดังตึง ไม่รู้ว่าที่ชนถูกคือหัวหรือตัว แต่ที่แน่ๆ คือคนกระเด้งกระดอนกลับมา ล้มก้นจ้ำเบ้าอยู่กับพื้น

เพราะแสงสว่างบนโถงทางเดินมีไม่พอเลยมองเห็นใบหน้าคนบนพื้นได้ไม่ชัด

ทว่าเจิ้งลั่วจู๋กับหนานเกอจำชุดวอร์มเขียวขาวบนตัวของอีกฝ่ายได้

หัวหน้ากลุ่มข่งหมิงเติงสาขานครใต้พิภพ โจวอวิ๋นฮุย

เจิ้งลั่วจู๋กับหนานเกอสบตากันทีหนึ่ง ไม่กล้าส่งเสียงอะไร ทว่าเพียงไม่นานพวกเขาก็พบว่ามีบางอย่างผิดปกติ โจวอวิ๋นฮุยนั่งอยู่ที่นั่นไม่ขยับ ราวกับคนถูกทำให้อกสั่นขวัญหาย

ทั้งสองค่อยๆ ย่องเข้าไปใกล้จนสามารถมองเห็นใบหน้าของอีกฝ่ายได้ชัดถนัดตา

ปากอ้าค้างอยู่ครึ่งหนึ่ง สายตาตื่นตระหนก สีหน้างุนงงหวาดผวา ท่าทีงามสง่าที่เคยมีก่อนหน้านี้ตอนนี้ล้วนหายลับไปจนเกลี้ยง

ที่ยิ่งไปกว่านั้นคือถึงเขาจะพ้นออกมาจากประตูนั่นแล้ว แต่ค่าความหวาดกลัวบนปลอกคอกลับไม่ลดลงเลยแม้แต่น้อย ตรงกันข้ามมันยังคงพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว

 

‘80 83 88!’

 

“แบบนี้ต้องแย่แน่ๆ” เจิ้งลั่วจู๋รีบตะโกนปลุกอีกฝ่าย “โจวอวิ๋นฮุย”

ไม่มีประโยชน์

อีกฝ่ายยังคงไม่ขยับ ความหวาดผวาตื่นตระหนกที่อยู่ลึกเข้าไปในดวงตาเข้มข้นมากขึ้นทุกที คล้ายจมปลักอยู่ในโลกแห่งความหวาดกลัวของตนเอง

 

‘88 90 94!’

 

“โจวอวิ๋นฮุย!” เจิ้งลั่วจู๋ร้อนใจแทบตาย จับไหล่อีกฝ่ายเขย่าเต็มกำลัง “นายตื่นขึ้นมาเดี๋ยวนี้”

 

‘94 96 98!’

 

“ปล่อยมือ!” จู่ๆ หนานเกอก็ดึงเจิ้งลั่วจู๋ออกมาแล้วขยับตัวขึ้นไปตบหน้าของโจวอิ๋นฮุยเต็มแรง

เพียะๆๆๆๆๆ

ซ้ายขวาสลับกันไม่หยุด ท่วงทีเข้มแข็งเปี่ยมพลัง

เจิ้งลั่วจู๋กลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก เขาอดลูบแก้มตัวเองไม่ได้ นวดมันครั้งแล้วครั้งเล่า

ค่าความหวาดกลัวบนปลอกคอของโจวอวิ๋นฮุยเริ่มลดลง

 

‘90 85 70 60’

 

“เชี่ยเอ๊ย!” ในที่สุดหัวหน้ากลุ่มข่งหมิงเติงที่หัวสะบัดเป็นกลองป๋องแป๋งก็ได้สติ คว้าข้อมือเล็กๆ ของหนานเกอไว้ โกรธจนยั้งอารมณ์ไว้ไม่อยู่ “เธอตบฉันทำไม!”

ตบคนก็เป็นงานที่ต้องใช้แรงเหมือนกัน หนานเกอหอบหายใจ “ช่วยนายไง”

โจวอวิ๋นฮุย “ตบเพื่อช่วยฉันเนี่ยนะ?” นี่มันเรื่องตลกอะไรกัน

“ตบอาจช่วยได้ไม่ได้ แต่ความโกรธช่วยได้” หนานเกอบอก ความโกรธเป็นวิธีต่อต้านความกลัวที่ดีที่สุด

“เรื่องนี้นายต้องเชื่อ” เจิ้งลั่วจู๋จำเป็นต้องพูดให้ความยุติธรรมกับหนานเกอ “เมื่อกี้ค่าความหวาดกลัวของนายพุ่งขึ้นไปถึง 98 แล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะหนานเกอ ตอนนี้นายคงไปพบยมบาลแล้ว!”

“ฉันเชื่อ” โจวอวิ๋นฮุยลดแขนลงอย่างไม่พอใจ หัวสมองว่างโล่ง “เมื่อก่อนฉันถูกเพื่อนลากเข้าบ้านผีสิง ผีโคตรน่ากลัวนั่นตามตอแยไม่เลิก ทำฉันกลัวแทบตาย แต่พอโมโหขึ้นมาฉันก็ถีบมันกระเด็น”

หนานเกอ “…”

เจิ้งลั่วจู๋ “หลังจากนั้นนายก็ไม่กลัว?”

โจวอวิ๋นฮุย “ไม่กลัวเลยสักนิด หลังจากนั้นฉันก็วนเวียนอยู่ในบ้านผีสิงนั่นอีกชั่วโมงกว่า”

เจิ้งลั่วจู๋ “ไม่จำเป็นต้องอวดเก่งก็ได้”

โจวอวิ๋นฮุย “ฉันตามขอโทษเจ้าผีนั่นอยู่ทางด้านหลัง จนกระทั่งอีกฝ่ายยอมยกโทษให้ต่างหาก”

 

* เหล่าจื่อ เป็นภาษาพูด มักเป็นสรรพนามที่ชายสูงอายุใช้เรียกแทนตัวเอง หรือเป็นคำแทนตัวเมื่อต้องการวางอำนาจ วางท่าใหญ่โต

 

  

โปรดติดตามตอนต่อไป

2 of 2หน้าถัดไป

Comments

comments

No tags for this post.
Continue Reading

More in everY

บทความยอดนิยม

everY

ทดลองอ่าน เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 Chapter 2.1-2.2 #นิยายวาย

ทดลองอ่าน เรื่อง เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 ผู้เขียน : MINTRAN แปลโดย : ทันบี ผลงานเรื่อง : 배타적 연애 금지구역 ถือเป็นลิขสิทธิ์...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 1-2

บทที่ 1 ฮ่องเต้หญิง   “ท่านพี่นำร้อง น้องหญิงคลอรับ ท่านพี่เสียงเพิ่งลับ น้องหญิงสลับขึ้นเวที เป็นมารดาอารี มีบุตรีกตัญญ...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน ร้อยเรียงรักเคียงฤทัย บทนำ – 1.2

บทนำ ความหลังของต้าลี่ 1   ฤดูหนาวในรัชศกต้าลี่ปีที่สิบเอ็ด โม่เป่ย ตำบลค่งหม่า สถานที่แห่งนี้คือประตูด่านสำคัญสุดท้ายทา...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 7-8

บทที่ 7 ค่าเดินทาง เมื่อภูตสุนัขดำคืนร่างเป็นสุนัขธรรมดาตัวหนึ่ง ภูตบุปผาสองตนนั้นก็ไม่อาจทำการใหญ่ ต่อให้ชาวหมู่บ้านป่า...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 3-4

บทที่ 3 เกิดใหม่   เวิ้งฟ้าดำสนิทปานน้ำหมึก เพียงมีดวงดาวบางตากระจัดกระจายบนม่านฟ้า ทอรัศมีอ่อนจางประเดี๋ยวเผยประเดี๋ยวเ...

community.jamsai.com