everY
ทดลองอ่าน พ้นเที่ยงคืนกลืนมิติ เล่ม 3 บทที่ 92-93 #นิยายวาย
ทดลองอ่าน เรื่อง พ้นเที่ยงคืนกลืนมิติ เล่ม 3
ผู้เขียน : เหยียนเหลียงอวี่
แปลโดย : สนสราญ
ผลงานเรื่อง : พ้นเที่ยงคืนกลืนมิติ
ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน
จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว
หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย
– – – – – – – – – – – – – – – – –
Trigger Warning
เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับความรุนแรง
ปัญหาครอบครัว การทำร้ายทางร่างกายและจิตใจ
การตาย การฆาตกรรม การบังคับหรือโน้มน้าวให้ทำบางอย่างโดยไม่เต็มใจ
การกักขังหน่วงเหนี่ยว การทรมาน การบูลลี่ การกล่าวถึงเลือด สภาพศพ
และสถานการณ์อันน่าขยะแขยง ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ
สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป
โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
** หมายเหตุ: ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **
– – – – – – – – – – – – – – – – –
บทที่ 92
เกณฑ์มาตรฐานของดีมอส
วิหารเทพเจ้า
ถัดจากชายหน้าเหลี่ยมของกลุ่มหวนเซียงถวน ดีมอสก็เปลี่ยนไปพูดคุยกับสมาชิกกลุ่มเถี่ยเซวี่ยอิ๋งรายหนึ่งกับสมาชิกกลุ่มข่งหมิงเติงอีกหนึ่ง และเนื่องจากการสนทนาไม่ราบรื่นอย่างที่เขาต้องการ สุดท้ายคนทั้งสองก็ถูกความหวาดกลัวทำให้หวั่นไหว ทว่าจากบทเรียนของชายหน้าเหลี่ยมที่อยู่ก่อนหน้า ดังนั้นพวกเขาจึงไม่มีใครกล้าทำเรื่องโง่ๆ อย่างการบุ่มบ่ามลงมือกับดีมอสอย่างไม่เจียมตัว
แต่สุดท้ายด้วยเหตุผลที่ว่าคุยไม่สนุก ดีมอสก็ยังคงคร่าชีวิตพวกเขา
ก็เหมือนกับที่เขาจัดการกับชายหน้าเหลี่ยม แค่จ้องคนที่เข้ามาทำเควสต์ฝ่าด่านเพียงไม่กี่วินาที อีกฝ่ายก็ตกตะลึงล้มลงขาดใจตาย
ไม่มีใครรู้ว่าดีมอสใช้วิธีการแบบไหน
ไม่แน่ว่าอาจคล้ายกับเสียงภูตผีปีศาจใน ‘ปริศนาสฟิงซ์’ ที่ดังก้องอยู่ภายในใจของคนที่เข้ามาทำเควสต์ฝ่าด่านและมีเพียงพวกเขาเท่านั้นที่ได้ยิน
หรือว่าอีกฝ่ายอาจใช้ความสามารถพิเศษบางอย่างที่มองไม่เห็นโจมตีใส่คนที่เข้ามาทำเควสต์ฝ่าด่าน
ไม่มีใครรู้ว่ามาตรฐานความเบิกบานใจของดีมอสอยู่ตรงไหน
ยิ่งไม่รู้ก็ยิ่งหวาดผวา
ที่ยิ่งทำให้คนขนลุกตั้งชันคือจนถึงเวลานี้อัตราส่วนพูดคุยกับดีมอสแล้วตายนั้นสูงถึงหนึ่งร้อยเปอร์เซ็นต์เต็ม
พูดคุย = ตาย
แม้จะไม่มีใครพูดออกมาชัดแจ้ง แต่เวลานี้สมการที่แลกเปลี่ยนมาด้วยชีวิตคนสามคนนั้นได้แทรกซึมเข้าไปในสมองของคนที่เข้ามาทำเควสต์ฝ่าด่านอย่างเงียบเชียบและครบถ้วนแล้ว
ตอนดีมอสเลือกสมาชิกกลุ่มสือเซ่อรายหนึ่งมาพูดคุยด้วยเป็นรายที่สี่ เขาแค่เดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าอีกฝ่าย คนคนนั้นก็เนื้อตัวแข็งทื่อ ท้องขาเป็นตะคริว ยิ่งไปกว่านั้นหากพิจารณาดูดีๆ จะพบว่ามันสั่นระริกอยู่น้อยๆ จนยากจะสังเกตเห็น
นี่เป็นปฏิกิริยาตอบสนองแท้จริงที่เกิดขึ้นเมื่อต้องเผชิญหน้ากับความหวาดกลัว โดยเฉพาะความหวาดกลัวที่เกี่ยวข้องกับความเป็นความตาย
เห็นได้ชัดว่าดีมอสไม่ปลื้ม
เขายกมือขึ้นแบบไม่บอกไม่กล่าว คัฟลิงก์บนแขนเสื้อทักซิโดสีดำวาดผ่านหน้าสมาชิกกลุ่มสือเซ่อรายนั้น ในดวงตาของเขาเหลือไว้เพียงภาพสีเข้มที่แสนเย็นเยียบ
สมาชิกกลุ่มสือเซ่อรายนั้นชักเท้าถอยหลังไปก้าวหนึ่ง ทิ้งระยะห่างระหว่างตนเองกับดีมอสไว้ราวๆ หนึ่งเมตร
“นายจะทำอะไร” ดีมอสงุนงง ยกแขนขึ้นลูบเส้นผมสีทองของตนเองด้วยท่าทีเป็นธรรมชาติคล้ายนี่เป็นสิ่งที่เขาอยากทำแต่แรก
สมาชิกกลุ่มสือเซ่อรายนั้นกระอักกระอ่วน “ฉะ…ฉันคิดว่านายจะลงมือเล่นงานฉัน”
ดีมอสไม่พูดไม่จา
แสงไฟสีเหลืองอึมครึมภายในวิหารเทพเจ้าจับอยู่บนใบหน้าของเขา เส้นแสงอบอุ่นอ่อนโยน ทว่าคนกลับดูเย็นเยียบ
บรรยากาศในวิหารเทพเจ้าเองก็หนาวสะท้าน
สมาชิกกลุ่มสือเซ่อรายนั้นกลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก เขาถามว่า “นะ…นายต้องการดูสิ่งที่น่าหวาดกลัวที่สุดในใจฉันไม่ใช่หรือไง”
เรื่องนี้ไม่ว่าช้าเร็วอย่างไรก็ต้องเกิด เขาจึงตัดสินใจไม่ขอรออีกต่อไป
คนที่เข้ามาทำเควสต์ฝ่าด่านคนอื่นๆ เข้าใจในความรู้สึกนี้ดี บ้างก็ถึงกับหวังว่าดีมอสจะลงมือเร็วหน่อย ในเมื่อเลือกแล้วก็เอ่ยปากพูดให้ไว ไม่ต้องเสียเวลาทรมานกันแบบนี้
นึกไม่ถึงว่าดีมอสจะส่ายหน้า “ไม่คุยแล้ว นายทำให้ฉันหมดสนุกได้สำเร็จ”
ผู้คุมด่านปรารถนาที่จะได้อิ่มเอมกับความสุขที่ผู้เข้ามาทำเควสต์ฝ่าด่านทั้งหลายมอบให้ สุขจนยอมปล่อยให้พวกเขาผ่านด่าน หลุดพ้นจากสายตาของความตาย
ทันทีที่สบตากันสมาชิกกลุ่มสือเซ่อรายนั้นก็ตะลึงลาน
ยังไม่ทันมีใครตั้งตัวได้ จู่ๆ ชุยจั้นก็พุ่งออกจากกลุ่มคนที่มีตราประทับ ใช้ต้นไอเทม ‘เท้าติดปีก’ เพิ่มความเร็วให้กับตัวเอง กระโจนเข้าใส่ดีมอสไม่ต่างอะไรกับกระสุนปืนใหญ่ “หยุดเดี๋ยวนี้นะ”
เขาเป็นหัวหน้ากลุ่มสือเซ่อสาขานครใต้พิภพ เป็นคนพาสมาชิกคนอื่นๆ เข้ามาทำเควสต์ฝ่าด่าน เรื่องให้นิ่งเฉยดูพี่น้องถูกฆ่าตายต่อหน้าต่อตา เขาไม่มีทางทำได้ ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องข้ามศพเขาไปเสียก่อน!
ตึง
โครม!
เสียงแรกเป็นเสียงชุยจั้นกระแทกเข้ากับร่างของดีมอส
เสียงที่สองเป็นเสียงสมาชิกกลุ่มสือเซ่อรายนั้นล้มลงกับพื้น
ชุยจั้นไม่ได้ชนดีมอสล้ม อีกฝ่ายใช้ร่างยันเขากระเด็นถอยกลับไปหลายเมตร
สุดท้ายสมาชิกกลุ่มสือเซ่อรายนั้นก็ตายอยู่ดี
“อ๊ากกก” ชุยจั้นคำรามออกมาอย่างยั้งไม่อยู่ สองตาเต็มไปด้วยเพลิงโทสะ ทันใดนั้นเขาก็ใช้สองแขนกอดรัดดีมอสไว้ ออกแรงเท้าพุ่งเข้าใส่เสาวิหารเทพเจ้าต้นหนึ่งหมายอัดร่างอีกฝ่ายให้แหลกคาเสา
ยิ่งไปกว่านั้นเขาไม่ได้วิ่ง แต่กลับลื่นไถราวกับอยู่บนผิวน้ำแข็ง นี่เป็นต้นไอเทมที่สองของเขาที่เร็วยิ่งกว่า ‘เท้าติดปีก’!
การเคลื่อนไหวรวมถึงความเร็วของมันเห็นได้ชัดว่าชุยจั้นตั้งใจจะลากดีมอสให้ตายตกไปพร้อมๆ กัน
ทุกอย่างเกิดขึ้นรวดเร็วกะทันหัน
คนที่อยู่รอบๆ อย่าว่าแต่พูดหรือทำอะไรเลย แม้แต่เวลาจะคิดก็ยังไม่มี เพียงชั่วพริบตาเงาร่างที่กอดรัดอยู่ด้วยกันนั้นก็กระแทกเข้ากับเสาวิหารโครมใหญ่
เป็นเสาวิหารที่ไป๋ลู่เสียพิงอยู่ก่อนหน้าต้นนั้น
โครม
เสียงกระแทกดังลั่น วิหารเทพเจ้าสั่นสะเทือนอยู่เล็กๆ
บริเวณที่เกิดการกระแทกมีเศษหินปลิวว่อนฝุ่นควันคละคลุ้ง กลืนกินร่างของคนทั้งคู่ไปจนหมด
แม้จะผ่านไปหลายสิบวินาที ทว่าคนที่เข้ามาทำเควสต์ฝ่าด่านก็ยังคงมองอะไรไม่เห็น ได้ยินเพียงเสียงต่อสู้ดุเดือดดังออกมาจากหมอกควันนั่นปะปนอยู่กับเสียงก่นด่าของชุยจั้น
ไม่ถึงนาทีเสียงการต่อสู้ก็แผ่วลง ก่อนจะเงียบหายไปในที่สุด
เงาร่างเพรียวบางเดินออกมาจากหมอกควันช้าๆ ทักซิโดมีริ้วรอยยับย่นเพิ่มหลายรอย เส้นผมสีทองยุ่งเหยิงอยู่เล็กๆ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังคงดูงามสง่า สีหน้าไม่เพียงไม่มีร่องรอยโกรธขึ้ง ตรงกันข้ามกลับแลดูอิ่มเอมเปี่ยมสุข
ฝุ่นควันหล่นลงพื้นหมดแล้ว
ทุกคนต่างเห็นชัด ที่อยู่ด้านหลังของดีมอสคือชุยจั้นที่นอนหมอบอยู่ด้านล่างของเสา
เขาหมอบนอนหน้าคว่ำอยู่กับพื้น เนื้อตัวเต็มไปด้วยฝุ่น อีกทั้งยังเห็นรอยเท้าบนตัวได้รางๆ เป็นตายไม่รู้ชัด
จู่ๆ ดีมอสก็หันหน้ากลับ เดินไปหยุดอยู่ข้างชุยจั้นแล้วใช้ปลายเท้าเตะไหล่เขา “เลิกแกล้งตายได้แล้ว ฉันเปลี่ยนใจแล้ว คุยกับคนที่มีตราสัญลักษณ์อย่างนายก่อนดีกว่า”
ยังไม่ตาย?
คนที่เข้ามาทำเควสต์ฝ่าด่านมองหน้ากันไปมา พวกที่คุยกันดีๆ ก่อนหน้านี้ต่างล้มหายตายจากไปทีละคนสองคน แต่ชุยจั้นที่บุ่มบ่ามลงมือ อีกฝ่ายกลับออมมือให้เนี่ยนะ
แน่นอนว่าพวกเขาไม่หวังจะเห็นชุยจั้นตาย ทว่าตั้งแต่ไหนแต่ไรมาการกระทำของดีมอสก็ไม่เคยมีตรรกะ เรื่องนี้ทำคนสับสน
ชุยจั้นยังคงหมอบอยู่ที่นั่นไม่ขยับ
ดีมอสขมวดคิ้ว ออกแรงเตะเขาเพิ่มอีกหลายที “มา พวกเรามาคุยกันให้สนุกดีกว่า”
คำว่าสนุกลอยละล่องวนเวียนอยู่ในวิหารเทพเจ้าอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะค่อยๆ เลือนหาย
ในที่สุดชุยจั้นก็ขยับแล้ว
เขาใช้เวลาสิบกว่าวินาทีถึงพลิกร่างขึ้นมาได้ จากนอนหมอบเปลี่ยนมาเป็นนอนหงาย บอกกับดีมอสที่ก้มมองดูเขาจากที่สูง “คุยกับแม่มึงสิ”
ดีมอส “…”
คนอื่นๆ “…”
บรรยากาศในวิหารเทพเจ้าเปลี่ยนเป็นเงียบงันอย่างน่าอัศจรรย์
เพราะยืนอยู่ด้านหลังของดีมอส คนที่เข้ามาทำเควสต์ฝ่าด่านทั้งหมดจึงไม่มีใครรู้ว่าสีหน้าท่าทางของดีมอสในเวลานี้เป็นแบบไหน
แต่เพียงไม่นานพวกเขาก็ได้ยินดีมอสถอนหายใจเบาๆ เอ่ยปากบอกกับชุยจั้นว่า “นายมีชีวิตอยู่มาจนถึงตอนนี้ได้ นับว่ามหัศจรรย์จริงๆ”
หลังจากนั้นชุยจั้นก็ตอบออกมาอย่างมีจังหวะจะโคน “ฉันเองก็กลุ้มใจกับเสน่ห์ของตัวเองอยู่เหมือนกัน ทางที่ดีนายควรฆ่าฉันเสียแต่เนิ่นๆ ไม่อย่างนั้นเรี่ยวแรงฉันกลับคืนมาเมื่อไหร่ รับรองได้ว่าฉันต้องฆ่านายทิ้งแน่”
ดีมอสเย้ยหยัน “เลิกพูดคำก็ฆ่าสองคำก็ฆ่าได้แล้ว นายลุกขึ้นมาให้ฉันดูก่อนดีกว่า”
ชุยจั้นไม่มีเสียงแล้ว
อาการบาดเจ็บทำให้เขาไม่อาจลุกขึ้นยืนได้ในชั่วระยะเวลาสั้นๆ
เห็นได้ชัดว่าสถานการณ์ของชุยจั้นคือถูกเล่นงานอยู่ฝ่ายเดียว
ทุกคนต่างรู้ดีอยู่แก่ใจว่าที่ชุยจั้นยังคงสามารถต่อปากต่อคำกับดีมอสได้นั่นก็เพราะดีมอสต้องการพูดคุยกับเขา
เมื่ออยู่ต่อหน้าคนที่มีความสามารถแตกต่างกันมากมายมหาศาล คำว่ายุติธรรมอะไรย่อมไม่มี
“ให้ฉันดูเรื่องที่นายกลัวที่สุดหน่อย” ดีมอสที่ยืนอยู่ข้างชุยจั้นย่อตัวลง เอ่ยปากกระซิบแผ่วเบา ท่าทีสนอกสนใจ ทิ้งคนที่เข้ามาทำเควสต์ฝ่าด่านทั้งสิบเก้าไว้ด้านหลังอย่างใจเย็น
ไม่รู้ว่าถ้าคนทั้งสิบเก้าคนบุกเข้าไปพร้อมกันจะเอาชนะดีมอสได้หรือเปล่า
ถังหลิ่นคิดขึ้นมาในหัว แต่หลังจากกวาดมองไปรอบๆ สุดท้ายเขาก็ได้แต่เลิกคิด
อย่างน้อยคนเกินครึ่งก็ล้มเลิกความตั้งใจที่จะบุกเข้าไปเล่นงานดีมอสแล้ว
ดีมอสเปิดช่องให้ขนาดนั้น พวกเขากลับทำเหมือนไม่เห็น ความสนใจทั้งหมดล้วนอยู่ที่บทสนทนาของฝ่ายนั้นกับชุยจั้น พยายามคิดวิเคราะห์ทุกประโยคทุกถ้อยคำ หมายจะค้นหากุญแจลับที่จะใช้ในการผ่านด่านบนตัวของคนที่ยังมีชีวิตรอดเพียงหนึ่งเดียวนั่น
คนที่สบตาเขามีอยู่ด้วยกันแค่หกคนได้แก่หลวงจีน เฉวียนม่าย อู่อู่เฟินกลุ่มเฉ่าเหมยเถียนเถียนเชวียน ไป๋ลู่เสียกลุ่มไป๋จู่ ฉงเยวี่ยกลุ่มหวนเซียงถวน และชายหนุ่มเจ้าของรอยสักลายเสือลงเขากลุ่มปู้ปู้เกาเซิง
สายตาของฉงเยวี่ยสบเข้ากับสายตาของชายหนุ่มเจ้าของรอยสักลายเสือลงเขาโดยบังเอิญ ฝ่ายแรกลอบใช้สายตาทักทาย ฝ่ายหลังยิ้มขัดเขินตามมารยาท
ดังนั้นคนที่ต้องการจะต่อสู้จริงๆ จึงมีแค่สี่คนเท่านั้น
อา ใช่แล้ว ยังมีฟั่นเพ่ยหยางอีกคน
ทันทีที่ถังหลิ่นเริ่มกวาดตามองหาพรรคพวก ฟั่นเพ่ยหยางก็ใช้สายตามุ่งมั่นบอกกับเขาว่าถ้าคุณต้องการ ผมจะลงมือเอง ไม่ต้องมองหาคนอื่น นอกจากประสิทธิภาพจะต่ำแล้วยังยุ่งยากมากอีกด้วย
ถังหลิ่นไม่กล้าสบตาเขาเป็นครั้งที่สอง เกรงว่าอีกฝ่ายจะเข้าใจผิดจนเรียกใช้ต้นไอเทม ‘เสียงสวรรค์ของคนคร้าน’ ขึ้นมา
“เฮอะ” หลังจากพิจารณาดูชุยจั้นอยู่ครึ่งค่อนวัน ในที่สุดดีมอสก็ส่งเสียงออกมา หากแต่เป็นเสียงที่เต็มไปด้วยความรู้สึกผิดหวัง “ฉันคิดว่านายจะมอบความบันเทิงเล็กๆ น้อยๆ ให้ฉันได้เสียอีก ที่แท้ก็กลัวจะถูกขังอยู่ที่นี่ไปตลอดกาล ไม่มีโอกาสได้ไปเลี้ยงดูส่งศพพ่อแม่”
เขาเอ่ยปากพูดถึงความลับในใจของคนที่เข้ามาทำเควสต์ฝ่าด่านอย่างไม่นึกสนใจไยดีพร้อมพ่นเสียงเย้ยหยันออกจากจมูก “น่าเบื่อชะมัด”
สีหน้าท่าทางของคนที่เข้ามาทำเควสต์ฝ่าด่านแต่ละคนต่างแตกต่างกันออกไป แววตาสับสน
“น่าเบื่องั้นเหรอ” ชุยจั้นหัวเราะ แต่เพราะไม่ระวังบาดแผลเลยถูกกระทบกระเทือน เขาไอออกมาครั้งหนึ่งก่อนจะพูดต่อด้วยเสียงแหบพร่า “ถ้านายไม่มีพ่อแม่ไม่มีคนเลี้ยงดูสั่งสอน ฉันยินดียกโทษให้ แต่ถ้านายมี งั้นฉันก็ต้องเสียใจแทนพวกเขาด้วยที่เสียเวลาเลี้ยงดูลูกทรพีมาซะนานหลายปีแบบนี้”
ประกายแสงวับวาวอันตรายปรากฏขึ้นในดวงตาดีมอส “…”
ชุยจั้นกลับราดน้ำมันลงบนกองเพลิง “ทำไมไม่พูดล่ะ อ๋อ ที่แท้นายก็ไม่ได้เกิดมาจากก้อนหิน”
ดีมอสหรี่ตา “ฉันไม่เพียงมองเห็นความหวาดกลัวที่สุดของนายได้ ขอแค่ต้องการฉันยังสามารถมองเห็นความหวาดกลัวทั้งหมดในใจนายได้ด้วย”
ชุยจั้นพยายามสอดแขนเข้าไปที่หลังหัวของตัวเอง ฝืนทำเป็นนอนสบายๆ “เปลี่ยนเรื่องคุยแล้วสินะ ได้ เอาสิ เชิญมองดูตามสบาย ถ้าฉันตัวสั่นแม้สักนิด ฉันยินดีเปลี่ยนแซ่ตามนาย”
คนที่ห้อมล้อมอยู่โดยรอบ “…”
ดีมอสจั้น ไม่เห็นจะน่าฟังเลยสักนิด
“เฮอะ ไม่คุยแล้ว น่าเบื่อ” ดีมอสลุกขึ้น หันกลับไปทางด้านหลังอย่างกระฉับกระเฉง ช้อนตามองไปยังคนที่เหลือ “คนต่อไป”
ทุกคนต่างกะพริบตาโดยไม่ได้นัดหมาย
นับว่าชุยจั้น…ผ่านด่านแล้วงั้นเหรอ
ถ้าไม่ใช่เพราะประทับ ‘ตราปลอดภัย’ แล้ว คงยากจะอธิบายได้ว่าทำไมหลังจากทำตัวบ้าคลั่งอยู่ริมเส้นขอบแห่งความเป็นความตายอยู่ชั่วระยะเวลาหนึ่งชุยจั้นถึงถอนตัวกลับมาได้อย่างปลอดภัย
หนำซ้ำชาวบ้านยังไม่พอใจมากอีกด้วย
“เฮ้ อย่าเพิ่งไป! ทำไม นายกลัวว่าถ้าคุยกันต่อฉันจะลุกขึ้นมาจัดการนายได้สำเร็จหรือไง”
ยังไม่ต้องพูดถึงอย่างอื่น แค่ความพยายามในการต่อสู้และความมั่นใจในชัยชนะ หัวหน้าชุยก็นับว่าได้ระดับ S แล้ว
แต่เห็นได้ชัดว่าผู้คุมด่านหงุดหงิดแล้ว
หัวคิ้วสวยขมวดเข้าหากัน เขาหันกลับไปเตะใส่หัวของอีกฝ่าย
ชุยจั้นหมดสติ
เสียงจ้อกแจ้กหยุดลงทันที
ดีมอสพึงพอใจ เขาหันกลับมา สายตาและฝีเท้าหันไปทางฝั่งคนที่มีตราประทับ “ในเมื่อเริ่มแล้ว งั้นคุยกับพวกนายต่อก็แล้วกัน”
กลุ่มคนที่มีตราประทับยังเหลืออีกห้าคนได้แก่ถังหลิ่น ฟั่นเพ่ยหยาง ฉีฮว่า ไป๋ลู่เสีย และหลวงจีน
ดีมอสเดินไปหยุดอยู่ที่หน้าฉีฮว่า ฝ่ายหลังมีสีหน้าระแวดระวัง แต่ไม่ได้ออกอาการหวาดหวั่นหรือกระวนกระวายอะไรชัดแจ้ง
หลังจากพิจารณาอยู่ครู่หนึ่งดีมอสก็มาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าไป๋ลู่เสีย
ไป๋ลู่เสียเลิกคิ้วน้อยๆ มุมปากยกขึ้นเผยให้เห็นถึงรอยยิ้มชั่วร้าย
ดีมอสเม้มริมฝีปากแน่น ท่าทางไม่ปลื้มเท่าไหร่ เขาเดินไปหยุดอยู่หน้าถังหลิ่นกับฟั่นเพ่ยหยาง
ถังหลิ่นสีหน้าสงบนิ่ง
ฟั่นเพ่ยหยางสีหน้ายิ่งสงบนิ่ง
ดีมอสยกมือลูบคาง รู้สึกว่าตนเองกำลังยืนดูทะเลสาบที่จับตัวเป็นน้ำแข็งสองแห่ง ไม่เพียงไม่น่าสนใจ ซ้ำยังเย็นยะเยือกอีกด้วย
สุดท้ายเขาก็มาหยุดอยู่หน้าหลวงจีน
เพราะการเผชิญหน้านี้เกิดขึ้นเร็วกว่าที่หลวงจีนคิดไว้ไม่น้อย ดังนั้นแม้เขาจะเตรียมใจรอรับ ‘การต่อสู้’ อยู่ก่อนก็ยังควบคุมความรู้สึกหวาดหวั่นไว้ไม่ได้ทั้งหมด
ความรู้สึกขัดแย้งผลักดันให้เขายกมือขึ้นลูบหัวโล้นๆ ของตัวเอง
การเคลื่อนไหวดังกล่าวเป็นไปตามสัญชาตญาณ เขาเองก็ไม่รู้สึกตัว ทว่าเฉวียนม่ายกับอู่อู่เฟินที่อยู่อีกด้านกลับเข้าใจพรรคพวกของตัวเองดี พอเห็นการเคลื่อนไหวเช่นนั้นพวกเขาก็รู้ได้ทันทีว่าจิตใจของหลวงจีนไม่สงบ
เดิมทีดีมอสกำลังกลัดกลุ้มอยู่กับการเลือกคน พอได้รับการชักนำจากหลวงจีน สายตาของเขาก็เหลือเพียงหัวโล้นๆ ของอีกฝ่าย
ภายในวิหารอึมครึม นี่คือจุดที่สว่างไสวที่สุด
“นายก็แล้วกัน”
สีหน้าของหลวงจีนตึงเขม็ง ทว่าจิตใจกลับไม่เป็นเช่นนั้น
หากสู้กันด้วยอาวุธ ต่อให้ความสามารถที่แท้จริงของแต่ละฝ่ายจะต่างชั้นกันมากก็ยังทุ่มสุดตัวต่อสู้ได้ ทว่าการทำตัวราวกับเป็นงูพิษที่มุดเข้าไปภายในจิตใจแล้วเหวี่ยงเอาของที่อยู่ข้างในออกมาได้อีก การลงทัณฑ์กันอย่างเปิดเผยแบบนี้ออกจะน่ากลัวเกินไปหน่อย
ที่น่ากลัวยิ่งกว่าคือหลวงจีนเองก็ไม่รู้เลยว่าดีมอสจะขุดอะไรออกมาจากก้นบึ้งหัวใจของตน
ทุกคนล้วนมีด้านมืดซ่อนอยู่
“ไม่ต้องหลบ” ดีมอสจับสายตาหลบเลี่ยงของหลวงจีนได้อย่างว่องไว เขาขยับเข้าไปใกล้ ใกล้เสียจนมองเห็นเงาสะท้อนตัวเองในดวงตาของอีกฝ่ายได้ “ขอฉันดูหน่อยว่าเจ้าความหวาดหวั่นที่ทำให้นายอยู่ไม่สุขนั่น…”
หลวงจีนหวาดกลัวอย่างยิ่ง กว่าจะควบคุมไม่ให้ตัวเองขยับได้เขาก็ต้องกัดฟันแน่น
เวลาเคลื่อนไปช้าๆ
วิหารเทพเจ้าเงียบงันมากขึ้นทุกที
ทุกคนต่างกลั้นหายใจรอ ความลับที่ซ่อนลึกอยู่ภายในใจถูกกรีดเปิดออกมาอย่างโหดร้ายอีกคนแล้ว
นี่คือด่าน 2/10 คิดจะผ่านก็ต้องให้ผู้คุมด่านกรีดเนื้อเราะกระดูกก่อน
เพียงแต่ครั้งนี้เวลาเหมือนจะนานอยู่สักหน่อย
ดีมอสยังคงยืนนิ่งอยู่ที่นั่น รักษาระยะห่างแค่คืบนั้นไว้ จมูกต่อจมูก ตาต่อตา ทว่าสีหน้าค้นหานั่นเริ่มเปลี่ยนเป็นงุนงงทีละนิดๆ ก่อนจะกลายเป็นหงุดหงิด สุดท้ายก็ยากเกินกว่าจะบรรยายเป็นคำพูดได้
การจ้องมองนั้นยาวนานเกินไป นานเสียจนหลวงจีนทนต่อไปไม่ไหว ในเมื่อยื่นหัวไปก็มีด หดหัวกลับก็มีด เขาจึงตัดสินใจถามออกไปตรงๆ ว่า “ตกลงนายดูออกหรือเปล่าว่าความกลัวสุดขีดของฉันคืออะไร”
ดีมอสดูออกแล้ว แต่ก็เพราะดูออกเขาถึงไม่อยากพูดออกมา
ทว่าผู้คุมด่านก็มีขั้นตอนการทำงานที่ต้องปฏิบัติเช่นกัน ใช่แล้ว ดื้อรั้นเอาแต่ใจได้ แต่กฎเกณฑ์การทำงานจำเป็นต้องรักษา ดังนั้นเขาจึงต้องตอบคำถามของคนที่เข้ามาทำเควสต์ฝ่าด่าน
“ตัวคนเดียว ไม่มีคนรักตลอดชีวิต มองหาความรักที่แท้จริงไม่พบ ไม่มีทางพบเจอคนที่ยินดีจะแต่งงานและใช้ชีวิตร่วมกันกับนายไปตลอดชีวิต”
หลวงจีนสองตาเบิกโพลงปากอ้าค้าง “…อ่า”
คนที่เข้ามาทำเควสต์ฝ่าด่านทั้งหมด “…”
ความหวาดกลัวของนายไม่เจาะจงเกินไปหน่อยหรือไง!