ทดลองอ่าน พ้นเที่ยงคืนกลืนมิติ เล่ม 3 บทที่ 92-93 #นิยายวาย – หน้า 2 – Jamsai
Connect with us

Jamsai

everY

ทดลองอ่าน พ้นเที่ยงคืนกลืนมิติ เล่ม 3 บทที่ 92-93 #นิยายวาย

2 of 2หน้าถัดไป

บทที่ 93

ทุบประตู

 

โถงทางเดินมืดดำแคบยาวคล้ายไม่มีที่สิ้นสุด

หน้าต่างทรงกลมบานแล้วบานเล่า ด้านนอกของกระจกที่เต็มไปด้วยฝุ่นหนาเตอะคือทะเลลึก

ห้องพักผู้โดยสารแต่ละห้องมีประตูไม้ผุๆ กระดำกระด่างที่กักเก็บความน่าสะพรึงไว้ภายใน

แต่มันกลับไม่อาจกั้นขวางเสียงตะโกนเสียงกรีดร้องได้

“อ๊ากกกกก”

“ช่วยด้วย…”

“ถอยไป ว้ากๆๆ”

“ฮือๆๆๆ”

บ้างก็เป็นเสียงกรีดร้องน่าเวทนาปานจะขาดใจ บ้างก็เป็นเสียงร่ำไห้สะอึกสะอื้นดังก้องอยู่ทั่วโถงทางเดิน ทิ่มแทงโสตประสาทของเจิ้งลั่วจู๋ หนานเกอ และโจวอวิ๋นฮุยที่ออกมาได้ก่อน

เสียงภูตผีร่ำไห้หมาป่าคร่ำครวญดังระคนอยู่ด้วยกันจนยากจะบอกได้ว่าเสียงไหนเป็นเสียงของใคร แต่ไม่ว่าจะรู้จักหรือไม่รู้จักทุกคนล้วนเป็นคนที่เข้ามาทำเควสต์ฝ่าด่านเหมือนกัน ด้วยมโนสำนึกพวกเจิ้งลั่วจู๋ไม่มีทางฟังอยู่เฉยๆ โดยไม่ทำอะไรเลยแบบนั้น

หลังจากสบตากันพวกเขาทั้งสามก็รู้ได้ทันทีว่าพวกเขาต่างเห็นพ้องต้องกัน

เจิ้งลั่วจู๋ “ในเมื่อไม่รู้ว่าหลังจากนี้ต้องทำอะไรต่อ งั้นพวกเราก็ช่วยคนก่อนแล้วค่อยว่ากันอีกที!”

หนานเกอ “เดี๋ยวฉันจะกรีดร้อง ส่วนพวกนายทุบประตู ช่วยได้เท่าไหร่ก็เท่านั้น”

โจวอวิ๋นฮุย “ไปกันเถอะ”

ทันทีที่สิ้นเสียงเจิ้งลั่วจู๋กับโจวอวิ๋นฮุยก็หันไปพร้อมกัน ไม่ยอมปล่อยเวลาให้เสียเปล่า สองเท้ารวมเป็นหนึ่งถีบเข้าใส่บานประตูห้องพักผู้โดยสารที่อยู่ใกล้ที่สุดทันที

โครม!

พวกเขาสองคนออกแรงเต็มกำลัง แต่ประตูนั่นกลับไม่ขยับเลยสักนิด มีแต่เศษไม้กระดำกระด่างที่ปริแตกอยู่แต่เดิมเท่านั้นที่หลุดออกมา

ทว่าหลังจากนั้น ‘เสียงกรีดร้องของแมนเดรก II’ ก็ดังขึ้น ทำลายบรรยากาศวังเวงของโถงทางเดินลงอย่างง่ายดาย

“กรี๊ดดดดดดด”

เสียงกรีดร้องของแมนเดรกไม่ต่างอะไรกับการมาถึงของราชาปีศาจ กักเสียงภูตผีร่ำไห้หมาป่าคร่ำครวญทั้งหมดไว้ภายใน ทันใดนั้นโถงทางเดินก็กลายเป็นเวทีหลักของหนานเกอ

พลังเสียงร้ายกาจพุ่งเข้าใส่หูของโจวอวิ๋นฮุยที่เตรียมจะถีบบานประตูอีกรอบเต็มๆ ทำเอาเขาถึงกับผมลุกตั้งชัน โจวอวิ๋นฮุยตะโกน “ไม่โจมตีหมู่ได้หรือเปล่า”

หนานเกอซึ่งกำลังกรีดร้องอยู่ไหนเลยจะมีเวลาสนใจเขา

“อย่ากวนชาวบ้านควบคุมต้นไอเทม!” เจิ้งลั่วจู๋เรียกร้องความยุติธรรมให้พรรคพวก “พี่สาวหลบเลี่ยงพวกเราสองคนแล้ว ตอนนี้กำลังโจมตีแบบกำหนดเป้าหมายอยู่”

โจวอวิ๋นฮุย “หลบเลี่ยงพวกเราสองคนแล้ว? แล้วทำไมฉันถึงยังได้ยินอยู่”

เจิ้งลั่วจู๋ “เสียงกรีดร้องที่มีพลังทำลายล้างนั่นหลบเลี่ยงพวกเราสองคนไปแล้ว ที่นายได้ยินอยู่ตอนนี้ก็แค่เสียงกรีดร้องธรรมดาๆ ของสาวสวยคนหนึ่งเท่านั้น”

โจวอวิ๋นฮุย “ฉันเวียนหัวหูดังลั่นวิ้งขนาดนี้นายยังบอกว่านี่เป็นแค่เสียงกรีดร้องธรรมดาๆ อีก!”

“หุบปาก!” ทันใดนั้นเสียงกรีดร้องของหนานเกอก็สูงขึ้นกว่าเดิม “ทุบประตู”

พวกเขาสองคนคนหนึ่งขวาคนหนึ่งซ้าย แยกย้ายกันทั้งทุบทั้งถีบทั้งตะโกน

ตึงๆๆ

โครมๆๆ

“คนที่อยู่ข้างในตื่นสิโว้ย”

เจิ้งลั่วจู๋ไล่ทุบประตูทีเดียวห้าบานรวด แต่กลับไม่มีสักบานที่เปิดออก เขาร้อนอกร้อนใจราวกับถูกไฟสุม ตะโกนจนเสียงแหบไปหมด “คนที่อยู่ด้านในฟังนะ ที่นายมองเห็นเป็นของปลอมทั้งหมด เป็นภาพลวงที่ด่านสร้างขึ้น รีบออกมาเร็วเข้า ออกมาจะได้ไม่ต้องกลัวอะไรอีก!”

ตึง!

ประตูบานที่ห้าถูกผลักเปิด คนคนหนึ่งพุ่งออกมาโผเข้าใส่อ้อมแขนของเจิ้งลั่วจู๋

เมื่อคนวิ่งออกมา ประตูที่อยู่ทางด้านหลังก็ปิดลงอย่างแรง

เจิ้งลั่วจู๋กอดอีกฝ่ายไว้ตามสัญชาตญาณ พอก้มหน้าดูเขาก็พบว่าอีกฝ่ายคือชายคิ้วเข้มตาโต สวมรองเท้าบาสแอร์จอร์แดนสีแดง “แสนหนึ่งหมื่น?”

คนที่อยู่ในอ้อมแขนเขาเหงื่อแตกเต็มหัว ใบหน้าที่ดูอ่อนแอแหงนเงยขึ้น ค่าตัวเลขบนปลอกคอชวนสะพรึงคือ 92 สายตาเหม่อลอย

เจิ้งลั่วจู๋รีบตบหน้าอีกฝ่าย “แสนหนึ่งหมื่น! แสนหนึ่งหมื่น!”

ทุกครั้งที่ตบค่าความหวาดกลัวของอีกฝ่ายก็ค่อยๆ ลดลง หลังจากที่ไม่รู้ว่าตบไปเป็นครั้งที่เท่าไหร่ชายคนดังกล่าวก็คว้ามือของเจิ้งลั่วจู๋ ท่าทางอ่อนระโหย “นายตบพอหรือยัง…”

เจิ้งลั่วจู๋ถอนหายใจโล่งอก “นายได้สติก็ดีแล้ว”

สายตาของอีกฝ่ายเปลี่ยนเป็นใสกระจ่าง เขาพูดออกมาด้วยความโมโหว่า “ใครชื่อแสนหนึ่งหมื่น”

“ฉันรู้ นายชื่อชิงอีเซ่อ สมาชิกกลุ่มเหลียนฮวา” เจิ้งลั่วจู๋จำอีกฝ่ายได้อย่างแม่นยำ “ฉันเป็นคนใช้ไอเทม ‘[เวท] หายอย่างรวดเร็ว’ ช่วยรักษาแผลบนหัวนาย ไอเทมนั่นมูลค่าแสนหนึ่งหมื่น นายติดค้างพวกเรา เจียงฮู่ชวนเป็นพยานได้”

“ใครติดค้างพวกนาย หัวฉันถูกพวกนายเอาก้อนอิฐฟาดใส่ต่างหาก!”

“ถ้านายไม่ชิงปลอกคอของหนานเกอ พวกเราก็ไม่จำเป็นต้องหวดนาย!”

“แน่จริงนายก็หาตัวเจียงฮู่ชวนออกมา!”

ข้อขัดแย้งเรื่องเงินๆ ทองๆ พยานเป็นสิ่งสำคัญ

แต่ใครจะไปรู้ว่าเจียงฮู่ชวนอยู่หลังประตูบานไหน

ตึง!

ทางด้านโจวอวิ๋นฮุย ประตูบานหนึ่งดีดเปิด

เจิ้งลั่วจู๋กับชิงอีเซ่อต่างได้ยินเสียงประตูเปิด พวกเขาหันมองไปพร้อมกัน

ยังไม่ทันเห็นเงาร่างของคนที่อยู่ทางด้านนั้นชัด เจิ้งลั่วจู๋ก็ได้ยินชิงอีเซ่อร้องอย่างตื่นเต้น “ต้าซื่อสี่”

ทันทีที่ชายคนดังกล่าวได้สติก็ตะโกนดีใจอย่างออกนอกหน้า “ชิงอีเซ่อ!”

จากนั้นเจิ้งลั่วจู๋ก็ถูกคนผลักออก เขาสองตาเบิกกว้างมองดูชิงอีเซ่อวิ่งเข้าหาพรรคพวกของตัวเองราวกับแม่ไก่

ตึง!

ตึง!

อาจเป็นเพราะเสียงกรีดร้องของหนานเกอเปลี่ยนจากปริมาณมาเน้นคุณภาพ ชิงอีเซ่อวิ่งไปได้เพียงครึ่งทาง ประตูอีกสองบานที่อยู่ทางด้านนี้ก็เปิดออก

บานหนึ่งเพราะอยู่ใกล้มาก เป็นประตูห้องที่อยู่ติดกับห้องของชิงอีเซ่อ ดังนั้นคนที่วิ่งออกมาจึงเท่ากับวิ่งเข้าใส่เจิ้งลั่วจู๋ตรงๆ

ไม่ต้องดูหน้าตาของอีกฝ่าย แค่เห็นรอยสักลายเจ้าสาวศพสวยบนแขนนั่นก็บอกได้แล้วว่าอีกฝ่ายเป็นคนของกลุ่มปู้ปู้เกาเซิงเจ้าของต้นไอเทม ‘อัศวินกระดูกขาว’ เพราะเขากับหนานเกอช่วยฉงเยวี่ยชิงปลอกคอของอีกฝ่าย พวกเขาเลยมีหนี้แค้นต่อกัน

ประตูอีกบานอยู่ห่างออกไปค่อนข้างไกล แทบจะอยู่สุดปลายโถงทางเดิน จากตำแหน่งที่เจิ้งลั่วจู๋ยืนอยู่ นอกจากเงาร่างสูงผอมของอีกฝ่ายที่ซ่อนอยู่ในเงามืดแล้วเขาก็มองไม่เห็นอะไรอีก

ไม่เหมือนกับคนอื่นๆ ก่อนหน้า ตอนที่ชายสักลายเจ้าสาวศพสวยวิ่งออกมาสติสัมปชัญญะของเขาก็สมบูรณ์พร้อมแล้ว ถึงค่าตัวเลขความหวาดกลัวบนปลอกคอจะอยู่ที่ 75 สีหน้าตื่นตระหนกยังคงมีให้เห็น แต่เขาก็จำเจิ้งลั่วจู๋ได้ทันที “เสียงกรีดร้องของพวกนาย?”

เจิ้งลั่วจู๋พยักหน้า “อืม”

ชายสักลายเจ้าสาวศพสวยรู้สึกประหลาดใจอยู่เล็กๆ สีหน้าพิลึกพิลั่นอยู่นาน สุดท้ายก็พึมพำออกมาว่า “ขอบใจ”

เจิ้งลั่วจู๋ตบไหล่อีกฝ่ายด้วยท่าทีองอาจ “ตอนชิงปลอกคอของนายไป ฉันเคยบอกแล้วว่าหลังเข้า ‘แดนน่าสะพรึงสุดขีด’ พวกเราจะดูแลนายเอง!”

ชายสักลายเจ้าสาวศพสวยนึกอยากอัดคน “ถ้านายไม่ช่วยเจ้าอ้วนนั่นแย่งปลอกคอฉัน ฉันก็คงไม่ต้องมาที่นี่!”

ฟึ่บ

สายลมเร็วรี่พุ่งผ่านใบหน้าของพวกเขาสองคนไป

เจิ้งลั่วจู๋กับชายสักลายเจ้าสาวศพสวยเนื้อตัวแข็งทื่อ ไม่มีใครกล้าขยับ

สายลมนั่นวาดผ่านหนานเกอที่ยืนแนบร่างอยู่ด้านหนึ่งของโถงทางเดิน แฉลบผ่านข้างกายของชิงอีเซ่อ แค่ชั่วพริบตามันก็พุ่งไปถึงตรงหน้าของโจวอวิ๋นฮุยกับต้าซื่อสี่

มองไม่เห็นอาวุธ แต่ไอสังหารกลับโถมเข้าใส่หน้า

จากตำแหน่งที่ยืนอยู่พวกเขาสองคนไม่มีทางหลบได้ทัน ด้วยเหตุนี้ค่าความหวาดกลัวของพวกเขาสองคนจึงพุ่งสูงขึ้นถึง 95!

เวลานั้นเองประตูที่อยู่ข้างพวกเขาสองคนก็เปิดออก

บานประตูหนาหนักบังขวางสายลมรุนแรงที่โจมตีเข้าใส่นั่นได้พอดิบพอดี

เสียงตึงดังขึ้นคราวหนึ่ง

สายลมสลายตัวไปรวดเร็ว

รอยเจาะลึกๆ รอยหนึ่งปรากฏขึ้นบนประตูกระดำกระด่าง

เหอลวี่หัวหน้ากลุ่มเถี่ยเซวี่ยอิ๋งสาขานครใต้พิภพผลักประตูเปิด เขาเดินออกมาด้วยสีหน้างุนงง เพราะได้ยินเสียงเขาเลยชะโงกหน้ามองดูรอยเจาะบนบานประตู “สู้กันอยู่?”

เสียงกรีดร้องของหนานเกอหยุดชะงักเพราะลูกธนูที่พุ่งออกมากะทันหันนั่น

บรรยากาศบริเวณโถงทางเดินเงียบลงยิ่งกว่าเก่า

โจวอวิ๋นฮุย ชิงอีเซ่อ และต้าซื่อสี่ไม่มีเวลาอธิบายให้เหอลวี่ฟัง พวกเขาต่างหันหน้ามองไปทางเจิ้งลั่วจู๋กับชายสักลายเจ้าสาวศพสวย “นี่มันเรื่องบ้าอะไร”

ถ้าไม่ใช่เพราะเหอลวี่เปิดประตูออกมาพอดี โจวอวิ๋นฮุยกับต้าซื่อสี่อย่างน้อยก็ต้องมีใครคนใดคนหนึ่งถูกแขวนไปแล้ว

เจิ้งลั่วจู๋กับชายสักลายเจ้าสาวศพสวยไม่ยอมแบกหม้อ* พวกเขาเองก็หันมองไปทางเงาร่างที่ออกมาพร้อมกับชายสักลายเจ้าสาวศพสวยและยังคงซ่อนตัวลึกเข้าไปในโถงทางเดินรายนั้น ใจเต้นเป็นกลองรัว “นี่มันอะไรกันวะเนี่ย”

ฟุ่บๆๆ

คำตอบที่เงาร่างปลายโถงทางเดินมอบให้กับพวกเขาคือลูกธนูชุดใหม่สามดอก

“เชี่ย!” เจิ้งลั่วจู๋รีบเรียกต้นไอเทม ‘แผ่นเหล็กแผ่นหนึ่ง’ ปรากฏขึ้นอย่างรวดเร็ว ความกว้างเท่ากับโถงทางเดิน ดูไม่ต่างอะไรกับเขื่อนขนาดใหญ่ที่คั่นโถงทางเดินเอาไว้ บังเขากับชายสักลายเจ้าสาวศพสวยรวมถึงคนที่เข้ามาทำเควสต์ฝ่าด่านคนอื่นๆ ซึ่งอยู่ทางด้านหลังไว้อย่างแน่นหนา

ตึกๆๆ

ลูกธนูสามดอกกระแทกเข้าใส่แผ่นเหล็ก แรงปะทะที่เกิดขึ้นไม่ใช่เบาๆ ทำเอาแผ่นเหล็กของเจิ้งลั่วจู๋เกิดรอยบุ๋มขึ้นสามรอย รอยบุ๋มรอยหนึ่งเป็นรอยแทงทะลุจนเกิดเป็นรูเล็กๆ ที่พอสังเกตเห็นได้

ธนูอากาศ การโจมตีต่อเนื่องสามครั้ง ต่อให้เห็นแค่เงาร่างเลือนรางแต่เรื่องที่อีกฝ่ายเป็นใครนั้นกลับชัดเสียยิ่งกว่าชัด

“ลีออง! นายมันบ้าไปแล้ว” เจิ้งลั่วจู๋ตะโกนดังลั่นผ่านแผ่นเหล็ก หวังว่าจะสามารถปลุกอีกฝ่ายได้

เขาเชื่อว่านี่ต้องไม่ใช่ความต้องการดั้งเดิมของลีออง ไม่แน่ว่าบางทีอีกฝ่ายอาจเป็นเหมือนโจวอวิ๋นฮุยกับชิงอีเซ่อที่ยังคงตกอยู่ในความหวาดกลัว

แต่สิ่งที่ตอบกลับมายังคงเป็นลูกธนูที่ถูกปล่อยออกมาอย่างต่อเนื่อง

ตึก

ตึกๆ

ตึกๆๆ

ลูกธนูสามดอกต่อเนื่องชุดสุดท้ายเจาะทะลุแผ่นเหล็กของเจิ้งลั่วจู๋ สายลมรุนแรงที่พุ่งมาพร้อมกับลูกธนูที่มองไม่เห็นแฉลบผ่านหนังศีรษะของชายสักลายเจ้าสาวศพสวยกับเจิ้งลั่วจู๋ไป

พอเห็นแบบนั้นคนที่อยู่ด้านหลังก็รีบนั่งยองๆ หลบเอาชีวิตรอดทันที

เหอลวี่เรียกใช้ต้นไอเทม ‘ปฏิบัติตามกฎเกณฑ์’ สั่งว่า “ห้ามโจมตี”

รัศมีสี่เมตรโดยรอบ ทุกอย่างปลอดภัยไร้กังวล

ทันทีที่ธนูอากาศของลีอองผ่านเข้าไปยังขอบเขตของต้นไอเทมมันก็เปลี่ยนสภาพเป็นสายลมแผ่วเบาอ่อนโยน

โจวอวิ๋นฮุย ชิงอีเซ่อ และต้าซื่อสี่ที่อยู่ใกล้ๆ มองหน้ากันไปมาก่อนจะพุ่งเข้าไปรวมกลุ่มด้วยกัน ทางด้านร่างกายพวกเขาน้ำหนึ่งใจเดียวกันโดยมีเหอลวี่เป็นศูนย์กลาง ทางด้านจิตใจพวกเขาต่างกอดขาของหัวหน้าเหอเอาไว้แน่น

เจิ้งลั่วจู๋ที่อยู่ยังแนวหน้าของสมรภูมิรบจ้องมองดูรูบนแผ่นเหล็ก ปลายจมูกมีเม็ดเหงื่อเกาะอยู่ เพื่อคลุมพื้นที่ได้ครอบคลุมแน่นหนาพอเขาเลยไม่สามารถหดพื้นที่ของแผ่นเหล็กให้เล็กลงได้อีก ความหนาและความแข็งแกร่งของแผ่นเหล็กในเวลานี้เรียกได้ว่าถึงขีดจำกัดตามขนาดแล้ว หากลีอองยังมีแรงเหลือ แผ่นเหล็กของเขาคงพร้อมถูกยิงพรุนเป็นกระชอนได้ทุกเมื่อ

ในความทรงจำของเขาลีอองเป็นคนพูดน้อยเย็นชา สุขุมรู้จักควบคุมตัวเอง ดังนั้นสิ่งที่ทำให้อีกฝ่ายคลุ้มคลั่งจนยิงไม่เลือกแบบนี้ต้องเป็นเรื่องน่าสะพรึงสุดขีดแน่ๆ!

ขณะที่กำลังกระวนกระวาย จู่ๆ เจิ้งลั่วจู๋ก็รู้สึกเหมือนมีพลังอะไรบางอย่างไหลเข้าสู่ ‘แผ่นเหล็กแผ่นหนึ่ง’ รูบนแผ่นเหล็กค่อยๆ ประสานเข้าหากันอีกครั้ง

ขณะที่แผ่นเหล็กของเจิ้งลั่วจู๋กำลังซ่อมแซมตัวเอง ธนูอากาศอีกชุดก็พุ่งตรงเข้าใส่แผ่นเหล็ก ทว่าคราวนี้มันไม่เพียงไม่ทะลุ แม้แต่รอยบุ๋มที่เกิดขึ้นก็ยังตื้นกว่าก่อนหน้านี้มาก

ความแข็งแกร่งของแผ่นเหล็กเพิ่มมากขึ้น!

เจิ้งลั่วจู๋ประหลาดใจ ไม่ทันได้ครุ่นคิดอะไรให้ถี่ถ้วนเขาก็ได้ยินเสียงต้าซื่อสี่ดังมาจากทางด้านหลัง “พวกนายสองคนรีบเข้ามา ตรงนี้เป็นเขตปลอดภัย”

เขตปลอดภัยที่อีกฝ่ายพูดถึงย่อมหมายถึงภายในขอบเขต ‘ปฏิบัติตามกฎเกณฑ์’ ของเหอลวี่

ในที่สุดเจิ้งลั่วจู๋ก็เข้าใจได้ว่าทำไมจู่ๆ แผ่นเหล็กของเขาถึงแข็งแกร่งขึ้น นี่มันไม่ต่างอะไรกับเหตุการณ์ในเมืองวงแหวนก่อนหน้านี้เลยแม้แต่น้อย เขาใช้เส้นเหล็กช่วยชิงอีเซ่อเอาตัวต้าซื่อสี่ออกมาจากบ่อน้ำ ทว่าตอนนั้นเส้นเหล็กเหยียดยืดออกไม่หยุด ไม่อาจดึงคนขึ้นมาได้ แต่หลังจากได้ต้นไอเทมของต้าซื่อสี่ช่วยเพิ่มความแข็งแกร่งให้ ในที่สุดพวกเขาก็ช่วยคนขึ้นมาได้สำเร็จ

ในเวลานั้นเขาไม่ทันได้ถาม ในที่สุดตอนนี้ก็มีโอกาสแล้ว

“ต้าซื่อสี่” เจิ้งลั่วจู๋ใช้แผ่นเหล็กรับการโจมตีพลางพาชายสักลายเจ้าสาวศพสวยถอย ขณะเดียวกันก็หันกลับไปถามอีกฝ่าย “ต้นไอเทมของนายชื่อว่าอะไร”

ต้นไอเทมนางฟ้าที่สามารถช่วยเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับต้นไอเทมของคนอื่นได้แบบนี้จำเป็นต้องมีชื่อเรียก

“เอ๋?” ต้าซื่อสี่ไม่ทันตั้งตัว หลังจากตะลึงไปชั่วขณะหนึ่งเขาก็ตอบออกมา “ ‘ฉันคือดาวนำโชคของนาย’ ”

เจิ้งลั่วจู๋ “เพราะดี!”

โจวอวิ๋นฮุย ชิงอีเซ่อ และชายสักลายเจ้าสาวศพสวย “…”

การประจบสอพลอของนายมันชัดเกินไปแล้ว

หลังจากถอยไปได้ครึ่งทางเจิ้งลั่วจู๋ก็ชนเข้ากับหนานเกอพอดี เขาเพิ่งสังเกตเห็นว่าพรรคพวกของเขาคนนี้ยังคงยืนอยู่กับที่ ไม่ได้ถอยเข้าไปอยู่ในรัศมีสี่เมตรของเหอลวี่

“หนานเกอ?” เจิ้งลั่วจู๋หยุดเท้า ถือแผ่นเหล็กต้านธนูอากาศที่ระดมยิงเข้ามาดังตึงตัง มองดูอีกฝ่ายด้วยสายตาเคลือบแคลงสงสัย

หนานเกอช้อนตาขึ้นบอก “ฉันอยากทดลองดู”

เจิ้งลั่วจู๋ไม่เข้าใจ “ทดลองอะไร”

ชายสักลายเจ้าสาวศพสวยที่ตามอยู่ทางด้านหลังของเจิ้งลั่วจู๋ยิ่งสงสัยหนัก

หนานเกอไม่ได้อธิบาย เธอสูดหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะเปล่งเสียงร้องของแมนเดรกออกมา “ลีออง…”

เสียงกรีดร้องดังขึ้นอีกครั้ง

เดือดร้อนกันไปทุกหย่อมหญ้า

คนที่อยู่บริเวณโถงทางเดินทั้งหกต้านทานแทบไม่ไหว อีกฝ่ายส่งเสียงเรียกลีอองก็จริง แต่ประสิทธิภาพของมันกลับไม่ต่างอะไรกับส่งพวกเขาลงนรก

ชื่อของลีอองที่เกิดจากเสียงกรีดร้องโหยหวนดังอยู่บนโถงทางเดินอยู่ราวๆ ยี่สิบวินาที

หลังยี่สิบวินาทีผ่านไปหนานเกอก็เงียบเสียง ‘มือฉมังขั้นกลาง’ หยุดชะงัก

แผ่นเหล็กของเจิ้งลั่วจู๋ไม่ถูกยิงถล่มดังอีก

ลีอองเองก็ไม่ได้เคลื่อนไหว

“แค่ตะโกนทีเดียวก็ได้แล้ว?” เจิ้งลั่วจู๋ลดแผ่นเหล็กลงเล็กน้อยอย่างไม่นึกเชื่อ โผล่หัวออกมามองไปยังปลายโถงทางเดินที่อยู่อีกด้าน “อัศจรรย์ขนาดนี้เชียว?”

ไม่ใช่แค่เขาเท่านั้น ทุกคนล้วนทอดตามองไป

ในที่สุดชายคนหนึ่งก็เดินออกจากเงามืดตรงมาทางนี้เงียบๆ

ฝ่ายนั้นสวมเสื้อยืดแขนสั้นสีดำ รูปร่างงดงามเพรียวบาง

ทว่าได้โปรดให้อภัยชายรูปร่างกำยำอย่างเจิ้งลั่วจู๋ ชายสักลายเจ้าสาวศพสวย โจวอวิ๋นฮุย ชิงอีเซ่อ ต้าซื่อสี่ และเหอลวี่ ทั้งหกไม่มีตาชื่นชมความงามดังกล่าว พวกเขาจำได้ก็แต่ความรู้สึกหวาดผวาที่มาพร้อมกับธนูอากาศก่อนหน้านี้

โชคดีที่ลีอองชะงักเท้าหยุดยืนห่างจากแผ่นเหล็กของเจิ้งลั่วจู๋ไปราวๆ สองเมตร

อาศัยข้อได้เปรียบทางด้านร่างกาย เขามองผ่านแผ่นเหล็กที่หดเล็กลงมาทางหนานเกอ “ขอบคุณมาก”

ที่จริงหนานเกอเองก็ไม่ได้มั่นใจสักเท่าไหร่ กระทั่งตอนนี้เธอถึงได้ถอนหายใจโล่งอก “ไม่ต้องเกรงใจ”

ได้ยินแบบนั้นทุกอย่างก็น่าจะปลอดภัยแล้ว

เจิ้งลั่วจู๋มองดูปลอกคอของลีออง ค่าความหวาดกลัวของอีกฝ่ายอยู่ที่ 20 เขาจึงโล่งอกและเก็บแผ่นเหล็กลง

เมื่อแผ่นเหล็กถูกถอนออก บรรดาคนที่ห้อมล้อมอยู่รอบๆ เหอลวี่ก็หันมายืนเผชิญหน้ากับลีออง

เรื่องนี้ต้องฟ้อง…

ชิงอีเซ่อ “เมื่อกี้นายเกือบฆ่าพวกเราตายกันหมด!”

โจวอวิ๋นฮุย “ตกลงตอนอยู่ในห้องนายเจออะไรกันแน่”

ต้าซื่อสี่ “นายกับพี่หนานเกอเป็นอะไรกัน”

เหอลวี่ “?”

เขาควรถามอะไรดีล่ะ

“ไม่เกี่ยวอะไรกัน” เจิ้งลั่วจู๋เอ่ยปากแทนพี่สาวคนสวยของกลุ่มตัวเอง “เธอเป็นคนตั้งสมญานามให้ลีออง”

ต้าซื่อสี่ “สมญานามอะไร”

เจิ้งลั่วจู๋ “ก็ลีอองไง ก่อนหน้านี้เขาไม่มีสมญานาม ไม่ว่าใครตั้งอะไรให้เขาก็ไม่พอใจ แต่พอหนานเกอตั้งให้ เขาก็ยอมรับขึ้นมาทันที”

ลีออง “…”

หนานเกอ “…”

โจวอวิ๋นฮุย ชิงอีเซ่อ และต้าซื่อสี่ “…”

เห็นอยู่ชัดๆ ว่าเกี่ยวกันมากกกกก!

ตึง!

ธนูอากาศพุ่งเข้าใส่พื้นที่ที่อยู่ระหว่างหน้าต่างทรงกลมสองบาน ทิ้งรูเล็กๆ น่ารักไว้บนผนังเรือด้านใน

ลีอองลดมือลง หันกลับมามองดูทุกคน “จะช่วยคนต่อหรือเปล่า”

ทุกคนต่างกลืนน้ำลายตอบรับออกมาอย่างพร้อมเพรียง “อืม”

 

* แบกหม้อ มาจากสำนวน ‘แบกหม้อดำ’ หมายถึงแบกรับความผิดที่ตนไม่ได้ก่อ

 

  

โปรดติดตามตอนต่อไป

2 of 2หน้าถัดไป

Comments

comments

No tags for this post.
Continue Reading

More in everY

บทความยอดนิยม

everY

ทดลองอ่าน เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 Chapter 2.1-2.2 #นิยายวาย

ทดลองอ่าน เรื่อง เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 ผู้เขียน : MINTRAN แปลโดย : ทันบี ผลงานเรื่อง : 배타적 연애 금지구역 ถือเป็นลิขสิทธิ์...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน หอมเกศา บทที่ 1-2

บทที่ 1 อาจเป็นเพราะสภาพอากาศขมุกขมัวหนาวเย็นยาวนานถึงครึ่งปี ทำให้เครื่องหอมเป็นที่โปรดปรานของชาวต้าเว่ย ได้เติมเครื่อง...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน หอมเกศา บทที่ 3-4

บทที่ 3 คนที่เพิ่งเดินเข้ามาผู้นี้คือซูลั่วอวิ๋น บุตรสาวคนโตที่ถูกขับไล่ไสส่งกลับบ้านเดิมนั่นเอง นิ้วชี้ของซูหงเหมิงยื่น...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน หอมเกศา บทที่ 5-7

บทที่ 5 หลังจากเซ่นไหว้บรรพบุรุษที่เรือนหลังเก่าและบรรยากาศวันปีใหม่เพิ่งผ่านพ้นไป เหล่าเจ้านายสกุลซูก็เตรียมเดินทางกลับ...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน ม่านฝันคืนวสันต์รัญจวน บทที่ 1-2

บทที่ 1 แม่น้ำฉินไหว นกขมิ้นและดอกไม้ในเดือนสองทำให้ฤดูใบไม้ผลิแลดูงดงาม แม่น้ำฉินไหวในเมืองจินหลิงเป็นสถานที่ซึ่งมีทิวท...

community.jamsai.com