everY
ทดลองอ่าน พ้นเที่ยงคืนกลืนมิติ เล่ม 5 บทที่ 149-150 #นิยายวาย
ทดลองอ่าน เรื่อง พ้นเที่ยงคืนกลืนมิติ เล่ม 5
ผู้เขียน : เหยียนเหลียงอวี่
แปลโดย : สนสราญ
ผลงานเรื่อง : พ้นเที่ยงคืนกลืนมิติ
ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน
จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว
หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย
– – – – – – – – – – – – – – – – –
Trigger Warning
เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่
การทำร้ายทางร่างกายและจิตใจ การตาย การฆาตกรรม
การบังคับหรือโน้มน้าวให้
การกักขังหน่วงเหนี่ยว การทรมาน การบูลลี่
การกล่าวถึงเลือด สภาพศพ และสถานการณ์อันน่าขยะแขยง
ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ
สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป
โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
** หมายเหตุ: ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **
– – – – – – – – – – – – – – – – –
บทที่ 149
ฉงเยวี่ยเข้าร่วมกลุ่ม
เมื่อเห็นตัวเองอีกคนเข้าไปในห้องของฉงเยวี่ย ถังหลิ่นก็รับรู้ถึงเรื่องร้ายที่กำลังจะเกิดขึ้นได้ทันที เขารีบออกจากห้องตรงดิ่งไปยังที่เกิดเหตุ
ฉงเยวี่ยพักอยู่ที่ห้องหมายเลข 2002 ส่วนถังหลิ่นพักอยู่ห้องหมายเลข 9087 ห่างกันเจ็ดชั้น แทนที่จะรอลิฟต์ถังหลิ่นกลับเลือกใช้บันได เพราะนี่เป็นการวิ่งลงไม่ใช่วิ่งขึ้น กว่าลิฟต์จะเคลื่อนมาถึงชั้นที่เขาอยู่ ถังหลิ่นเชื่อว่าตัวเองน่าจะวิ่งไปถึงที่นั่นได้ก่อนแล้ว
แต่ถังหลิ่นลืมพิจารณาถึงรายละเอียดข้อหนึ่ง
ลำดับห้องในแต่ละชั้นล้วนเรียงจากซ้ายไปขวา เขากับฉงเยวี่ยไม่เพียงอยู่ห่างกันเจ็ดชั้น แต่ยังมีเรื่องที่ห้องหมายเลข 2 ถึงหมายเลข 87 กั้นขวางอยู่อีก ผนวกกับพื้นที่ของแต่ละห้องที่มีขนาดใหญ่โต ทำให้ระยะห่างของแต่ละห้องถูกลากยาวมากขึ้นไปอีก ดังนั้นทันทีที่ถังหลิ่นมาถึงชั้นสองที่ปรากฏต่อสายตาของเขาก็คือ ‘ลู่วิ่ง’ ยาวเหยียด
ถังหลิ่นไม่ได้หยุดเท้า เขารวบรวมพละกำลังวิ่งไปข้างหน้าไม่หยุด ลางสังหรณ์เลวร้ายทำให้เขาไม่อาจทนรอให้ตัวเองวิ่งไปถึงที่นั่นเองได้ ด้วยเหตุนี้ถังหลิ่นจึงเรียกใช้ ‘เงาร่างหมาป่าโดดเดี่ยว’ ให้เจ้าเสี่ยวหลางกลายร่างเป็นหมอกดำพุ่งผ่านร่องประตูห้องของฉงเยวี่ยเข้าไปก่อน
หลังจากนั้นเกิดเรื่องอะไรขึ้นถังหลิ่นเองก็ไม่อาจรู้ได้ ทั้งนี้ก็เพราะเขาไม่ได้อยู่ในที่เกิดเหตุ สิ่งที่เขาทำมีเพียงใช้พลังจิตเชื่อมต่อกับเงาร่างหมาป่า ในเวลาเดียวกันก็ออกคำสั่ง ‘ปกป้องฉงเยวี่ย’ ส่วนจะดำเนินการเช่นไรนั้นทั้งหมดเสี่ยวหลางล้วนตัดสินใจเอง
ขณะที่เขาอยู่ห่างจากห้องของฉงเยวี่ยไปไม่กี่เมตร ประตูห้องหมายเลข 2002 ก็ถูกผลักเปิดออกมาอย่างแรง ‘ถังหลิ่น’ พุ่งออกมาจากทางด้านในแล้วกระโดดผ่านราวกั้นลงไปที่ชั้นหนึ่ง
ตอนเห็น ‘ตัวเอง’ หลบหนี ถังหลิ่นก็อดรู้สึกประหลาดใจไม่ได้ แต่ที่น่าประหลาดใจยิ่งกว่าคือที่พุ่งโผล่ตามมาคือเงาร่างหมาป่าสองตัวที่กอดรัดฟัดเหวี่ยงกันกลางอากาศ
สองตัว?
ยังไม่ทันที่ถังหลิ่นจะได้นึกคิดอะไรมากไปกว่านั้น จู่ๆ เงาร่างหมาป่าหนึ่งในสองตัวนั้นก็ลับหายไปเงียบๆ ทำให้เงาร่างหมาป่าอีกตัวพบเจอแต่ความว่างเปล่า ครั้นร่างของมันตกถึงพื้น เงาร่างหมาป่านั่นก็หันมองไปรอบๆ ด้วยความรู้สึกสับสนงุนงง
นี่คือเสี่ยวหลางของตัวเอง ส่วนอีกตัวนั้น…หรือว่าจะเป็นของฉีฮว่า? ‘วาดหนัง’ ของอีกฝ่ายถึงระดับที่สามารถเลียนแบบต้นไอเทมของชาวบ้านได้แล้วงั้นเหรอ
เพียงพริบตาคนที่กระโดดหนีไปที่ชั้นหนึ่งก็หายลับไม่เหลือแม้แต่เงา
ถังหลิ่นไม่มีเวลาครุ่นคิดอะไรมากมาย เขารีบวิ่งเข้าไปในห้อง เห็นฉงเยวี่ยนั่งนิ่งอยู่หน้าประตูส่วนที่จัดเตรียมอาหาร มือกุมท้อง การเสียเลือดที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องนั้นทำให้สติสัมปชัญญะของเขาเลือนราง มือเริ่มตกลงทีละนิดๆ
ถังหลิ่นรีบแบกคนไปที่ห้องพยาบาล แนบภาพนกเค้าแมวบนแขนของฉงเยวี่ยเข้ากับจอรักษาพยาบาล จากนั้นลำแสงสีทองอบอุ่นกลุ่มหนึ่งก็คลุมลงบนร่างของฉงเยวี่ย
ท่ามกลางแสงนั่นเลือดหยุดไหลอย่างรวดเร็ว ปากแผลค่อยๆ สมานเข้าหากัน สีหน้าของฉงเยวี่ยเริ่มกลายเป็นปกติขึ้นมาทีละน้อย สติสัมปชัญญะก็เช่นกัน
ฉงเยวี่ยค่อยๆ ลืมตา เขาตะลึงมองดูถังหลิ่นที่ยังคงแบกร่างของเขาเอาไว้ คล้ายร่างกายหายเป็นปกติแล้ว แต่สมองยังคงไม่ทำงาน
นับเป็นหายนะที่เกิดขึ้นอย่างไม่มีเค้าลางโดยแท้ ถังหลิ่นเอ่ยปากยืนยันสถานะของตนเองออกมาอย่างรวดเร็ว “ผมคือถังหลิ่นตัวจริงจริงๆ”
คำว่า ‘จริง’ สามคำนั้น แต่ละคำล้วนสัตย์ซื่อจริงใจ
สายตาของฉงเยวี่ยค่อยๆ กลับมากระจ่างชัด ถูกท่าทียากจะพบเห็นแบบนั้นของถังหลิ่นทำเอาเขานึกขัน ถึงความรู้สึกเจ็บปวดจะทำให้รอยยิ้มของเขาแลดูอ่อนระโหยก็ตามที “ผมรู้…”
ตอนเงาร่างหมาป่าตัวแรกโผล่ออกมากัด ‘ถังหลิ่น’ เขายังรู้สึกงุนงงอยู่เล็กๆ แต่พอเงาร่างหมาป่าตัวที่สองเข้ามาฟัดกับเงาร่างหมาป่าตัวแรก และ ‘ถังหลิ่น’ รายนั้นฉวยโอกาสหลบหนีไป เขาก็เข้าใจทุกอย่างได้ทันที ตอนหลังแม้สติสัมปชัญญะจะเริ่มเลือนราง แต่เขาก็ยังคงจำได้ว่ามีคนพุ่งเข้ามาแบกตัวเองมาที่ห้องพยาบาล
ตอนนี้พอย้อนคิดถึงเรื่องราวทั้งหมดอีกครั้ง ฐานะของ ‘คนร้าย’ แทบจะเรียกว่ากระจ่างชัดอยู่ตรงหน้าแล้ว
“ฉีฮว่า…” ฉงเยวี่ยกัดฟันพูดชื่อนี้ออกมา
คนที่เข้ามาทำเควสต์ฝ่าด่านที่มีต้นไอเทมเป็น ‘วาดหนัง’ อาจจะมีฉีฮว่าแค่คนเดียว แต่หากเอาทั้งเรื่องที่อีกฝ่ายมี ‘วาดหนัง’ ซ้ำยังมีเรื่องขัดแย้งกับฉงเยวี่ยผนวกเข้าด้วยกัน ผู้ต้องสงสัยย่อมมีเพียงหนึ่งเดียว
ถังหลิ่นประคองฉงเยวี่ยกลับมานั่งลงบนโซฟาในห้องรับแขก ก่อนถามด้วยความเป็นห่วงเป็นใยว่า “คุณไม่เป็นไรแล้วจริงๆ ใช่หรือเปล่า”
“วางใจได้” ฉงเยวี่ยเลิกเสื้อขึ้นแล้วตบพุงกลมๆ ของตัวเองคราวหนึ่ง “หายดีแล้ว”
ถังหลิ่นถอนหายใจโล่งอก “นึกไม่ถึงว่าตอนนี้ฉีฮว่าไม่เพียงเลียนแบบรูปลักษณ์ภายนอกได้ แต่ยังก๊อปปี้ต้นไอเทมได้ด้วย”
“แต่คำพูดคำจากับท่าทางโกหกกันไม่ได้” ฉงเยวี่ยพูดด้วยความโมโห “ตอนนี้พอลองย้อนคิดดูอีกที ที่จริงตั้งแต่เข้าห้องมาเขาก็เผยพิรุธให้เห็นแล้ว คิดจะเลียนแบบบุคลิกของคุณ เขายังต้องหัดอีกเยอะ ผมมันโง่เง่าเอง…”
ขณะตำหนิตัวเองฉงเยวี่ยก็ยังสามารถเอ่ยปากยกยอเขาได้อีก ถังหลิ่นรู้สึกว่าทักษะความสามารถในการอวยชาวบ้านของคนคนนี้ไม่ได้ด้อยกว่าจู๋จื่อที่อะไรๆ ก็เจ้านายอยู่ตลอดเวลาเลยแม้แต่น้อย
“ทำไมคุณถึงรู้ว่าผมเกิดเรื่องแล้ว” ฉงเยวี่ยเพิ่งนึกขึ้นได้
ถังหลิ่นบอกกับอีกฝ่ายตามตรง “สองวันมานี้ผมคอยจับตาดูคุณตลอด”
ฉงเยวี่ยนึกสงสัย “เอ๋?”
“การสอบในวิหารเทพเจ้า คุณเอ่ยปากตัดขาดกับฉีฮว่าไม่ใช่เหรอ” ถังหลิ่นพูด “ผมคิดว่าเมื่อมาถึงเขตรวมพล เรื่องนี้น่าจะยังไม่จบ”
ฉงเยวี่ยถอนหายใจ “คุณทายถูกแล้ว…”
ฉงเยวี่ยเล่าเรื่องที่เขาทะเลาะกับฉีฮว่าซึ่งหน้า เรื่องที่ผู้ดูแลกลุ่มหวนเซียงถวนช่วยไกล่เกลี่ย รวมถึงเรื่องที่ต่อมาเขาขอถอนตัวแล้วผู้ดูแลกลุ่มหวนเซียงถวนพยายามรั้งตัวเขาไว้ออกมาให้ถังหลิ่นฟังจนหมด
หลังจากนิ่งฟังจนจบถังหลิ่นก็ถามขึ้น “งั้นก็แสดงว่าตอนนี้คุณเตรียมจะไปจากกลุ่มหวนเซียงถวน?”
“ก่อนหน้านี้ผมแค่เตรียม” ฉงเยวี่ยตอบ ความรู้สึกสับสนปรากฏลึกอยู่ในดวงตาคู่นั้น “แต่ตอนนี้ผมตัดสินใจเด็ดขาดแล้ว”
ถังหลิ่นรู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่าง แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรอีก
ทว่าฉงเยวี่ยกลับมองมาทางเขาพร้อมถามว่า “หัวหน้าถัง คุณว่าทั้งๆ ที่ผมกำลังจะไปจากกลุ่มหวนเซียงถวนแล้ว ทำไมฉีฮว่าถึงยังต้องการฆ่าผมอีก ได้ชื่อว่าฆ่าอดีตพรรคพวกของตัวเอง มันคุ้มแล้วงั้นเหรอ”
ถังหลิ่นชะงักไปชั่วขณะ ก่อนจะเผยยิ้มด้วยท่วงทีสบายๆ “เขาปลอมตัวเป็นผมไม่ใช่เหรอ ไม่ว่ายังไงความผิดนี้ก็ไม่มีทางไปตกอยู่กับเขาได้”
“แต่สำหรับเขาแล้วการฆ่าผมจะมีประโยชน์อะไร” ฉงเยวี่ยไม่กล้าบอกว่าตัวเองมีสมองปราดเปรื่อง ทว่าเรื่องนี้เขาสามารถเข้าใจมันได้ไม่ยาก “กระทั่งข้อเสนอประนีประนอมของผู้ดูแลกลุ่มเขายังตอบตกลง ยินดีมีฐานะเท่าเทียมกับผม แล้วทำไมในเมื่อผมตัดสินใจจะไปจากกลุ่มหวนเซียงถวน ไม่อยู่ขวางหูขวางตาเขาอีกชั่วนิรันดร์ เขาถึงกลับต้องเปลืองแรงฆ่าผมด้วย”
“เอาเถอะ ไหนๆ เรื่องนี้ก็ผ่านไปแล้ว” ถังหลิ่นตบไหล่อีกฝ่าย ก่อนจะเปลี่ยนหัวข้อสนทนาไปสู่การเชื้อเชิญด้วยความกระตือรือร้น “คุณอยากจะเข้าร่วมกลุ่มกับพวกเราหรือเปล่า”
ฉงเยวี่ยตะลึง รู้สึกประหลาดใจที่ได้รับความสำคัญแบบนี้ “ผม? พวกคุณต้องการผม?”
ถังหลิ่นนึกขัน “ไม่ใช่ต้องการ แต่เป็นการเชิญ เวลาต่อสู้กัน ‘ใจเย็นๆ’ ของคุณเรียกได้ว่าเป็นอาวุธทรงอานุภาพ สามารถใช้มันควบคุมคู่ต่อสู้ได้ ผมกลัวว่าหากช้าไปคุณจะถูกคนจากกลุ่มอื่นแย่งตัวไปเสียก่อน”
ฉงเยวี่ยทนฟังคำยกย่องไม่ไหว พอได้ยินก็ไม่ต่างอะไรกับถูกไฟฟ้าช็อต เขานั่งตัวตรงขึ้นมาทันที สีหน้าท่าทางฮึกเหิม “ตอนนี้ไม่ใช่ ‘ใจเย็นๆ’ แล้ว ต้นไอเทมระดับสี่ของผมคือ ‘กุญแจหยุดนิ่ง’ สามารถบังคับให้หนึ่งในเป้าหมายหยุดการเคลื่อนไหว ได้แต่นิ่งอยู่กับที่ แต่มันใช้งานได้แค่ไม่กี่วินาทีเท่านั้น ผมกำลังฝึกใช้มันอยู่!”
ถังหลิ่นรู้ว่าต้นไอเทมของอีกฝ่ายยังพัฒนาไปได้อีกไกล แต่ก็นึกไม่ถึงว่าแค่ตอนนี้ก็มีข่าวดีแล้ว “ผมคิดอยู่แล้วว่าตัวเองต้องมาหาถูกคนแน่ ว่าไง คุณจะพิจารณาพวกเราดูหรือเปล่า”
“ยังจะต้องพิจารณาอะไรอีก” ฉงเยวี่ยสีหน้าหนักแน่น สองตาเปล่งประกาย “ผมยินดีเข้าร่วมกลุ่มกับพวกคุณ”
ถังหลิ่นเผยสีหน้าลำบากใจออกมาให้เห็น “หรือคุณจะลองคิดดูอีกสักหน่อย? ว่ากันตามที่ผมคิดไว้ คุณน่าจะปฏิเสธซ้ำแล้วซ้ำอีกก่อน จากนั้นผมก็ไปลากตัวประธานฟั่นมา ถึงตอนนั้นคุณก็จะรีบแปลงกายเป็นแฟนคลับเขา ยินดีเข้าร่วมกลุ่มอย่างปราศจากเงื่อนไข”
แรกๆ ฉงเยวี่ยก็ยังตั้งอกตั้งใจฟัง พอมาถึงช่วงกลางๆ เขาก็รู้ได้ทันทีว่าถังหลิ่นกำลังกระเซ้า เขาพยักหน้าให้ความร่วมมือ “ใช่ ผมตอบรับเร็วเกินไป เห็นชัดว่าผมไม่รู้จักรักเกียรติศักดิ์ศรีของตัวเองเอาเสียเลย…”
พอบรรลุเป้าหมายแล้วถังหลิ่นก็เล่าแผนการขั้นต่อไปให้สมาชิกใหม่รายนี้ฟังคร่าวๆ ว่าเมื่อถึงเวลาที่ประตูด่านต่อไปเปิดพวกเขาจะยังไม่เข้าไป ระยะเวลาหนึ่งเดือนกว่านี้ให้ถือเป็นช่วงพักผ่อนและฝึกฝน การฝึกฝนในช่วงเวลาดังกล่าวให้ต่างคนต่างฝึกฝนกันเอง รอให้คุ้นเคยกับการควบคุมไอเทมใหม่ได้พอสมควรแล้วค่อยมารวมตัวฝึกฝน หัดใช้ต้นไอเทมร่วมกันอีกที
ส่วนเรื่องของฮั่วสวี่ ถังหลิ่นไม่ได้บอกฉงเยวี่ย นั่นก็เพราะเขายังไม่ได้ติดต่อกับอีกฝ่าย อันที่จริงเรื่องนี้เขาเองก็ไม่มีความมั่นใจเลยแม้แต่น้อย
หลังจากพูดคุยกันพอสมควรแล้วถังหลิ่นก็ลุกขึ้นขอตัวลา บอกฉงเยวี่ยให้พักผ่อนให้ดีๆ และที่สำคัญไปกว่านั้นคือนับแต่นี้เป็นต้นไปเขาต้องระมัดระวังตัวให้มาก ห้ามเปิดประตูรับใครเข้ามาง่ายๆ อีก
ฉงเยวี่ยเพิ่งจะไปเดินเล่นแถวปากประตูนรกมา ไหนเลยยังจะต้องให้ถังหลิ่นกำชับอีก
“อีกเดี๋ยวผมจะปิดประตูลงกลอนให้แน่นหนา!”
ถังหลิ่นนึกยินดี “ต้องรู้จักระแวดระวังตัวแบบนี้ไว้ให้ตลอด”
หลังส่งถังหลิ่นจากไป ในห้องก็เงียบเหงาขึ้นมาอีกครั้ง
รอยยิ้มบนใบหน้าของฉงเยวี่ยค่อยๆ จางหายไป เขากลับไปนั่งลงบนโซฟา เหม่อมองโคมแขวนอยู่นาน
การที่ฉีฮว่าลงมือฆ่าเขามันไม่มีความหมายเลยแม้แต่น้อย แล้วทำไมอีกฝ่ายถึงยังทำ
ปัญหาข้อนี้ถูกคำเชิญของถังหลิ่นขัดจังหวะ
เขารู้ว่าอีกฝ่ายจงใจ เพราะแม้แต่ตัวเขาเองก็ยังครุ่นคิดเข้าใจในเรื่องนี้ได้ เชื่อว่าคนฉลาดอย่างถังหลิ่นคงเข้าใจได้ตั้งแต่พบว่าฉีฮว่าปลอมตัวเข้ามาในห้องของเขาแล้ว
แต่ไหนแต่ไรมาคนที่ต้องการเอาชีวิตเขาก็ไม่ใช่ฉีฮว่า แต่เป็นกลุ่มหวนเซียงถวน
การตายของเขาคือจุดจบของคนที่คิดทรยศถอนตัวออกจากกลุ่ม ถ้ามีสมาชิกกลุ่มหน้าไหนที่กล้าหวั่นไหวไปกับการยื่นใบลาออกของเขา นี่ก็คือ ‘การเชือดไก่ให้ลิงดู’
แต่ไหนแต่ไรผู้ดูแลกลุ่มก็ไม่เคยสนใจว่าคนที่เข้ามาทำเควสต์ฝ่าด่านจะเพิ่มหรือลด ที่เขาสนใจมีเพียงศักดิ์ศรีหน้าตาและขวัญกำลังใจที่มั่นคงของคนในกลุ่มหวนเซียงถวนที่อยู่ในเขตรวมพลแห่งนี้เท่านั้น
ฉงเยวี่ยมั่นใจว่าถังหลิ่นรู้ว่าเขาเองก็ดูออก แต่ถังหลิ่นเลือกที่จะไม่พูด ซ้ำยังจงใจใช้การเชื้อเชิญให้เขาเข้าร่วมกลุ่มเบี่ยงเบนหัวข้อสนทนา
เห็นอยู่ชัดๆ ว่าถ้าแฉเรื่องนี้ออกมา การเชื้อเชิญเขาเข้าร่วมกลุ่มย่อมไม่ใช่เรื่องยาก แถมยังสามารถอ้างเรื่องแล้งน้ำใจของกลุ่มหวนเซียงถวนมายกกลุ่ม VIP ให้ดูดีขึ้น ทว่าถังหลิ่นกลับไม่พูดถึงมันแม้แต่คำเดียว
เพราะถ้าพูดออกมานั่นย่อมทำให้เขาลำบากใจ ทำให้ช่วงเวลาที่เขาจงรักภักดีต่อกลุ่มหวนเซียงถวนกลายเป็นเรื่องน่าขัน
ทันใดนั้นจู่ๆ เขาก็นึกอิจฉาสมาชิกกลุ่มของถังหลิ่น อิจฉาหนานเกอ อิจฉาเจิ้งลั่วจู๋
หัวหน้ากลุ่มที่เอาใจใส่แม้แต่กับคนนอก กับพรรคพวกของตนเองย่อมยิ่งใส่ใจมากขึ้นไปอีก
ถังหลิ่นกลับมาที่ห้องของตัวเอง ในหัวยังคงคิดถึงเรื่องของฉงเยวี่ย
ถึงแม้ว่าการเข้าร่วมกลุ่มของฉงเยวี่ยจะตกลงกันเป็นที่เรียบร้อย แต่อย่างไรกลุ่มหวนเซียงถวนก็คงไม่ยอมรามือง่ายๆ แน่ เขารู้สึกอยู่ตลอดเวลาว่าควรหาเวลาไปพูดคุยกับผู้ดูแลกลุ่มหวนเซียงถวนในเขตรวมพลตามลำพังสักครั้ง ด้านหนึ่งเพื่อให้อีกฝ่ายเข้าใจว่าในเวลานี้ฉงเยวี่ยมีกลุ่ม VIP คุ้มครองอยู่ อย่าได้คิดลงมือกับฉงเยวี่ยเด็ดขาด ส่วนอีกด้านก็เพื่อให้ทางนั้นสบายใจว่าเรื่องฉงเยวี่ยถอนตัวออกจากกลุ่มหวนเซียงถวนมาเข้ากลุ่ม VIP นี้ ทางกลุ่ม VIP จะไม่โพนทะนาออกไปเด็ดขาด
ถ้าผู้ดูแลกลุ่มหวนเซียงถวนฉลาดพอก็น่าจะรู้ว่าการที่ทั้งสองฝ่ายเก็บเรื่องนี้ไว้เงียบๆ ย่อมเป็นทางออกที่ดีที่สุด ถึงตอนนั้นคนเก่าไปจากเขตรวมพล คนใหม่เข้ามาเสริม เรื่องนี้ย่อมผ่านพ้นไปได้โดยไม่มีใครสนใจ
ตอนหนานเกอถ่ายทอดเสียงมา ถังหลิ่นกำลังคิดว่าจะสร้างโอกาส ‘พูดคุยส่วนตัว’ กับผู้ดูแลกลุ่มหวนเซียงถวนอย่างไร ควรจะไปเยี่ยมเยือนอีกฝ่ายตรงๆ หรือแสร้งทำเป็นบังเอิญเจอกันดี
“หัวหน้า…”
เสียงจาก ‘ตราตรึงไม่รู้ลืม’ นี้แฝงไว้ซึ่งบรรยากาศพิลึกพิลั่น
ถังหลิ่นรับรู้ได้ถึงไอเย็นที่แผ่ซ่านผ่านแผ่นหลัง
“ดูห้อง…”
แล้วต่อด้วย
“ของฉัน…”
จะพูดต่อกันรวดเดียวจบไม่ได้หรือไง ต้องใช้จังหวะราวกับน้ำเสียงของปีศาจสาวแบบนี้ด้วยเหรอ!
ถังหลิ่นให้นกเค้าแมวเปลี่ยนภาพบนจอไปยังห้องหมายเลข 4033 หนานเกอกำลังนั่งยิ้มหวานให้เขาอยู่ภายในห้องรับแขก
เห็นได้ชัดว่า ‘การทำให้หัวหน้ากลุ่มตกใจ’ คือความบันเทิงประการหนึ่ง
ถังหลิ่นรู้สึกเหนื่อยใจ “ผมรู้ว่าต้นไอเทมของคุณยกระดับขึ้นอีกขั้นแล้ว ไม่ต้องเห็นคนก็สามารถ ‘ถ่ายทอดเสียง’ ได้ แต่เวลาถ่ายทอดเสียงมา คุณพอจะพูดให้เร็วอีกสักหน่อย มีชีวิตชีวาอีกสักนิดได้หรือเปล่า”
หลังจากสนุกพอแล้วหนานเกอก็เปลี่ยนเป็นจริงจัง “ทางฉงเยวี่ยเป็นอันตกลงกันเป็นที่เรียบร้อยแล้วสินะ”
ถังหลิ่นรู้สึกประหลาดใจ “คุณรู้แล้วงั้นเหรอ”
นี่มันเส้นทางข่าวสารความเร็วแสงอะไรกัน
“เมื่อกี้ฉันนึกอยากดูสถานการณ์ของเจ้าอ้วนเยวี่ยสักหน่อย นึกไม่ถึงว่าจะเห็นคุณผ่านเข้าประตูห้องของเขาไปพอดี เลยได้เห็นเหตุการณ์ทั้งหมด” หนานเกออธิบาย
ถึงถังหลิ่นจะเอาความรับผิดชอบเรื่องการจับตาดูฉงเยวี่ยกับฮั่วสวี่ไว้กับตัว แต่หนานเกอก็ยังอาศัยช่วงเวลาสั้นๆ ระหว่างการฝึกซ้อมจับตาดูคนทั้งสองด้วยเช่นกัน
เขานึกไม่ถึงว่าพรรคพวกของเขาจะช่วยเขาใส่ใจกับเรื่องดังกล่าว ถังหลิ่นรู้สึกอบอุ่นใจขึ้นมาเล็กๆ เขายิ้มให้หนานเกออย่างเป็นธรรมชาติ
นึกไม่ถึงว่าหนานเกอกลับถอนหายใจออกมาคราวหนึ่ง “หัวหน้า เมื่อกี้คุณยิ้มให้ฉงเยวี่ยแบบนี้ ตอนนี้ก็ยังยิ้มให้ฉันแบบนี้อีก ถ้าคุณยังหว่านเสน่ห์แบบนี้ไปเรื่อยๆ ล่ะก็ ประธานฟั่นต้องได้มาเยือนแน่”
ถังหลิ่นตะลึง เกือบหันหน้ามองกลับไปที่ประตูแล้ว โชคดีที่สุดท้ายเขายังสะกดกลั้นตัวเองเอาไว้ได้ ไม่ได้ปล่อยให้ท่าทีของหัวหน้ากลุ่มพังทลาย
แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังคงรู้สึกกังวล พยายามควบคุมตัวเองไม่ให้ไปคิดถึงเรื่องดังกล่าว ตอนนี้ฟั่นเพ่ยหยางน่าจะไม่ได้กำลังดูห้องของเขาอยู่หรอกใช่ไหม
“วางใจเถอะ” เพราะดูออกถึงความรู้สึกลำบากใจของอีกฝ่าย หนานเกอจึงเอ่ยปากรายงานข่าวให้ถังหลิ่นฟังด้วยความปรารถนาดี “ประธานฟั่นกำลังรับซื้อไอเทมอยู่ เมื่อกี้ตอนขึ้นมาฉันเห็นเข้าพอดี”
ถังหลิ่นรู้สึกโล่งอก แต่ไม่นานเขาก็คิดขึ้นมาอีก ทำไมต้องกระวนกระวายด้วย เขาไม่ได้ทำเรื่องผิดต่อชาวบ้านเสียหน่อย แล้วทำไมต้องกลัวถูกฟั่นเพ่ยหยางเห็นด้วย
หลังจากครุ่นคิดอย่างใจลอยอยู่ครึ่งค่อนวันถังหลิ่นก็บังเอิญเงยหน้าขึ้น เห็นหนานเกอเท้าคางยิ้มมองเขาคล้ายเห็นอะไรบางอย่างน่าสนใจ
“คุณยิ้มอะไร” ถังหลิ่นไม่เข้าใจ
หนานเกอบอก “คุณดูอ่อนโยนลงแล้ว”
ถังหลิ่นตะลึงไปชั่วขณะ ก่อนจะเอ่ยถามต่อว่า “ก่อนหน้านี้ผมไม่อ่อนโยน?”
ตอนเขายังอยู่ในบริษัท บางทีเขาอาจถูกพวกพนักงานเข้าใจว่าเป็นคนอารมณ์ดี เวลาพบเจอคนล้วนยิ้มให้
“แน่นอนว่าไม่ใช่” หนานเกอทำลายจินตนาการของหัวหน้ากลุ่มตัวเองอย่างไม่ปรานีปราศรัย “ตอนเผชิญหน้ากับ ‘ปริศนาสฟิงซ์’ ที่นครใต้พิภพ คุณมาขอให้ฉันช่วย ฉันถามย้อนกลับไปว่า ‘ทำไมฉันต้องช่วยเพื่อนคุณด้วย’ ตอนนั้นคุณตอบฉันว่าอะไร”
หนานเกอไม่สนใจกับสายตาปฏิเสธของหัวหน้ากลุ่มตัวเองเลยแม้แต่น้อย เธอกระแอมออกมาคำหนึ่ง สีหน้าท่าทางรวมไปถึงน้ำเสียงล้วนเย็นชา กลายร่างเป็นถังหลิ่นในเวลานั้นอย่างสมบูรณ์แบบ “ไม่มีเหตุผล คุณจะปฏิเสธก็ได้ แต่ช่วยรีบให้คำตอบผมหน่อย เวลามีจำกัด ผมยังต้องคิดหาวิธีอื่นอีก”
ถังหลิ่น “…”
การถูกคนกันเองรื้อฟื้นเรื่องราวในอดีตที่ไม่น่าจดจำถึงกับทำคนตายได้เลยทีเดียว
“ตอนนั้นฉันคิดว่าคนคนนี้เย็นชาจริงๆ ไม่เหมาะกับใบหน้าหล่อๆ นั่นเลยสักนิด” หนานเกอยังคงจมอยู่ท่ามกลางความทรงจำอัน ‘งดงาม’ นั่น “แต่หลังจากได้เข้าร่วมกลุ่ม VIP แล้วได้เจอกับประธานฟั่น…”
เพราะมีการเปรียบเทียบ ถึงได้รู้ว่าอบอุ่น
ทุกสิ่งล้วนไม่จำเป็นต้องพูด
ความคิดอ่านของถังหลิ่นถูกหนานเกอดึงกลับไปยังนครใต้พิภพ เห็นอยู่ชัดๆ ว่าเป็นความทรงจำเมื่อไม่นานมานี้ แต่เขากลับรู้สึกเหมือนมันเป็นเรื่องในอดีตที่แสนยาวไกล “ตอนนั้นผมเพิ่งเข้ามาในด่าน ยังไม่คุ้นเคย ความจริงผมรู้สึกกังวลมาก เส้นประสาททั่วทั้งร่างล้วนตึงเขม็ง”
หนานเกอส่ายหน้า “ก็ใช่ว่าจะเป็นเพราะวิตกกังวลเสียทั้งหมด คุณในเวลานั้น…ฉันเองก็ไม่รู้ว่าควรพูดยังไงดี มันคล้ายกับเปลือกหอยอะไรทำนองนั้น คุณเข้าใจหรือเปล่า เปลือกหอยที่ปิดสนิท”
พรรคพวกของตนเองไม่เพียงแค่พูดเฉยๆ เท่านั้น แต่ยังเปรียบเทียบราวกับกลัวว่าเขาจะฟังไม่เข้าใจ
ถังหลิ่นก่ายหน้าผาก คำอธิบายนี้เขารับไม่ได้จริงๆ
“แต่ตอนนี้เปิดออกแล้ว” หนานเกอสรุป ทั้งยังไม่ลืมพูดชดเชยบาดแผลก่อนหน้านี้ “เป็นการแปรผันตรงระหว่างความหล่อเหลากับความอ่อนโยน”
ถังหลิ่น “…ขอบคุณสำหรับคำยกย่อง”
หนานเกอรู้สึกเป็นสุข เธอจงใจชำเลืองมองถังหลิ่นด้วยสายตาคลุมเครือพลางเอ่ยว่า “โชคดีที่หากุญแจเปิดหัวใจของคุณพบ…”
“ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับฟั่นเพ่ยหยาง” ถังหลิ่นปฏิเสธออกมาโดยไม่แม้แต่จะหยุดคิด “ผมในเวลานั้นหนึ่งคือยังปรับตัวไม่ได้ สองยังไม่คุ้นเคยกับพวกคุณ แต่ตอนนี้ในเมื่อคุ้นเคยแล้วก็ย่อมต้อง…”
“หัวหน้า กุญแจที่ฉันพูดถึงคือดีมอส หลังจากที่เขา ‘สำรวจความหวาดกลัว’ คุณก็เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง” หนานเกอกล่าวพร้อมรอยยิ้มซุกซน “ดูเหมือนว่าคุณจะคิดมากเกินไปแล้ว…”
ถังหลิ่น “…”
กับดักมาถี่จนยากเกินกว่าจะป้องกันได้จริงๆ
ติ๊ง…
เสียงข้อความเตือนดังขึ้นอยู่ภายในห้องทั้งสอง
ถังหลิ่นกับหนานเกอต่างชะงักงัน ครั้นมองเห็นข้อความบนแขนชัดเจน ทั้งคู่ก็อดนึกประหลาดใจไม่ได้
[โน้ตย่อ : ด่าน 4/10 จะเปิดหลังจากนี้อีกหกวัน ขอให้คนที่เข้ามาทำเควสต์ฝ่าด่านเตรียมตัวให้พร้อม และเมื่อถึงเวลาให้ดำเนินตาม ‘แผนที่’]
นี่เป็นครั้งที่สองที่พวกเขาได้รับข่าวสารเกี่ยวกับการเปิดด่าน
ครั้งแรกคือเมื่อวาน ข่าวแจ้งว่าการเปิดด่านจะเกิดขึ้นหลังจากนี้อีกเจ็ดวัน ครั้งที่สองคือตอนนี้ วันเวลาเปลี่ยนเป็นหกวัน
เรื่องราวเช่นนี้ตอนอยู่ในนครใต้พิภพกับโลกใต้บาดาลพวกเขาไม่เคยเจอมาก่อน ข่าวเรื่องการเปิดด่านถูกแจ้งให้ทราบเฉพาะตอนเจ็ดวันก่อนเปิดด่านเพียงครั้งเดียวเท่านั้น
การช่วยพวกเขานับเวลาถอยหลังแบบนี้ของ ‘โน้ตย่อ’ ชวนให้รู้สึกรีบเร่ง คล้ายมีอะไรบางอย่างผลักดันพวกเขาให้รีบเข้าไปทำเควสต์ฝ่าด่าน
ส่วน ‘แผนที่’ ตอนเอาชีวิตรอดอยู่บนเกาะร้างพวกเขาเคยพบเห็นมันมาก่อน ทว่าเรื่องที่มันมาปรากฏให้เห็นอยู่ในข้อความเตือนแบบนี้ นี่นับเป็นครั้งแรก
ถังหลิ่นแตะเปิด ‘แผนที่’ ที่เมื่อวานเขาเพิ่งดูไปขึ้นอีกครั้ง
ม้วนแผนที่สามมิติค่อยๆ ปรากฏขึ้นกลางอากาศ
ที่อยู่ด้านล่างสุดคือทะเล แสงอาทิตย์เล็กละเอียดปรากฏอยู่บนคลื่นน้ำที่กำลังกระเพื่อมไหว
สิ่งปลูกสร้างรูปทรงสี่เหลี่ยมริมหาดที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกลคือเขตรวมพล
เหนือขึ้นไปจากเขตรวมพลคือผืนดินกว้างใหญ่ มีที่ราบ มีป่า มีแม่น้ำลำธาร นอกจากนี้ยังมีทะเลทราย ห้วยหนองคลองบึง และอะไรบางอย่างที่มีรูปทรงแปลกๆ ซึ่งตอนนี้ยังบอกไม่ได้แน่ชัดว่าคืออะไร
ที่ปลายสุดของผืนแผ่นดินคือภูเขาสูงที่มองไม่เห็นยอด มองไม่เห็นจริงๆ เนื่องจากยอดเขาถูกหมอกหนาปกคลุมไว้หมดสิ้น หนำซ้ำตัวภูเขาเองก็ตั้งอยู่ส่วนบนสุดของแผนที่ ดังนั้นที่ปลายสุดของแผนที่จึงมองเห็นแค่หมอกขาวปกคลุมไปทั่วบริเวณ
ทว่าที่เชิงเขากลับสามารถมองเห็นได้ชัดแจ้ง เพราะที่นั่นมีเครื่องหมายเด่นชัดสะดุดตากำกับไว้ว่า ‘ผ่านด่าน 4/10’
ออกจากเขตรวมพล เดินทางข้ามผ่านผืนแผ่นดินกว้างใหญ่ไปถึงเชิงเขา เท่านั้นก็ถือว่าผ่านด่านสำเร็จ
แผนที่ระบุไว้ชัดแจ้ง
เพียงแต่ไม่รู้ว่าทำไมถังหลิ่นถึงได้นึกอยากปัดหมอกพวกนั้นออก เพื่อจะได้ดูยอดเขาที่อยู่สูงขึ้นไปทางด้านบนนั้น
สัญชาตญาณบอกกับเขาว่าที่ปรากฏอยู่บนแผนที่ฉบับนี้ยังไม่ใช่โฉมหน้าทั้งหมดของมัน