everY
ทดลองอ่าน พ้นเที่ยงคืนกลืนมิติ เล่ม 5 บทที่ 149-150 #นิยายวาย
บทที่ 150
เงาร่างหมาป่าแกะรอย
ม่านราตรีปกคลุม จันทร์กระจ่างดวงดาวพร่าเลือน
ห้องนอนทุกห้องภายในเขตรวมพลล้วนมีหน้าต่างยาวจรดพื้นอยู่ด้านหนึ่ง นอกหน้าต่างคือที่ราบกว้างใหญ่ซึ่งปรากฏอยู่บนแผ่นที่ด่าน 4/10 ตอนแสงอาทิตย์เจิดจ้า หากยืนอยู่หน้าหน้าต่างจะสามารถมองเห็นเส้นขอบฟ้าไกลลิบ
นี่เป็นคืนที่สามของการเข้ามาอยู่ในเขตรวมพล ถังหลิ่นเริ่มเคยชินกับการแค่พลิกตัวก็มองเห็นท้องฟ้าดารดาษไปด้วยดวงดาวด้านนอกนั่นแล้ว น่าเสียดายก็แต่ไม่อาจสัมผัสกับสายลมยามค่ำคืนได้ เพื่อให้ทางเข้าด่านกลายเป็นเส้นทางเข้าสู่แผ่นดินใหญ่ด่าน 4/10 เพียงหนึ่งเดียว หน้าต่างภายในห้องจึงไม่สามารถเปิดได้ ไม่ว่าจะออกแรงทุบทำลายอย่างไรก็ไม่มีประโยชน์
ถังหลิ่นปิดไฟหัวเตียงสีฟ้าอ่อน ภายในห้องมืดสนิท เหลือเพียงแสงจันทร์สลัวรางที่ลอดผ่านหน้าต่างเข้ามาบริเวณข้างเตียง
ดึกแล้ว ถังหลิ่นถอนหายใจเบาๆ ออกมาคราวหนึ่ง ขยับตัวเลือกท่าที่สบายที่สุดเตรียมเข้านอน…
ตึงๆๆ!
ดึกดื่นเที่ยงคืนผีที่ไหนมาทุบประตู
ความรู้สึกง่วงนอนของถังหลิ่นถูกทำลายเป็นที่เรียบร้อย
รบกวนการนอนของชาวบ้านนับเป็นหนึ่งในการกระทำต่ำช้าที่ยากเกินกว่าจะให้อภัย แต่วันนี้ถังหลิ่นกลับไม่นึกโกรธเลยแม้แต่น้อย เขาถึงกับรีบชักเท้าตรงไปเปิดประตูอย่างไม่รู้ตัว
เหตุผลไม่มีอะไรไหนอื่น นอกเสียจากคนที่มาเคาะประตูในเวลานี้ คิดไปคิดมาก็คงมีเพียงคนเดียวเท่านั้น
ถังหลิ่นเดินผ่านห้องรับแขกไปถึงหน้าประตูอย่างรวดเร็ว
เสียงเคาะประตูยังคงดังต่อเนื่อง อันที่จริงอีกฝ่ายไม่ได้ออกแรงอะไร เป็นเสียงเคาะประตูธรรมดาๆ แต่เพราะตอนกลางคืนบรรยากาศเงียบสงัด จึงทำให้เสียงฟังดูชัดเป็นพิเศษ จังหวะเคาะที่ดังต่อเนื่องไม่หยุดนั้นเผยให้เห็นถึงความรู้สึกร้อนรนของคนที่มา
ถังหลิ่นเปิดประตู เผชิญกับใบหน้าของพรรคพวกตนเอง เขายิ้มหยอกเย้า “ยินดีต้อนรับกลับมา”
มือของเจิ้งลั่วจู๋ยังคงค้างอยู่กลางอากาศ เขาชะงักไปชั่วขณะ ก่อนจะลูบจมูกตัวเองด้วยท่าทางกระอักกระอ่วน “หัวหน้า ตอนแรกผมตั้งใจว่าพรุ่งนี้ค่อยมาหาคุณ แต่ว่า…”
แต่ว่าสุดท้ายเขากลับทนรอไม่ไหว ที่จริงเขากลับมาถึงตั้งแต่เมื่อครึ่งชั่วโมงก่อน ขนาดนั่งอยู่ในห้องของตัวเองก็ยังนั่งไม่ติด เอนหลังล้มตัวลงนอนก็ยังไม่ได้ เดินวนไปรอบห้องแล้วก็ยังคงข่มใจไม่สำเร็จ สำหรับเรื่องนี้ความอดทนอดกลั้นทั้งหลายทั้งปวงที่มีล้วนเปราะบางเป็นที่สุด
“ฉันเข้าใจ” ถังหลิ่นไม่แม้แต่จะอ้อมค้อม เขายื่นมือไปหาอีกฝ่าย “เอาของมาให้ฉันสิ”
เจิ้งลั่วจู๋สองตาเบิกกว้าง เขาตกใจจริงๆ “คุณรู้ได้ยังไง”
เขายื่นมือซ้ายที่ไพล่อยู่ด้านหลังตลอดออกมา ที่อยู่ในมือคือสมุดบางๆ ที่ถูกม้วนเป็นทรงกระบอก
ถังหลิ่นรับสมุดเล่มนั้นไว้ก่อนจะเปิดมันดู นั่นเป็นสมุดการบ้านที่เต็มไปด้วยร่องรอยของกาลเวลา
ที่อยู่ทางด้านล่างของปกสมุดคือตัวอักษรงดงามเป็นระเบียบ ‘ปีสามห้องหก ซือฟางเจ๋อ’
“นับแต่นายรู้ว่าต้นไอเทมของฉันคือ ‘เงาร่างหมาป่าแกะรอย’ ใจของนายก็ไม่เคยสงบ” ถังหลิ่นปิดประตู นำสมุดการบ้านกับพาพรรคพวกของตนเองไปที่ห้องรับแขก “สัมพันธภาพทางสังคมของนายในเวลานี้แทบจะเรียกได้ว่าศูนย์ ทันทีที่เข้ามาถึงเขตรวมพลนายก็รีบร้อนจะกลับไปยังโลกแห่งความเป็นจริง นอกจากต้องการเอาของของเพื่อนสนิทมาให้ฉันช่วยตามหาแกะรอยให้แล้ว ฉันก็คิดไม่ออกอีกว่ายังมีเรื่องอะไรที่ทำให้นายร้อนรนได้ขนาดนี้”
นี่ไม่ใช่ถังหลิ่น นี่มันเทพเจ้าชัดๆ
เจิ้งลั่วจู๋ยอมศิโรราบ “หัวหน้า คุณน่ากลัวจริงๆ…”
“ถ้านายจะยกยอกันแบบนี้ ก็อย่าเลยจะดีกว่า” ถังหลิ่นกระเซ้า ยืนอยู่บนพื้นที่ว่างข้างโซฟา ก้มหน้ามองดูสมุดการบ้านในมือ
“นี่เป็นสมุดของเขาตอนอยู่ ม.สาม” เจิ้งลั่วจู๋เอ่ยปากถามด้วยน้ำเสียงค่อนข้างเป็นกังวล “เวลานานเกินไปใช่หรือเปล่า…”
เดิมเขาตั้งใจจะไปหาของของซือฟางเจ๋อที่ใหม่กว่านี้สักหน่อย อย่างเช่นเสื้อผ้าหรือข้าวของเครื่องใช้หลังเข้ามหาวิทยาลัยอะไรพวกนั้น เขารู้ว่าคุณน้าคุณอาเก็บข้าวของของลูกตัวเองไว้เป็นอย่างดี
ทว่าเขาเองก็เป็นกังวลกลัวว่าการที่จู่ๆ ตัวเองก็โผล่ไปเยี่ยมแบบนั้นอาจสร้างผลกระทบต่อชีวิตของอีกฝ่าย ตลอดสองสามปีมานี้กว่าที่คุณน้าคุณอาทั้งสองจะยอมรับความจริงเรื่องที่ลูกของตัวเองหายสาบสูญไปได้ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย วันเวลาเพิ่งสงบนิ่งได้ไม่นาน เขากลัวว่าการปรากฏตัวของเขาอาจก่อให้เกิดคลื่นลูกใหม่ขึ้นมาอีก กลัวว่าการที่ตัวเองไปขอข้าวของของซือฟางเจ๋ออาจทำให้อีกฝ่ายคิดมาก
คนเป็นพ่อเป็นแม่ล้วนมีความรู้สึกฉับไว ถ้าพวกเขาสังเกตเห็นสิ่งผิดปกติ ความหวังย่อมลุกโชนขึ้นมาอีกครั้ง ทว่าสุดท้ายแล้วหากเขาไม่อาจหาตัวซือฟางเจ๋อกลับมาได้ การที่ต้องได้รับความกระทบกระเทือนทางจิตใจซ้ำสองจะส่งผลต่อคนทั้งคู่แบบไหน เจิ้งลั่วจู๋ไม่กล้าแม้แต่จะคิด
หลังจากครุ่นคิดไปมาสุดท้ายเขาก็หยิบเอาข้าวของของซือฟางเจ๋อที่ตัวเองมีอยู่เพียงชิ้นเดียวนั่นกลับมา
คาดว่าจนถึงตอนนี้ซือฟางเจ๋อก็คงไม่รู้ว่าตอนนั้นทำไมตัวเองรื้อกระเป๋านักเรียนหาแทบตาย แต่ก็หาสมุดการบ้านเล่มนี้ไม่พบ
ถูกแล้ว เขาเป็นคนซ่อนมันเอาไว้เอง เรื่องนี้มันก็แค่แผนการชั่วร้ายไร้เดียงสาของพวกเด็กๆ เท่านั้น เขาก็แค่อยากรู้ว่าเมื่อไม่มีการบ้านส่ง ซือฟางเจ๋อเด็กดีของคุณครูจะถูกตำหนิอะไรบ้างหรือเปล่า
สุดท้ายคุณครูต่อว่าซือฟางเจ๋อหรือเปล่าเขาเองก็จำไม่ได้แล้ว รู้แต่ว่าสมุดการบ้านเล่มนี้เขาไม่เคยมีโอกาสได้คืนอีกฝ่าย
“นานมากแล้วจริงๆ อีกอย่างหลังจากนั้นมันยังอยู่ในมือนายมาโดยตลอด ฉันเองก็ไม่กล้ารับรองว่าเงาร่างหมาป่าจะสามารถแยกแยะแกะรอยได้สำเร็จหรือเปล่า” น้ำเสียงของถังหลิ่นลากเจิ้งลั่วจู๋กลับจากภวังค์ “เอาเป็นว่าฉันจะพยายามอย่างสุดความสามารถก็แล้วกัน”
เจิ้งลั่วจู๋พยักหน้าหนักแน่น “ขอบคุณครับหัวหน้า”
ถังหลิ่นรวบรวมสมาธิ ใจจดจ่ออยู่กับสมุดการบ้านเล่มนั้น เขาหลับตาและค่อยๆ เชื่อมต่อเข้ากับ ‘เงาร่างหมาป่าแกะรอย II’
นี่เป็นต้นไอเทมระดับสี่ที่เขาเพิ่งได้มาใหม่ สองวันนี้เขาเคยลองใช้มันกับข้าวของของหนานเกอและฟั่นเพ่ยหยาง มันสามารถล็อกเป้าหมายได้เร็วกว่าและแม่นยำกว่า ‘เงาร่างหมาป่าแกะรอย’
บรรยากาศภายในห้องรับแขกเปลี่ยนเป็นเงียบเชียบ
เจิ้งลั่วจู๋พยายามควบคุมลมหายใจของตนเอง เพราะกลัวว่ามันจะไปรบกวนถังหลิ่น ทว่าใจที่เต้นราวกับกลองรัวของเขากลับดังมากขึ้นทุกที
หมอกดำกลุ่มหนึ่งปรากฏขึ้นกลางอากาศ มันรวมตัวกันและเผยให้เห็นโครงร่างของหมาป่าอยู่ตรงหน้าถังหลิ่น
หลังจากนั้นจู่ๆ เงาร่างหมาป่าก็พุ่งไปที่ประตูห้อง ครั้นเจอบานประตูกั้นขวาง มันก็กลายร่างเป็นหมอกดำมุดลอดผ่านช่องว่างออกไปอย่างรวดเร็ว
เจิ้งลั่วจู๋ตื่นเต้นจนควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่อยู่ แต่ขณะเดียวกันก็กลัวจะดีใจเก้อ จึงเอ่ยปากถามด้วยความกระวนกระวายว่า “หา…หาพบแล้ว?!”
ถังหลิ่นลืมตา ไม่ได้ตอบ ทำเพียงหันหลังวิ่งไล่ตามไป
เจิ้งลั่วจู๋เองก็รีบตามไปติดๆ
ครั้นเปิดประตูห้องพวกเขาก็พบว่าเงาร่างหมาป่ากำลังยืนอยู่นอกประตูคล้ายกำลังรอพวกเขา
ทันทีที่เห็นถังหลิ่นออกมา เงาร่างหมาป่าก็กระโจนผ่านราวกั้น กลายร่างเป็นหมอกดำและค่อยๆ ลอยจากชั้นเก้าลงไปยังโถงใหญ่บริเวณชั้นหนึ่ง
เจิ้งลั่วจู๋เองก็คิดจะกระโจนผ่านราวกั้นไปเช่นกัน
โชคดีที่ถังหลิ่นมือไวตาไว คว้าคอเสื้อทางด้านหลังของอีกฝ่ายไว้ได้ทัน “นายคิดว่าตัวเองเหาะเหินเดินอากาศได้หรือไง ขึ้นลิฟต์”
เวลาดึกลิฟต์ไม่มีคนใช้ ไม่นานมันก็ส่งพวกเขาลงไปถึงชั้นหนึ่ง
พอเดินออกจากลิฟต์พวกเขาก็มองเห็นเงาร่างหมาป่า มันดีอกดีใจวิ่งตรงไปยังอีกด้านของโถงใหญ่รวดเร็ว หากพวกเขาช้าอีกเพียงนิดเดียว มันคงหายลับไปจากสายตาแล้ว
ถังหลิ่นกับเจิ้งลั่วจู๋วิ่งไล่ตามเงาร่างหมาป่าตัดผ่านโถงใหญ่มาถึงหน้าประตูกระจกที่อยู่ปลายสุดของอีกฟาก
ประตูบานดังกล่าวเป็นประตูทรงโค้งสูงใหญ่ ดูไม่ต่างอะไรกับประตูทางเข้าสวนดอกไม้ของปราสาท
ทว่าที่อยู่ทางด้านนอกไม่ใช่สวนดอกไม้แต่เป็นด่าน 4/10
‘เงาร่างหมาป่าแกะรอย’ พาพวกเขามาถึงยังประตูทางเข้าด่าน 4/10
ที่น่าประหลาดใจไปกว่านั้นคือคนที่ยืนอยู่หน้าประตูคือเหอลวี่
เหอลวี่นึกไม่ถึงว่าดึกขนาดนี้แล้วยังจะมีคนพาสัตว์เลี้ยงมาเดินเล่นที่หน้าประตูด่านแบบนี้ เขามองดูคนสองคนกับหมาป่าตัวหนึ่งด้วยสายตางุนงงพลางถาม “พวกนาย…”
หน้าประตูด่านก็ดี เหอลวี่ก็ช่าง เงาร่างหมาป่าไม่สนใจเรื่องนี้เลยแม้แต่น้อย มันรู้แต่ว่าต้องสะกดรอย ทว่าประตูกระจกขวางมันไว้ ไม่ว่ามันจะกลายร่างเป็นหมอกดำเพื่อหาช่องว่างหรือกลายร่างเป็นเงาร่างหมาป่าพุ่งกระแทกเข้าใส่ ประตูกระจกก็ไม่ขยับเลยแม้แต่น้อย ดังนั้นมันจึงยิ่งออกอาการกระวนกระวาย ส่งเสียงร้องออกมาคล้ายน้อยอกน้อยใจ
ถังหลิ่นรีบเข้าไปลูบหัวมัน
เงาร่างหมาป่าถือโอกาสประจบ ถูไถเข้ากับอ้อมอกของถังหลิ่น ไม่ไปไหนอีก
เหอลวี่มองดูภาพที่ปรากฏอยู่ตรงหน้า จู่ๆ เขาก็รู้สึกอิจฉา บางทีอาจเพราะคืนค่ำเงียบสงัดทำคนซาบซึ้งได้ง่าย เขาครุ่นคิดจริงจังว่าหลังจากเข้าไปในด่าน 4/10 หรือดินแดนด้านนอกนั่นแล้ว เขาจะดูซิว่าจะพอหาแมวป่าอะไรจำพวกนั้นได้บ้างหรือเปล่า ถึงตอนนั้นเขาจะใช้ปลาตากแห้งล่อมันมาเลี้ยงสักตัว
“พวกเรากำลังตามหาคน” เห็นถังหลิ่นไม่มีทีท่าจะตอบเหอลวี่แบบนั้น เจิ้งลั่วจู๋ก็รู้ว่าหัวหน้ากลุ่มของตัวเองไม่อยากเล่าเรื่องส่วนตัวของเขาให้คนอื่นฟัง ทว่าแค่บอกว่าหาคนมีอะไรที่จะพูดไม่ได้ ใช่ว่าต้องบอกเล่าที่มาที่ไปทั้งหมดให้อีกฝ่ายรู้เสียหน่อย
หาคน?
เหอลวี่ไม่ค่อยเข้าใจนัก แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่ได้ถามไถ่อะไร เพราะไม่ว่าอย่างไรเรื่องนี้ก็เป็นเรื่องของชาวบ้านไม่ใช่ธุระกงการอะไรของเขา
“จู๋จื่อ” ในเมื่อสมาชิกกลุ่มของตัวเองไม่รังเกียจ ถังหลิ่นจึงพูดออกมาตรงๆ “ถ้าสมุดการบ้านเล่มนั้นคนที่เคยครอบครองมีก็แค่นายกับเขา เช่นนั้นเป้าหมายที่เงาร่างหมาป่าเล็งไว้ย่อมต้องเป็นเขา ไม่มีทางผิดพลาดแน่ เพียงแต่ตอนนี้อีกฝ่ายอยู่นอกเขตรวมพล”
หัวใจของเจิ้งลั่วจู๋เต้นรัวจนแทบกระเด็นกระดอนออกจากปาก น้ำเสียงสั่นสะท้านแผ่วเบาอย่างไม่อาจควบคุม “ด่าน 4/10 งั้นเหรอ…”
ถังหลิ่นไม่อยากสาดน้ำเย็น* ใส่อีกฝ่าย แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังคงพูดออกมาตามตรง “ด้านนอกอาจไม่ได้มีเพียงด่าน 4/10 ฉันรู้สึกว่าแผนที่ในโน้ตย่อนั่นยังไม่ได้เผยออกมาทั้งหมด มีความเป็นไปได้ว่าคำว่านอกเขตรวมพลอาจหมายถึงด่านทั้งหมดหลังจากนี้”
ถ้าเป็นแบบนั้นจริง หากพิจารณาดูจากท่าทีของเงาร่างหมาป่าก็คงบอกได้เพียงว่าซือฟางเจ๋อในเวลานี้อยู่ในด่านที่อยู่หลังจากด่าน 3/10
“หรือบางทีเขาอาจอยู่ที่ด่าน 4/10” เจิ้งลั่วจู๋สองตาเป็นประกายราวกับว่าทันทีที่พุ่งทะลุผ่านประตูกระจกออกไปก็จะสามารถพบเจอสหายเก่าได้
ถังหลิ่นตัดการเชื่อมต่อกับต้นไอเทม ให้เงาร่างหมาป่าหายลับไป ก่อนจะลุกขึ้นเดินไปหยุดอยู่หน้าเจิ้งลั่วจู๋ ไม่ให้เขามองออกไปด้านนอก “จู๋จื่อ เรื่องบางเรื่องหากนายเอาแต่คิดถึงมันในแง่ดี ผลลัพธ์ที่ได้ส่วนใหญ่มักเป็นความผิดหวัง ในทางตรงข้ามถ้านายคิดถึงมันในแง่ที่เลวร้าย มันมักนำมาซึ่งความประหลาดใจ”
ซือฟางเจ๋ออยู่ในที่ที่เขาควรอยู่ ไม่ใกล้และก็ไม่ไกล
ถังหลิ่นหวังว่าเส้นทางที่เจิ้งลั่วจู๋กำลังมุ่งหน้าไปเพื่อตามหาเพื่อนนี้จะไม่ขาดแคลนความหวังและไม่เต็มไปด้วยความผิดหวัง
“หัวหน้า คำพูดของคุณผมเข้าใจ” เจิ้งลั่วจู๋เอ่ยปากอย่างยากลำบาก ราวกับกำลังต่อต้านความรู้สึกวาดหวังที่ขยายตัวไม่หยุดเอาไว้ แต่สุดท้ายก็พ่ายแพ้ “แต่ผมทำไม่ได้”
ถังหลิ่นตบไหล่เอ็นดูอีกฝ่าย เขาไม่เอ่ยปากกล่าววาจาเตือนสติอะไรอีก
“เก็บไว้ให้ดี” ถังหลิ่นส่งสมุดการบ้านคืนให้เจิ้งลั่วจู๋
เจิ้งลั่วจู๋ยังคงจมอยู่ท่ามกลางความรู้สึกหวั่นไหว หลังจากนิ่งอึ้งอยู่ครู่หนึ่งในที่สุดเขาก็ยื่นมือออกไปรับ
เหอลวี่กระอักกระอ่วนอยู่นิดๆ จะไปก็ไม่ใช่ จะไม่ไปก็ไม่ถูก หลังจากทุกอย่างจบลงไปได้ครู่หนึ่งเขาก็สบโอกาสเอ่ยปาก “งั้นฉันขอตัวก่อน เชิญพวกนายตามสบาย”
ทว่าเขาหันหลังไปได้ไม่ทันไร จู่ๆ ถังหลิ่นก็เอ่ยปากเรียกชื่อเขา “หัวหน้าเหอ รอก่อน”
เหอลวี่หันกลับไปมองอีกฝ่าย สายตาสับสนงุนงง
ถังหลิ่นยิ้มและเอ่ยทักทายอย่างเป็นธรรมชาติ “ตั้งแต่เข้าเขตรวมพลมา ผมยังไม่ได้พูดคุยทักทายคุณอย่างเป็นทางการเลย”
เหอลวี่ส่ายหน้าบอก “นับแต่นครใต้พิภพพวกเราแต่ละกลุ่มต่างฝ่าด่านทำเควสต์มาตลอด มีทั้งร่วมมือกัน ทั้งต่อสู้กัน ความสัมพันธ์แบบนี้ ทักไม่ทักมันก็แค่รูปแบบอย่างหนึ่งเท่านั้น ทันทีที่พวกนายเข้าเขตรวมพลมา ฉันก็รู้แล้ว”
ถังหลิ่นยกยิ้มอีกครั้ง ถึงจะเป็นความตรงไปตรงมาเหมือนกัน ทว่าความตรงไปตรงมาของเพนกลับทำให้คนตระหนักได้ถึงความรีบเร่งที่ต้องการจะยุติทุกอย่างลงให้เร็วที่สุด ส่วนความตรงไปตรงมาของไป๋ลู่เสียทำให้คนรับรู้ได้อยู่ลึกๆ ว่าอะไรเรียกว่าการเอาแต่ใจตัว จะมีก็แต่เหอลวี่เท่านั้นที่ทุกสิ่งทุกอย่างที่ออกจากปากเขาล้วนเป็นเรื่องจริง จนแทบเรียกได้ว่าไม่มีอะไรปิดบัง แต่ที่น่าแปลกก็คือมันไม่ได้ทำให้คนรู้สึกถึงท่าทีแข็งกร้าวมุ่งร้ายแต่อย่างใด ตรงกันข้ามกลับรู้สึกว่าอีกฝ่ายเป็นคนใจกว้างก็เท่านั้น
อีกฝ่ายเป็นเช่นไรถังหลิ่นก็เป็นเช่นนั้น เขาไม่พูดอ้อมค้อมอีกต่อไป “พวกเราสามสิบคนเข้าไปเอาชีวิตรอดอยู่บนเกาะร้าง สุดท้ายก็เอาชีวิตรอดมาได้ยี่สิบเก้าคน นับว่าไม่ง่ายเลย”
คนที่ผ่านด่านเข้ามาได้ทุกคนต่างนึกอยากรู้ว่ายังมีใครอีกที่ทำเควสต์ฝ่าด่านได้สำเร็จ ดังนั้นเหอลวี่จึงไม่นึกแปลกใจกับข่าวที่ถังหลิ่นได้รับมานี้
เขายิ่งอยากรู้ถึงวัตถุประสงค์ที่ถังหลิ่นรั้งตัวเขาไว้ ด้วยเหตุนี้เหอลวี่จึงถามออกมาตรงๆ ว่า “นายอยากรู้อะไรก็ถามมา ถ้าตอบได้ฉันจะบอกแน่ แต่ถ้าตอบไม่ได้ก็ต้องขอโทษด้วย”
ถังหลิ่นเอียงคอครุ่นคิดว่าตัวเองอยากถามอะไร เขาตัดสินใจช่วยเหอลวี่ชั่งน้ำหนักก่อน “เรื่องนี้น่าจะพอ…”
เหอลวี่นึกขำ เขาพยักหน้าอย่างอ่อนโยน “ว่ามาเถอะ”
ถังหลิ่น “ผมได้ยินว่าตอนอยู่บนเกาะร้าง คุณกับไป๋ลู่เสียถูกจัดให้อยู่กลุ่มเดียวกัน”
เหอลวี่นึกไม่ถึงว่าถังหลิ่นจะถามเรื่องนี้ แต่เพราะเรื่องนี้อยู่ในขอบเขตที่เขาสามารถตอบได้ ดังนั้นเขาจึงตอบมันออกมาตามตรง “ใช่”
ถังหลิ่นถาม “งั้นพวกคุณผ่านด่านมาได้ยังไง เขาไม่แย่งขนมปังกับพวกคุณเหรอ”
เขาได้ยินก็แค่การแบ่งกลุ่ม ส่วนรายละเอียดเป็นอย่างไรนั้นทั้งหมดยังคงเป็นปริศนา
ด้วยนิสัยของไป๋ลู่เสีย ไม่มีทางที่อีกฝ่ายจะไม่ลงมือแย่ง แต่หากเขาทำแบบนั้น บนเกาะย่อมเกิดความขัดแย้งบาดหมาง การที่พวกเขาหกคนผ่านด่านมาได้ด้วยกันทั้งหมดออกจะเป็นเรื่องเหนือความคาดหมายเกินไปหน่อย
“วันแรกเขาคิดแย่งขนมปังไปจริงๆ” เหอลวี่ไม่เข้าใจว่าถังหลิ่นถามเรื่องนี้เพื่ออะไร แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังคงตอบออกไปตามจริง “ฉันห้ามเขาไว้”
ถังหลิ่น “หลังจากนั้นล่ะ”
เหอลวี่ “จากนั้นฉันก็คุยเหตุผลกับเขา ให้เขาเข้าใจว่าในเมื่อเลือกที่จะร่วมมือกับทุกคน แบบนั้นก็ต้องมีจิตสำนึกและตระหนักรู้ถึงคำว่าพรรคพวก…”
“เดี๋ยวก่อน” ถังหลิ่นนึกสงสัยว่าตัวเองอาจหูฝาดไป “เขาเลือกที่จะ…ร่วมมือ…กับพวกคุณ?”
“อืม จะว่ากันให้ถูกก็ต้องบอกว่าเขาไม่ได้เลือก แต่เป็นฉันที่เชิญเขาให้เข้ามาร่วมกลุ่ม” เหอลวี่บอก
“ทันทีที่คุณเอ่ยปากเชิญ เขาก็เห็นพ้องด้วย?” ถังหลิ่นนึกสงสัยว่าพวกเขากำลังพูดถึงไป๋ลู่เสียคนเดียวกันหรือเปล่า
“จะเป็นไปได้ยังไง” เหอลวี่พูดตามจริง “ตอนแรกเขาปฏิเสธ ต่อมา…”
เจิ้งลั่วจู๋มองดูด้วยสายตางุนงง ทำไมหัวหน้ากลุ่มต้องขวางเหอลวี่ที่บังเอิญพบเจอกัน แล้วจุดเทียนเสวนากับอีกฝ่ายในยามค่ำคืนแบบนี้ด้วย
ในใจของเขายังคงคิดเรื่องตามหาซือฟางเจ๋อ ดังนั้นสองคนพูดอะไร เขาล้วนฟังไม่เข้าหู เห็นก็แต่หัวหน้ากลุ่มของตัวเองสมาธิมุ่งมั่นคล้ายกำลังฟังปรมาจารย์สอนสั่ง
เช้าวันรุ่งขึ้นถังหลิ่น ฟั่นเพ่ยหยาง เจิ้งลั่วจู๋ หนานเกอ และฉงเยวี่ยก็รวมตัวอยู่ด้วยกัน คนทั้งห้าร่วมกันแบ่งปันข่าวสารที่ได้มา พร้อมถือโอกาสปรับแผนการขั้นต่อไป
หลังจากพูดคุยกันที่ห้องฝึกซ้อมในวันนั้นฟั่นเพ่ยหยางก็เคลื่อนไหวตามอิสระ ถังหลิ่นเองก็ไม่ได้สนใจเขา บอกเพียงว่าหากจะไปจากเขตรวมพล อีกฝ่ายต้องรายงานให้เขารู้
ระหว่างนั้นฟั่นเพ่ยหยางรายงานเขาแค่ครั้งเดียวเท่านั้นคือตอนกลับไปยังนครใต้พิภพ ทว่าหลังจากกลับมาฟั่นเพ่ยหยางก็ไม่ได้รีบมารายงานสถานการณ์อะไรกับเขา ถังหลิ่นเชื่อว่าครั้งนี้อีกฝ่ายคงไม่ได้ไอเทมเวทที่มีค่าให้ทดลองอะไรกลับมา
ตอนพบเจอประธานฟั่นอีกครั้ง ความกดอากาศรอบตัวเขาลดต่ำลงอย่างเห็นได้ชัด ใบหน้าร้างไร้ความรู้สึกชัดแจ้งชวนให้คนรู้สึกแผ่นฟ้าผืนปฐพีเย็นเยียบ
ฉงเยวี่ยเปิดตัวในฐานะสมาชิกใหม่ของกลุ่มเป็นครั้งแรก หลังเอ่ยปากทักทายกับประธานฟั่นเสร็จ ความรู้สึกกระตือรือร้นเต็มเปี่ยมของเขาก็จางหายไปจนสิ้น ตอนหนานเกอกับเจิ้งลั่วจู๋มาถึง พวกเขาสองคนก็เห็นแต่เจ้าอ้วนเยวี่ยที่ยืนคอย่นต่ำต้อยสุดๆ
ถังหลิ่นไม่ยอมเสียเวลาไปกับการคลี่คลายบรรยากาศดังกล่าว ประสบการณ์นานปีของการเป็นพาร์ตเนอร์กับประธานฟั่นบอกให้เขารู้ว่าในเวลานี้การทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นเป็นวิธีที่ดีที่สุด
ครั้นทุกคนนั่งลงเป็นที่เรียบร้อย เขาก็เอ่ยปากช้าๆ สายตาอ่อนโยนสบายๆ “หนานเกอ เล่าข่าวที่คุณรวบรวมมาได้ตลอดสองสามวันนี้ก่อน”
คนทั้งสามต่างมองไปทางถังหลิ่นพร้อมกัน รู้สึกเหมือนฤดูใบไม้ผลิย้อนกลับมาอีกครั้งแล้ว สายลมอบอุ่น ดอกไม้ผลิบาน
หนานเกอกระแอมออกมาคำหนึ่งก่อนจะบอกเล่าออกมาตามลำดับอย่างชัดแจ้ง “ข่าวสารที่พอมีค่ามีอยู่ด้วยกันสามเรื่อง หนึ่งคือพวกเราสามารถรับภารกิจได้ที่ช็อปปิ้งอาร์เคดเหมือนตอนอยู่ในโลกใต้บาดาล เมื่อภารกิจสำเร็จจะได้ค่าประสบการณ์กับไอเทมใช้ครั้งเดียวมา ว่ากันว่าหลังจากเข้าไปในด่าน 4/10 จะไม่มีภารกิจอะไรพวกนี้อีก นั่นก็หมายความว่าหลังจากนี้โอกาสที่จะได้ไอเทมแบบใช้ครั้งเดียวนั้นมีน้อยลงทุกที ด่านบางด่านอาจถึงขั้นไม่มีเลย ดังนั้นต้นไอเทมจึงกลายเป็นความสามารถในการต่อสู้เพียงหนึ่งเดียวที่พวกเราพอจะพึ่งพาได้ ด้วยเหตุนี้การขุดค้นฝึกฝนต้นไอเทมจึงเป็นงานสำคัญอันดับหนึ่ง…
สองคือโลกแห่งการทำเควสต์ฝ่าด่านนี้น่าจะเป็นการขยับขึ้นบนไปเรื่อยๆ ตอนเข้าไปในนครใต้พิภพพวกเราต่างโดยสารลิฟต์กันอยู่นานใช่ไหม หากใช้ความรู้สึกคำนวณระยะทางแล้วล่ะก็ ตอนนั้นพวกเราก็น่าจะถูกพาตัวลงไปอยู่ก้นทะเล ดังนั้นตอนออกมาจากนครใต้พิภพพวกเราจึงเท่ากับโผล่ออกมาจากก้นทะเล มาถึงโลกใต้บาดาลที่ถูกห้อมล้อมด้วยน้ำทะเล จากนั้นขยับขึ้นมาจากโลกใต้บาดาล โผล่พ้นผิวน้ำมาถึงเกาะร้าง…”
เจิ้งลั่วจู๋กระซิบเตือนอีกฝ่าย “แต่หลังจากเกาะร้างก็เป็นเขตรวมพล พื้นแผ่นดินกับเกาะร้างนั่นอยู่บนแนวระนาบเดียวกัน”
“แต่จากแผนที่ที่โน้ตย่อให้พวกเรามา ปลายสุดของพื้นแผ่นดินคือภูเขา จุดผ่านด่าน 4/10 อยู่ที่เชิงเขานั่น” หนานเกอบอก
เจิ้งลั่วจู๋จับสายสนกลในได้ “หรือว่าด่าน 5/10 จะอยู่บนภูเขาลูกนั้น”
“นี่ก็คือข่าวสารที่สองที่ฉันอยากจะบอก” หนานเกอพูด “ฉันค่อนข้างมั่นใจว่าด่าน 5/10 ต้องเกี่ยวข้องกับภูเขาลูกนั้นแน่ แต่รายละเอียดเป็นยังไงนั้น ไม่มีที่ให้สืบรู้ได้”
ไม่มีใครนึกประหลาดใจกับผลลัพธ์ดังกล่าว
ระบบเซียวห้ามไม่ให้คนที่ผ่านด่านไปแล้วเปิดเผยเรื่องราวภายในด่านให้คนที่ยังไม่ผ่านด่านรู้ ดังนั้นไม่ว่าจะเมื่อไหร่เรื่องราวภายในด่านก็ล้วนแต่เป็นความลับ
“แล้วข่าวที่สามล่ะ” ถังหลิ่นถาม
“ข่าวที่สาม หัวหน้า ทางที่ดีคุณต้องเตรียมตัวเตรียมใจให้พร้อม” หนานเกอหันไปยิ้มขื่นให้กับถังหลิ่น “ฮั่วสวี่มาถึงที่นี่เกือบจะสามเดือนแล้ว กลุ่มต่างๆ ภายในเขตรวมพลนี้ล้วนเคยเชิญเขามาแล้วทั้งนั้น แต่ไม่มีแม้แต่คนเดียวที่ประสบความสำเร็จ ยิ่งไปกว่านั้นนอกจากกลุ่มเฉ่าเหมยเถียนเถียนเชวียนที่เลิกราต่อกันเพราะถูกปฏิเสธแล้ว กลุ่มอื่นๆ ที่เหลือล้วนประมือกันก่อนจะแยกย้าย บางกลุ่มถึงกับเคยมีเรื่องกันมากกว่าหนึ่งครั้งด้วย”
เจิ้งลั่วจู๋ “…”
ฟังดูเหมือนเจ้านั่นจะเป็นศัตรูของคนทั้งเขตรวมพล
ฉงเยวี่ย “…”
จะชวนฮั่วสวี่เข้าร่วมกลุ่มด้วยงั้นเหรอ ตอนที่หัวหน้าถังชวนเข้าร่วมกลุ่ม ไม่เห็นจะเล่าให้ฟังว่ามีแผนการอันตรายแบบนี้!
หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งมุมปากของถังหลิ่นก็ยกขึ้นน้อยๆ “ดังนั้นตอนนี้เขาถึงเป็นดวงดาวที่สว่างไสวที่สุดในเขตรวมพล ทุกคนต่างรอดูว่าสุดท้ายแล้วเขาจะไปรวมกลุ่มกับใคร”
หนานเกอตะลึง การตีความแบบนี้เหมือนจะต่างจากความตั้งใจเดิมของเธออยู่มากโข
ฟั่นเพ่ยหยางที่นิ่งเงียบไม่พูดไม่จาอะไรมาโดยตลอดเริ่มเอ่ยปาก “ชอบมีเรื่องทะเลาะเป็นลักษณะของนักสู้ ยินดีแสดงต้นไอเทมของตัวเองออกมาให้คนอื่นได้เห็น ไม่กลัวคนอื่นจะแอบจับตาดูศักยภาพของตัวเองเป็นลักษณะของคนที่มีความมั่นอกมั่นใจ คนที่มีความสามารถส่วนใหญ่ล้วนดื้อรั้นหัวแข็ง แต่ถ้าสามารถเชิญตัวมาได้ พวกเขาส่วนมากล้วนสามารถสร้างมูลค่าได้มากกว่าที่คิดไว้”
ที่ฟั่นเพ่ยหยางพูดก็คือสิ่งที่ถังหลิ่นคิด ในแง่ของการปฏิบัติต่อผู้มีความสามารถแล้ว พวกเขาสองคนล้วนเห็นพ้องต้องกันอย่างไม่น่าเชื่อมาตั้งแต่ไหนแต่ไร
“พวกเราอยากดึงฮั่วสวี่เข้าร่วมกลุ่ม” ถังหลิ่นมองไปทางฉงเยวี่ย นี่นับเป็นครั้งแรกที่เขาถามความคิดเห็นของสมาชิกใหม่อย่างเป็นทางการ “คุณคิดว่ายังไง”
ฉงเยวี่ยชูมือทั้งสองข้างเห็นด้วยอย่างรวดเร็ว “ผมคิดว่าความคิดใจกล้านี้เยี่ยมมาก”
ถังหลิ่น ฟั่นเพ่ยหยาง และหนานเกอ “…”
เจิ้งลั่วจู๋ “เจ้าอ้วนเยวี่ย คำขยายแปลกประหลาดอย่างคำว่า ‘ใจกล้า’ นั่น ทรยศหัวใจของนายแล้ว”
นโยบายของถังหลิ่นแต่ไหนแต่ไรมาก็คือวางแผนรอบคอบ ลงมือรวดเร็ว
ดังนั้นหลังกลั่นกรองแผนการเรื่องรับสมาชิกใหม่อยู่กับสมาชิกกลุ่มของตนเองซ้ำไปซ้ำมาอยู่หลายรอบจนมั่นใจว่าไม่มีรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ อะไรตกหล่นอีก พวกเขาก็แยกย้ายกันกลับไปพักผ่อน
หลังจากสั่งสมกำลังกันอยู่คืนหนึ่ง เช้าวันที่ห้าของการเข้ามายังเขตรวมพล ภายใต้แสงอาทิตย์เจิดจ้า คนทั้งห้าก็มาหยุดอยู่ที่หน้าประตูห้องหมายเลข 8066 ของฮั่วสวี่
หนานเกอยืนอยู่ตำแหน่งเซ็นเตอร์ ตรงกับประตูพอดี รับผิดชอบใช้ ‘ตราตรึงไม่รู้ลืม’ ยื่นส่งกิ่งมะกอกอันเป็นสัญลักษณ์แห่งสันติภาพของกลุ่ม VIP ผ่านประตูไปให้อีกฝ่าย
เจิ้งลั่วจู๋นั่งอยู่บนพื้นระหว่างหนานเกอกับประตู ทำหน้าที่เป็น ‘แท่นบอกบท’ คอยชูกระดาษให้เธอ ที่อยู่บนกระดาษล้วนเป็นข้อความรับสมัครที่ถังหลิ่นเขียนเอาไว้ล่วงหน้า เปี่ยมไปด้วยเหตุผลชวนซาบซึ้ง อีกทั้งยังมีวิธีการรับมือกับปฏิกิริยาตอบสนองต่างๆ นานาของฮั่วสวี่กำกับไว้
ฉงเยวี่ยยืนอยู่ด้านซ้ายของพวกเขาสองคน รับผิดชอบเตรียมใส่ ‘กุญแจหยุดนิ่ง’ ให้กับ ‘เรื่องนอกเหนือความคาดหมาย’ ทันทีที่มันเกิดขึ้น
ถังหลิ่นยืนอยู่ด้านขวาของพวกเขาสองคน ครั้นเห็นทุกคนประจำตำแหน่งเป็นที่เรียบร้อย เขาก็ส่งสายตาบอกให้หนานเกอ ‘เริ่ม’ ได้
ฟั่นเพ่ยหยางยืนอยู่ด้านหลังสุด ห่างจากประตูกว่าใครเพื่อน พิงอยู่กับราวกั้น ถังหลิ่นไม่ได้มอบหมายหน้าที่อะไรให้กับเขา แต่ในฐานะของคนที่มีมาตรฐานสูงและในฐานะของคนที่เข้ามาทำเควสต์ฝ่าด่านที่เพิ่งได้รับ ‘วินาศกรรมระดับกลาง’ ประธานฟั่นยังคงแบ่งหน้าที่รับผิดชอบให้กับตัวเอง…ทันทีที่การเจรจาไม่สำเร็จหรืออีกฝ่ายยืนกรานไม่ยอมเปิดประตู เขาจะหาเวลาเหมาะๆ ทำการระเบิดประตูนั่น
* สาดน้ำเย็น หมายถึงการพูดจาให้เสียกำลังใจ
โปรดติดตามตอนต่อไป…