everY
ทดลองอ่าน พ้นเที่ยงคืนกลืนมิติ เล่ม 5 บทที่ 151-152 #นิยายวาย
บทที่ 152
ศึกษาแลกเปลี่ยน
ย้อนความทรงจำกลับไปเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้
บรรยากาศยามเช้าแสนสงบถูกรบกวนทำลายไปหมดสิ้นแล้ว อารมณ์ของฮั่วสวี่ในเวลานี้ไม่ใช่แค่ย่ำแย่ธรรมดา แต่เป็นย่ำแย่มาก ขณะกำลังกลัดกลุ้มไม่รู้ว่าควรจะลงดาบกับใครก่อน จู่ๆ ก็มีคนเอ่ยปากขันอาสา
“ศึกษาแลกเปลี่ยนใช่ไหม” สายตาของเขามองผ่านถังหลิ่นที่เดินขึ้นหน้าเป็นคนสุดท้ายไปหยุดอยู่บนใบหน้าของฟั่นเพ่ยหยาง “ตายไปฉันไม่รับผิดชอบด้วยนะ”
ฟั่นเพ่ยหยางพยักหน้าเบิกบาน “ในเมื่อฉันเป็นคนเอ่ยปากเชิญ ถ้างั้นนายว่ายังไงก็ว่ากันตามนั้น”
ถังหลิ่นถอนหายใจเงียบๆ เขาถูกชาวบ้านมองข้ามไปโดยสิ้นเชิงจริงๆ
แต่ช่างเถอะ จากแผนการเดิมอย่างไรการต่อสู้นี้ก็ต้องเกิดขึ้นอยู่แล้ว แค่เกิดขึ้นเร็วกว่าที่คิดไว้นิดหน่อยก็เท่านั้น เร็วกว่าก็เร็วกว่าเถอะ ถ้ายังถ่วงเวลาอีก ประธานฟั่นต้องคว่ำโต๊ะแน่
“ถังหลิ่น?” จู่ๆ ฮั่วสวี่ก็ดึงสายตากลับมาบนตัวของถังหลิ่น เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงไม่แน่ใจ
คนที่พูดแนะนำตัวมีก็แต่หนานเกอ ฉงเยวี่ย ฟั่นเพ่ยหยาง ส่วนถังหลิ่นกับเจิ้งลั่วจู๋ ฮั่วสวี่ได้แต่อาศัยสัญชาตญาณตัดสินเอาว่าใครเป็นใคร
ถังหลิ่นรู้สึกประหลาดใจที่อีกฝ่ายเอ่ยปากถามเขา ถึงคำเชิญรับสมัครคนนี้ทางกลุ่ม VIP จะเป็นคนส่ง แต่ใครเป็นหัวหน้ากลุ่ม VIP ฮั่วสวี่ก็น่าจะไม่ใส่ใจไม่ใช่เหรอ หรือจะพูดอีกอย่างก็คือวันนี้ไม่ว่าคนที่มาเคาะประตูห้องของเขาจะเป็น VIP หรือ MVP ในสายตาของฮั่วสวี่แล้วล้วนไม่มีอะไรแตกต่าง
“ผมเอง” สงสัยก็ส่วนสงสัย สุดท้ายถังหลิ่นก็ยังคงบอกถึงฐานะของตน
เมื่อได้รับคำยืนยัน ดวงตาของฮั่วสวี่ก็ฉายแววเย้ยหยัน “ตอนนี้สมาชิกกลุ่มของนายต้องการศึกษาแลกเปลี่ยนกับฉัน นายยังคงยืนกรานจะย้อนกลับไปเริ่มต้นใหม่ไหม”
ตอนนี้อีกฝ่ายขอความเห็นจากเขา? เรื่องนี้นับว่าอัศจรรย์จริงๆ แต่ถึงอย่างนั้นถังหลิ่นก็ยังคงยิ้มน้อยๆ ส่ายหน้า “ไม่แล้ว ในเมื่อเขาเชื้อเชิญและคุณก็ยินดี เช่นนั้นผมย่อมไม่มีอะไรจะพูดอีก”
ฮั่วสวี่เองก็ยิ้ม มองดูถังหลิ่นด้วยสายตาดูแคลนอย่างไม่คิดปิดบัง “ขนาดสมาชิกกลุ่มของตัวเองยังดูแลควบคุมไม่ได้ หัวหน้ากลุ่มอย่างนายนี่มันไม่เอาไหนเลยจริงๆ”
ภายในห้องฝึกซ้อมของห้องหมายเลข 8066
ถังหลิ่น เจิ้งลั่วจู๋ หนานเกอ และฉงเยวี่ยนั่งอยู่ด้านหนึ่งของห้องฝึกซ้อม หลังพิงอยู่กับผนัง หน้าหันไปทางพื้นที่ฝึกซ้อม
ฟั่นเพ่ยหยางกับฮั่วสวี่ยืนอยู่กลางห้องฝึกซ้อม ห่างจากพวกเขาสิบกว่าเมตร
เจิ้งลั่วจู๋ขยับเข้าไปข้างถังหลิ่นแล้วถาม “หัวหน้า ผมเพิ่งนึกขึ้นได้ เจ้าหนุ่มนั่นเพิ่งถามสถานะคุณ เขาจงใจใช่หรือเปล่า แบบว่าไม่พอใจคุณ”
ฉงเยวี่ยที่อยู่ด้านข้างได้ยินแบบนั้นก็ก่ายหน้าผาก วงรีเฟล็กซ์* นี้เชื่องช้าเกินไปแล้ว
ถังหลิ่นคิดทบทวนเรื่องนี้อยู่ตลอด ตอนนี้พอถูกพรรคพวกพูดขึ้นต่อหน้า เขาก็พยักหน้าอย่างไม่สะทกสะท้าน “ผมคุมประธานฟั่นไม่อยู่จริงๆ ในฐานะหัวหน้ากลุ่ม ภาวะผู้นำไม่มากพอ ถูกว่าว่า ‘ไม่เอาไหน’ ก็ถูกแล้ว”
“อย่างคุณเนี่ยนะยังไม่พอ?” เจิ้งลั่วจู๋หมดคำพูด “หัวหน้า คนเราถ่อมตัวได้ แต่ก็ไม่ควรถ่อมตัวจนเกินไป เจ้านายของผมถ้าไม่ใช่ว่ามีคุณคอยกำกับควบคุม ตอนนี้คงขึ้นสวรรค์ไปแล้ว”
“ฉันเห็นด้วย” เสียงพูดสมทบของหนานเกอดังมาจากด้านข้าง “ถ้าปล่อยให้ประธานฟั่นทำตามอำเภอใจ ประตูด้านนอกตอนนี้คงไม่มีแล้ว ฮั่วสวี่เองก็คงไม่มีโอกาสฟังพวกเราบรรยายหนึ่งสองสามสี่ห้า ในห้องฝึกซ้อมนี้น่าจะเริ่มสู้กันรอบที่สามแล้ว”
ถังหลิ่น “…”
การอยู่ท่ามกลางคนขี้ประจบนับเป็นเรื่องอันตรายเรื่องหนึ่ง หากไม่ระวัง ดีไม่ดีอาจถูกถ้อยคำหวานหูพวกนั้นทำเอาหลงลืมไปจนหมดว่าตัวเองเป็นใครและคิดจะทำอะไรอยู่
“หัวหน้า ที่พวกเขาพูดบางทีอาจโอเวอร์อยู่บ้าง ผมได้รับการอบรมจากประธานฟั่นผ่านการศึกษาแลกเปลี่ยน เป็นคนที่มีประสบการณ์ตรง ผมพูดอะไรย่อมเชื่อถือได้” ฉงเยวี่ยตบอก “ผมใช้น้ำหนักตัวเป็นประกัน ประธานฟั่นในเวลานี้เจียมตัวกว่าตอนนั้นเยอะ ไม่ว่าจะสายตาหรือว่ากลิ่นอายบนตัว จากคำพูดคำจาจนถึงการกระทำ ออร่าความยโสโอหังที่เจิดจ้าไม่เหมือนใครนั่นล้วนไม่พบแล้ว”
ถังหลิ่น “…”
ฟั่นเพ่ยหยางที่ฉงเยวี่ยพูดถึงใช่คนเดียวกับฟั่นเพ่ยหยางที่เขารู้จักงั้นเหรอ
ในเวลาเดียวกันนอกประตูห้องหมายเลข 8066
ศีรษะของคนจำนวนนับไม่ถ้วนต่างเบียดเสียดอยู่ด้วยกัน หวังว่าจะได้ยินความคืบหน้าของการ ‘ศึกษาแลกเปลี่ยน’ ผ่านร่องประตูรูกุญแจรวมถึงช่องว่างทั้งหลายได้
ยังมีพวกอยากรู้อยากเห็นที่ชั้นบนชั้นล่างรวมถึงฝั่งตรงกันข้ามอีก พวกเขาตะโกนถาม “เป็นไงบ้าง สถานการณ์ตอนนี้ไปถึงไหนแล้ว…”
“ไม่ได้ยินอะไรสักนิด…” บรรดาศีรษะที่อยู่บริเวณหน้าประตูต่างหงุดหงิดผิดหวัง
ทันทีที่ประตูห้องฝึกซ้อมถูกปิด มันก็จะกลายเป็นห้องลับส่วนตัวโดยสมบูรณ์ ไม่อาจมองเห็นอะไรผ่านทางหน้าจอได้อีก เสียงหรือก็ถูกตัดขาดจากโลกภายนอก ช่วยรักษาความลับเกี่ยวกับต้นไอเทมและศักยภาพของผู้ใช้อย่างสุดกำลัง แต่สำหรับคนที่เข้ามาทำเควสต์ฝ่าด่านที่อยากรู้อยากเห็นแล้ว เรื่องนี้ทรมานใจกันสุดๆ
“ศึกษาแลกเปลี่ยนกันที่ไหนก็ได้ไม่ใช่เหรอ ทำไมต้องไปที่ห้องฝึกซ้อมด้วย” มีคนโอดครวญไม่พอใจ “ไปทำกันที่โถงชั้นหนึ่งก็ได้ ทั้งกว้างทั้งโล่ง!”
คนที่อยู่ฝั่งตรงกันข้ามตอบ “กลัวแพ้แล้วจะขายหน้าไง…”
ทั่วทั้งเขตรวมพลยามนี้มีคนออกมาดูความคึกคักไม่น้อยกว่าหนึ่งในสามแล้ว ตอนนี้การถ่ายทอดสดถูกตัดขาด พวกเขาจึงได้แต่ใช้วิธีเอ่ยวิพากษ์วิจารณ์ปลอบใจตัวเอง
“พวกนายว่าฮั่วสวี่กลัวแพ้หรือว่าพวก VIP กลัวแพ้”
“ยังต้องถามอีกหรือไง ฮั่วสวี่เอาชนะคนในเขตรวมพลไปทั่ว แม้แต่ห้ากลุ่มอิทธิพลใหญ่ก็ยังเอาเขาไม่ลง แล้วแบบนี้กลุ่ม VIP จะทำได้เหรอ”
“นายทำฉันนึกขึ้นได้ เชี่ย ตอนนี้ยังวางเดิมพันทันหรือเปล่า ฉันแทงว่ากลุ่ม VIP ทำได้!”
“เอ๋ นายรู้จักคนพวกนั้น?”
“ไม่อะ”
“…แล้วนายยังจะทุ่มเงินกับพวกเขา?”
“เงินที่ทุ่มไปก่อนหน้านี้ล้วนถูกเจ้ามือกินจนเกลี้ยง เสียอีกนิดๆ หน่อยๆ จะเป็นอะไรไป เกิดชนะขึ้นมา อัตราต่อรองของกลุ่ม VIP ที่ไม่มีใครรู้จักต้องสูงเป็นพิเศษแน่ ชนะแค่ครั้งเดียวก็สบายแล้ว”
บริเวณราวกั้นแห่งหนึ่งบนระเบียงทางเดินชั้นสิบเจ็ด
โจวอวิ๋นฮุย “ดูเหมือนจะมีคนพูดถึงพวกเราแล้ว”
ชุยจั้น “ได้ยินชัดเต็มสองหู แม้แต่ห้ากลุ่มอิทธิพลใหญ่ก็ยังเอาเขาไม่ลง กลุ่มสือเซ่อของพวกเราแพ้แล้ว กลุ่มข่งหมิงเติงของพวกนายก็ไม่สำเร็จ”
“แต่ฉันไม่ได้เข้าไปให้ชาวบ้านตบหน้าเสียหน่อย”
“ฉันโดนไปแล้ว ช่างเถอะ คราวหน้าเวลาเจอคนโสดความสามารถสูง ฉันก็ยังคงจะเข้าไปหาอยู่ดี…”
“คนโสด?”
“ก็พวกที่ยังไม่มีกลุ่มไง พวกที่บุกตะลุยทำเควสต์ฝ่าด่านคนเดียวลำพัง”
“คราวหน้านายพูดออกมาชัดๆ เลยดีกว่า อย่าสำบัดสำนวนให้มาก”
“เอาเป็นว่าถ้าอยากให้กลุ่มตัวเองแข็งแกร่งก็ต้องพยายามควานหาคนเก่งเข้าร่วมทีม”
“งั้นนายก็รีบไป ‘ควานหาคนเก่ง’ สิ จะวิ่งมาเคาะประตูห้องฉันที่ชั้นสิบเจ็ดนี่ทำไม”
“นายจะมาเข้าร่วมกลุ่มสือเซ่อของฉันหรือเปล่า”
“…?”
“มาเป็นหัวหน้ากลุ่มย่อย ฐานะเท่าเทียมกับฉัน”
“นายหาสมัครพรรคพวกจนมาถึงฉันเนี่ยนะ!”
“ฉันรู้สึกว่านายยอดมาก”
“ฉันรู้สึกว่านายไม่ไหว”
“จะไม่ลองคิดดูสักหน่อยเหรอ”
“ไม่มีทาง”
บริเวณราวกั้นแห่งหนึ่งบนระเบียงทางเดินชั้นสิบห้า
กวนหลันหมอบอยู่บนราวกั้น เขาไม่ได้คิดจะแอบฟังเลยแม้แต่น้อย ทว่าคนทั้งสองที่อยู่ชั้นบนของชั้นบนกลับทำตัวราวกับรอบข้างไร้ผู้คน เขาก็แค่ให้ความร่วมมือนิ่งฟังตั้งแต่เริ่มจนจบก็เท่านั้น นอกจากฟังแล้วยังตั้งอกตั้งใจวิเคราะห์ โจวอวิ๋นฮุยปฏิเสธคำเชิญของชุยจั้นด้วยใจแท้จริงหรือแค่ปฏิเสธพอเป็นพิธีเท่านั้น…
“เฮ้” ผู้ดูแลกลุ่มเฉ่าเหมยเถียนเถียนเชวียนในเขตรวมพลที่อยู่ข้างๆ ยังคงพูดโน้มน้าวอย่างไม่ลดละ “ไปลองดูเถอะ ด้วยเสน่ห์ของนาย ไม่แน่ว่าอาจชักชวนฮั่วสวี่ได้สำเร็จ”
กวนหลันทำตาปะหลับปะเหลือก ปฏิเสธเด็ดขาด “ไม่เอา”
ผู้ดูแลกลุ่มเฉ่าเหมยเถียนเถียนเชวียน “เขามีความสามารถ แถมยังน่าสนใจไม่น้อย เหมาะกับกลุ่มเฉ่าเหมยเถียนเถียนเชวียนของพวกเรา”
กวนหลันกอดราวกั้นไว้ไม่ต่างอะไรกับโคอาลา “ในกลุ่มเฉ่าเหมยเถียนเถียนเชวียนมีคนพิลึกมากพอแล้ว”
ผู้ดูแลกลุ่มเฉ่าเหมยเถียนเถียนเชวียนไม่พูดอะไรอีก
ครั้นอีกฝ่ายปิดปากเงียบ กวนหลันก็กลับนึกอยากรู้ เขาหันหน้าไปถาม “ในเมื่อนายอยากได้เขาขนาดนั้น แล้วทำไมแค่ถูกปฏิเสธทีเดียวก็ล้มเลิกความตั้งใจเอาง่ายๆ”
ผู้ดูแลกลุ่มเฉ่าเหมยเถียนเถียนเชวียนโบกมืออย่างไม่ลังเล “ไม่มีใครปฏิเสธฉันได้สองครั้ง ไม่ว่าจะดีงามสักขนาดไหนก็ไม่ได้”
กวนหลัน “…”
ถึงได้บอกว่าคนในกลุ่มนี้ล้วนแต่พิลึกพิลั่นแปลกประหลาด
ขณะที่กวนหลันกำลังเล่นอยู่กับราวกั้น เหอลวี่ที่อยู่ที่ชั้นสิบเอ็ดก็กำลังเดินกลับเข้าห้อง
ที่ตามอยู่ข้างๆ เขาคือสมาชิกกลุ่มเถี่ยเซวี่ยอิ๋งที่ผ่านด่านเอาชีวิตรอดจากเกาะร้างมาด้วยกัน “หัวหน้า คุณไม่ดูต่องั้นเหรอ”
“ในช่วงเวลาสั้นๆ นี้คงยังไม่มีผลลัพธ์อะไร” เหอลวี่ตบไหล่อีกฝ่าย “แทนที่จะดูคนอื่น พวกเราไม่สู้รีบฝึกฝน ยกระดับความสามารถของตนเองดีกว่าเหรอ”
สมาชิกกลุ่มเถี่ยเซวี่ยอิ๋งไม่ได้ทำตัวตามสบายเหมือนหัวหน้ากลุ่มของตัวเอง เขายังคงครุ่นคิดถึงเรื่องของกลุ่ม VIP ขณะเดินตามเหอลวี่เข้าไปในห้องเขาก็เอ่ยปากถาม “หัวหน้า เมื่อกี้คุณบอกว่าเมื่อวานถังหลิ่นเคยถามคุณว่าตอนเอาชีวิตรอดอยู่บนเกาะร้างคุณพูดยังไงถึงสามารถเกลี้ยกล่อมไป๋ลู่เสียให้ตกลงร่วมมือด้วยใช่ไหม”
เหอลวี่ “อืม”
สมาชิกกลุ่มรายนั้นเขยิบเข้าไปใกล้เขาด้วยท่าทีลับๆ ล่อๆ พูดด้วยน้ำเสียงหยอกกระเซ้า “หัวหน้า ที่แท้คุณก็หลอกคนเป็นด้วย”
เท้าที่กำลังมุ่งตรงไปยังห้องฝึกซ้อมของเหอลวี่หยุดชะงัก คิ้วขมวดเข้าหากันอย่างไม่เข้าใจ “หลอกคน?”
สมาชิกกลุ่มรายนั้นปั้นหน้า ‘อย่ามาโกหกกันดีกว่า’ พลางเอ่ยว่า “เขาถามคุณเรื่องนี้ แน่นอนว่าต้องคิดว่าไป๋ลู่เสียกับฮั่วสวี่เป็นคนประเภทเดียวกัน ย่อมยากจะจัดการเหมือนกัน ดังนั้นเลยคิดจะขอแชร์ประสบการณ์กับคุณใช่หรือเปล่า”
“น่าจะเป็นอย่างนั้นไม่ผิด” เหอลวี่พยักหน้า
“ถ้าอย่างนั้นพอเขาถามเสร็จ วันนี้ก็เลยลงมือ วิธีการพวกนั้นถ้าไม่ใช่หัวหน้าเป็นคนถ่ายทอดให้เขา ยังจะมีใครอีก” สมาชิกกลุ่มรายนั้นเลิกคิ้ว แปลงกายเป็นโมริ โคโกโร่
เหอลวี่ร้องไห้ไม่ได้หัวเราะไม่ออก “ตอนนั้นพวกเราร่วมมือกับไป๋ลู่เสียยังไง เรื่องราวที่เกิดขึ้นในช่วงนั้นนายย่อมรู้ดี ฉันแค่บอกเล่าให้ถังหลิ่นฟังก็เท่านั้น ไม่ได้ต่อเติมเสริมแต่งอะไร”
สมาชิกกลุ่มรายนั้นงงงัน
หัวหน้ากลุ่มของเขาไม่มีทางโกหก ถ้าอย่างนั้นก็มีปัญหาแล้ว เห็นอยู่ชัดๆ ว่าที่หัวหน้ากลุ่มบอกเล่าให้กลุ่ม VIP ฟังคือประสบการณ์ตามจริง แล้วกลุ่ม VIP ไปเอาวิธีการแบบนั้นมาจากไหน ความคิดอ่านที่เกิดขึ้นระหว่างนั้นเป็นแบบไหนอย่างไรยากจะเข้าใจได้จริงๆ
ยิ่งไปกว่านั้นหลังตระหนักได้ว่ามีคนมากมายพบเจอกับอุปสรรครวมไปถึงนิสัยย่ำแย่ของฮั่วสวี่แล้ว กลุ่ม VIP ยังคงยืนกรานจะรับสมัครชาวบ้านด้วยวิธีการยากจะอธิบายได้ด้วยคำพูดเพียงประโยคเดียวพวกนั้น เรื่องนี้ทำทุกคนสับสนงุนงงหมดสิ้น
“หัวหน้า ผมรู้สึกว่าคนที่รีบรับฮั่วสวี่เข้ากลุ่ม รวมถึงกลุ่มเถี่ยเซวี่ยอิ๋งของพวกเราต้องไม่เคยเสียเปรียบมาก่อนแน่ คนอย่างไป๋ลู่เสียแค่ร่วมมือกันเจ็ดวันก็ทำเอาพวกเราแทบบ้าแล้ว กับคนที่รับมือยากยิ่งกว่าอย่างฮั่วสวี่ พวกเขายังคิดจะแย่งชิงกัน งานนี้เท่ากับหาเหาใส่หัวชัดๆ”
“ทุกคนต่างมีที่ที่เหมาะกับตัวเอง” เหอลวี่เดินไปถึงหน้าประตูห้องฝึกซ้อม พูดเข้าประเด็น “ไป๋ลู่เสียไม่เหมาะกับกลุ่มเถี่ยเซวี่ยอิ๋ง ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่เหมาะกับกลุ่มอื่น ตอนที่อยู่กลุ่มไป๋จู่เขาก็อยู่สบายดีไม่ใช่เหรอ”
อยู่สบายดี? สมาชิกกลุ่มรายนั้นนึกสงสัย
เหอลวี่กับสมาชิกกลุ่มของตัวเองเข้าไปในห้องฝึกซ้อม เริ่มฝึกฝนการต่อสู้แบบเผชิญหน้าประจำวัน ส่วนไป๋ลู่เสียที่อยู่บนชั้นสิบเก้ากลับนั่งหาวหวอดอยู่บนราวกั้นไม่มีอะไรทำ สองขาแกว่งไกวไปมาอยู่นอกราวกั้น โอดครวญว่า “ห้องฝึกซ้อมน่าเบื่อนั่นน่าจะยกเลิกได้แล้ว”
“ใช่ๆ ยกเลิก” ชายรูปร่างผอมสูงรายหนึ่งที่อยู่ข้างๆ เขาพยักหน้าค้อมเอวตอบรับ
อีกฝ่ายคือผู้ดูแลกลุ่มไป๋จู่ประจำเขตรวมพล แต่ที่ต่างจากกลุ่มอื่นๆ คือผู้ดูแลกลุ่มส่วนใหญ่จะมีฐานะเทียบเท่ากับหัวหน้ากลุ่ม ทว่าผู้ดูแลกลุ่มไป๋จู่นี้กลับมีหน้าที่ดูแลแนวหลังเพียงอย่างเดียว ภารกิจของเขาคือดูแลแกนหลักของกลุ่มไป๋จู่ในเขตรวมพลนี้ให้ดี ส่งข่าวให้ทันเวลา และลำเลียงคนที่มีความสามารถอย่างต่อเนื่อง
ปกติเขาก็วางตัวนอบน้อมกับสมาชิกกลุ่มไป๋จู่คนอื่นๆ อยู่แล้ว ทว่ากับไป๋ลู่เสียเขากลับนอบน้อมยิ่งกว่า ทั้งนี้เพราะตลอดระยะเวลาครึ่งปีมานี้นี่เป็นครั้งแรกที่กลุ่มไป๋จู่มีสมาชิกใหม่ผ่านเข้ามาถึงเขตรวมพล หนำซ้ำตอนอยู่นครใต้พิภพชื่อเสียงของไป๋ลู่เสียยังแพร่สะพัดมาถึงหูของยอดฝีมือในกลุ่ม กับมหาเทพเช่นนี้ แน่นอนว่าเขาย่อมต้องปรนนิบัติรับใช้
“เบื้องบนบอกลงมาว่าพวกเราที่นี่อยู่สบายนานเกินไปแล้ว ถึงเวลาที่จะต้องรวมกลุ่มฝ่าด่านแล้ว…” ชายรูปร่างผอมสูงถ่ายทอดข้อความให้ไป๋ลู่เสียฟังด้วยท่าทีระมัดระวัง
อันที่จริงเรื่องนี้จะว่าไปก็ไม่ค่อยจะถูกต้องนัก คนอื่นๆ อย่างน้อยก็ได้พักผ่อนอยู่ที่นี่ครึ่งปี ส่วนไป๋ลู่เสียเพิ่งจะมาถึงได้ไม่ทันไรเบื้องบนก็เร่งให้ทำเควสต์ฝ่าด่านแล้ว แต่เขาเป็นเพียงลูกน้อง จึงได้แต่ต้องกัดฟันปฏิบัติตามคำสั่ง
ไป๋ลู่เสียให้ความร่วมมือเป็นอย่างดีอีกทั้งยังเอ่ยปากเหมือนใส่ใจ “แน่นอนว่าต้องตะลุยทำเควสต์ฝ่าด่านต่อ ไม่งั้นจะให้อยู่ที่นี่ไปจนแก่หรือไง”
ชายรูปร่างผอมสูงตะลึง พอได้สติเขาก็รู้สึกซาบซึ้งจนน้ำตาแทบไหล “อืม ใช่ ใช่แล้ว! งั้นคุณอยากจะจับกลุ่มกับใคร ขอเพียงบอกชื่อ เรื่องที่เหลือผมจะจัดการเอง”
“ให้ฉันบอกชื่อ?” ไป๋ลู่เสียเพิ่งจะฟังคำพูดของอีกฝ่ายเข้าใจ เขาเอียงคอมองชายรูปร่างผอมสูง “จะให้ฉันเป็นหัวหน้ากลุ่ม?”
“จะเป็นก็ได้ไม่เป็นก็ได้ แล้วแต่คุณจะตัดสินใจ” ชายรูปร่างผอมสูงรู้จักยืดหยุ่นตามสถานการณ์ ขอเพียงมีไป๋ลู่เสียเป็นแกนหลักเท่านั้นก็ใช้ได้แล้ว “แต่ว่าด่านต่อไปจำเป็นต้องจับกลุ่มอย่างน้อยหกคน คุณต้องเลือกพี่น้องที่คุณเห็นว่าใช้ได้หรือไม่ขัดหูขัดตาก่อน วันหน้าร่วมกลุ่มอยู่ด้วยกันจะได้ไม่มีปัญหา”
ไป๋ลู่เสียยิ้มอย่างไม่แยแส เขาที่นั่งอยู่บนราวกั้นของชั้นบนสุดก้มหน้ามองคนที่เข้ามาทำเควสต์ฝ่าด่านในโถงใหญ่ แต่ละคนล้วนตัวเล็กจิ๋วจนมองไม่เห็นหน้า “นายเลือกมาก็แล้วกัน ยังไงฉันก็ไม่รู้จักอยู่แล้ว”
ที่ชายรูปร่างผอมสูงรอก็คือคำพูดประโยคนี้ “ไม่รู้จักก็เริ่มทำความรู้จักกันตอนนี้ได้ พี่น้องกลุ่มไป๋จู่ที่อยู่ในเขตรวมพลของเราล้วนน่าคบค้าสมาคมด้วยกันทั้งนั้น”
ไป๋ลู่เสียค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมาและหันไปมองเขา “พอเข้าไปในด่านแล้ว วินาทีต่อมาก็อาจตายได้ ยังต้องคบค้าสมาคมอะไรอีก”
ชายรูปร่างผอมสูงเนื้อตัวสั่นสะท้าน
ไม่ใช่คำพูดของไป๋ลู่เสียที่ชวนให้รู้สึกเย็นยะเยือก แต่เป็นแววตาของอีกฝ่ายที่ดูเหมือนไม่มีความรู้สึกใดๆ บรรจุอยู่ในนั้น มีเพียงความเฉยเมยว่างเปล่า
ห้องฝึกซ้อมภายในห้องหมายเลข 8066
คลื่นยักษ์ลูกแรกโถมเข้าใส่ฟั่นเพ่ยหยาง
เมื่อไม่มี ‘กุญแจหยุดนิ่ง’ ของฉงเยวี่ย ความเร็วกับขอบเขตของคลื่นยักษ์ก็ยากจะมีใครหลบพ้น
ฟั่นเพ่ยหยางยกแขนขึ้นบังศีรษะ รับมันเอาไว้โดยไม่คิดหลบเลี่ยง
น้ำที่ซัดเข้ามากลืนกินร่างของเขาไปจนสิ้น
คนทั้งสี่ที่อยู่ข้างผนังถึงจะเชื่อมั่นในความสามารถของฟั่นเพ่ยหยาง แต่ถึงอย่างนั้นพวกเขาก็ยังคงหายใจยากลำบาก
ทว่าคลื่นนี้ยังไม่จบ ฮั่วสวี่ยกมือขึ้นช้าๆ คลื่นยักษ์ที่กลืนกินฟั่นเพ่ยหยางเองก็ยกสูงตาม ไม่ต่างอะไรกับผิวน้ำที่ถูกพายุพัดกระหน่ำเข้าใส่ เพียงชั่วพริบตาคลื่นก็ยกตัวถูกเพดานห้องฝึกซ้อม รวมถึงคนที่อยู่ในคลื่นด้วย
คลื่นยักษ์กระแทกเข้ากับเพดานดังสะเทือนเลื่อนลั่น
ฮั่วสวี่ส่งเสียงประชดออกมา ก่อนจะลดมือลง คลื่นก็ลดต่ำลงตามเช่นกัน
กระแสน้ำจางหาย ฟั่นเพ่ยหยางนอนอยู่กับพื้นไม่ขยับ
“เจ้านาย…”
“ประธานฟั่น!”
เจิ้งลั่วจู๋กับฉงเยวี่ยตะโกนออกมาพร้อมกัน ฝ่ายหลังถึงกับยั้งใจไม่อยู่พุ่งตรงออกไป แต่กลับถูกถังหลิ่นดึงตัวไว้
เขาจ้องไปยังอกที่กระเพื่อมไหวของฟั่นเพ่ยหยาง พูดชัดถ้อยชัดคำ “นี่คือสมรภูมิรบของเขา”
คนที่นอนหมอบอยู่กับพื้นในที่สุดก็ขยับ ฟั่นเพ่ยหยางยันกายขึ้นช้าๆ ก่อนจะกลับขึ้นมายืนใหม่อีกครั้ง ใบหน้าที่เต็มไปด้วยหยดน้ำเชิดขึ้น สายตาสงบนิ่ง
ฮั่วสวี่มองดูอีกฝ่ายด้วยสายตาแน่วแน่ ไม่ได้ยิ้มหยัน ไม่ได้เยาะเย้ย ทำเพียงพูดออกมาตามตรง “ถ้าเมื่อครู่ฉันอาศัยจังหวะรุกโจมตีต่อ นายคงตายไปแล้ว…”
ปัง!
หินขนาดเล็กก้อนหนึ่งระเบิดขึ้นที่บริเวณน่องขวาของฮั่วสวี่
เพราะเคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูง แถมวิธีการโจมตีก็กลับกลอกปลิ้นปล้อนยากเกินว่าจะป้องกัน
ความเจ็บปวดจากการโจมตีและระเบิดทำให้ขาขวาของฮั่วสวี่ซวนเซ แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังคงประคองร่างได้อยู่
ฟั่นเพ่ยหยางยกมือปาดหยดน้ำบนใบหน้าพลางพูด “ถ้าฉันโจมตีใส่จุดตายของนาย ตอนนี้นายไม่ตายก็ต้องบาดเจ็บสาหัส”
การประมือกันรอบแรกไม่มีใครได้เปรียบใคร
ก่อนจะประมือกันคนทั้งสองต่างคิดว่าตัวเองได้เปรียบกว่าอีกฝ่าย ดังนั้นสมรภูมิรบในเวลานี้จึงสงบนิ่ง ทว่าจิตใจของทั้งสองฝ่ายกลับไม่ใช่
ฮั่วสวี่รู้สึกประหลาดใจกับสมรรถภาพทางกายของฟั่นเพ่ยหยาง การโจมตีที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ เดิมเขาตั้งใจจะใช้คลื่นเล่นงานอีกฝ่ายให้งุนงง ยุติการต่อสู้ภายในคลื่นเดียว แต่นอกจากจะไม่มึนงงแล้ว ฟั่นเพ่ยหยางกลับยังมีเรี่ยวแรงควบคุมต้นไอเทมอีก
ฟั่นเพ่ยหยางเองก็รู้สึกประหลาดใจในอานุภาพต้นไอเทมของฮั่วสวี่ คลื่นยักษ์นั่นไม่ได้หมายเอาชีวิตเขา นั่นก็แปลว่าฮั่วสวี่ออมกำลังไว้ ขนาดการโจมตีที่ไม่ได้ใช้กำลังเต็มที่ก็ยังสามารถสร้างความเสียหายได้แบบนี้ ถึงจะบอกไม่ได้ว่าเป็นต้นไอเทมที่แข็งแกร่งที่สุดในหมู่ต้นไอเทมประเภทโจมตีระดับสี่ แต่ก็มากพอที่จะบดขยี้ไอเทมส่วนใหญ่ได้แล้ว
นี่ยังไม่รวมถึงสมรรถภาพทางกายของฮั่วสวี่
การระเบิดของก้อนหินเมื่อครู่ เป้าหมายการโจมตีของเขาอยู่ที่เข่าขวาของฮั่วสวี่ ทว่าก่อนที่ก้อนหินจะไปถึงเสี้ยววินาที ฮั่วสวี่ก็สังเกตเห็นได้ก่อนแล้ว แต่เพราะไม่สามารถหลบเลี่ยงได้อย่างสิ้นเชิง ถึงได้โจมตีเข้าถูกน่อง
ขอเพียงเร็วกว่านี้อีกหน่อย อีกฝ่ายย่อมสามารถหลบพ้นได้แน่
ที่สำคัญไปกว่านั้นคือที่เขาใช้คือ ‘วินาศกรรมระดับกลาง’ ต้นไอเทมระดับสี่ที่เพิ่งได้มาใหม่ การลอบโจมตีเมื่อครู่นับเป็นการโจมตีที่เร็วที่สุดของเขาแล้ว
สมรภูมิรบตกสู่ความเงียบงัน เป็นความสงบเงียบก่อนที่พายุลูกใหญ่จะมาถึง
* วงรีเฟล็กซ์ เป็นวิถีประสาทที่ควบคุมรีเฟล็กซ์หรือการเคลื่อนไหวของร่างกายนอกเหนือการควบคุมของจิตใจซึ่งเกิดขึ้นอย่างฉับพลันทันที เป็นวิถีประสาทที่นำข้อมูลความรู้สึกจากปลายประสาทรับความรู้สึกไปยังไขสันหลังและก้านสมอง แล้วนำการตอบสนองที่ไขสันหลังและก้านสมองไปยังอวัยวะปฏิบัติงานในช่วงการเกิดรีเฟล็กซ์
โปรดติดตามตอนต่อไป…