ทดลองอ่าน พ้นเที่ยงคืนกลืนมิติ เล่ม 5 บทที่ 153-154 #นิยายวาย – Jamsai
Connect with us

Jamsai

everY

ทดลองอ่าน พ้นเที่ยงคืนกลืนมิติ เล่ม 5 บทที่ 153-154 #นิยายวาย

หน้าที่แล้ว1 of 2

ทดลองอ่าน เรื่อง พ้นเที่ยงคืนกลืนมิติ เล่ม 5

ผู้เขียน : เหยียนเหลียงอวี่

แปลโดย : สนสราญ

ผลงานเรื่อง : พ้นเที่ยงคืนกลืนมิติ

ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน

จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว

หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย

– – – – – – – – – – – – – – – – –

 

Trigger Warning

 เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับความรุนแรง ปัญหาครอบครัว

การทำร้ายทางร่างกายและจิตใจ การตาย การฆาตกรรม

การบังคับหรือโน้มน้าวให้ทำบางอย่างโดยไม่เต็มใจ

การกักขังหน่วงเหนี่ยว การทรมาน การบูลลี่

การกล่าวถึงเลือด สภาพศพ และสถานการณ์อันน่าขยะแขยง

ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ

    

สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป

โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน

 

** หมายเหตุยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **

– – – – – – – – – – – – – – – – –

บทที่ 153

สู้กับฮั่วสวี่

 

บรรยากาศเงียบเชียบ น้ำเจิ่งนองอยู่ที่ข้างเท้าของฮั่วสวี่อีกครั้ง

ฟั่นเพ่ยหยางตั้งสมาธิจับจ้อง ไม่ได้เคลื่อนไหวบุ่มบ่าม

คราวนี้ไม่ใช่คลื่นน้ำ แต่เป็นน้ำที่แผ่ขยายออกช้าๆ พร้อมกับเคลื่อนเข้าใกล้เท้าของฟั่นเพ่ยหยางทีละน้อย

ห้องฝึกซ้อมเป็นพื้นที่ปิด ขอเพียงน้ำยังคงเคลื่อนที่เช่นนี้ไปเรื่อยๆ คิดจะหลบย่อมไม่มีทางเป็นไปได้

ฟั่นเพ่ยหยางไม่ได้เสียเวลาชักเท้าหนี เขายังคงยืนอยู่กับที่รอการเคลื่อนไหวขั้นต่อไปของฮั่วสวี่

น้ำที่อย่างมากก็แค่ทำให้พื้นรองเท้าเปียก ไม่มีทางกลับกลายเป็นอาวุธร้ายอะไรได้

เพียงไม่นานน้ำก็ไหลไปถึงที่ที่ฟั่นเพ่ยหยางยืนอยู่ก็เปลี่ยนพื้นบริเวณนั้นให้กลายเป็นแอ่งน้ำตื้นๆ

ทันใดนั้นสองตาของฮั่วสวี่ก็ส่องประกายวับวาวเย็นเยียบ

น้ำเอ่อท้นรวดเร็ว เพียงพริบตาก็ท่วมเข่าของฟั่นเพ่ยหยางเป็นที่เรียบร้อย ในเวลาเดียวกันก็กระเพื่อมไหวรุนแรง ราวกับมีพลังอะไรบางอย่างที่มองไม่เห็นขยับไหวอยู่ในน้ำ

ฮั่วสวี่เคลื่อนไหวแล้ว

เขากระโดดพ้นจากน้ำ เหยียบผิวน้ำพุ่งเข้าหาฟั่นเพ่ยหยาง ผืนน้ำที่กระเพื่อมไหวรุนแรงอยู่ใต้ฝ่าเท้าของเขานั้นไม่ต่างอะไรกับพื้นราบ!

เขาคิดจะสู้ระยะประชิด? เจิ้งลั่วจู๋ส่งเสียงออกมาด้วยความสงสัย ใช่ว่าฮั่วสวี่จะได้เปรียบเรื่องสมรรถภาพทางกาย สู้ระยะประชิดกับประธานฟั่นไม่เท่ากับใช้สั้นปะทะยาว?

ยังไม่ทันสิ้นเสียงสัญชาตญาณในการป้องกันตัวของฟั่นเพ่ยหยางก็บอกให้เขาชักเท้าถอยหลัง หมายดึงจังหวะเวลาในการต้านทานรับมือ

แต่ทันทีที่ถอยเขาก็พบว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง การเคลื่อนไหวของเขากลายเป็นเชื่องช้าเพราะถูกกระแสน้ำต้านทานไว้

เขาใช้กระแสน้ำจำกัดการเคลื่อนไหวของฟั่นเพ่ยหยาง ถังหลิ่นพูดออกมาเสียงแผ่ว น้ำเสียงแฝงไว้ซึ่งความรู้สึกวิตกกังวล

ขณะพูดทางฮั่วสวี่ก็เคลื่อนไปถึงหน้าฟั่นเพ่ยหยางแล้ว เขาอาศัยความเร็วในการเคลื่อนที่ ยกมือเหวี่ยงหมัดออกไป

หลังจากที่ฟั่นเพ่ยหยางพบว่าการเคลื่อนไหวของตัวเองถูกจำกัด เขาก็เลิกคิดจะหลบเลี่ยง ตั้งสมาธิแน่วแน่รอรับการมาถึงของอีกฝ่ายแทน

หมัดของฮั่วสวี่พุ่งเข้าใส่หน้าของฟั่นเพ่ยหยาง ทั้งรวดเร็วและรุนแรง

ทว่าฟั่นเพ่ยหยางกลับรวดเร็วยิ่งกว่า เขายกมือขึ้นคว้าหมับเข้าที่ข้อมือของฮั่วสวี่ แล้วอาศัยทักษะการจับยึดตรึงแขนของฮั่วสวี่ไว้

การต่อสู้ระยะประชิดนี้ทั้งสองฝ่ายสามารถเห็นแม้แต่สีหน้าที่แปรเปลี่ยนเพียงเล็กน้อยของอีกฝ่ายได้ชัดเจน

ทันทีที่ถูกจับไว้ฮั่วสวี่ก็ส่งเสียงประชดพร้อมกับทำหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้มออกมาคราวหนึ่ง น้ำเสียงแฝงไว้ด้วยความหยันเย้ยชัดแจ้ง ก่อนจะออกแรงสะบัดแขน

ฉงเยวี่ยที่มองดูอยู่ไกลๆ พอเห็นแบบนั้นก็เบ้ปาก คิดว่าประธานฟั่นของพวกเรากำลังล้อเล่นอยู่หรือไง คิดจะสะบัดหลุดก็สะบัดหลุดได้ง่ายๆ?

พึ่บ…

ฮั่วสวี่สะบัดหลุดแล้ว

ฉงเยวี่ย “…”

หนานเกอ “…”

เจิ้งลั่วจู๋ เวร! เจ้านาย คุณเลิกออมกำลังได้แล้ว เอาจริงเลย…

ถังหลิ่นเม้มริมฝีปากแน่นอย่างไม่รู้ตัว เขาสังเกตเห็นแววตาประหลาดใจที่พบได้ยากในดวงตาของฟั่นเพ่ยหยาง ไม่บ่อยนักที่จะมีเรื่องอะไรอยู่นอกเหนือความคาดหมายของฟั่นเพ่ยหยาง ทว่าถังหลิ่นรู้ ฮั่วสวี่เกินความคาดหมายไปแล้ว

เรี่ยวแรงของฟั่นเพ่ยหยางในยามที่คิดจะจับใครสักคนนั้นมากมายขนาดไหนถังหลิ่นย่อมรู้ดี ตอนถูกอีกฝ่ายกุมข้อมือไว้เขาเองก็เคยลองสะบัดดูเหมือนกัน แต่มันกลับไม่ขยับเลยแม้แต่น้อย เรี่ยวแรงของฟั่นเพ่ยหยางที่เกาะกุมฮั่วสวี่ไว้เมื่อครู่นั้นเกรงว่ามีแต่จะมากกว่าไม่มีน้อยกว่า นี่เป็นการต่อสู้ที่พัวพันถึงหน้าตา ฟั่นเพ่ยหยางไม่มีทางออมแรงแน่

ทว่าภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ฮั่วสวี่กลับสลัดหลุดได้ง่ายดาย

ถังหลิ่นดูไม่ผิด จิตใจของฟั่นเพ่ยหยางหวั่นไหวแล้วจริงๆ

ทว่าสิ่งที่ทำให้ฟั่นเพ่ยหยางหวั่นไหวไม่ใช่เรื่องที่ฮั่วสวี่สลัดหลุดจากการเกาะกุม แต่เป็นพละกำลังของฮั่วสวี่ในเวลานั้น นั่นไม่ใช่พละกำลังที่ร่างกายของคนธรรมดาทั่วไปจะมีได้ ฝ่ามือของเขาในเวลานี้ยังคงรู้สึกชา

เพิ่มพูนความสามารถของร่างกาย?

ในหัวของฟั่นเพ่ยหยางมีเพียงการคาดเดาเช่นนี้ แต่ถึงกระนั้นความรู้สึกหวั่นไหวในใจก็ไม่ได้ส่งผลต่อการเคลื่อนไหวของเขาแต่ประการใด ทันทีที่ฮั่วสวี่สลัดหลุด เขาก็ค้อมกายขยับขึ้นหน้า

คิดจะอาศัยเรี่ยวแรงเล็กๆ น้อยๆ นั่นจับฉัน นายไปฝึกใหม่ก่อนดีกว่า ฮั่วสวี่พูดกับฟั่นเพ่ยหยางอย่างเย็นชา เท้าไม่แม้แต่จะขยับ คล้ายรอการพุ่งเข้ามาของฟั่นเพ่ยหยาง

ภายใต้ท่าทีหนักแน่นของอีกฝ่าย ฟั่นเพ่ยหยางสังเกตเห็นสิ่งผิดปกติ เขารีบหยุดเท้า

ทว่าขณะนั้นฮั่วสวี่กลับกระโจนเข้ามา พุ่งชนร่างฟั่นเพ่ยหยางจนล้ม

ทั้งคู่ต่างต้องการสู้ระยะประชิด ร่างของพวกเขาสองคนล้มลงไปในน้ำ

ผืนน้ำแตกฉานซ่านเซ็น เห็นเพียงคนสองคนกอดรัดฟัดเหวี่ยงอยู่ด้วยกัน ทว่ากลับไม่อาจบอกได้ว่าใครเป็นใคร

ทำไมถึงไม่ใช้ต้นไอเทมล่ะ หนานเกอมองดูการต่อสู้ที่เกิดขึ้นด้วยความรู้สึกประหลาดใจ พึมพำกับตัวเอง พวกเขาสองคนสามารถโจมตีระยะไกลได้ แล้วทำไมถึงต้องสู้กันด้วยหมัดลุ่นๆ แบบนั้นด้วย

ต้นไอเทมกินแรงมาก ถังหลิ่นอธิบายอย่างใจเย็น การต่อสู้ในวันนี้ต้องไม่จบลงง่ายๆ แน่ ฟั่นเพ่ยหยางกำลังรักษากำลังแรงกายไว้ ส่วนฮั่วสวี่… สายตาของถังหลิ่นที่มองไปทางสมรภูมิรบนั้นกระจ่างใสและแหลมคม เขาใช้ต้นไอเทมอยู่ตลอดเวลา

หนานเกอตะลึง ในที่สุดก็พบว่าตัวเองเข้าสู่จุดบอดโดยไม่รู้ตัวแล้ว

ฮั่วสวี่ลงมือโจมตีคู่ต่อสู้โดยใช้ คลื่นน้ำ ไม่หยุด จนเธอเผลอคิดไปว่า ไม่มีคลื่นน้ำ = ไม่ได้ใช้ต้นไอเทม แต่ในความจริงแล้ว ต้นไอเทมของฮั่วสวี่ไม่ใช่ คลื่นน้ำ แต่เป็น น้ำ ตั้งแต่เริ่มต่อสู้มาจนถึงตอนนี้พื้นห้องฝึกซ้อมก็ไม่เคยแห้งเลย การเคลื่อนไหวของฟั่นเพ่ยหยางไม่เพียงได้รับผลกระทบ ความจริงตั้งแต่ต้นจนจบเขาก็ถูกห้อมล้อมไว้ด้วย อาวุธ ของฮั่วสวี่มาโดยตลอด

คล้ายตอบรับกับการพูดคุยกันของคนที่ดูอยู่รอบๆ จู่ๆ น้ำในสนามรบก็ถอยจากไป เผยให้เห็นถึงคนทั้งสองที่กำลังยืนคุมเชิงกันอยู่บนพื้นห้อง

ฟั่นเพ่ยหยางล็อกแขนกดขาของฮั่วสวี่ไว้ ดูเหมือนจะตรึงอีกฝ่ายกับพื้นไว้ได้อย่างสมบูรณ์แบบแล้ว

ทว่าภาพที่อีกฝ่ายสลัดหลุดจากการจับกุมของฟั่นเพ่ยหยางได้ง่ายดายก่อนหน้านี้ยังคงอยู่ ไม่ว่าจะเป็นคนที่อยู่รอบๆ หรือแม้แต่ตัวฟั่นเพ่ยหยางเองก็ไม่กล้าชะล่าใจ

สายตาทั้งหมดล้วนจับจ้องอยู่ที่กลางสมรภูมิ ไม่ว่าใครก็ไม่ทันสังเกตว่าน้ำที่ลดลงไปนั้นได้ทิ้งหยดน้ำเล็กๆ ไว้แนวหนึ่ง

ขณะที่มันหยุดนิ่ง ฮั่วสวี่เองก็หยุดต่อต้านเช่นกัน เขาปล่อยตัวตามสบาย มองดูฟั่นเพ่ยหยางที่อยู่ทางด้านบน เอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ นายได้เวลาตายแล้ว

หยดน้ำที่หยุดนิ่งอยู่บนพื้นไม่ต่างอะไรกับเข็มแหลมพุ่งแหวกอากาศเร็วเสียยิ่งกว่าปืนฉีดน้ำแรงดันสูง ทั้งยังรุนแรงยิ่งกว่า มันพุ่งโจมตีเข้าใส่แผ่นหลังของฟั่นเพ่ยหยาง

คนที่อยู่ข้างผนังทั้งสี่ต่างพากันหยุดหายใจ น้ำเมื่อถึงระดับหนึ่งย่อมสามารถฆ่าคนได้ คราวนี้แผ่นหลังของฟั่นเพ่ยหยางมีหวังได้ทะลุเป็นรูแน่!

สัญชาตญาณในการระแวดระวังตัวของฟั่นเพ่ยหยางทำให้เขาหันกลับไปรวดเร็ว แต่น้ำนั่นกลับเร็วยิ่งกว่า ตอนนี้มันพุ่งมาถึงตรงหน้าแล้ว และกำลังจะพุ่งทะลุไหล่ของฟั่นเพ่ยหยาง ไม่มีทางหลบเลี่ยงได้เลย

กึก…

หยดน้ำที่แหลมคมไม่ต่างอะไรกับเข็มหยุดแล้ว

ขณะที่ปลายแหลมของมันกำลังจะสัมผัสถูกเสื้อของฟั่นเพ่ยหยาง มันก็คล้ายถูก กุญแจหยุดนิ่ง สะกดไว้ก่อนที่จะเคลื่อนไปถึงไหล่ของฟั่นเพ่ยหยาง

ดวงตาของฮั่วสวี่ระอุไปด้วยเพลิงแค้น เขาหันมองไปทางฉงเยวี่ยที่อยู่ข้างผนัง สายตาแทบจะเผาฉงเยวี่ยให้มอดไหม้ได้ในชั่วพริบตา

ฉงเยวี่ยเบิกตากว้าง สีหน้าท่าทางราวกับกำลังบอกว่าตนเองถูกใส่ความ ไม่ใช่ฝีมือฉัน…

เขาอยากช่วยก็จริง แต่สุดท้ายก็ถูกถังหลิ่นขวางไว้

ฮั่วสวี่ผลักฟั่นเพ่ยหยางออก กระโดดลุกขึ้นจากพื้น มองดูคนทั้งสี่ที่อยู่ข้างผนังด้วยสายตาหยันเย้ย เลิกมุงดูได้แล้ว พวกนายเข้ามาให้หมดนั่นแหละ

ไม่ว่าจะแบบไหนก็เหมือนกัน เพราะงั้นก็ทำมันให้โจ่งแจ้งไปเลย สู้กันจะได้สะดวกๆ

ฉงเยวี่ยโมโห นายนี่ทำไมถึงได้…

ฉันลืมบอกไป ฟั่นเพ่ยหยางลุกขึ้น เดินไปทางด้านข้างสองก้าว ออกจากขอบเขตการโจมตีของน้ำนั่นอย่างไม่สะทกสะท้าน “ ‘วินาศกรรมระดับกลางของฉันคือการเคลื่อนย้ายวัตถุกลางอากาศและทำให้ระเบิด

ครั้นพูดจบฟั่นเพ่ยหยางก็ตัดการเชื่อมต่อกับต้นไอเทม

น้ำที่หยุดอยู่กลางอากาศนั้นพุ่งออกไป มันยังคงพุ่งตรงไปตามเส้นทางการโจมตีเมื่อครู่ แต่เพราะไม่มีเป้าหมายบังขวาง สุดท้ายมันจึงพุ่งใส่ผนังที่อยู่ปลายทางอีกด้านดังปั่ก ก่อนจะกระจัดกระจายกลายเป็นหยดน้ำ

ฮั่วสวี่ย่อมรู้ว่าฟั่นเพ่ยหยางสามารถเคลื่อนย้ายวัตถุกลางอากาศได้ ไม่อย่างนั้นการโจมตีก่อนหน้านั้นก็เท่ากับว่าเกิดขึ้นได้เพราะก้อนหินพวกนั้นมีชีวิตขึ้นมาเองแล้ว แต่ที่เขานึกไม่ถึงก็คือ ที่แท้การเคลื่อนย้ายวัตถุกลางอากาศยังสามารถเคลื่อนย้ายต้นไอเทมของคนอื่นได้ด้วย

แต่ก่อนไม่ได้ จนกระทั่งมาถึงเขตรวมพลถึงทำได้ ฟั่นเพ่ยหยางบอกออกไปตามตรง นายเป็นคนแรกที่ได้ลิ้มลอง อย่าลืมให้ข้อเสนอแนะกลับมาด้วยล่ะ

ฮั่วสวี่ไม่ได้ตอบแต่มองกลับไปที่ฉงเยวี่ย ฉันเชื่อนายแล้ว

ฉงเยวี่ย “…”

แบบนี้เรียกว่าเชื่อเขา? ถ้าไม่มีประธานฟั่นยืนยัน เขามีหวังต้องแบกรับคำกล่าวหาว่าแอบใช้ต้นไอเทมจนกว่าระบบเซียวจะล่มสลายแน่!

เชี่ยยย เจ้านายไปฝึกมันตั้งแต่เมื่อไหร่… เจิ้งลั่วจู๋ถอนหายใจตะลึงลาน ตอนอยู่ในนครใต้พิภพกับโลกใต้บาดาลเขาใช้แผ่นเหล็กร่วมฝึกฝนกับฟั่นเพ่ยหยางมานับครั้งไม่ถ้วน แต่ตอนนั้นต้นไอเทมของฟั่นเพ่ยหยางทำอะไรกับแผ่นเหล็กของเขาไม่ได้แม้แต่น้อย ตอนนั้นเขายังบอกว่าไม่มีทางที่จะใช้เคลื่อนย้ายวัตถุกลางอากาศกับต้นไอเทมของคนอื่นได้ ถ้าทำได้จริงแบบนั้นก็เท่ากับไร้เทียมทานแล้ว

ตอนนี้ประธานฟั่นได้สาธิตให้เขาดูแล้วว่าอะไรที่เรียกว่า ไม่มีคำว่าเป็นไปไม่ได้

เอ๋ ไม่ถูกสิ ฉงเยวี่ยที่เพิ่งรู้สึกตัวขยับเข้าไปใกล้หนานเกอกับเจิ้งลั่วจู๋แล้วกระซิบถาม เคลื่อนย้ายวัตถุผ่านอากาศคือ เสียงสวรรค์ของคนคร้าน ใช่ไหม หลังจากเข้าร่วมกลุ่ม ภายใต้การชี้นำของหัวหน้ากลุ่มเขาก็เข้าใจแจ่มแจ้งในต้นไอเทมของพรรคพวกแต่ละคนเหมือนกับนิ้วบนมือตัวเอง ‘ ‘‘วินาศกรรม คือ คนคร้านต้นไอเทมพื้นฐานที่เพิ่มเติมการระเบิดเข้าไป ทำไมประธานฟั่นถึงบอกกับเจ้าหนุ่มนั่นว่าต้นไอเทมคือ วินาศกรรมระดับกลาง ไม่ใช่ เสียงสวรรค์ของคนคร้าน ล่ะ

เจิ้งลั่วจู๋ส่ายหน้า นัยน์ตาเต็มไปด้วยคำว่า ‘สหายน้อย นายยังไม่เข้าใจประธานฟั่นดี’

หนานเกอกลับตอบออกมาตรงๆ ก็เพราะมันไม่น่าฟังไง

…ภาระของการเป็นไอดอลหนักหนาสาหัสจริงๆ ฉงเยวี่ยเงยหน้ามองไปทางสมรภูมิรบ ประธานฟั่นกำลังเผชิญหน้ากับการโจมตีครั้งใหม่ มีคลื่นยักษ์ถาโถมอยู่เหนือศีรษะ ทว่าประธานฟั่นกลับหน้าไม่มีเปลี่ยนสี ฉงเยวี่ยสองตาวับวาวเป็นประกาย แต่ไม่ว่าภาระจะหนักหนาสักขนาดไหนก็ไม่มีทางทำลายเสน่ห์ชวนหลงใหลนั่นได้

เจิ้งลั่วจู๋ทนฟังต่อไปไม่ไหว นายนี่มันขี้ประจบชัดๆ!

หนานเกอตบไหล่เจิ้งลั่วจู๋เบาๆ เรื่องนี้นายเองก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าชาวบ้านสักเท่าไหร่หรอก

เจิ้งลั่วจู๋ “…”

ที่บรรดาสมาชิกกลุ่มสบายใจขึ้นมาได้ ทั้งนี้ก็เพราะเห็นฟั่นเพ่ยหยางสามารถใช้การเคลื่อนย้ายวัตถุกลางอากาศหยุดยั้งการโจมตีของฮั่วสวี่

ทว่าถังหลิ่นไม่ได้มองโลกในแง่ดีแบบนั้น

ปริมาณ น้ำ ที่อีกฝ่ายใช้โจมตีเมื่อครู่มีเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ถ้าฟั่นเพ่ยหยางสามารถควบคุมคลื่นยักษ์ได้ทั้งหมด เขาก็คงไม่ปล่อยให้ตัวเองตกอยู่ในสภาพไม่ต่างอะไรกับไก่ตกน้ำแกงตั้งแต่แรกแล้ว

โครม…

คลื่นยักษ์ถาโถมลงมาอีกครั้ง ฟั่นเพ่ยหยางโซเซ แต่ถึงกระนั้นก็ยังคงยืนนิ่งได้อยู่

ฮั่วสวี่หยุดโจมตี เพราะผลลัพธ์การทดสอบปรากฏชัดแล้ว การเคลื่อนย้ายวัตถุกลางอากาศของนายมีผลกับกระแสน้ำจำนวนไม่มากเท่านั้น ไม่อาจรับมือได้ทั้งหมด

ฟั่นเพ่ยหยางเสยเส้นผมที่เปียกชื้นปรกหน้าผากอยู่ไปด้านหลัง จะได้มองเห็นชัดมากยิ่งขึ้น การโจมตีด้วยน้ำของนาย ทำได้เพียงเปลี่ยนน้ำให้กลายเป็นวัตถุมีคมเท่านั้นถึงจะทำคนบาดเจ็บได้ อาวุธมีคมจำเป็นต้องมีน้ำในปริมาณที่เล็กน้อย แต่มันกลับถูกฉันหยุดยั้งเอาไว้ได้ ถ้าไม่อยากถูกฉันยับยั้ง นายก็ต้องทำเหมือนเมื่อครู่ ใช้น้ำปริมาณมาก แต่ทันทีที่น้ำมีปริมาณมาก ความสามารถในการทำลายล้างก็ย่อมลดลง วิธีการทั้งสองอย่างนี้ดูเหมือนจะไม่ใช่ตัวเลือกที่ดีนัก

เหมือนนายจะลืมอะไรไปบางอย่าง ฮั่วสวี่เอ่ยเตือน คลื่นยักษ์ของฉันสามารถส่งนายขึ้นไปบนฝ้าเพดาน ความสูงระดับนั้นถึงจะทำคนตายไม่ได้ แต่ตกลงมาซ้ำๆ นายย่อมไม่อาจฝืนทนได้นาน

นายเองก็คงลืมไปเหมือนกัน ฟั่นเพ่ยหยางเปลี่ยนมาเตือนอีกฝ่ายบ้าง นับแต่เริ่มจนถึงตอนนี้ล้วนมีแต่นายที่เป็นฝ่ายโจมตี ฉันนอกจากเล่นงานเข่านายในตอนเริ่มแรกครั้งหนึ่งแล้วก็ไม่ได้ลงมืออะไรอีก

ฮั่วสวี่พิจารณาดูฟั่นเพ่ยหยางตั้งแต่หัวจรดเท้า นายจะบอกฉันว่านายยังไม่ได้แสดงความสามารถที่แท้จริงออกมา?

ฟั่นเพ่ยหยางหนีบเสื้อขึ้น สะบัดให้มันไม่แนบติดตัวจนส่งผลต่อภาพลักษณ์ ก่อนจะเงยหน้าขึ้น ฉันอยากจะบอกว่าดีที่สุดนายควรเลิกความคิดที่จะคว้าชัยชนะให้ได้เร็วที่สุด กลยุทธ์ของฉันคือสู้กับนายไปเรื่อยๆ ซึ่งฉันทำได้แน่

เรื่อยๆ? ฮั่วสวี่คล้ายได้ยินเรื่องน่าขัน ฉันคิดว่าเป้าหมายของนายคือการเอาชนะฉันให้ได้เสียอีก

เป้าหมายไม่ส่งผลต่อกลยุทธ์ ฟั่นเพ่ยหยางอ่านการ PK ในครั้งนี้ได้อย่างทะลุปรุโปร่ง ต้นไอเทมของพวกเราสองคนล้วนเป็นประเภทโจมตี ไม่มีป้องกัน ฉันไม่สามารถหลบการโจมตีของนายได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ นายเองก็ทำไม่ได้เช่นกัน ยิ่งไปกว่านั้นที่นี่ยังมีปัญหาให้คนลำบากใจอีกข้อ นั่นก็คือวันนี้พวกเราทั้งคู่ต่างไม่มีใครนึกอยากฆ่าคน…

ฮั่วสวี่หรี่ตา ปิดปากเงียบ

ฟั่นเพ่ยหยางบอก ถ้านายอยากฆ่าฉันจริง น้ำเมื่อครู่นี้คงไม่พุ่งเข้าใส่ไหล่ฉันแน่ และถ้าฉันอยากเอาชีวิตนาย การโจมตีครั้งแรกนั่นฉันก็คงไม่ให้ก้อนหินนั่นระเบิดใส่ขานาย แต่การบาดเจ็บเป็นเรื่องที่ไม่อาจเลี่ยง ดังนั้นการ PK ที่เกิดขึ้นในวันนี้คงต้องดูแล้วว่าใครจะเสียเลือดมากกว่ากัน ใครที่จะประคองตัวไม่ไหวก่อน

ตลอดการต่อสู้ที่ผ่านมาในที่สุดฮั่วสวี่ก็เผยยิ้มที่แท้จริงออกมาเป็นครั้งแรก นี่ทำให้บรรยากาศชวนอึดอัดหายลับไปจนสิ้น

เขาบอก งั้นมาลองดูกัน

เจิ้งลั่วจู๋ที่อยู่ข้างผนังลูบหลังคอที่เย็นเยียบแล้วเอ่ย ทำไมผมถึงรู้สึกเหมือนเขากำลังเสียสติ

ถังหลิ่นหวังว่ามันจะเป็นเช่นนั้น ยิ่งเสียสติก็ยิ่งดี การ PK กันครั้งนี้ ยิ่งเขาเอาจริงมากเท่าไหร่มันก็ยิ่งดีกับพวกเรามากเท่านั้น

เอ๋ หัวหน้า ผมไม่เข้าใจตรรกะที่ว่านั่นสักเท่าไหร่เลย เจ้าอ้วนเยวี่ยเกาหัว ยิ่งเขาเอาจริง ประธานฟั่นก็ยิ่งรับมืออีกฝ่ายลำบากไม่ใช่เหรอ แบบนั้นมันจะส่งผลดีกับพวกเราได้ยังไง

เจิ้งลั่วจู๋มองมา เขาเองก็รู้สึกงุนงงสงสัยเช่นกัน

ถังหลิ่นถอนหายใจอย่างอับจนหนทาง เขาส่งสายตาไปทางหนานเกอคราวหนึ่ง

หนานเกอเข้าใจได้ทันที เธอถามพรรคพวกทั้งสองแทนหัวหน้ากลุ่มที่กำลังรู้สึกอ่อนใจ วันนี้พวกเรามาทำอะไร

เจิ้งลั่วจู๋กับฉงเยวี่ยสบตากันปราดหนึ่ง ก่อนจะบอกให้อีกฝ่ายรู้ว่าตนเองยังไม่ลืม เชิญฮั่วสวี่เข้ากลุ่ม

หนานเกอพยักหน้า เพราะฉะนั้นเป้าหมายของการ PK กันในครั้งนี้จึงไม่ใช่การแพ้ชนะ ไม่ใช่การตบหน้า หากแต่เป็นการเปิดโอกาสให้ฮั่วสวี่ได้เห็นถึงศักยภาพของพวกเรา

สิ่งที่จำเป็นสำหรับการหาสมัครพรรคพวกไม่ใช่ การบดขยี้ แต่เป็น การยอมรับ

เวลาเที่ยงตรงแสงอาทิตย์ลอดผ่านช่องว่างบนเพดานทรงโค้งเข้ามายังเขตรวมพล เกิดเป็นจุดด่างเต็มพื้นบริเวณโถงใหญ่ชั้นหนึ่ง

นี่เป็นช่วงเที่ยงตรงที่บรรยากาศอบอุ่น เงียบสงบ สบายๆ เหมาะที่จะกินดื่มอิ่มหนำสำราญ นอนพักกลางวันอยู่บนเตียง

ปกติคนที่เข้ามาทำเควสต์ฝ่าด่านอยู่ที่เขตรวมพลล้วนทำเช่นนี้

ทว่าวันนี้ทุกคนต่างตื่นตัวไม่ต่างอะไรกับนกเค้าแมว

เมื่อทอดตามองไป ทุกชั้นล้วนมีเงาคนแน่นขนัด แม้แต่โถงใหญ่บริเวณชั้นหนึ่งก็ยังเต็มไปด้วยผู้คน

ถ้าบอกว่าช่วงเช้าตอนกลุ่ม VIP เพิ่งไปรบกวนฮั่วสวี่มีคนที่เข้ามาห้อมล้อมมุงดูแค่หนึ่งในสาม เช่นนั้นตอนนี้ผู้คนทั่วทั้งเขตรวมพลก็ต่างให้ความสนใจกับเรื่องนี้หมดสิ้น ยิ่งเวลาผ่านไปมากเท่าไหร่ ความอยากรู้อยากเห็นของพวกเขาก็ยิ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ

พวกเขาบ้างก็เดินวนเวียนไปมาอยู่บนระเบียงทางเดินบนชั้นของตัวเอง บ้างก็ยึดครองพื้นที่อยู่ในโถงใหญ่ชั้นหนึ่งเพียงเพื่อรอฟังข่าวว่าตกลงการศึกษาแลกเปลี่ยนเป็นอย่างไรบ้าง!

นับแต่เช้าจนถึงตอนนี้เวลาผ่านไปเกือบห้าชั่วโมงแล้ว กลุ่ม VIP กับฮั่วสวี่ยังไม่มีใครออกมาจากห้องฝึกซ้อมเลยแม้แต่คนเดียว

ต้องเข้าใจว่าทุกคนต่างยอมรับว่า การ PK ในห้องปิดตาย เป็นการ PK ที่รู้ผลแพ้ชนะเร็วที่สุด ทั้งนี้ก็เพราะมันไม่มีพื้นที่ให้วิ่งหนีและไม่อาจถ่วงเวลาได้ เป็นการเผชิญหน้าต่อสู้กันอย่างแท้จริง หากเป็นการต่อสู้กันของยอดฝีมือ สู้กันไม่กี่ทีก็รู้ผลแพ้ชนะได้แล้ว จะตายหรือบาดเจ็บ จะแพ้หรือชนะ เพียงไม่มีนาทีผลลัพธ์ก็กระจ่างแจ้งแล้ว

สู้กันสี่ชั่วโมงกว่านี่มันอะไรกัน? แข่งวิ่งมาราธอนหรือไง ต่อให้สมรรถภาพทางกายทนไหว พลังจิตก็ไม่มีทางทำได้! ควบคุมต้นไอเทมนานถึงสี่ชั่วโมง แถมยังเป็นการต่อสู้ดุเดือดแบบนี้ พวกเขาสองคนยังมีชีวิตอยู่อีกงั้นเหรอ

ถามหน่อย สถานการณ์ตอนนี้… น้ำเสียงหงุดหงิดของใครบางคนดังลอยมา

หลังจากผ่านไปสิบกว่าวินาทีก็มีเสียงอ่อนล้าทั้งกายใจของใครอีกคนดังลอดออกมาจากภายในห้อง สถานการณ์ก็คือไม่มีสถานการณ์อะไรทั้งนั้น ประตูห้องฝึกซ้อมยังปิดอยู่…

นายมั่นใจว่าไม่มีดูพลาด มีคนสงสัย

คนคนนั้นโมโห ฉันจ้องหน้าจอจนตาจะบอดอยู่แล้ว!

เหอลวี่เป็นคนกลุ่มน้อยที่ไม่นึกอยากรู้อยากเห็น ตอนเช้าหลังจากกลุ่ม VIP เข้าไปในห้องของฮั่วสวี่ เขากับสมาชิกกลุ่มก็เข้าไปฝึกซ้อมประจำวันอยู่ในห้องฝึกซ้อม พอถึงตอนเที่ยงพวกเขาก็ออกมากินข้าว เริ่มพักกลางวัน สมาชิกกลุ่มรายนั้นก็ระงับความอยากรู้อยากเห็นไว้ไม่อยู่ ออกมาชำเลืองดูสถานการณ์ก่อนจะกลับไปรายงานให้เหอลวี่ฟัง

ที่จริงก็ไม่มีอะไรให้รายงานมากนัก แค่คำพูดประโยคเดียวเท่านั้น…ยังไม่ออกมา

หัวหน้า คุณว่าพวกเขาเข้าไปกันจนป่านนี้ก็ยังไม่ออกมา หรือว่าจะมีหวังอะไรบางอย่าง ไม่ใช่ว่าเจ้าบ้านั่นถูกกลุ่ม VIP กล่อมจนอยู่หมัดแล้วนะ? เดิมทีสมาชิกลุ่มรายนั้นมั่นใจว่ากลุ่ม VIP ต้องถูกปฏิเสธหน้าหงายกลับมาแน่ แต่ตอนนี้เขาเริ่มหวั่นไหวไม่มั่นใจแล้ว

เหอลวี่ไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้เพราะนั่นเป็นเรื่องของชาวบ้าน แต่ในเมื่อสมาชิกกลุ่มของตัวเองถามเช่นนั้น เขาก็ได้แต่ครุ่นคิดจริงจังก่อนจะส่ายหน้า ไม่มีทาง การ PK ครั้งนี้ไม่ว่าจะแพ้หรือชนะ ฮั่วสวี่ก็ไม่มีทางตกลงเข้าร่วมกลุ่มแน่

ต่อให้กลุ่ม VIP ชนะก็ไม่ตกลง? สมาชิกกลุ่มงุนงง ทันทีที่นึกถึงท่าทีชวนถูกอัดของฮั่วสวี่ น้ำเสียงเขาก็เปลี่ยนเป็นไม่สู้ดีขึ้นมา ตกลงเจ้าบ้านั่นคิดจะหากลุ่มแบบไหนกันแน่ หรือว่าต้องให้ผู้คุมด่านรวมกลุ่มมาเล่นสนุกกับเขา

แต่ไหนแต่ไรเขาก็ไม่เคยคิดอยากเข้ากลุ่ม เหอลวี่ไม่เคยเชื้อเชิญฮั่วสวี่ด้วยตัวเองมาก่อน แต่เคยเดินเฉียดไหล่กับอีกฝ่ายครั้งหนึ่งตอนอยู่ในโถงใหญ่ชั้นหนึ่ง ทว่าจนถึงตอนนี้เขาก็ยังคงจดจำสายตาดื้อรั้นเหินห่างนั่นได้ดี เขาไม่เชื่อใจใครทั้งนั้น

 

ห้องฝึกซ้อมภายในห้องหมายเลข 8066

เวลานี้ฟั่นเพ่ยหยางกับฮั่วสวี่ต่างอ่อนล้าหมดแรง เนื้อตัวเต็มไปด้วยบาดแผลเล็กใหญ่นับไม่ถ้วน

ห้องฝึกซ้อมเต็มไปด้วยรอยขีดข่วนและคราบน้ำเขม่าควันยุ่งเหยิงเละเทะ

ทุกที่ล้วนเปียกชื้นราวกับถูกจับแช่อยู่ในน้ำทะเล ทุกหนแห่งเต็มไปด้วยหลุมบ่อราวกับถูกระเบิดลง

ที่อยู่ข้างผนังคือ แผ่นเหล็กม้วนหนึ่ง ซึ่งด้านในแผ่นเหล็กนั้นประกอบไปด้วยถังหลิ่น หนานเกอ เจิ้งลั่วจู๋ และฉงเยวี่ย ศีรษะของคนทั้งสี่ทาบทับอยู่ด้วยกันจากบนลงล่าง จับจ้องสมรภูมิรบผ่านช่องว่าง

ไม่ทำแบบนี้ไม่ได้

คนพูดน้อยสองคนสู้กันอย่างเต็มกำลังนั้นโคตรน่ากลัว ไม่มีหยุดพัก ไม่มีหอบหายใจ มีแต่ลงมือ

ทว่าตอนนี้การศึกษาแลกเปลี่ยนดำเนินมาถึงขั้นตอนสุดท้ายแล้ว

พลังจิตของพวกเขาสองคนหมดไปตั้งแต่เมื่อหนึ่งชั่วโมงก่อนแล้ว การต่อสู้ด้วยไอเทมเปลี่ยนเป็นการต่อสู้แบบอิสระ

ด้านความเร็วและกำลังของฮั่วสวี่ล้วนเหนือกว่าฟั่นเพ่ยหยาง หรืออาจพูดได้ว่าเหนือกว่ามาตรฐานของคนธรรมดาทั่วไป แต่มีอยู่จุดหนึ่งคือเขาเป็นคนบุ่มบ่าม

เรื่องนี้ทำให้ทุกครั้งที่โจมตีเขาล้วนทุ่มสุดกำลัง ดังนั้นเมื่อสู้มาถึงช่วงหลังๆ กำลังกายของฟั่นเพ่ยหยางก็กลับกลายเป็นได้เปรียบอย่างเห็นได้ชัด ขอเพียงเขาต้านทานหลบหลีกการโจมตีหนักหน่วงรุนแรงครั้งแล้วครั้งเล่าของฮั่วสวี่ได้ เขาย่อมเป็นฝ่ายชนะ

ทว่าเขากลับต้านทานไว้ไม่ไหว ภายใต้การโจมตีครั้งสุดท้ายของฮั่วสวี่ ฟั่นเพ่ยหยางก็หมอบอยู่กับพื้น ไม่มีเรี่ยวแรงยันกายลุกขึ้นอีก

ฮั่วสวี่เดินโซซัดโซเซมาหยุดอยู่ตรงหน้าฟั่นเพ่ยหยาง หอบหายใจพลางปาดเช็ดเลือดบนใบหน้า มุมปากยกยิ้มขึ้นน้อยๆ สายตาเต็มไปด้วยความรู้สึกเบิกบาน ฉันชนะแล้ว

ฟั่นเพ่ยหยางนอนหงายอยู่กับพื้น หายใจหอบถี่มองดูอีกฝ่าย

โป๊ก…

แผ่นเหล็กที่บังขวางอยู่หน้าผู้ชมทั้งสี่ลอยออกจาก แผ่นเหล็กม้วนหนึ่ง ฟาดเข้าใส่ศีรษะของฮั่วสวี่เต็มรัก

ฮั่วสวี่ที่มีกำลังกายเหลือเพียงเล็กน้อยล้มหน้าคว่ำลงกับพื้นดังตึง

ภายในแผ่นเหล็กที่หายไปด้านหนึ่ง ใบหน้าของคนทั้งสามเต็มไปด้วยความรู้สึกงงงัน เว้นแต่ถังหลิ่นที่สายตาเต็มไปด้วยความรู้สึกยากจะบรรยายด้วยคำพูดเพียงประโยคเดียว ที่ระคนอยู่ท่ามกลางเสียงถอนหายใจชื่นชมคือความเงียบ ท่ามกลางความเงียบแฝงไว้ซึ่งความเลื่อมใส

คนแรกที่รู้สึกตัวคือเขา ถังหลิ่นรีบวิ่งเข้าไปประคองคน

พรรคพวกทั้งสามวิ่งตามมา เจิ้งลั่วจู๋ช่วยถังหลิ่นประคองฟั่นเพ่ยหยาง หนานเกอกับฉงเยวี่ยแบกฮั่วสวี่ที่ถูกฟาดจนสลบ

เจ้านาย คุณไม่มีแรงควบคุมต้นไอเทมตั้งแต่เมื่อหนึ่งชั่วโมงก่อนไม่ใช่เหรอ เจิ้งลั่วจู๋ไม่เข้าใจ

ฟั่นเพ่ยหยางอาศัยแรงประคองฝืนหยัดตัวขึ้น แม้กำลังกายจะหมดสิ้นแต่น้ำเสียงกลับยังมั่นคง ตอนหยุดควบคุมต้นไอเทม ฉันรู้สึกว่าตัวเองยังใช้มันได้อีกสามถึงห้าครั้ง

เจิ้งลั่วจู๋จำได้ว่าเจ้านายของตัวเองกับฮั่วสวี่หยุดควบคุมต้นไอเทมแทบจะในเวลาเดียวกัน นั่นก็หมายความว่า ตอนเขาใช้พลังจิตหมด อันที่จริงเจ้านายยังควบคุมต้นไอเทมไหว?

ฟั่นเพ่ยหยางเทน้ำหนักร่างกายส่วนใหญ่ไปบนตัวของถังหลิ่น พยักหน้าสบายๆ

เจิ้งลั่วจู๋ยิ่งถามก็ยิ่งสงสัย งั้นทำไมเจ้านายถึงไม่ลงมือในคราวเดียวเลย ตอนนั้นถ้าลงมือรุกโจมตีต่อ การต่อสู้คงจบไปเมื่อหนึ่งชั่วโมงก่อนแล้ว

ฟั่นเพ่ยหยางไม่ได้ตอบ

ถังหลิ่นรับรู้ได้ถึงน้ำหนักของอีกฝ่าย เขารู้ว่าฟั่นเพ่ยหยางในเวลานี้เหนื่อยจนไม่อยากพูดอะไรแล้ว

หลังจากขยับตัวประคองฟั่นเพ่ยหยางให้มั่นคงมากกว่าเดิมเป็นที่เรียบร้อย ถังหลิ่นก็อธิบายแทน ประการแรก ตอนนั้นต่อให้ใช้ต้นไอเทมเล่นงานอีกฝ่ายก็ไม่แน่ว่าจะยุติการต่อสู้ได้ ประการที่สอง ถ้ายุติการต่อสู้ตั้งแต่ตอนนั้น สิ่งที่ประธานฟั่นของนายจะแสดงให้ฮั่วสวี่ได้เห็นก็มีแต่ความสามารถของต้นไอเทม ไม่ใช่กำลังกายและเนื้อแท้ ประการที่สาม…

เจิ้งลั่วจู๋คิดว่าแค่สองข้อก็จบแล้ว ยังมีประการที่สาม?

ไม่ใช่แค่มี แต่ยังสำคัญมากด้วย ถังหลิ่นยกมุมปากแล้วบอก ประการที่สาม เพราะเขาเป็นห่วงว่าหลังจากสู้กันจนถึงตอนท้าย ความสามารถแฝงของฮั่วสวี่อาจยังไม่หมด ดีไม่ดีอีกฝ่ายอาจมีพลังที่สามารถระเบิดจักรวาลเล็กๆ ออกมาได้ ดังนั้นถึงได้เก็บพลังจิตไว้บางส่วนเผื่อไว้ใช้เหมือนอย่างเมื่อครู่ ยุติการต่อสู้

เจิ้งลั่วจู๋กลืนน้ำลาย แล้วถ้าผมไม่ได้ใช้แผ่นเหล็กล่ะ

เขาก็เลือกใช้ของอย่างอื่น อาจจะเป็นก้อนหิน แผ่นเหล็ก เข็ม ก็ต้องดูว่าอารมณ์ของเขาในตอนนั้นเป็นยังไง ถังหลิ่นพูด ครั้นสังเกตเห็นว่าเส้นผมของฟั่นเพ่ยหยางในเวลานี้ยุ่งเหยิง เขาก็ไม่แม้แต่จะหยุดคิด ยกมือขึ้นช่วยอีกฝ่ายจัดผมอย่างเป็นธรรมชาติคล้ายเคยทำเช่นนี้มานับครั้งไม่ถ้วน เขาพกข้าวของติดตัวไว้มากมาย ในกระเป๋าของผมยังมีมีดที่เขาใส่ไว้อยู่ก่อนหน้านี้อีก

เจิ้งลั่วจู๋ “…”

เขาในเวลานี้น่าจะแสดงความเลื่อมใสต่อประธานฟั่น นึกเห็นอกเห็นใจฮั่วสวี่ หรือเคี้ยวอาหารหมากร้วมๆ ดี

ถังหลิ่นกับเจิ้งลั่วจู๋ประคองฟั่นเพ่ยหยางไปที่หน้าประตู เตรียมพาอีกฝ่ายกลับห้องก่อนแล้วค่อยทำการรักษา

ส่วนหนานเกอกับฉงเยวี่ยพาฮั่วสวี่เข้าไปในห้องพยาบาลแล้ว กำลังเตรียมปลดผ้าพันแขนของฮั่วสวี่ จะได้ใช้เครื่องหมายบนแขนดำเนินการรักษา

แต่ทันทีที่มือของหนานเกอแตะถูกผ้าพันแผลฮั่วสวี่ก็ได้สติ เขารีบคว้ามือของหนานเกอไว้ เรี่ยวแรงไม่เหมือนคนหมดสิ้นเรี่ยวแรงไม่ได้สติเมื่อหนึ่งวินาทีก่อนเลยแม้แต่น้อย

หนานเกอสะดุ้ง ฉงเยวี่ยตกตะลึงและพูดว่า นายคิดจะทำอะไร ดูให้ดีๆ ที่นี่มันห้องพยาบาล พวกเรากำลังช่วยนายเริ่มต้นการรักษา

ฮั่วสวี่ขมวดคิ้ว เพ่งมองดูพวกเขาสองคนอยู่นาน คล้ายเพิ่งเข้าใจคำพูดของฉงเยวี่ย

ไม่ต้อง เขาปล่อยมือหนานเกอ ขณะเดียวกันก็ชักแขนกลับ พูดอย่างเรียบง่ายหยาบคายว่า พวกนายไสหัวไปได้แล้ว

อ้าว เจ้าเด็กบ้านี่ ตกลงนายซ่อนอะไรไว้ใต้ผ้าพันแผลนั่นกันแน่!ฉงเยวี่ยนึกโมโห

ฮั่วสวี่ไม่พูดไม่จา ทำเพียงจ้องเขาเขม็ง สายตาเหี้ยมโหดคล้ายสัตว์ร้ายที่ถูกรุกล้ำเขตแดน

ฉงเยวี่ยถูกอีกฝ่ายมองจนหนังหัวชาไปหมด

หนานเกอเอ่ยปากพูดได้ถูกจังหวะ น้ำเสียงถึงไม่จัดว่าอ่อนโยนแต่ก็สุภาพ ในเมื่อฟื้นแล้ว งั้นนายก็รีบรักษาตัวเถอะ พวกเราขอตัวก่อน คราวหน้า…

ไม่มีคราวหน้า ฮั่วสวี่ตัดบท ความรู้สึกอ่อนล้าทำให้เสียงของเขาแหบพร่า แต่ถึงอย่างนั้นท่าทีกลับหนักแน่นมั่นคง ฉันไม่มีทางเข้าร่วมกลุ่มกับใครทั้งนั้น

 

ห้องหมายเลข 1611 ของฟั่นเพ่ยหยาง

ฟั่นเพ่ยหยางกำลังรักษาตัวอยู่ในห้องพยาบาล ถังหลิ่นกับสมาชิกกลุ่มทั้งสามรออยู่ในห้องรับแขก

เรื่องก็เป็นแบบนี้ หนานเกอเล่าถึงปฏิกิริยาท่าทางของฮั่วสวี่ตอนอยู่ในห้องพยาบาลให้ถังหลิ่นฟังอย่างตรงไปตรงมาไม่มีต่อเติม สุดท้ายก็มองดูหัวหน้ากลุ่มของตัวเองด้วยสายตาวิตกกังวล เขายืนกรานเสียงแข็งจริงๆ คุณจะลองพิจารณาดูอีกทีหรือเปล่า แตงที่ฝืนเด็ดจากต้นย่อมไม่หวาน* แน่

แตงที่ฝืนเด็ดจากต้นย่อมไม่หวาน ถังหลิ่นบอก พวกเราไม่ต้องการให้เขาฝืนใจ แต่ต้องการให้เขาสมัครใจเอง

ก่อนหน้านี้หนานเกอรู้สึกแค่ว่าประธานฟั่นหัวรั้นเอาแต่ใจ ทว่ายามนี้เธอกลับพบว่าประธานถังเองก็ไม่ต่างอะไรกัน PK กันขนาดนี้แล้ว แต่เขาก็ยังไม่ยอม ฉันนึกภาพเขาสมัครใจเข้าร่วมกลุ่มไม่ออกจริงๆ

ถังหลิ่นนิ่งเงียบไปชั่วขณะก่อนจะช้อนตาขึ้นเอ่ยว่า อันที่จริงเมื่อวานตอนพวกเราวางแผนกัน ผมก็รู้แล้วว่าวันนี้ไม่ว่าจะสู้แพ้หรือชนะ ฮั่วสวี่ก็ไม่มีทางยินดีเข้าร่วมกลุ่มเป็นอันขาด

เอ๋? ฉงเยวี่ยอ้าปากกว้าง งั้นพวกเราเหนื่อยกันทั้งวันเพื่ออะไร

ทักทาย ถังหลิ่นสีหน้าจริงจัง คิดจะดึงชาวบ้านเข้ามาเป็นพวก ไม่ว่ายังไงก็ต้องทักทายกันสักหน่อย

เจิ้งลั่วจู๋ “…”

การ ‘ทักทาย’ นี้ไม่ดุเดือดเกินไปหน่อยหรือไง!

หัวหน้า หนานเกอพอจะฟังออกถึงสายสนกลในอะไรบางอย่าง ถ้าวันนี้แค่เป็นการทักทาย นั่นก็แปลว่าหลังจากนี้คุณยังมีแผนอื่นอีก?

ถังหลิ่นไม่ได้รีบตอบ ตรงกันข้ามกลับถามอีกฝ่ายกลับว่า ทุกคนรู้สึกว่าไป๋ลู่เสียกับฮั่วสวี่คล้ายกันหรือเปล่า

เจิ้งลั่วจู๋กับฉงเยวี่ยไม่เข้าใจว่าคนทั้งสองมีอะไรเกี่ยวข้องกันตรงไหน

มีเพียงหนานเกอเท่านั้น หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่งเธอก็ตอบออกมา พวกเขาสองคนล้วน…ชักจูงได้ยาก?

ฉันรู้สึกว่าไป๋ลู่เสียยังพอเป็นไปได้ ฉงเยวี่ยย้อนคิดอยู่ครู่หนึ่ง ตอนอยู่บนเกาะร้างฉันกับเขาอยู่กลุ่มเดียวกัน ถึงเขาจะไม่กระตือรือร้นนัก แต่ก็ไม่ได้สร้างความปั่นป่วนอะไร สุดท้ายยังพาพวกเราขึ้นเรือด้วย

เจิ้งลั่วจู๋ …เจ้าอ้วนเยวี่ย นายจำผิดคนหรือเปล่า ไป๋ลู่เสียที่พวกเราพูดถึงคือไป๋ลู่เสียที่หน้าตากับนิสัยตรงกันข้ามกันโดยสิ้นเชิงต่างหาก

ฉงเยวี่ยพยักหน้า ไป๋ลู่เสียคนนั้นแหละ

เจิ้งลั่วจู๋ไม่นึกอยากเชื่อ เขานิสัยเปลี่ยนเหรอ

เป็นผลงานของเหอลวี่ ถังหลิ่นอธิบาย เขาเกลี้ยกล่อมไป๋ลู่เสียให้ยอมร่วมมือด้วย ระหว่างนั้นเพราะมีเหอลวี่คอยจับตา ไป๋ลู่เสียถึงได้เปลี่ยนเป็นว่านอนสอนง่าย

เจิ้งลั่วจู๋สองตาเบิกโพลงปากอ้าค้าง เขาวางยาเสน่ห์อะไรให้ไป๋ลู่เสียกิน

ฉันเองก็อยากรู้เหมือนกัน ดังนั้นเมื่อวานซืนตอนเย็นๆ ค่ำๆ ฉันถึงได้ไปขอคำแนะนำจากหัวหน้าเหอ ถังหลิ่นพูดพลางจงใจมองไปทางเจิ้งลั่วจู๋ปราดหนึ่ง

เจิ้งลั่วจู๋นึกขึ้นได้ หลังจากเพิ่งกลับมาถึงที่นี่ ตอนเขาไปหาถังหลิ่นและขอให้อีกฝ่ายใช้ เงาร่างหมาป่าแกะรอยช่วย ไม่น่าตอนไล่ตามเงาร่างหมาป่าไปถึงหน้าประตูด่านที่ชั้นหนึ่ง ถังหลิ่นถึงได้หยุดคุยอยู่กับเหอลวี่

ทว่าตอนนั้นเจิ้งลั่วจู๋ไม่ได้ตั้งใจฟังเลยแม้แต่น้อย

เหอลวี่บอกอะไรเหรอ หนานเกอถามอย่างอยากรู้อยากเห็น

ถังหลิ่นคิดถึงเรื่องขอคำชี้แนะจากอีกฝ่ายในคืนนั้น จนถึงตอนนี้เขาก็ยังคงรู้สึกว่ามันมีประโยชน์อยู่ไม่น้อย หัวหน้าเหอบอกว่าที่เขาสามารถเกลี้ยกล่อมไป๋ลู่เสียได้สำเร็จ ทั้งหมดล้วนอาศัยคำว่า จริงใจ ถ้าต้องการเพิ่มคำเข้าไปอีก เช่นนั้นก็ต้องบอกว่าคือความจริงใจไม่ลดละย่อท้อ

 

* แตงที่ฝืนเด็ดจากต้นย่อมไม่หวาน เป็นสำนวน หมายถึงการทำอะไรโดยฝืนใจมักได้ผลลัพธ์ที่ไม่ดี

หน้าที่แล้ว1 of 2

Comments

comments

No tags for this post.
Continue Reading

More in everY

บทความยอดนิยม

everY

ทดลองอ่าน เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 Chapter 2.1-2.2 #นิยายวาย

ทดลองอ่าน เรื่อง เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 ผู้เขียน : MINTRAN แปลโดย : ทันบี ผลงานเรื่อง : 배타적 연애 금지구역 ถือเป็นลิขสิทธิ์...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 1-2

บทที่ 1 ฮ่องเต้หญิง   “ท่านพี่นำร้อง น้องหญิงคลอรับ ท่านพี่เสียงเพิ่งลับ น้องหญิงสลับขึ้นเวที เป็นมารดาอารี มีบุตรีกตัญญ...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน ร้อยเรียงรักเคียงฤทัย บทนำ – 1.2

บทนำ ความหลังของต้าลี่ 1   ฤดูหนาวในรัชศกต้าลี่ปีที่สิบเอ็ด โม่เป่ย ตำบลค่งหม่า สถานที่แห่งนี้คือประตูด่านสำคัญสุดท้ายทา...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 7-8

บทที่ 7 ค่าเดินทาง เมื่อภูตสุนัขดำคืนร่างเป็นสุนัขธรรมดาตัวหนึ่ง ภูตบุปผาสองตนนั้นก็ไม่อาจทำการใหญ่ ต่อให้ชาวหมู่บ้านป่า...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 3-4

บทที่ 3 เกิดใหม่   เวิ้งฟ้าดำสนิทปานน้ำหมึก เพียงมีดวงดาวบางตากระจัดกระจายบนม่านฟ้า ทอรัศมีอ่อนจางประเดี๋ยวเผยประเดี๋ยวเ...

community.jamsai.com