everY
ทดลองอ่าน พ้นเที่ยงคืนกลืนมิติ เล่ม 5 บทที่ 153-154 #นิยายวาย
บทที่ 154
เหงา
การ PK ในวันนั้นคนที่มุงดูทั่วทั้งอาคารต่างไม่มีใครรู้ว่าคนไหนแพ้คนไหนชนะ
สิ่งที่บรรดาคนที่เข้ามาทำเควสต์ฝ่าด่านซึ่ง ‘เฝ้าสังเกตการณ์ผ่านหน้าจอ’ ทั้งหลายเห็นคือคนทั้งคู่ล้วนถูกหามออกจากห้องฝึกซ้อม ท่าทางเหมือนได้รับบาดเจ็บกันไม่น้อย ความต่างเพียงหนึ่งเดียวคือฮั่วสวี่ถูกพาตัวเข้าไปในห้องพยาบาลทันที แต่ฟั่นเพ่ยหยางตั้งแต่ต้นจนจบล้วนแขวนร่างอยู่บนตัวของหัวหน้ากลุ่ม VIP ขนาดถูกส่งตัวเข้าไปยังห้องพยาบาลที่อยู่ภายในห้องพักของตัวเองแล้วก็ยังไม่ยอมปล่อยมือจากอีกฝ่าย จากเรื่องนี้ทุกคนจึงพอจะเดาได้ว่าฟั่นเพ่ยหยางน่าจะมีกำลังกายเหลือมากกว่าฮั่วสวี่อยู่ประมาณหนึ่ง
แม้ผลแพ้ชนะจะไม่รู้ชัด แต่เรื่องราวที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นกลับกระจ่างแจ้ง นับแต่วันนั้นเป็นต้นมากลุ่ม VIP ก็ลงมือ ‘ล้อมไล่บังขวาง’ อย่างไร้มนุษยธรรมกับฮั่วสวี่ ขอเพียงฮั่วสวี่เปิดประตูออกมาเขาล้วนต้องพบกับรอยยิ้มของสมาชิกกลุ่ม VIP ที่ปรากฏตัวอยู่หน้าห้อง ปกติพวกเขาจะมีอยู่ด้วยกันสามคน หัวหน้ากลุ่ม VIP กับผู้คุมกฎซ้ายขวา ขอเพียงฮั่วสวี่ออกมาเคลื่อนไหว เขาก็จะถูกพันธนาการไว้ด้วย ‘การป้องกันใกล้ชิดระดับ VIP ตลอด 24 ชั่วโมง’ ทันที
กลุ่ม VIP ไม่ใช่กำลังหน้าด้านเล่นลูกไม้ แต่เป็นการใช้ลูกไม้เพื่อความประสงค์อันแรงกล้า แสดงให้เห็นถึงความจริงใจจากข้างใน
ทางด้านจิตใจนี้มีหัวหน้ากลุ่ม VIP เป็นคนรับผิดชอบ ตั้งแต่ต้นจนจบเขาล้วนไม่พูดอะไร ทำเพียงตามติดชาวบ้านอยู่เงียบๆ ซ้ำยังเป็นการคอยติดตามอยู่ห่างๆ จนดูคล้ายคนผ่านทางที่บังเอิญพบเจอกันเท่านั้น ทว่าขอเพียงฮั่วสวี่มองเห็น ฮั่วสวี่ก็จะได้พบกับสายตาเรียบเฉยที่แฝงไว้ซึ่งความรู้สึกวาดหวังจริงใจ
จิตใจของฮั่วสวี่ยามเผชิญหน้ากับสายตาของอีกฝ่ายนั้นเป็นแบบไหนอย่างไร คนที่เข้ามาทำเควสต์ฝ่าด่านในเขตรวมพลล้วนไม่รู้ชัด แต่ทุกครั้งที่เผลอสบเข้ากับสายตาของหัวหน้ากลุ่ม VIP ในใจของพวกเขาล้วนเต็มไปด้วยความรู้สึกตื่นตระหนก เต็มไปด้วยแรงกดดันแปลกประหลาด รู้สึกว่าตัวเองโชคดีที่ไม่ต้องเผชิญหน้ากับสายตา ‘รักและสันติภาพ’ นั้น
ส่วนเจิ้งลั่วจู๋กับฉงเยวี่ยคนคุมกฎซ้ายขวาทั้งสองรับผิดชอบด้านการลงมือปฏิบัติที่มีชื่อสามัญว่าการแถลงการณ์
พวกเขาเริ่มต้นบอกเล่าตั้งแต่การก่อตั้งกลุ่ม VIP ไปจนถึงวิวัฒนาการ ประวัติการต่อสู้ ก่อนจะปิดจบอย่างสวยงามด้วยการมองไปในอนาคต อย่าถามว่าแค่ทำเควสต์ฝ่าด่านมาสามด่านจะมีวิวัฒนาการการต่อสู้อะไรได้ เพราะถ้าถามไปคำตอบที่ได้มาก็ไม่พ้น ‘ยอดเยี่ยม ฉันกำลังอยากเล่าให้นายฟังพอดีว่ามิติความต่างของกาลเวลาที่เคลื่อนคล้อยไปอย่างแท้จริงกับเวลาที่เรารับรู้อยู่ภายในใจนั้น ในสายตาของฉันมันต่างกันตรงไหน’
ในที่สุดระยะเวลาสองวันก็ผันผ่านไปเช่นนี้ ฮั่วสวี่สะกดใจตัวเองไม่ให้ลงมือได้สำเร็จ ประตูด่านเปิดออกตามกำหนด กลุ่มอิทธิพลใหญ่ทั้งหมดแทบจะไม่มีกลุ่มไหนเคลื่อนพล ยิ่งกลุ่มที่ยังรวบรวมสมาชิกได้ไม่ครบอย่างกลุ่ม VIP ก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึง
วันเวลาผ่านไปแบบนี้อีกเกือบหนึ่งเดือน ด่านใกล้เปิดขึ้นอีกครั้ง ฮั่วสวี่ไม่เคยลงมือกับกลุ่ม VIP ที่เฝ้าติดตามตัวเองอยู่ตลอดเวลา ไม่เลยแม้แต่ครั้งเดียว เรื่องนี้ทำให้ทุกคนอดสงสัยไม่ได้ว่าชายหนุ่มที่พันผ้าพันแผลไว้บนแขนซึ่งไม่พูดไม่จาก็ ‘โต้คลื่น’ คนนั้นถูกผีเข้าสิงแล้วใช่หรือเปล่า
ความลับที่แฝงอยู่นั้นมีเพียงเจิ้งลั่วจู๋กับฉงเยวี่ยเท่านั้นที่เข้าใจ
นั่นเป็นวันที่สองของ ‘สงครามความจริงใจ’ วันแรกฮั่วสวี่เปิดประตูออกมาพบเห็นพวกเขา ยังไม่ทันได้พูดอะไร เขาก็ปิดประตูดังปึง วันทั้งวันเอาแต่กักตัวอยู่ในห้อง ไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ ทั้งสิ้น วันถัดมาพอเปิดประตูแล้วพบว่าพวกเขายังคงอยู่ฮั่วสวี่ก็เดือดดาลขึ้นมา ใบหน้าล้วนปกคลุมด้วยหมอกดำ คล้ายฝนกำลังจะตกกระหน่ำ
ทว่าอาจเพราะผลของการ PK ในครั้งนั้นยังคงอยู่ ฮั่วสวี่จึงไม่ได้ลงมือทันทีเหมือนเช่นทุกครั้ง แต่กลับทำเพียงยื่นคำขาด “ฉันจะให้เวลาพวกนายหนึ่งนาทีไปให้พ้นจากที่นี่ ถ้าหนึ่งนาทีแล้วฉันเปิดประตูออกมาเห็นพวกนายอีก ถึงตอนนั้นฉันจะฆ่าคนจริงๆ”
เสียงลับมีดที่แฝงอยู่ในคำสามคำสุดท้ายนั่นดังกระจ่างชัด
ปึง!
ประตูห้องหมายเลข 8066 ปิดลงอีกครั้งด้วยเรี่ยวแรงมหาศาล แม้แต่วงกบประตูก็ยังสั่นสะเทือน
เจิ้งลั่วจู๋กับฉงเยวี่ยมองหน้ากัน ก่อนจะหันไปทางถังหลิ่นพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย
เจิ้งลั่วจู๋ “หัวหน้า แผ่นเหล็กของผมกันน้ำไม่ได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ คุณก็เข้าใจ…”
ฉงเยวี่ย “หัวหน้า ‘กุญแจหยุดนิ่ง’ ของผมใช้การได้เพียงไม่กี่วินาทีเท่านั้น คุณก็รู้…”
“ไม่ต้องห่วง” ถังหลิ่นบอก “ไม่มีอะไรเกิดขึ้นแน่”
ฉงเยวี่ยเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง “คุณแน่ใจ? แต่ท่าทางเขาเมื่อกี้เหมือนใกล้จะระเบิดเต็มทน”
“ผมบอกแต่แรกแล้วว่าน่าจะให้หนานเกอมา” เจิ้งลั่วจู๋นึกเสียใจที่ตัวเองไม่ได้ยืนกรานหนักแน่น “เจ้าบ้านั่นไม่ทำร้ายผู้หญิง ให้หนานเกอมาอย่างน้อยก็สามารถพูดคุยกันได้อย่างสันติ กับพวกเราเขาไม่มีทาง…”
“เขาต้องคุยด้วยแน่” ถังหลิ่นมองดูบานประตูด้วยสายตาแน่วแน่
เจิ้งลั่วจู๋ “…”
หัวหน้าไปเอาความมั่นใจแบบนั้นมาจากไหนกัน!
คล้ายได้ยินเสียงประชดของพรรคพวก จู่ๆ ถังหลิ่นก็หันหน้ามา ความรู้สึกซุกซนยากจะพบเห็นเล็กๆ ปรากฏอยู่บนหว่างคิ้ว “จู๋จื่อ แต่ไหนแต่ไรมาอาวุธนิวเคลียร์ก็ไม่ได้มีไว้ทำสงคราม แต่มีไว้เพื่อสันติ”
ยังไม่ทันได้เข้าใจความหมายของอีกฝ่าย ประตูห้องหมายเลข 8066 ก็เปิดขึ้นอีกครั้ง
ฮั่วสวี่มองดูคนทั้งสามที่ยังคงนิ่งอยู่นอกประตู เปลวไฟแทบจะปะทุออกจากสองตา เขาไม่พูดเหลวไหลอะไรอีก ทำเพียงรวบรวมสมาธิ เจิ้งลั่วจู๋กับฉงเยวี่ยรับรู้ได้ถึงเสียงกระแสน้ำไหลแผ่วเบาแต่อันตรายนั่นได้แทบจะในทันที
“นายลงมือกับพวกเราได้ ไม่เป็นไร” ถังหลิ่นเอ่ยปากอย่างอ่อนโยน จ้องมองฮั่วสวี่ด้วยสายตาจริงจังจริงใจอย่างที่สุด “พวกเราล้มยังมีหนานเกอ พรุ่งนี้เธอจะมาแทน”
ฮั่วสวี่ได้แต่นิ่ง “…”
ฉงเยวี่ย “…”
หัวหน้านี่มนุษย์หมาป่าชัดๆ
เจิ้งลั่วจู๋ “…”
เขาเพี้ยนไปแล้วชัดๆ ถึงกับกล้าสงสัยผู้ชายที่สามารถจัดการประธานฟั่นได้อยู่หมัดคนนี้
นับจากนั้นเป็นต้นมากลุ่ม VIP ก็กลายเป็นขบวนรบที่มี ‘ถังหลิ่นนำทีม จู๋จื่อกับเจ้าอ้วนเยวี่ยคอยสนับสนุน พร้อมมีหนานเกอคอยคุกคามทางจิตวิญญาณ’ ดำเนินการทำร้ายจิต…อะแฮ่ม รับสมัครสมาชิกด้วยความจริงใจนานแรมเดือน
อะไรนะ ประธานฟั่นอยู่ที่ไหนงั้นเหรอ
ประธานฟั่นถูกสมาชิกกลุ่มของตัวเองตัดสินว่า ‘ไม่เหมาะที่จะเข้าร่วมยุทธการอันอบอุ่นอ่อนโยน’ นี้ ดังนั้นเลยไปทำกิจกรรมอิสระแทน
ติ๊ง
[โน้ตย่อ : ด่าน 4/10 จะเปิดหลังจากนี้อีกสองวัน ขอให้คนที่เข้ามาทำเควสต์ฝ่าด่านเตรียมตัวให้พร้อม และเมื่อถึงเวลาให้ดำเนินตาม ‘แผนที่’]
ห่างจากวันเปิดด่านครั้งใหม่อีกแค่สองวันเท่านั้น
คืนค่ำดึกดื่นภาพบนหน้าจอเป็นภาพฮั่วสวี่นอนขดตัวเป็นดักแด้ หว่างคิ้วขมวดเข้าหากันแน่นกว่าคืนก่อน
ในห้องของถังหลิ่นกลุ่ม VIP กำลังประชุมสรุปรายงานประจำวัน
เจิ้งลั่วจู๋ชักสายตากลับจากภาพบนหน้าจอ ความรู้สึกของเขากับฮั่วสวี่ไม่ต่างกันสักเท่าไหร่นัก “เทียบกับคนอื่นๆ ที่พวกเราเคยเจอเจ้าบ้านั่นหัวแข็งที่สุด นี่ก็เดือนหนึ่งเข้าไปแล้ว ขนาดก้อนหินก็ยังออกดอกได้แล้วเลย”
แต่ฮั่วสวี่กลับไม่มีทีท่าจะหวั่นไหวอะไรแม้แต่น้อย
ถ้ามีสาวคนไหนต้องตาต้องใจเจ้าบ้านั่นมีหวังได้จบเห่แน่ ตามจีบชาวบ้านจนถึงวันสิ้นโลกก็ไม่แน่ว่าจะหลุดพ้นจากการเป็นโสด
ขณะที่เจิ้งลั่วจู๋กำลังกลุ้มใจแทน ‘อีกครึ่งของฮั่วสวี่’ ที่ไม่เคยเห็นหน้าค่าตา ฉงเยวี่ยที่ครุ่นคิดไตร่ตรองอยู่นานก็เอ่ยปากถามถังหลิ่นออกมาตรงๆ “หัวหน้า พวกเรายังจะดำเนินการตามแผนต่ออีกหรือเปล่า ถ้ายังเสียเวลากับเขาแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ พวกเราคงไม่มีทางได้เข้าไปทำเควสต์ฝ่าด่านแล้ว”
ถังหลิ่นนิ่งเงียบไม่พูดไม่จา
ฮั่วสวี่ดื้อรั้นดึงดันเกินกว่าที่เขาคาดไว้จริงๆ แต่เรื่องนี้กลับทำให้เขาอยากได้อีกฝ่ายมาเป็นพวกมากยิ่งขึ้น เพราะยิ่งดื้อรั้นหัวแข็งมากเท่าไหร่ ทันทีที่ทางนั้นยินดีตกลงรับปาก ความดื้อรั้นดึงดันนั่นก็จะกลายเป็นความหนักแน่นมั่นคง ทว่าก็เหมือนอย่างที่ฉงเยวี่ยบอก พวกเขาจะรออย่างไม่มีกำหนดแบบนี้ไปเรื่อยๆ ไม่ได้
“อีกอาทิตย์หนึ่งก็แล้วกัน” ถังหลิ่นตัดสินใจ “ถ้ายังไม่ได้ พวกเราค่อยยกเลิกแผนการ”
อาทิตย์หนึ่ง?
หนานเกอมองดูข้อความเตือนบน ‘โน้ตย่อ’ ที่บอกว่าเหลือเวลาอีกสองวันก็จะถึงวันเปิดด่านนั่น “นั่นก็แปลว่าครั้งนี้พวกเราจะยังคงไม่เข้าไปทำเควสต์?”
ถังหลิ่นส่ายหน้า “ไม่เข้า”
“ถ้า ผมบอกว่าถ้า” ฉงเยวี่ยยกมือ “ถ้าพรุ่งนี้ฮั่วสวี่ตกลงรับปาก งั้นวันมะรืนตอนเที่ยงคืนพวกเราจะเข้าไปทำเควสต์ฝ่าด่านเลยหรือว่าไม่เข้ากัน”
“เจ้าอ้วนเยวี่ย นายอย่าเพ้อเจ้อไปหน่อยเลย” เจิ้งลั่วจู๋ประชดเสียงออกจมูก “จากท่าทางของเขาในตอนนี้ เป็นไปได้หรือไงที่ผ่านไปแค่สองวันก็เปลี่ยนใจรับปากตกลง ถ้าเป็นจริงล่ะก็ ฉันยอมแบกนายไปที่หน้าประตูทางเข้าด่านเลยเอ้า!”
“ฉันบอกแล้วไงว่าถ้า…” ฉงเยวี่ยพึมพำ เห็นได้ชัดว่าไม่มั่นใจ
“ต่อให้เขาตกลงรับปากยังไงพวกเราก็จะยังไม่เข้า” ถังหลิ่นตอบชัดแจ้ง “จนถึงตอนนี้ห้ากลุ่มอิทธิพลใหญ่ล้วนไม่มีการเคลื่อนไหว หลังจากศึกษาพิจารณาดูผมก็พบว่าพวกเขาน่าจะจัดกลุ่มเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เพียงแต่กำลังปรับตัวเพื่อให้สามารถทำงานประสานกันได้ด้วยดี” ถังหลิ่นหยุดไปชั่วขณะ เปิดโอกาสให้สมาชิกกลุ่มของตนได้ย่อยข่าวสารข้อมูล ก่อนจะพูดต่อ “ถึงจะเปิดเผยรายละเอียดเรื่องราวภายในด่าน 4/10 ไม่ได้ แต่ระดับความอันตรายของด่าน เชื่อว่าคนที่อยู่ข้างบนของแต่ละกลุ่มจะต้องถ่ายทอดบอกต่อให้สมาชิกที่นี่รับรู้อยู่ก่อนหน้าแล้ว…”
หนานเกอเข้าใจได้ทันที “ยิ่งพวกเขาเตรียมพร้อมรับมือมากเท่าไหร่ นั่นก็หมายความว่าด่าน 4/10 ก็ยิ่งอันตรายมากขึ้นเท่านั้น”
ถังหลิ่นพยักหน้า “ต่อให้พวกเรารวบรวมสมาชิกได้สำเร็จ ยังไงก็ต้องใช้เวลาฝึกฝนอย่างน้อยหนึ่งเดือน ยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้พวกเราเองก็ยังรวบรวมสมาชิกได้ไม่ครบ”
จู่ๆ ฟั่นเพ่ยหยางที่เอาแต่ ‘นิ่งฟัง’ มาตั้งแต่เปิดประชุมก็เอ่ยปากออกมาอย่างไม่มีเค้าลาง “ผมจัดการเอง”
ทุกคนตะลึง
ถังหลิ่นมองไปทางเขาอย่างงงๆ “คุณจะจัดการอะไร”
“นับตั้งแต่พรุ่งนี้งานติดตามฮั่วสวี่ผมจะเป็นคนจัดการเอง” ฟั่นเพ่ยหยางพูดกระชับสั้นได้ใจความ สีหน้าท่าทางเป็นธรรมชาติ
หนานเกอ เจิ้งลั่วจู๋ และฉงเยวี่ยต่างตะลึงงัน ดวงตาทั้งสามคู่เต็มไปด้วยความรู้สึกฉงนสนเท่ห์
ถังหลิ่นอธิบายให้ฟั่นเพ่ยหยางฟังอย่างชัดถ้อยชัดคำ “เป็นการติดตาม หาโอกาสรับเขาเข้ากลุ่มด้วยใจจริง ไม่ใช่คอยสะกดรอยตามและยิ่งไม่ใช่การกำราบชาวบ้าน คุณแน่ใจว่าต้องการทำหน้าที่นี้”
ฟั่นเพ่ยหยางขมวดคิ้วน้อยๆ คล้ายไม่พอใจนักที่อีกฝ่ายนึกเคลือบแคลงสงสัย “วางใจเถอะ ผมรู้จักควบคุมอารมณ์”
ถังหลิ่น “…”
หนานเกอ เจิ้งลั่วจู๋ และฉงเยวี่ย “…”
คำตกลงรับปากนี้ยิ่งฟังก็ยิ่งชวนให้คนรู้สึกไม่วางใจ
ไม่รอให้ภายในทีมเอ่ยอะไร หัวคิ้วของฟั่นเพ่ยหยางก็ขมวดเข้าหากันแน่นยิ่งกว่าเดิม สายตาจับจ้องอยู่บนตัวถังหลิ่น “คุณตามติดเขามาหนึ่งเดือนกับอีกหนึ่งวันแล้ว”
ตามติด…หนึ่งเดือนกับอีกหนึ่งวัน…ถึงคำพูดนี้จะเข้าใจได้ว่าในเมื่อผ่านมาตั้งนานแล้วแต่ก็ยังไม่ประสบความสำเร็จ เช่นนั้นก็น่าจะลองเปลี่ยนคนดู แต่สมาชิกกลุ่ม VIP ทั้งสามก็ยังแอบส่งสายตาให้กันและกัน พวกเขาต่างรู้สึกว่าถ้อยคำลึกล้ำที่อีกฝ่ายใช้กับการคำนวณวันเวลาแม่นยำนี้คล้ายมีข้อมูลข่าวสารจำนวนมหาศาลซ่อนแฝงอยู่
อย่างเช่นประธานฟั่นหึงแล้ว
ถังหลิ่นก่ายหน้าผาก เขาตัดสินใจเลี่ยงไม่พูดคุยเจาะลึกถึงหัวข้อสนทนาอันตราย ตอนเงยหน้าขึ้นเขาก็มองไปทางประธานฟั่นด้วยสายตาไว้วางใจ “ได้ งั้นงานนี้ผมมอบหมายให้คุณไปจัดการก็แล้วกัน”
วันรุ่งขึ้นตอนฮั่วสวี่เปิดประตูเขาก็เผชิญหน้ากับใบหน้าเย็นชาของประธานฟั่นอย่างไม่ทันตั้งตัว
ฮั่วสวี่ “…”
ฟั่นเพ่ยหยาง “อรุณสวัสดิ์”
ฮั่วสวี่ “วันนี้เขาเปลี่ยนให้นายมา?”
ฟั่นเพ่ยหยาง “วันหน้าฉันจะเป็นคนมาตลอด”
ปึง!
ฮั่วสวี่ถอยกลับไปและปิดประตู ทุกอย่างเกิดขึ้นภายในอึดใจเดียว
ระเบียงทางเดินฝั่งตรงกันข้ามมีคนเดินไปมาแต่เช้า คนที่มองเห็นต่างถอนหายใจ “ฉันชักนึกสงสารเจ้าเด็กนั่นขึ้นมานิดๆ แล้ว”
ที่อยู่ชั้นบนก็มีคนที่ตื่นแต่เช้าเหมือนกัน พวกเขาต่างเห็นเรื่องฮั่วสวี่ถูกชาวบ้านตามตื๊อจนกลายเป็นความบันเทิงประจำวันไปแล้ว ทว่าการเปลี่ยนคนตามตื๊อมาเป็นฟั่นเพ่ยหยางแบบนี้ทำให้พวกเขาเริ่มครุ่นคิดถึงปัญหาข้อหนึ่ง “เฮ้ คนที่อยู่ชั้นล่างนั่น นายว่าฮั่วสวี่มันพิลึกหรือเปล่า ในเมื่อไม่พอใจที่ต้องเห็นหน้าชาวบ้าน แค่หลบอยู่ในห้องไม่ออกมาก็ได้แล้วไม่ใช่หรือไง ไม่ว่าจะกินข้าว ฝึกซ้อม ล้วนทำอยู่ในห้องได้ แล้วทำไมถึงต้องโผล่ออกมาให้ชาวบ้านเห็นทุกวันด้วย”
คนที่อยู่ชั้นล่างนิ่งเงียบอยู่นานก่อนจะตอบออกมาช้าๆ “อยู่คนเดียวนานๆ บางทีอาจรู้สึกเหงาก็ได้”
ประธานฟั่นรอด้วยความจริงใจอยู่ที่หน้าประตูห้องของฮั่วสวี่เกือบครึ่งค่อนวัน ในที่สุดเขาก็เห็นอีกฝ่ายเดินออกมาเป็นครั้งที่สอง ทว่าไม่ใช่เพราะเขาแต่เป็นเพราะคนที่เข้ามาทำเควสต์ฝ่าด่านหน้าใหม่ที่เพิ่งเข้ามาถึงยังเขตรวมพล
นั่นเป็นช่วงบ่ายสามโมงกว่า เห็นอยู่ชัดๆ ว่าน่าจะเป็นช่วงที่แสงอาทิตย์กำลังงดงามพอเหมาะพอเจาะ แต่บังเอิญว่าวันนี้เมฆมาก ตั้งแต่เช้าแสงสว่างทั่วทั้งเขตรวมพลล้วนอึมครึมหม่นหมอง พอถึงช่วงบ่ายสามโมงเมฆฝนที่ลอยคล้อยต่ำก็เปลี่ยนเป็นพายุฝนฟ้าคะนอง
จู่ๆ เขตรวมพลก็มืดครึ้มไม่ต่างอะไรกับตอนกลางคืน แต่หลังจากผ่านไปไม่กี่วินาทีแสงไฟในเขตรวมพลที่เมื่อถึงตอนกลางคืนจะเปิดก็ทำงานอัตโนมัติ ทุกอย่างสว่างไสวขึ้นอีกครั้ง ซ้ำยังเจิดจ้าแสบตาเสียยิ่งกว่าตอนกลางวัน
คนที่เข้ามาทำเควสต์ฝ่าด่านหน้าใหม่ที่ผ่านด่าน 3/10 ได้สำเร็จเดินทางมาถึงเขตรวมพลในช่วงบ่ายที่มืดครึ้มราวกับตอนกลางคืน
ในเวลานี้นอกจากฟั่นเพ่ยหยางแล้วสมาชิกกลุ่ม VIP ที่เหลือล้วนกำลังหัดใช้ต้นไอเทมของตัวเองทำงานร่วมกับต้นไอเทมของคนอื่นอยู่ภายในห้องฝึกซ้อม ร่างกายชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อ ทันใดนั้นเสียงแจ้งเตือนที่มีน้ำเสียงหยอกล้อก็ดังขึ้น มันลอดผ่านผนังผ่านบานประตูก้องดังอยู่ทุกหนแห่ง
“มีคนทำเควสต์ฝ่าด่านสำเร็จมาถึงเขตรวมพลเพิ่มอีกแล้ว ขอให้ทุกคนเตรียมต้อนรับด้วย~~”
ถังหลิ่นเข้าใจได้ทันทีว่าทำไมตอนพวกเขาเข้ามาถึงยังเขตรวมพลถึงได้มีสายตามากมายทั้งในที่แจ้งและที่ลับจับจ้องมองดูพวกเขาคล้ายล่วงรู้ถึงการมาของพวกเขาได้ล่วงหน้าแบบนั้น
ที่แท้ก็มีการแจ้งเตือนแบบนี้
“แบบนี้เท่ากับเป็นการบอกให้พวกเราไปร่วมวงมุงดูความคึกคักชัดๆ” เจิ้งลั่วจู๋เก็บแผ่นเหล็ก มองไปทางถังหลิ่นด้วยสายตาวาดหวัง “หัวหน้า พวกเราจะออกไปดูหรือเปล่า”
ถังหลิ่นเองก็อยากรู้ว่าคนที่ผ่านด่านมาใหม่นี้เป็นคนแบบไหนอย่างไรเหมือนกัน เขาพยักหน้าน้อยๆ เอ่ยปากชัดเจนว่า “งั้นพักสักหน่อยก็แล้วกัน จะได้ไปดูว่าคนที่มาใหม่เป็นใคร”
คนทั้งสี่เคลื่อนไหวรวดเร็ว ครั้นพ้นจากประตูไปพวกเขาก็พบว่าที่จริงแล้วตัวเองนับว่าช้ามาก
แต่ละชั้นต่างมีคนออกมายืนออกันแน่นขนัด โดยเฉพาะด้านตรงกันข้ามกับประตูใหญ่ของเขตรวมพลที่เป็นตำแหน่งที่ดีที่สุดสำหรับการเฝ้าสังเกตการณ์นั่นล้วนถูกจับจองหมดเกลี้ยงตั้งแต่ชั้นหนึ่งจนถึงชั้นสิบเก้า ส่วนคนที่เหลือที่ไม่ได้กระตือรือร้นอะไรนักก็ไม่ต่างอะไรกับสมาชิกกลุ่ม VIP ทั้งสี่ พวกเขาเลือกที่จะยืนอยู่บนระเบียงทางเดินหน้าประตูห้องของตัวเอง คอยชำเลืองมองออกไปนอกราวกั้นเป็นพักๆ
ถ้าคนที่เข้ามาทำเควสต์ฝ่าด่านกลุ่มนี้ผ่านการเอาชีวิตรอดบนเกาะร้างมาเหมือนกัน เช่นนั้นคนที่มาถึงที่นี่ในเวลานี้ก็น่าจะเป็นคนจากเกาะไหนสักเกาะ หลังจากนี้ไม่แน่ว่าอาจยังมีคนมาอีก…
ขณะที่ถังหลิ่นกำลังคิดอยู่นั้น ประตูใหญ่ของเขตรวมพลก็เปิดออก
บรรยากาศเปลี่ยนเป็นเงียบเชียบ สายตาทั้งหมดล้วนจับจ้องไปที่ประตูใหญ่เงียบๆ คล้ายม่านเวทีการแสดงถูกเปิดออก แสงสปอตไลต์ฉายส่อง
ชายสองคนเดินเข้ามา คนหนึ่งนำหน้าคนหนึ่งตามหลัง พวกเขาทั้งคู่ล้วนแต่รูปร่างสูงโปร่ง สวมเสื้อผ้าสีดำกับผ้าปิดปากสีดำ ท่าทางไม่ต่างอะไรกับกลุ่มมือสังหาร
ถังหลิ่นขมวดคิ้ว ไม่ใช่เพราะคนที่เข้ามาทำเควสต์ฝ่าด่าน หากแต่เป็นเพราะผ้าปิดปากสีดำนั่นทำให้เขาหวนคิดถึงเรื่องราวบางอย่างที่ไม่อยากนึกถึง
ครั้งที่แล้วตอนเห็นผ้าปิดปากสีดำแบบนี้เขายังอยู่ในนครใต้พิภพ ชายสวมผ้าปิดปากสีดำคนหนึ่งรับอวี้เฟยเข้ากลุ่มไป
หากนึกย้อนกลับไปอีก ที่อวี้เฟยยอมไปกับอีกฝ่ายก็เพราะต้องการล้างแค้นแทนหลี่จั่นเพื่อนที่ตายไป และคนที่ฆ่าหลี่จั่นตายก็คือ ‘จางเฉวียนตัวปลอม’ คนที่เข้ามาทำเควสต์ฝ่าด่านที่รับภารกิจจากด่านเบื้องบนให้ดำเนินการคัดเลือกคนในลิฟต์
หลังจากเข้ามายังเขตรวมพลด่าน 3/10 ได้ไม่นาน ตอนอยู่ในช็อปปิ้งอาร์เคดถังหลิ่นได้เจอภารกิจ ‘ลิฟต์คัดเลือก’ เป็นครั้งแรก และก็เพราะเหตุนี้เขาถึงรู้สึกว่าบางทีจางเฉวียนตัวปลอมรายนั้นอาจอยู่ที่เขตรวมพลนี้…
หากคิดต่อไปเรื่อยๆ แบบนี้เขาคงได้คิดไม่รู้จักจบจักสิ้นแน่ๆ ขณะที่ถังหลิ่นตัดสินใจหยุดคิด เขาก็พบว่าตอนนี้ชายสวมผ้าปิดปากสีดำทั้งสองที่อยู่ด้านล่างหยุดเดินแล้ว
พวกเขาหยุดนิ่งอยู่กลางโถงใหญ่ชั้นหนึ่ง ไม่ได้พูดจาอะไรกัน ทำเพียงยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น
ภาพดังกล่าวสำหรับคนที่เข้ามาทำเควสต์ฝ่าด่านคนอื่นๆ แล้วไม่นับว่าแปลกประหลาดอะไร ภายใต้สถานการณ์ที่ถูกผู้คนมากมายจับจ้อง ไม่ว่าใครก็ไม่มีทางเอ่ยปากพูดคุยอะไรกันได้ การยืนรอให้พรรคพวกมารับถือเป็นปฏิกิริยาปกติทั่วไป
ทว่าถังหลิ่นกลับรู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างไม่ถูกต้อง
รูปร่างของชายสวมผ้าปิดปากสีดำที่ยืนอยู่ทางด้านหน้า เทียบกับความทรงจำในเวลานั้นแล้ว อีกฝ่ายดูคล้ายคนที่มารับตัวอวี้เฟยไปในเวลานั้นจริงๆ ส่วนคนที่สวมผ้าปิดปากสีดำที่อยู่ทางด้านหลัง ดวงตาที่โผล่พ้นออกมานั้นดูคล้ายกับดวงตาของอวี้เฟยอย่างกับแกะ
หรือว่าอวี้เฟยกับชายสวมผ้าปิดปากสีดำนั่นผ่านด่านมาได้แล้ว
เมื่อเวลาผ่านไปหลังพบว่าคนทั้งสองไม่มีใครเดินเข้าไปต้อนรับ คนที่อยู่บนชั้นอื่นๆ ก็หมดความอดทนเริ่มส่งเสียงกระซิบกระซาบกัน ส่วนคนที่ตอนแรกเลือกจะอยู่ในห้องไม่คิดจะเข้าร่วมวงครึกครื้นด้วยพอพบว่าด้านนอกเงียบผิดปกติก็ต่างทยอยเปิดประตูออกมา หมายดูให้รู้ว่าแท้จริงแล้วเกิดอะไรขึ้นกันแน่
ขณะที่ความรู้สึกอยากรู้อยากเห็นของคนในเขตรวมพลพุ่งทะยานถึงจุดสูงสุด จู่ๆ ชายสวมผ้าปิดปากสีดำที่ถังหลิ่นคิดว่าเหมือนกับอวี้เฟยมากรายนั้นก็เงยหน้าขึ้นกวาดตามองคนที่อยู่ทางด้านบนชั้นแล้วชั้นเล่า
หากจะบอกว่าสายตาของเขากำลังสังเกตสู้บอกว่ากำลังค้นหายังจะเหมือนกว่า เขากวาดตามองจากซ้ายไปขวา จากบนลงล่าง ผ่านใบหน้าของคนที่เข้ามาทำเควสต์ฝ่าด่านไปคนแล้วคนเล่าอย่างรวดเร็ว
ตอนกวาดตามองไปถึงฟั่นเพ่ยหยางที่อยู่บนชั้นแปดเขาก็ชะงักไปชั่วขณะ แต่เพียงไม่นานเขาก็กวาดตามองต่อไป
ตอนมองเห็นถังหลิ่นที่อยู่บนชั้นเก้าเขาก็ชะงักอีกครั้ง
ตอนที่อีกฝ่ายหยุดชะงักหลังมองเห็นฟั่นเพ่ยหยางในครั้งแรก ถังหลิ่นก็มั่นใจได้แล้วห้าส่วน ยิ่งอีกฝ่ายหยุดชะงักเป็นครั้งที่สองหลังมองเห็นตน ถังหลิ่นก็แทบจะมั่นใจได้ว่านั่นต้องเป็นอวี้เฟยแน่ ไม่อย่างนั้นอีกฝ่ายย่อมไม่มีเหตุผลที่จะมีท่าทีตอนมองเห็นตนเองกับฟั่นเพ่ยหยางแบบนั้น
ทว่าความรู้สึกที่ตามมากลับไม่ใช่ความรู้สึกโล่งใจ แต่เป็นความรู้สึกประหลาดใจที่ลึกล้ำยิ่งกว่า
หนึ่งเป็นความรู้สึกประหลาดใจที่อวี้เฟยสามารถกวาดตาหาเขากับฟั่นเพ่ยหยางพบได้อย่างแม่นยำท่ามกลางคนที่มุงดูอยู่เต็มไปหมดทั่วทุกชั้นแบบนั้น สองเป็นความรู้สึกประหลาดใจที่มีต่อการเปลี่ยนแปลงของอีกฝ่าย สายตาที่มองมาทางเขานั้นไม่ได้บุ่มบ่ามมุทะลุเหมือนในอดีต เหลืออยู่เพียงความสุขุมเมินเฉยเท่านั้น
สายตาของชายสวมผ้าปิดปากสีดำเคลื่อนต่อไป ยังคงกวาดตามองหาอย่างไม่ลดละ การสบตากันในช่วงระยะเวลาสั้นๆ นั้นนอกจากคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องแล้ว คนนอกไม่ว่าใครก็ไม่อาจรับรู้
ถังหลิ่นหลุบตามองดูเงาเลือนรางของตนเองที่ฉายอยู่บนราวกั้นโลหะ
ห่างจากการคัดเลือกคนในลิฟต์มาแค่สามเดือนเท่านั้น
ทว่านับจากเข้าไปอยู่ในลิฟต์นั่น ชีวิตของคนที่เข้ามาทำเควสต์ฝ่าด่านทั้งหมดก็เริ่มพลิกผันเปลี่ยนแปลงแล้ว
“ในที่สุดก็หานายพบ” ชายสวมผ้าปิดปากสีดำพูดขึ้นปุบปับ
เสียงของเขาไม่ดังนัก แต่เพราะบรรยากาศภายในเขตรวมพลสงบเงียบเกินไป เงียบเสียจนทุกคนสามารถได้ยินคำพูดของเขาทุกถ้อยคำ เงียบเสียจนไม่อาจซ่อนเร้นความรู้สึกยินดีปรีดาแปลกประหลาดเล็กๆ ที่แฝงอยู่ในน้ำเสียงนั่น
เป็นอวี้เฟยจริงๆ ด้วย
ถังหลิ่นไม่นึกสงสัยอีกต่อไป ทว่า ‘นาย’ ที่อีกฝ่ายพูดถึงนั่นหมายถึงใครกันแน่
สายตาของผู้คนทั่วเขตรวมพลจับจ้องไปที่ชั้นสิบตามสายตาของอวี้เฟย
ถังหลิ่นเองก็เช่นกัน หลังจากนั้นเขาก็ชะงักค้าง
ตรงราวกั้นที่แทบจะเป็นจุดอับบนชั้นสิบนั้น ชายวัยกลางคนที่เพิ่งปรากฏขึ้นในความทรงจำของเขาเมื่อครู่ยืนเด่นอยู่ท่ามกลางคนที่มาห้อมล้อมมุงดูธรรมดาๆ ทั่วไป
ยังคงเป็นใบหน้าที่มีตอหนวดหร็อมแหร็มใต้คางนั่น
จางเฉวียนตัวปลอม
นึกไม่ถึงว่าคนคนนี้จะอยู่ในเขตรวมพลจริงๆ แล้วทำไมตลอดหนึ่งเดือนมานี้ไม่ว่าเขาหรือฟั่นเพ่ยหยางรวมถึงเจิ้งลั่วจู๋ถึงไม่เคยพบเห็นอีกฝ่ายมาก่อน
หลังจากครุ่นคิดไปมาถังหลิ่นก็พบว่าเรื่องนี้มีคำอธิบายเพียงหนึ่งเดียวคืออีกฝ่ายจงใจหลบเลี่ยงพวกเขา
ตอนพวกเขามาถึงที่นี่ สถานการณ์ย่อมไม่ต่างอะไรจากวันนี้ที่ผู้คนทั่วทั้งเขตรวมพลต่างรู้แจ้ง จางเฉวียนตัวปลอมในเวลานั้นก็ต้องแฝงตัวอยู่ท่ามกลางผู้คนเช่นกัน หลังรู้ว่าพวกเขาเป็นใคร นับแต่นั้นอีกฝ่ายก็คอยหลบเลี่ยงที่จะประจันหน้ากับพวกเขามาโดยตลอด คิดว่าคงเพราะไม่ต้องการเผชิญกับเรื่องราวยุ่งยากที่ไม่จำเป็น
อันที่จริงอีกฝ่ายคิดมากเกินไปแล้ว ถังหลิ่นคิด พวกเขาสามคนกับจางเฉวียนตัวปลอมไม่ได้มีความแค้นลึกล้ำอะไรต่อกัน ที่อีกฝ่ายควรระวังมีก็แต่อวี้เฟยเท่านั้น
ผลลัพธ์กลับกลายเป็นว่าในเวลาที่ควรระแวดระวังที่สุด จางเฉวียนตัวปลอมกลับโผล่หน้าออกมามุงดูความคึกคักร่วมกับชาวบ้าน
ทว่าอวี้เฟยกลับจงใจ ถูกแล้ว ตอนนี้ถังหลิ่นแทบจะยืนกรานได้แล้วว่าอวี้เฟยจงใจ จงใจสวมผ้าปิดปากปิดบังใบหน้า จงใจหยุดที่โถงใหญ่อยู่นาน จงใจตกอยู่ท่ามกลางสายตาของคนที่มุงดูความคึกคัก ทั้งนี้ก็เพื่อตกปลาตัวที่เขาต้องการ
จางเฉวียนตัวปลอมยังคงงุนงง เห็นได้ชัดว่าเขายังคงไม่เข้าใจว่าทำไมตัวเองที่ตามชาวบ้านออกมาดูความคึกคักถึงได้ถูกอีกฝ่ายเพ่งเล็งจนกลายเป็นจุดรวมสายตาของทุกคนแบบนี้
อวี้เฟยไม่ได้ปล่อยให้เขางงอยู่นานนัก
หลังจากผ่านไปเพียงไม่กี่วินาทีผู้คนทั่วทั้งเขตรวมพลก็เห็นเขาปลดผ้าปิดปากออก เผยให้เห็นใบหน้าหล่อเหลายังหนุ่มยังแน่นนั่น
“ไม่ได้พบกันนาน เป็นยังไงบ้าง” เขาเอ่ยปากทักทายชายที่มีตอหนวดคนนั้น ทุกถ้อยคำล้วนเปี่ยมไปด้วยความรู้สึกเย็นชา
โปรดติดตามตอนต่อไป…