everY
ทดลองอ่าน พ้นเที่ยงคืนกลืนมิติ เล่ม 5 บทที่ 155-156 #นิยายวาย
ทดลองอ่าน เรื่อง พ้นเที่ยงคืนกลืนมิติ เล่ม 5
ผู้เขียน : เหยียนเหลียงอวี่
แปลโดย : สนสราญ
ผลงานเรื่อง : พ้นเที่ยงคืนกลืนมิติ
ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน
จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว
หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย
– – – – – – – – – – – – – – – – –
Trigger Warning
เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่
การทำร้ายทางร่างกายและจิตใจ การตาย การฆาตกรรม
การบังคับหรือโน้มน้าวให้
การกักขังหน่วงเหนี่ยว การทรมาน การบูลลี่
การกล่าวถึงเลือด สภาพศพ และสถานการณ์อันน่าขยะแขยง
ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ
สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป
โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
** หมายเหตุ: ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **
– – – – – – – – – – – – – – – – –
บทที่ 155
ล้างแค้น
ทันทีที่ประจันหน้ากับใบหน้าที่คุ้นเคยใต้ผ้าปิดปากสีดำ ชายที่มีตอหนวดที่ยืนอยู่บนชั้นสิบก็ตะลึงลาน
ในเมื่อเขาจดจำถังหลิ่นกับฟั่นเพ่ยหยางได้ทันทีที่คนทั้งสองเข้ามาถึงยังเขตรวมพล แล้วมีหรือจะจำอวี้เฟยไม่ได้ เขาได้แต่โมโหตัวเองที่ไม่ทันได้สังเกตเห็นสิ่งผิดปกตินี้ตั้งแต่ตอนที่อีกฝ่ายยังสวมผ้าปิดปากอยู่
แต่ไม่เป็นไร ทุกคนล้วนมีต้นไอเทมระดับสี่ ดีไม่ดีหลังจากมาถึงเขตรวมพลอวี้เฟยอาจยังต้องรออีกสามสี่นาทีกว่าจะได้รับต้นไอเทมระดับสี่ หากลงมือกันจริงๆ ตัวเองย่อมไม่มีอะไรต้องกังวล ยิ่งไปกว่านั้นห้องของตัวเองก็อยู่ข้างหลังนี่เอง หากสถานการณ์เลวร้ายสุดๆ เขาก็ยังมีทางให้ถอยหนีได้ทุกเมื่อ
พอคิดได้แบบนั้นชายที่มีตอหนวดก็มั่นอกมั่นใจขึ้นมา ความรู้สึกหวาดหวั่นเมื่อครู่จางหายไปหมดเกลี้ยง
“คงเพราะบารมีของนายนั่นแหละ ฉันถึงได้สบายดี” ไหนๆ ก็ตกเป็นเป้าสายตาของชาวบ้านแล้ว ชายที่มีตอหนวดตัดสินใจขยับเดินขึ้นหน้า ค้ำยันราวกั้นมองลงไปด้านล่างด้วยท่าทีสบายๆ พลางเอ่ยปากพูดกับอวี้เฟย “ว่าแต่นายเถอะ มาถึงเขตรวมพลได้เร็วขนาดนี้นับว่ามีฝีมืออยู่ไม่น้อย”
อวี้เฟยโยนผ้าปิดปากที่ไม่ได้ใช้อีกต่อไปทิ้งไปด้านข้าง ขยับไหล่คล้ายกำลังอบอุ่นร่างกาย “ฉันไม่กล้าชักช้า กลัวนายจะหนีไปเสียก่อน”
ชายที่มีตอหนวดพูดเย้ยหยัน “เด็กน้อย อย่าปากดีเกินไปนัก”
บรรดาคนที่ยืนมุงดูอยู่โดยรอบยังคงไม่เข้าใจว่าพวกเขามีเรื่องบาดหมางอะไรกัน ทว่าคนหนึ่งตามหาศัตรู อีกคนหนึ่งรู้ว่าฝ่ายตรงข้ามมาเพื่อล้างแค้น เรื่องนี้รับรองว่าไม่ผิดแน่
สายตาของพวกเขาเคลื่อนกลับไปบนตัวของอวี้เฟยอีกครั้ง ว่ากันตามหลักการสนทนาแล้ว ในเวลานี้ควรเป็นตาของอวี้เฟยเอ่ยปาก
ทว่าอวี้เฟยกลับคล้ายไม่มีอะไรจะพูด เขานิ่งมองดูจางเฉวียนตัวปลอม เพ่งความสนใจไปที่อีกฝ่ายจนดูเหมือนกับคนโรคจิต ไม่ต่างอะไรกับสัตว์ร้ายที่กำลังจับจ้องดูเหยื่อ รวบรวมกำลัง หมายโจมตีอีกฝ่ายให้ตายตกภายในคราวเดียว…
เขากำลังรวบรวมสมาธิควบคุมต้นไอเทม!
ทุกคนต่างตระหนักได้ทันที สายตาของพวกเขายังไม่ทันเคลื่อนไปที่ชั้นสิบ เสียงร้องเจ็บปวดกับเสียงสาปแช่งของชายที่มีตอหนวดก็ดังลอยมา “โอ๊ยๆ…เชี่ยเอ๊ยยยย!”
คนที่เข้ามาทำเควสต์ฝ่าด่านต่างมองตามเสียงไปอย่างรวดเร็ว ตอนนี้ชายที่มีตอหนวดมีเลือดสดๆ ไหลนองออกมาจากสองมือ กำลังเต้นเร่าด้วยความเจ็บปวด
คนที่อยู่ใกล้ๆ ต่างเห็นชัดถนัดตา ฝ่ามือของชายที่มีตอหนวดมีบาดแผลปรากฏเป็นทางยาวคล้ายถูกของมีคมบาด รอยเฉือนเกิดอยู่บริเวณง่ามนิ้วระหว่างนิ้วโป้งกับนิ้วชี้ ดูจากปริมาณเลือดที่ไหลออกมาแล้ว แผลนั่นต้องลึกมากแน่
บนราวกั้นตรงจุดที่ชายที่มีตอหนวดยันอยู่เมื่อครู่เองก็มีคราบเลือด
มือค้ำราวกั้น อุ้งมือย่อมแนบติดอยู่กับราวกั้น ภายใต้สถานการณ์เช่นนั้นอวี้เฟยยังสามารถกรีดอุ้งมือของอีกฝ่ายได้ นี่มันต้นไอเทมอะไรกัน
คนที่คอยมุงดูอยู่พากันคิดไปต่างๆ นานา ทว่าชายที่มีตอหนวดกลับไม่อาจทำได้ หลังจากสูดหายใจอยู่สองสามทีเขาก็กัดฟันระงับความเจ็บปวด ก้มหน้าลงอีกครั้ง สายตาเหี้ยมโหดจับจ้องอยู่บนตัวของอวี้เฟย
เพียงครู่เดียวใต้เท้าของอวี้เฟยก็มีเถาวัลย์หนางอกขึ้นมา เถาวัลย์สีเขียวเข้มจนเกือบจะเป็นสีดำพันรัดสองขาของอวี้เฟยเอาไว้แน่น ทั้งยังเลื้อยขึ้นไปข้างบนไม่หยุด ไม่ต่างอะไรกับงูเหลือมที่กำลังพันรัดศัตรูหมายเอาชีวิตอีกฝ่าย
นั่นคือต้นไอเทมของชายที่มีตอหนวด ถังหลิ่น ฟั่นเพ่ยหยาง และเจิ้งลั่วจู๋ต่างจำได้
ตอนอยู่ในลิฟต์พวกเขาถูกชายที่มีตอหนวดใช้ต้นไอเทมดังกล่าวควบคุมตัวไว้อย่างง่ายดาย จนกระทั่งลิฟต์มาหยุดอยู่ที่นครใต้พิภพ
เห็นได้ชัดว่าชายที่มีตอหนวดตั้งใจให้เถาวัลย์พันรัดอวี้เฟยให้ตาย ต่อให้ไม่ตายอย่างน้อยอวี้เฟยตอนนี้ก็ไม่อาจขยับเขยื้อนอย่างอิสระได้
เมื่อตรึงร่างของคู่ต่อสู้ได้เป็นที่เรียบร้อย ชายที่มีตอหนวดก็รีบหันไปเปิดประตูห้องของตัวเอง เตรียมเข้าไปในห้องพยาบาลเพื่อรักษาบาดแผลบนมือ
นึกไม่ถึงว่าทันทีที่ออกแรงดึงบานประตู แทนที่ประตูจะเปิดออก กลับเป็นนิ้วมือทั้งสี่ของเขาที่กุมที่จับประตูไว้ก็ขาดสะบั้น!
ราวกับที่เขาจับลงไปเต็มแรงนั้นไม่ใช่ที่จับประตูแต่เป็นใบมีดคมกริบ
“อ๊ากกกกกก!…” ชายที่มีตอหนวดกุมมือที่เหลือแต่นิ้วโป้ง เกลือกกลิ้งเจ็บปวดอยู่บนพื้น
คนที่มุงดูอยู่โดยรอบต่างพากันสูดปากหนาวสะท้าน ประสาทสัมผัสของนิ้วทั้งสิบต่างเชื่อมอยู่กับใจ แค่เห็นพวกเขาก็รู้สึกชาไปทั้งหนังหัวแล้ว
จากการโจมตีติดกันทั้งสองครั้งนั้นทำให้ทุกคนพอจะมองลักษณะต้นไอเทมของอวี้เฟยออก คุณสมบัติของมันคือเปลี่ยนสิ่งที่ฝ่ายตรงข้ามจับให้กลายเป็นวัตถุมีคม
ตอนชายที่มีตอหนวดค้ำอยู่บนราวกั้นมันก็เปลี่ยนเป็นคมกริบ มือของเขาเลยถูกบาด ตอนเปิดประตูที่จับประตูก็เปลี่ยนสภาพเป็นวัตถุแหลมคม ดังนั้นการที่ชายที่มีตอหนวดจับที่จับประตูเต็มแรงจึงเท่ากับตัดนิ้วตัวเองทิ้ง
บาดแผลไม่ว่าจะสาหัสขนาดไหน ขอเพียงกลับไปถึงห้องพยาบาลได้ย่อมมีทางรักษา
เพียงแต่ไม่รู้ว่า…
สายตาของทุกคนเคลื่อนไปหยุดอยู่บนตัวอวี้เฟย ไม่รู้ว่าเจ้าของความแค้นรายนี้จะยอมมอบโอกาสให้กับอีกฝ่ายหรือเปล่า
เถาวัลย์บนตัวของอวี้เฟยหายไปไม่เหลือแม้แต่เงาตั้งแต่ตอนนิ้วมือของชายที่มีตอหนวดถูกตัดขาดแล้ว
การควบคุมต้นไอเทมจำเป็นต้องใช้สมาธิ ตอนนี้ชายที่มีตอหนวดเจ็บปวดจนไม่มีเวลาสนใจเรื่องอะไรพวกนั้นแล้ว
‘พรรคพวกที่ผ่านด่านมาด้วยกัน’ หรือชายสวมผ้าปิดปากสีดำจากนครใต้พิภพที่ยืนอยู่ข้างๆ อวี้เฟยวางตัวคล้ายไม่มีตัวตนมาโดยตลอดรายนั้นจู่ๆ ก็ชักเท้าถอยออกไปสองก้าว จ้องมองอวี้เฟยนิ่ง
โดยไม่มีสัญญาณเตือน ไม่รู้ว่าพายุหมุนจากไหนพัดวนอยู่ที่ใต้เท้าของอวี้เฟย ยกร่างของเขาขึ้นไปอยู่กลางอากาศ คล้ายบันไดเมฆที่มองไม่เห็น เพียงพริบตาก็ส่งอวี้เฟยขึ้นไปถึงชั้นสิบ!
ไม่ว่าจะเป็นคนที่ประสาทเฉื่อยชาสักขนาดไหนในเวลานี้พวกเขาล้วนเข้าใจ ชายสวมผ้าปิดปากสีดำกำลังใช้ต้นไอเทมของตัวเองช่วยพรรคพวกล้างแค้น
นับตั้งแต่ต้นจนจบสิ่งที่อวี้เฟยต้องการไม่ใช่นิ้วของชายที่มีตอหนวด แต่เป็นชีวิตของอีกฝ่าย
หลังเหยียบลงบนราวกั้นเปื้อนเลือด อวี้เฟยก็กระโดดเข้าไปยังระเบียงทางเดินชั้นสิบ
ชายที่มีตอหนวดนอนอยู่บนพื้น ใบหน้าซีดเผือด หอบหายใจหนัก ทว่าเสียงร้องครวญครางหยุดลงแล้ว เขากัดฟันแน่นพลางฉีกเสื้อมาพันมือ จากนั้นยันร่างกายท่อนบนขึ้น สองตาจ้องอวี้เฟยเขม็ง
“นายก็ไม่ควรวิ่งหนีตั้งแต่แรก” อวี้เฟยขยับเข้าไปใกล้อีกฝ่ายทีละก้าว น้ำเสียงสงบนิ่ง “ถ้าไม่หนีคงไม่ต้องรับโทษมากมายแบบนี้ อย่างน้อยก็ได้ตายสบายหน่อย”
ใบหน้าของชายที่มีตอหนวดบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวดโมโห เขาคิดรวบรวมสมาธิใช้ต้นไอเทมโจมตีอวี้เฟยอีกครั้ง แต่ไม่อาจทำได้สำเร็จ เขาเหมือนมีอะไรบางอย่างจะพูดกับอวี้เฟย ทว่าหลังจากริมฝีปากขยับแล้วขยับอีกก็ยังคงไม่มีเสียงอะไรเล็ดลอดออกมา
ฟิ้ว…
ใบไม้ใบหนึ่งโผล่ขึ้นกลางอากาศ ทว่าเสียงแหวกผ่านอากาศของมันกลับไม่ต่างอะไรกับใบมีดคมกริบ
อวี้เฟยชะงักเท้า ใบไม้แฉลบผ่านใบหน้าของเขาไปกระทบเข้ากับผนังระเบียงทางเดินดังกึก ลึกหายเข้าไปเกือบหนึ่งในสาม
ขณะเดียวกันก็มีคนคนหนึ่งพลิกตัวจากชั้นสิบเอ็ดลงมาหยุดอยู่ระหว่างอวี้เฟยกับชายที่มีตอหนวดรายนั้น
เป็นชายอายุสามสิบกว่าๆ หน้าตาธรรมดาๆ คนหนึ่ง ทว่าทั่วทั้งใบหน้าที่สะดุดตาคนที่สุดกลับเป็นจมูกเหยี่ยวนั่น สำหรับคนที่อยู่เขตรวมพลมานานต่างรู้ดีว่าคนคนนี้เป็นหัวหน้ากลุ่มเล็กๆ กลุ่มหนึ่ง
ในเขตรวมพลไม่ได้มีเพียงห้ากลุ่มอิทธิพลใหญ่เท่านั้น หากเอากลุ่มน้อยใหญ่ทั้งหมดมารวมกัน ต่อให้ไม่ถึงร้อยก็ต้องมีสักแปดสิบแน่ นอกจากพวกดื้อรั้นไม่ยอมรวมกลุ่มชอบลุยเดี่ยวอย่างฮั่วสวี่แล้ว คนที่เหลือล้วนแต่มีกลุ่มมีสังกัด
จางเฉวียนตัวปลอมมีกลุ่มเป็นเรื่องธรรมดา แต่ต้องรอจนได้รับบาดเจ็บเช่นนี้ก่อนพรรคพวกถึงจะยอมโผล่หน้ามา คนที่เข้ามาทำเควสต์ฝ่าด่านต่างรู้สึกหงุดหงิดใจ
“แค่พอหอมปากหอมคอก็ได้แล้วมั้ง” ชายจมูกเหยี่ยวพูดกับอวี้เฟย ท่าทีต้องการล้างแค้นให้พวกพ้องอะไรพวกนั้นล้วนไม่มี น้ำเสียงคล้ายกำลังปรึกษาหารือมากกว่า
อวี้เฟยไม่หวั่นไหว “ไม่มีคำว่า ‘พอหอมปากหอมคอ’ เขาติดค้างหนี้ชีวิตฉัน ตอนนี้ได้เวลาต้องชำระคืน”
ชายจมูกเหยี่ยวขมวดคิ้ว แสดงท่าทีอย่างคนอับจนหนทาง “กฎของ ‘ลิฟต์คัดเลือก’ สถานที่บัดซบนี้เป็นคนกำหนด เขาก็แค่ทำไปตามกฎที่ตั้งไว้เท่านั้น เรื่องที่ฆ่าเพื่อนของนายไม่ใช่ความตั้งใจเดิมของเขา”
อวี้เฟยบอก “แต่เขาเลือกที่จะรับทำภารกิจนั่นเอง”
พูดถึงตรงนี้คนที่มุงดูอยู่รอบๆ ก็เพิ่งจะเข้าใจ ที่แท้นี่ก็เป็นหายนะจากภารกิจ ‘ลิฟต์คัดเลือก’ นี่เอง
อันที่จริงคนส่วนใหญ่ที่อยู่ในเขตรวมพลล้วนไม่รับทำภารกิจเฮงซวยนี้ อย่าว่าแต่ภายหลังอาจถูกตามล่าล้างแค้นเลย แค่พูดถึงเรื่องให้ฆ่าคนในลิฟต์ ก็ไม่ใช่ใครจะตัดใจลงมือทำกันได้ง่ายๆ
ดังนั้นที่อวี้เฟยพูดจึงไม่ผิด ภารกิจนี้ชายที่มีตอหนวดเป็นคนเลือกที่จะทำเอง
แต่ทำไมชายจมูกเหยี่ยวถึงรู้ว่าอวี้เฟยต้องการล้างแค้นให้กับเพื่อนของตัวเอง
คนที่มุงดูต่างพากันครุ่นคิด ทว่าแทบจะในเวลาเดียวกันพวกเขาก็สังเกตเห็นถึงท่าทีของชายจมูกเหยี่ยว ปฏิกิริยาตอบสนองของอีกฝ่ายเป็นธรรมชาติเกินไป ธรรมชาติเสียราวกับว่าเขารู้อยู่ก่อนแล้วว่าชายที่มีตอหนวดนั่นต้องถูกคนตามล้างแค้นแน่ ถ้าไม่ใช่ว่าเขามีความสามารถล่วงรู้เหตุการณ์ได้ล่วงหน้า เช่นนั้นก็เหลือความเป็นไปได้เพียงหนึ่งเดียวคือหลังจากที่ชายที่มีตอหนวดไปทำภารกิจ ‘ลิฟต์คัดเลือก’ อีกฝ่ายได้กลับมาบอกเล่าให้เขาฟัง หรือบางทีอาจบอกว่าพวกเขาทั้งกลุ่มต่างเตรียมใจอยู่ล่วงหน้าแล้วว่าชายที่มีตอหนวดต้องถูกคนตามมาล้างแค้นเอาคืนเข้าสักวันแน่
หากคิดต่อไปอีก เป็นไปได้หรือไม่ว่าภารกิจอย่าง ‘ลิฟต์คัดเลือก’ นี้คนกลุ่มนี้อาจไม่ได้เพิ่งทำเป็นครั้งแรกและไม่ได้มีเพียงชายที่มีตอหนวดที่รับทำภารกิจ ตกลงแล้วพวกเขาฆ่าคนมาใหม่ไปเท่าไหร่กันแน่…
แค่คิดก็รู้สึกหนาวสะท้านแล้ว
“พักอาศัยอยู่ที่นี่จำเป็นต้องใช้ค่าประสบการณ์” ชายจมูกเหยี่ยวยังคงพยายามอธิบาย “เมื่อไม่มีค่าประสบการณ์ ก็ได้แต่ต้องรับภารกิจ”
อวี้เฟยส่ายหน้า “เลิกยกเหตุผลมาอ้างกับฉันได้แล้ว ต่อให้คนที่นี่ทั้งหมดพากันรับภารกิจ ในเมื่อคนที่ฆ่าเพื่อนของฉันเป็นเขา เพราะฉะนั้นฉันย่อมต้องตามหาตัวเขา”
ชายจมูกเหยี่ยว “นายทำลายมือเขาไปแล้วข้างหนึ่ง!”
สีหน้าของอวี้เฟยเปลี่ยนเป็นหมดความอดทน
เขามองผ่านชายจมูกเหยี่ยวกลับไปหยุดอยู่ที่ชายที่มีตอหนวดอีกครั้งด้วยสายตาเย็นเยียบ
หมอกลงหนัก
เพียงไม่นานมันก็กลืนคนทั้งสามที่ตกอยู่ท่ามกลางความขัดแย้งไปหมดสิ้น ทั้งยังขยายวงออกไปอย่างรวดเร็ว เพียงพริบตาเดียวมันก็ครอบคลุมพื้นที่ชั้นสิบที่เป็นศูนย์กลางสมรภูมิรบไปจนหมด ซ้ำยังลามลงมาถึงชั้นหกและลามขึ้นไปถึงชั้นสิบหก เปลี่ยนพื้นที่ทั้งหมดให้กลับกลายเป็นขาวโพลน
‘[ป้องกัน] กลางหมอกห้าหลี่’
ตอนอยู่ในสถานีรถไฟใต้ดินด่าน 1/10 กลุ่ม VIP เคยใช้ไอเทมป้องกันที่ใช้ได้เพียงครั้งเดียวนี้มาก่อน ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงคุ้นเคยกับประสิทธิภาพของมันดี
หมอกหนาปกคลุม ไม่มีใครรู้ว่าตอนนี้ชั้นสิบกำลังเกิดเรื่องอะไรขึ้น พวกเขาได้ยินแต่เสียงสับสนคล้ายเสียงฝีเท้าขณะเดียวกันก็คล้ายเสียงฉุดกระชาก ตามมาด้วยเสียงร้องโหยหวนของชายที่มีตอหนวด
หมอกจางหายไปแล้ว
ชายจมูกเหยี่ยวยืนพิงอยู่กับผนังระเบียงทางเดินคล้ายถูกคนชนเข้าใส่ ชายที่มีตอหนวดยันร่างอยู่กับราวกั้นคล้ายกำลังจะปีนหนี
แต่เขาไม่มีโอกาสแล้ว
แผ่นหลังของเขามีมีดปักอยู่ เสียบทะลุตัดขั้วหัวใจ
อวี้เฟยคลายมือออกจากด้ามมีด กางแขนผลักชายที่มีตอหนวดที่ตายไปแล้วออกนอกราวกั้น
ร่างของอีกฝ่ายพ้นจากราวกั้นชั้นสิบ หล่นกระแทกพื้นโถงใหญ่ชั้นหนึ่งดังตุ้บ เลือดสดๆ ไหลทะลักเจิ่งนองไปทั่ว
เสียงฮือฮาดังลั่น
“คนก็ตายไปแล้ว ไม่เห็นต้องลงมือโหดเหี้ยมแบบนั้น…”
ถังหลิ่นนิ่งเงียบ
ในตอนนั้นชายที่มีตอหนวดก็ผลักพวกเขาออกมาจากลิฟต์แบบนี้เหมือนกัน ในวันนี้อวี้เฟยใช้การเคลื่อนไหวแบบเดียวกันส่งอีกฝ่ายออกเดินทางครั้งสุดท้าย
“นักสำรวจอวี้เฟย พร้อมทุกเมื่อสำหรับคนที่ต้องการแก้แค้น”
นี่เป็นคำพูดประโยคสุดท้ายของอวี้เฟย เขาจงใจทิ้งข้อความนี้ให้กับชายจมูกเหยี่ยวและสมาชิกของอีกฝ่าย รวมถึงคนที่เข้ามาห้อมล้อมมุงดูทั้งหมด
ตอนพูดเขาเผยรอยยิ้มแรกนับแต่เข้ามายังเขตรวมพลให้ทุกคนได้เห็น รอยยิ้มที่แฝงไว้ซึ่งความสะใจยั่วยุท้าทาย
นี่เป็นช่วงเวลาเดียวกับที่ถังหลิ่นจับเงาร่างที่คุ้นเคยบนตัวของอีกฝ่ายได้ทันที
การปะทะกันครั้งนี้ปิดม่านลงด้วยการถอยจากไปอย่างไม่สะทกสะท้านของอวี้เฟยกับชายสวมผ้าปิดปากสีดำ
ชายจมูกเหยี่ยวไม่ได้สร้างความยุ่งยากใดๆ ให้กับพวกเขาสองคน
คนที่มุงดูอยู่โดยรอบต่างไม่ประหลาดใจ
ถ้าจะบอกว่าก่อนหน้านี้พวกเขายังคงสงสัยว่าทำไมชายจมูกเหยี่ยวถึงต้องรอจนชายที่มีตอหนวดได้รับบาดเจ็บก่อนถึงค่อยโผล่ออกมา ตอนนี้พวกเขาเข้าใจหมดแล้ว
ที่ออกมาช้าก็เพราะไม่ต้องการมีปัญหากับอวี้เฟยตรงๆ ทันทีที่ชายที่มีตอหนวดได้รับบาดเจ็บนั่นก็เท่ากับว่าอีกฝ่ายได้ ‘จ่ายค่าตอบแทน’ ไปแล้ว ถึงตอนนั้นเขาค่อยออกมาเกลี้ยกล่อม ย่อมสามารถหลีกเลี่ยงไม่ต้องชักพาหายนะเข้าตัวและไม่ต้องรับคำตำหนิว่า ‘ไม่ปกป้องดูแลสมาชิกกลุ่ม’
ทว่าตอนนี้ชายที่มีตอหนวดตายไปแล้ว ต่อให้เขาไม่ยอมปล่อยอวี้เฟย ชีวิตของสมาชิกกลุ่มรายนั้นก็ไม่มีทางฟื้นกลับมาได้ เขาไม่มีความจำเป็นอะไรที่ต้องเป็นศัตรูกับอวี้เฟยหรือเหล่านักสำรวจเพียงเพื่อคนที่ตายไปแล้วคนหนึ่ง
พฤติกรรมเช่นนี้ย่อมมีคนดูแคลน มีคนนึกรังเกียจ แต่ก็ต้องมีคนเข้าใจเช่นกัน คนไม่เห็นแก่ตัว ฟ้าดินย่อมลงโทษ ไม่จำเป็นต้องเอาชีวิตไปเสี่ยงเพื่อปณิธานสูงส่งอะไร
แต่ไม่ว่าในใจจะคิดอะไร ในเวลานี้ไม่มีใครเอ่ยปากวิพากษ์วิจารณ์อะไรทั้งนั้น
เพราะถึงอย่างไรคนก็ตายไปแล้ว
แสงสีม่วงกลุ่มหนึ่งห่อหุ้มศพของชายที่มีตอหนวด ส่งร่างเขาขึ้นไปด้านบน ทะลุผ่านฝ้าเพดานช้าๆ ก่อนจะหายลับไปในที่สุด
บนพื้นเหลือก็แต่คราบเลือด
อวี้เฟยกับชายสวมผ้าปิดปากสีดำจากไปแล้ว ชายจมูกเหยี่ยวเองก็อาศัยจังหวะตอนสายตาของทุกคนถูกแสงสีม่วงนั่นดึงดูดความสนใจหายตัวไปเงียบๆ เช่นกัน
คนที่เข้ามาทำเควสต์ฝ่าด่านเริ่มแยกย้าย
ถังหลิ่นจำได้แม่น ตอนท้ายอวี้เฟยพูดคำว่า ‘นักสำรวจ’ ออกมา หากพิจารณาดูจากท่าทีตอบสนองของชายจมูกเหยี่ยวกับคนที่เข้ามาทำเควสต์ฝ่าด่านคนอื่นๆ แล้ว ทุกคนเหมือนจะเข้าใจความหมายของคำนี้ดี
“นักสำรวจ…” เขามองไปยังสมาชิกกลุ่มของตัวเอง “คือกลุ่มของอวี้เฟยงั้นเหรอ”
เจิ้งลั่วจู๋สีหน้างุนงง
หนานเกอบอก “น่าจะใช่”
ฉงเยวี่ยเอียงคอสับสน “ไม่มีใครเคยได้ยินชื่อนักสำรวจมาก่อนเหรอ”
บางครั้งฉงเยวี่ยก็รู้สึกว่าตัวเองเป็นสมาชิกใหม่ล่าสุดของกลุ่ม VIP
และบางครั้งเขาก็รู้สึกว่าตัวเองเป็น NPC ที่คอยให้ความรู้แก่คนที่เข้ามาทำเควสต์ฝ่าด่าน
“ข้อมูลข่าวสารในมือของพวกนายมีน้อยเกินไปแล้ว” ฉงเยวี่ยที่ถูกพรรคพวกร่วมแรงร่วมใจลากกลับห้องเริ่มเอ่ยบรรยาย “นักสำรวจเป็นกลุ่มคนแปลกประหลาดไม่เหมือนใคร สมาชิกกลุ่มก็นิสัยแปลกประหลาดไม่เหมือนใคร…”
เจิ้งลั่วจู๋ “นายไม่มีคำอื่นที่จะใช้อธิบายถึงพวกเขาแล้วหรือไง”
ฉงเยวี่ย “งั้นก็พิลึกพิลั่น เอาเป็นว่าความคิดอ่านของพวกเขาไม่เหมือนคนปกติทั่วไป”
หนานเกอ “ต่างกันตรงไหน”
ฉงเยวี่ย “พวกเขาไม่สนใจเรื่องทำเควสต์ฝ่าด่าน และไม่รีบร้อนที่จะไปจากที่นี่ พวกเขาวิ่งไล่ตามหาความจริง”
เจิ้งลั่วจู๋ “ความจริงอะไร”
ฉงเยวี่ย “ความจริงเรื่องโลกแห่งการทำเควสต์ฝ่าด่าน พวกเขาทุ่มเทกำลังเพื่อต้องการเข้าใจให้ได้ว่าตกลงสิ่งที่เรียกว่าเซียวนี้คืออะไรกันแน่ และเพื่อการนี้พวกเขายินดีใช้ทุกวิถีทางไม่ว่าจะต้องแลกเปลี่ยนด้วยอะไร ว่ากันว่าเคยมีสมาชิกนักสำรวจบุกเข้าไปถึงช่วงท้ายของด่านด่านหนึ่ง ขณะกำลังจะผ่านด่านสำเร็จ จู่ๆ ก็เกิดความคิดเพี้ยนๆ ตั้งใจจะออกจากเขตที่กำหนดไว้ ผลสุดท้ายเลยถูกด่านกำจัด”
หนานเกอนิ่งเงียบ
เจิ้งลั่วจู๋เองก็แสดงสีหน้าประทับใจออกมาเล็กๆ เขาเกาหัวพูด “ฟังดูเหมือนเป็นวีรบุรุษที่ยินดีสละตัวเองเพื่อทำการศึกษาค้นคว้าอะไรบางอย่าง…”
“ว่ากันตามตรงที่จริงฉันก็เลื่อมใสในตัวของพวกเขาอยู่เหมือนกัน” ฉงเยวี่ยพูดจากใจจริง “แต่ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ต้องทำไปตามกำลัง ระบบเซียวสามารถลากคนจำนวนมากเข้ามาในนี้ สร้างกฎและด่านที่ซับซ้อนแบบนี้ แถมยังให้ทุกคนมีต้นไอเทมอัศจรรย์ได้อีก เรื่องนี้จำเป็นต้องใช้พลังงานขนาดไหนไม่ต้องบอกก็รู้ ฉันไม่คิดว่าพวกเราจะสามารถต้านทานระบบเซียวได้”
“อย่าว่าแต่ต้านทานเลย” เจิ้งลั่วจู๋ถอนหายใจ “แค่เดินไปตามกฎที่วางไว้ จะผ่านด่านได้หรือเปล่ายังต้องดูโชคชะตา”
“ใช่…” ฉงเยวี่ยถอนหายใจตาม จู่ๆ เขาก็เหลือบมองไปทางหนานเกอ ถามเธอด้วยความสงสัยว่า “ไม่สิ พี่สาวอยู่ในนครใต้พิภพมาตั้งหลายปีไม่ใช่เหรอ ทำไมถึงไม่เคยได้ยินเรื่องกลุ่มนักสำรวจมาก่อนล่ะ”
“เธอไม่ได้อยู่มาหลายปี แต่ถูกกักอยู่ในนี้มาหลายปีต่างหาก” เจิ้งลั่วจู๋ปิดหูทำมือทำไม้ “ถูกปิดหูปิดตาไม่อาจรับรู้ข่าวสารอะไรได้ทั้งนั้น”
“ขอบใจที่ช่วยอธิบายแทน” หนานเกอโมโหถีบเขาไปทีหนึ่ง ก่อนจะหันมองไปทางฉงเยวี่ย “สถานการณ์ในช่วงหลายปีให้หลังเป็นยังไงฉันเองก็ไม่รู้ แต่ที่มั่นใจได้ก็คือตอนฉันเข้ามานครใต้พิภพใหม่ๆ ฉันไม่เคยได้ยินเรื่องกลุ่มนักสำรวจมาก่อน”
“ก็ไม่แปลก” เจิ้งลั่วจู๋นวดขา “ถ้าตอนเธอเข้ามา พวกเขาก่อตั้งกลุ่มกันเรียบร้อยอยู่ก่อนแล้ว ไม่แน่ตอนนี้พวกเขาอาจสำรวจพบผลลัพธ์อะไรบางอย่างแล้ว…”
คนทั้งสามผลัดกันพูดคนละประโยค บทสนทนาในช่วงท้ายเริ่มไร้สาระ
นักสำรวจงั้นเหรอ
ถังหลิ่นพูดชื่อนี้ซ้ำอยู่ภายในใจคล้ายรับรู้ได้ถึงปณิธานแรงกล้าแน่วแน่ของคนพวกนั้น
เขาเงยหน้ามองออกไปนอกหน้าต่าง
แผ่นดินกว้างไกลที่ไม่มีใครล่วงรู้นี้คือสมรภูมิรบที่พวกเขากำลังจะย่างกรายเข้าไปในอีกไม่ช้า
หัวข้อสนทนาที่อวี้เฟยนำมาสู่เขตรวมพลแค่วันที่สองก็จางหายไปไม่น้อยแล้ว ทั้งนี้ก็เพราะมันห่างจากวันเปิดด่านใหม่แค่วันเดียวเท่านั้น
ถึงจะบอกว่าหนึ่งวัน แต่ความจริงคือเที่ยงคืนของคืนนี้ ดังนั้นแค่ตอนเที่ยงวันกลุ่มที่ตั้งกำลังพลเรียบร้อยอยู่ก่อนหน้าหลายกลุ่มก็ไปเดินวนเวียนอยู่แถวหน้าประตูทางเข้าด่านที่ชั้นหนึ่งแล้ว
ถังหลิ่นไม่เคยนึกมาก่อนว่าจะได้พบเจอกับอวี้เฟยอีก เขาอาศัยจังหวะหลังเสร็จสิ้นการฝึกซ้อมช่วงเที่ยงออกจากห้องมา วัตถุประสงค์ก็เพียงเพราะต้องการแวะไปดูสถานการณ์ของฟั่นเพ่ยหยาง
ประธานฟั่นตามฮั่วสวี่มาหนึ่งวันครึ่งแล้ว คลื่นลมสงบนิ่งไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทว่ายิ่งคลื่นลมสงบมากเท่าไหร่ ใจของถังหลิ่นก็เต้นราวกับกลองรัว กังวลอยู่ตลอดเวลาว่าถ้าเกิดเรื่องอะไรขึ้นทั้งสองจะต่อสู้กันยาวนานอีก ดังนั้นจึงรีบอาศัยจังหวะตอนทุกคนกำลังกินข้าวเที่ยงออกมาดูสถานการณ์
เขามาถึงชั้นแปดก่อน หลังพบว่าบนระเบียงทางเดินไม่มีคน เขาก็โดยสารลิฟต์ไปที่ชั้นหนึ่ง ขณะกำลังจะเดินเข้าโถงใหญ่เขาก็มองเห็นฮั่วสวี่ได้แต่ไกล อีกฝ่ายกำลังนั่งเคี้ยวขนมปังอยู่ที่โซนพักผ่อน ท่าทางตอนเคี้ยวขนมปังแต่ละครั้งล้วนดุดัน รังสีอำมหิตแผ่ซ่านเหมือนต้องการจะบอกว่า ‘ห้ามสิ่งมีชีวิตทุกชนิดเข้าใกล้’
ประธานฟั่นนั่งอยู่บนโต๊ะที่อยู่ข้างๆ เขา กินสเต๊กของตัวเองด้วยท่าทีสบายๆ ด้านข้างยังมีไวน์แดงอีกแก้วหนึ่ง
จานชามมีดส้อมสเต๊กและไวน์แดง แม้แต่ผ้าเช็ดปากล้วนพร้อมสรรพ ทั้งหมดนี้ประธานฟั่นซื้อมาจากช็อปปิ้งอาร์เคดที่อยู่ชั้นหนึ่งแล้วค่อยยกมากินที่นี่หรือว่าเป็นของที่ซื้อมาจากห้องของตัวเองแล้วค่อยหิ้วมาที่โซนพักผ่อนกันแน่
ถังหลิ่นแอบถอนหายใจ เลิกคิดดีกว่า
ในตอนนั้นเองจู่ๆ อวี้เฟยก็ปรากฏตัว
อีกฝ่ายเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าเขา บดบังทัศนวิสัย เผยรอยยิ้มเป็นมิตรให้เห็น “ไม่ได้พบกันเสียนาน”
ถังหลิ่นรู้สึกประหลาดใจ แต่เพียงไม่นานเขาก็ยิ้มกลับให้อีกฝ่ายแบบเดียวกัน “ยังดีที่คุณไม่ได้พูด ‘ไม่ได้พบกันนาน เป็นยังไงบ้าง’ ”
อวี้เฟยนึกขันไปกับคำพูดกระเซ้าของถังหลิ่น เขาส่ายหน้า “นั่นเอาไว้ใช้พูดกับศัตรู ไม่ใช่กับพรรคพวก”
ถังหลิ่นชะงักไปเล็กๆ “พรรคพวก?”
อวี้เฟยเก็บรอยยิ้ม เอ่ยถามอย่างจริงจัง “ถังหลิ่น นายอยากเข้าร่วมเป็นนักสำรวจหรือเปล่า”