everY
ทดลองอ่าน พ้นเที่ยงคืนกลืนมิติ เล่ม 5 บทที่ 157-158 #นิยายวาย
ทดลองอ่าน เรื่อง พ้นเที่ยงคืนกลืนมิติ เล่ม 5
ผู้เขียน : เหยียนเหลียงอวี่
แปลโดย : สนสราญ
ผลงานเรื่อง : พ้นเที่ยงคืนกลืนมิติ
ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน
จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว
หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย
– – – – – – – – – – – – – – – – –
Trigger Warning
เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่
การทำร้ายทางร่างกายและจิตใจ การตาย การฆาตกรรม
การบังคับหรือโน้มน้าวให้
การกักขังหน่วงเหนี่ยว การทรมาน การบูลลี่
การกล่าวถึงเลือด สภาพศพ และสถานการณ์อันน่าขยะแขยง
ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ
สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป
โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
** หมายเหตุ: ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **
– – – – – – – – – – – – – – – – –
บทที่ 157
ฮั่วสวี่เข้าร่วม
โถงใหญ่ชั้นหนึ่งใกล้ๆ กับทางเชื่อมต่อบันได หลังผนังที่เหมาะกับการแอบฟัง
ฮั่วสวี่ “พวกเขาไปแล้ว”
ฟั่นเพ่ยหยาง “อืม”
“หัวหน้ากลุ่มของพวกนายนับว่าใช้ได้ ไม่ได้บุ่มบ่ามหัวร้อน”
“อืม”
“แล้วนายยังจะให้มีดส้อมลอยค้างอยู่กลางอากาศอีกนานแค่ไหน”
ฟั่นเพ่ยหยางสงบจิตใจ ตัดการเชื่อมต่อกับต้นไอเทม
มีดส้อมที่ลอยอยู่ซ้ายขวาฝั่งละอันของฟั่นเพ่ยหยางหล่นลงกับพื้น
ฮั่วสวี่เหลือกตาขึ้นบน ถ้อยคำถากถางมากมายติดค้างอยู่ในปาก
คนบ้าอะไรกินสเต๊กพกมีดส้อมสองชุด ชุดหนึ่งใช้กินอาหาร อีกชุดพกติดตัวพร้อมใช้เล่นงานผู้อื่นตลอดเวลา
อีกอย่างทางถังหลิ่นนอกจากเรื่องลากอวี้เฟยมาคุยลับๆ ล่อๆ ชวนสงสัยอยู่ที่นี่แล้ว การแสดงออกที่เหลือล้วนเรียกได้ว่าพอถูไถ แล้วชายที่อยู่ข้างๆ เขารายนี้จะหงุดหงิดโมโหเรื่องอะไรกัน
โดยเฉพาะตอนที่อวี้เฟยบอกว่า ‘หากพูดให้นายคล้อยตามได้ ฝึกฝนนานแค่ไหนก็คุ้ม’ ฮั่วสวี่แทบจะถูกไอสังหารของคนที่อยู่ข้างๆ นี้บีบบังคับให้ลงมือตามการตอบสนองแบบมีเงื่อนไข
พิลึก เผด็จการ
ฮั่วสวี่ที่ลืมไปแล้วว่าตัวเองที่กำลังวิพากษ์วิจารณ์ประธานฟั่นอยู่ในใจก็เคยไม่พูดไม่จาใช้คลื่นน้ำเล่นงานผู้ดูแลกลุ่มสือเซ่อกระเด็นขึ้นไปถึงชั้นสิบเก้า
ฟั่นเพ่ยหยางเก็บอวี้เฟยที่กล้าคิดอ่านอะไรบางอย่างกับถังหลิ่นไว้ใน ‘แฟ้มรอจัดการ’ เป็นการชั่วคราว เขาหันมามองดูฮั่วสวี่ จู่ๆ ก็ถามอีกฝ่ายว่า “นายตามมาทำไม”
ฮั่วสวี่ไม่ทันตั้งตัว หลังจากตะลึงไปครู่หนึ่งเขาก็เอ่ยประชด “นายเป็นคนบอกให้ฉันตามมาไม่ใช่หรือไง”
“ถ้านายว่าง่ายขนาดนั้น ก็คงไม่ต้องให้ฉันเสียเวลาแสดงความจริงใจอยู่ตั้งนานแบบนี้” ฟั่นเพ่ยหยางบอก
ฮั่วสวี่ “…นายไม่ตามฉันก็ได้นี่”
“ฉันไม่ตาม คนที่ตามก็ต้องเป็นถังหลิ่น” พอนึกถึงภาพเหตุการณ์เมื่อหลายวันก่อน หัวคิ้วของฟั่นเพ่ยหยางก็ขมวดเข้าหากันแน่น “เขายิ้มให้นายมากเกินไปแล้ว”
“…” ฮั่วสวี่สับสนไม่เข้าใจ
คำพูดของฟั่นเพ่ยหยางก็เหมือนกับมีดส้อมที่ลอยออกมาจากกระเป๋าพวกนั้น ชวนให้คนรู้สึกงุนงงสงสัย
ฟั่นเพ่ยหยางไม่รู้สึกเลยแม้แต่น้อยว่าคำพูดของตัวเองมีอะไรไม่ถูกต้อง พอเห็นฮั่วสวี่ไม่มีทีท่าจะถามอะไรต่อ เขาก็วกกลับเข้าสู่หัวข้อสนทนาก่อนหน้านี้อย่างเป็นธรรมชาติ “ฉันว่าฉันพอจะรู้แล้วว่าทำไมนายถึงตามฉันมา”
ฮั่วสวี่ยกคิ้ว ไม่พูดไม่จา
ฟั่นเพ่ยหยางรู้ว่าตัวเองทายถูกแล้ว “เมื่อก่อนนายเป็นนักสำรวจ”
ทันใดนั้นสายตาของฮั่วสวี่ก็ลอยไปไกลคล้ายนึกอะไรได้บางอย่าง เขาเอ่ยประชด “เฮอะ ก็แค่พวกรนหาที่ตายกลุ่มหนึ่งเท่านั้น”
“นายไม่คิดว่าพวกเขาจะทำสำเร็จ?”
“ทำตัวบุ่มบ่ามอย่างกับแมลงวันไม่มีหัว ทุกการค้นพบล้วนต้องแลกมาด้วยชีวิตผู้คน ถ้าโชคดีบางทีอาจทำสำเร็จได้จริง แต่ฉันแต่ไหนแต่ไรก็โชคร้ายมาโดยตลอด”
ฟั่นเพ่ยหยางเลิกคิ้ว “ถ้างั้นทำไมเมื่อก่อนนายถึงเลือกเข้าร่วมกลุ่มกับพวกเขา”
ฮั่วสวี่มองดูเขา “ตอนนั้นฉันโง่ไง พอใจหรือยัง”
ฟั่นเพ่ยหยางไม่เพียงชอบคำตอบตรงไปตรงมาเช่นนี้ เขายังรู้สึกยินดีที่ในที่สุดก็ค้นพบข้อดีข้อหนึ่งของอีกฝ่าย
ทว่าการจิกกัดตัวเองไม่อาจปกปิดเนื้อแท้ ที่อีกฝ่ายถูกคำพูดของนักสำรวจทำหวั่นไหวได้ ฟั่นเพ่ยหยางคิดไปคิดมาก็คิดได้ว่ามีเหตุผลเพียงประการเดียวเท่านั้น “เทียบกับการทำเควสต์ฝ่าด่านแล้ว นายอยากสืบรู้ถึงความเป็นจริงมากกว่า”
“นายจะบอกว่าการเข้าร่วมกลุ่มกับพวกนายจะช่วยให้ฉันค้นพบข้อเท็จจริงได้งั้นเหรอ” ฮั่วสวี่ย้อนถามน้ำเสียงแดกดัน
“ไม่” ฟั่นเพ่ยหยางตอบอย่างไม่นึกลังเล “เพราะฉะนั้นนายควรไตร่ตรองให้ดีๆ”
ฮั่วสวี่ “…”
เขาจ้องหน้าฟั่นเพ่ยหยางอยู่นาน
ทั้งสองต่างเย็นชาแบบเดียวกัน ร้างไร้ความรู้สึกเหมือนกัน
“กลุ่มของพวกนายชื่ออะไร”
“VIP”
“น่าเกลียดชะมัด”
“หัวหน้าเป็นคนตั้ง ไว้นายเข้ากลุ่มมาก่อนวันหน้าค่อยเปลี่ยน”
“อืม”
“แต่ฉันไม่มีทางเห็นด้วย”
“…”
หลังจากที่ถังหลิ่นกลับถึงห้องได้ไม่นานเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น ตอนแรกเขาคิดว่าอาจเป็นพรรคพวกคนไหนสักคนที่เกิดนึกขยันขันแข็งหลังกลับไปพักกลางวันที่ห้องครู่หนึ่งแล้วก็กลับมาขอฝึกฝนตอนเที่ยงต่อ แต่พอเปิดประตูออกดูเขาก็พบว่าอีกฝ่ายคือฟั่นเพ่ยหยางกับฮั่วสวี่
“เขาตกลงแล้ว” ยังไม่ทันได้เข้าไปในห้องฟั่นเพ่ยหยางก็ประกาศผลสำเร็จของตัวเองออกมาให้ทุกคนได้รับรู้
ข่าวดีนี้มากะทันหันสุดๆ จังหวะหรือก็เหมาะเจาะเหลือเชื่อ มาตอนเขากับอวี้เฟยคุยกันเสร็จพอดี สายตาของถังหลิ่นกวาดมองกลับไปกลับมาระหว่างคนทั้งสอง ในใจไม่วายนึกสงสัย
พอเห็นฮั่วสวี่ไม่พูดไม่จา ฟั่นเพ่ยหยางก็อดทนอดกลั้นชี้นิ้วไปทางถังหลิ่น “เรียกหัวหน้าสิ”
“…” ฮั่วสวี่นิ่งเงียบอยู่สองวินาทีก่อนจะหันหลังเดินจากไป
โชคดีที่ถังหลิ่นตาไวมือไว เขาจูงคนกลับมา “ไม่ต้อง เรียกผมถังหลิ่นก็พอ” พูดจบเขาก็ขมวดคิ้วไปทางฟั่นเพ่ยหยางทันที หวังว่าอีกฝ่ายจะเข้าใจ นี่เป็นพรรคพวกที่ได้มาอย่างยากลำบาก ไม่ใช่เด็กที่ผู้ปกครองจูงมาพบอาจารย์!
ฟั่นเพ่ยหยางไม่ได้เข้าใจความหมายทั้งหมด แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็พอรับรู้ถึงเค้าโครงความหมายที่ซ่อนแฝงอยู่ในสายตาของอีกฝ่าย เขายักไหล่ ตั้งอกตั้งใจทำตัวสงบนิ่ง
ถังหลิ่นไม่ยอมเสียเวลาพูดจาอ้อมค้อมอย่างการเชื้อเชิญอีกฝ่ายเข้ามาในห้องอะไรพวกนั้น กับคนอย่างฮั่วสวี่ โอกาสหากพลาดไปเพียงครั้งก็ยากจะเรียกคืนกลับมาได้อีก ดังนั้นหลังจากดึงมืออีกฝ่ายกลับมา เขาก็เอ่ยปากรับรองทันที “ทุกอย่างยังคงเหมือนที่ผมพูดไว้ก่อนหน้านี้ไม่เปลี่ยน กลุ่มของพวกเราทันทีที่เข้าสู่ด่าน 4/10 ขอเพียงไม่ผิดกฎ คุณสามารถไปจากกลุ่มได้ทุกเมื่อ”
นี่เป็นการรับรองและเป็นการสั่นคลอนความดื้อรั้นดึงดันของฮั่วสวี่ครั้งสุดท้าย
“ยินดีต้อนรับเข้าสู่กลุ่ม VIP” ถังหลิ่นยื่นมือให้กับอีกฝ่าย
มือที่ยื่นมาตรงหน้าทำฮั่วสวี่ตะลึงงัน หลังจากผ่านไปสองสามวินาทีในที่สุดเขาก็คล้ายเพิ่งรู้สึกตัว เขาสอดมือทั้งสองข้างเข้ากระเป๋ากางเกงก่อนจะหันกลับไปด้วยท่าทีเมินเฉย “ฉันจะกลับไปนอนพักเอาแรงแล้ว”
เพิ่งเดินไปได้สองก้าว จู่ๆ เขาก็หันกลับมาเอ่ยเตือน “ห้ามไปเฝ้าที่หน้าประตูห้องฉันอีก”
ถังหลิ่นพยักหน้ายินดี “วันนี้ผมจะให้คุณได้พักครึ่งวัน พรุ่งนี้เช้ามาร่วมฝึกซ้อมด้วยกัน”
ฮั่วสวี่ไม่แสดงความคิดเห็นใดๆ ทำเพียงส่งเสียงประชดออกมาคราวหนึ่งแล้วก็เดินจากไป
ที่หน้าประตูเหลือเพียงฟั่นเพ่ยหยาง
“ผมพูดได้หรือยัง”
ถังหลิ่นเบี่ยงกายเปิดทาง “ไม่เพียงแต่พูดได้ แต่ยังเข้ามาคุยกันข้างในได้ด้วย”
โอเค ฟั่นเพ่ยหยางตัดสินใจไม่ถือสาเอาความกับเรื่อง ‘ห้ามพูดชั่วคราว’ ที่เกิดขึ้นเมื่อครู่
“บทสนทนาระหว่างผมกับอวี้เฟย พวกคุณได้ยินแล้วสินะ” ทันทีที่เข้าไปถึงห้องรับแขกถังหลิ่นก็ถามออกมา นอกจากเรื่องนี้แล้วเขาก็นึกไม่ออกว่ามีเหตุผลอะไรที่ทำให้อยู่ๆ ฮั่วสวี่ก็ใจอ่อนได้แบบนั้น
“ได้ยินแล้ว” ฟั่นเพ่ยหยางนั่งลงบนโซฟา
ถังหลิ่นรินน้ำให้เขาแก้วหนึ่ง น้ำเสียงกลับกลายเป็นอัศจรรย์ใจ “ผมจงใจพาเขาไปที่ลับหูลับตาคนแล้วค่อยพูดคุยกัน”
ฟั่นเพ่ยหยางรับแก้วน้ำมาถือไว้ จิบมันคำหนึ่งก่อนจะพยักหน้า “เพราะอย่างนั้นผมเลยหาตำแหน่งแอบฟังได้ค่อนข้างลำบาก พลาดบทสนทนาช่วงแรกของพวกคุณไป”
…รีวิวได้ตรงไปตรงมาจริงเชียว
“โอเค” ถังหลิ่นพูดด้วยอารมณ์ไม่สู้ดี “คราวหน้าผมจะเลือกที่ที่สะดวกต่อการแอบฟังให้”
“ฮั่วสวี่ก่อนหน้านี้เป็นนักสำรวจ” ฟั่นเพ่ยหยางวกกลับเข้าเรื่อง
“นักสำรวจ?” มิน่าอีกฝ่ายถึงได้มีท่าทีตอบสนองต่อบทสนทนาของเขากับอวี้เฟย
“ก็เหมือนกับคุณที่ไม่เห็นด้วยกับวิธีการสำรวจที่ต้องแลกมาด้วยชีวิต เขาไม่ได้บอกว่าอยู่ในกลุ่มนักสำรวจนานแค่ไหน แต่ด้วยนิสัยของเขา…” ฟั่นเพ่ยหยางไม่แม้แต่จะหยุดคิด “ว่ากันตามหลักแล้วน่าจะไม่เกินช่วงทดลองงาน”
พนักงานที่ดื้อรั้นมีความคิดเป็นของตัวเอง ไม่ยอมทำตามคำสั่งใครง่ายๆ แบบนี้เจ้านายไม่มีทางชอบ ต่อให้มีความสามารถขนาดไหน ถ้าไม่ฟังคำกันก็ย่อมเสียเปล่า
แต่ถังหลิ่นไม่ใช่เจ้านายและเขาเองก็ไม่ได้คิดจะหาพนักงาน ที่เขาต้องการคือพรรคพวกที่สามารถวางใจมอบแผ่นหลังให้กับอีกฝ่ายได้
“หวังว่าเขาจะอยู่กลุ่ม VIP ของพวกเราได้นานหน่อย” ถังหลิ่นถอนหายใจแผ่วเบา
ความไว้วางใจเป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลา หากเวลาไม่พอ ฝืนเรียกร้องเช่นไรก็ยากจะได้มา
“คุณต้องการเขาขนาดนั้นเลย?” ฟั่นเพ่ยหยางขมวดคิ้ว
แน่นอนว่าต้องการ ไม่อย่างนั้นหลายวันมานี้เขาจะจัดกลุ่มไปทำตัวเป็นทวารบาลอยู่หน้าประตูห้องชาวบ้านทำไมกัน
ทว่าคำว่า ‘ต้องการ’ คำนี้ออกจากปากของฟั่นเพ่ยหยางมันกลับคล้ายแฝงความหมายลึกล้ำแปลกประหลาด…
เพื่อเลี่ยงไม่ให้ตกหลุมพรางหรือถูกลากเข้าไปสู่บทสนทนาที่ยากจะกอบกู้ ถังหลิ่นตัดสินใจข้ามผ่านเรื่องดังกล่าว วกกลับเข้าประเด็น “ดังนั้นที่ฮั่วสวี่ยินดีเข้าร่วมกลุ่มนั่นก็เพราะว่าผมปฏิเสธที่จะเป็นนักสำรวจ?”
ไม่ใช่ เป็นประโยค ‘ผมอยากพาพรรคพวกกลับบ้านมากกว่า’ ต่างหาก
ตอนได้ยินคำพูดดังกล่าว สายตาของฮั่วสวี่ก็เปลี่ยนไป
ขนาดคนที่การรับรู้ด้านอารมณ์ความรู้สึกเฉื่อยชาอย่างฟั่นเพ่ยหยางก็ยังคงตระหนักได้
ว่ากันตามความสามารถของฮั่วสวี่แล้ว ฟั่นเพ่ยหยางไม่คิดว่าอีกฝ่ายจำเป็นต้องให้ใครช่วยพากลับบ้าน ดังนั้นสิ่งที่ทำให้ฮั่วสวี่หวั่นไหวจึงเป็นท่าทางของถังหลิ่นที่มีต่อพรรคพวกต่างหาก
ไม่บ่อยนักที่ฟั่นเพ่ยหยางจะวิเคราะห์ถึงอารมณ์ความรู้สึกของคนอื่น ทว่าวันนี้เขากลับทำ อีกทั้งยังได้ผลลัพธ์กลับมาเล็กๆ น้อยๆ แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่คิดจะบอกกับถังหลิ่น
คำพูดอย่าง ‘ฮั่วสวี่ถูกเสน่ห์ของคุณดึงดูดให้เข้าร่วมกลุ่ม VIP’ นี้ ต่อให้ถึงวันสิ้นโลกคนอย่างประธานฟั่นก็ไม่มีทางปล่อยให้มันหลุดออกจากปากได้
“ใช่ เพราะคุณปฏิเสธอวี้เฟย” ฟั่นเพ่ยหยางหน้าไม่เปลี่ยนสี น้ำเสียงเด็ดเดี่ยวหนักแน่น
ถังหลิ่นไม่นึกสงสัย เขาเริ่มครุ่นคิดถึงเรื่องอีกเรื่อง
ถึงจะปฏิเสธกลุ่มนักสำรวจไปแล้ว ทว่าข่าวสารที่นักสำรวจให้มานั้นกลับทำให้ถังหลิ่นยิ่งคิดมาก
“เรื่องที่อวี้เฟยพูดถึงพวกนั้น คุณคิดว่ายังไง”
“เรื่องเกี่ยวกับระบบเซียวแล้วก็โลกนี้?” ฟั่นเพ่ยหยางส่ายหน้าน้อยๆ “ยังเข้าไม่ถึงแก่น ด่านมีไว้เพื่ออะไร ให้พวกเราทำเควสต์ฝ่าด่านเป้าหมายของมันคืออะไร การสำรวจของพวกเขายังเข้าไม่ถึงแกนกลางของปัญหาสองข้อนี้เลยด้วยซ้ำ คิดทำลายที่นี่ จะทำลายยังไง ตอนนี้พวกเขารู้แล้วหรือไงว่าสามารถทำอะไรได้ ยิ่งกับปัญหาข้อนี้พวกเขายิ่งว่างเปล่า”
“แต่พวกเขากล้าคิด กล้าทำ กล้าเอาชีวิตไปเสี่ยง คุ้มค่าให้ยกย่องนับถือ” ถังหลิ่นมองไปทางฟั่นเพ่ยหยาง “ถ้าการทำเควสต์ฝ่าด่านหลังจากนี้พวกเรามีโอกาสสืบรู้ความจริง คุณจะลองดูหรือเปล่า”
ฟั่นเพ่ยหยางไม่ได้ตอบแต่กลับย้อนถาม “คุณอยากลอง?”
“อืม” ถังหลิ่นพยักหน้า “ผมอยากลองดูสักตั้ง”
“แต่คุณปฏิเสธกลุ่มนักสำรวจไปแล้ว” ฟั่นเพ่ยหยางเอ่ยปากเตือน “แม้คุณไม่อยากเข้าร่วม แต่ก็สามารถให้กลุ่ม VIP กับพวกเขาเป็นพันธมิตรกันได้ ช่วยกันจัดวางกลยุทธ์ อย่างน้อยพวกเขาก็เริ่มต้นไว มีขอบเขตกว้างขวาง”
“ไม่ได้” สำหรับเรื่องลำดับความสำคัญของเป้าหมายถังหลิ่นมั่นใจ “ความปลอดภัยของพวกคุณมาเป็นอันดับหนึ่ง การทำเควสต์ฝ่าด่านอันดับสอง และสืบหาความจริงเกี่ยวกับที่นี่เป็นอันดับสาม ถ้าร่วมมือกับนักสำรวจ ผมย่อมไม่มีทางรักษาลำดับความสำคัญแบบนี้ได้”
ฟั่นเพ่ยหยางบอก “ทั้งอยากสืบหาความจริง ทั้งไม่อยากเสี่ยงอันตราย ผมไม่เคยพบเจอเรื่องที่มีแต่ได้อะไรแบบนี้”
“จู๋จื่ออยากตามหาเพื่อนของเขา หนานเกออยากกลับบ้าน ส่วนผมกว่าจะกลับมามีสุขภาพแข็งแรงได้อีกครั้งก็ไม่ง่าย แถมแต่ละวันยังต้องคอยจับตาดูคนที่ชอบวิ่งเข้าใส่อันตรายอยู่ตลอด” ถังหลิ่นมือข้างหนึ่งเท้าแก้ม ชำเลืองมองดูฟั่นเพ่ยหยางปราดหนึ่ง “เพราะแบบนี้ผมถึงไม่อยากเสี่ยงอันตราย”
ฟั่นเพ่ยหยาง “…”
ถูกอีกฝ่ายตำหนิโดยไม่ต้องเรียกชื่อเข้าให้แล้ว
“แต่ผมรู้สึกอยู่ตลอดว่ามีโอกาส” ถังหลิ่นยังคงระมัดระวังและมองโลกในแง่ดี “ตอนนี้ข้อมูลเกี่ยวกับที่นี่ยังมีไม่มาก บางทีการทำเควสต์ฝ่าด่านของพวกเราอาจทำให้ความลับเหล่านั้นโผล่พ้นผืนน้ำออกมามากขึ้นเรื่อยๆ จนพอให้พวกเราวางแผนทำศึก”
“หรือจนถึงท้ายสุดแล้วพวกเราอาจไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับความลับที่เป็นแก่นแท้ของที่นี่” ฟั่นเพ่ยหยางแต่ไหนแต่ไรก็ชอบครุ่นคิดถึงเรื่องราวในแง่ที่ร้ายที่สุดอยู่ก่อนเสมอ
เดิมถังหลิ่นมั่นใจว่าฟั่นเพ่ยหยางก็เหมือนกับตนเองที่คิดจะสืบหาความจริง ทว่าการที่อีกฝ่ายเฝ้าสาดน้ำเย็นใส่เขาตลอดเช่นนี้ทำให้เขาเริ่มนึกลังเล “ปัญหาเมื่อกี้ คุณยังไม่ตอบผม”
“ถ้าพวกเรามีโอกาสสืบรู้ความจริง ผมอยากจะลองดูหรือเปล่างั้นเหรอ” ฟั่นเพ่ยหยางทวนคำถาม ไม่รอให้ถังหลิ่นได้พูดอะไรเขาก็ตอบออกมาอย่างเด็ดขาดหนักแน่นว่า “ต้องอยากลองอยู่แล้ว เบื้องหลังของเรื่องนี้ไม่ว่าเป็นคนคนเดียวหรือกลุ่มอะไรก็ตาม ผมอยากให้พวกเขาได้รู้ว่าการที่ทำให้คนอื่นเสียเวลานั้นเป็นเรื่องที่ไม่อาจให้อภัย ถ้าเวลานี้เป็นนาทีทองของการเพียรพยายาม เช่นนั้นโทษนี้ก็ยิ่งให้อภัยไม่ได้เข้าไปใหญ่”
“แต่ถ้าคุณไม่ได้ถูกดึงเข้ามา ไม่ได้เข้าไปในห้องอธิษฐาน บางทีผมอาจมีชีวิตไม่ถึงตอนนี้” ถังหลิ่นพูดกับฟั่นเพ่ยหยางตรงไปตรงมาตามความเป็นจริง
ฟั่นเพ่ยหยางตรึกตรองอย่างรอบคอบระมัดระวังอยู่ครู่หนึ่ง “ได้ งั้นก็ให้พวกเขาได้ตายแค่หนเดียวพอ”
ถังหลิ่น “…”
ก่อนหน้านี้เขาคิดจะให้จอมบงการที่อยู่หลังม่านพวกนั้นตายไปกี่หนกัน
เรื่องดีไม่ค่อยเป็นข่าว เรื่องแย่ๆ กลับแพร่สะพัดพันหลี่
เพิ่งพลบค่ำได้ไม่ทันไรข่าวฮั่วสวี่เข้าร่วมกลุ่ม VIP ก็มีคนล่วงรู้เข้าจนได้ พอถึงตอนสองสามทุ่มมันก็แพร่ไปทั่วเขตรวมพล
แม้แต่กลุ่มคนที่วนเวียนอยู่หน้าประตูเตรียมเข้าสู่ด่าน 4/10 ตอนเที่ยงคืนก็ยังลืมเรื่องด่านที่กำลังจะมาถึงไปชั่วขณะ พวกเขาต่างเงยหน้าส่งเสียงวิพากษ์วิจารณ์อยู่กับคนที่เข้ามาทำเควสต์ฝ่าด่านที่อยู่บนระเบียงทางเดินชั้นบน
ชั้นล่าง “เรื่องจริงหรือเปล่า”
ชั้นสอง “จริงยิ่งกว่าผมที่ยังเหลือแค่ไม่กี่เส้นบนหัวของนายอีก”
ชั้นล่าง “คุยกันเรื่องข่าวลือก็พูดถึงแต่เรื่องข่าวลือสิ ทำไมต้องกระแหนะกระแหนเรื่องรูปลักษณ์กันด้วย”
ชั้นสี่ “เฮ้ๆ ตกลงเพราะอะไรเขาถึงยอมตกลงรับปากได้”
ชั้นสาม “ฉันรู้สึกว่าการที่เขาเพิ่งยอมตกลงนี้ อันที่จริงก็นับว่าอดทนเข้มแข็งมากแล้ว ถูกกลุ่ม VIP เดินตามล้อมหน้าล้อมหลังแบบนั้น แค่วันเดียวฉันก็บ้าแล้ว…”
เรื่องนี้แน่นอนว่าย่อมลอยเข้าหูของคนคุ้นเคย
หลังได้ยินข่าวดีดังกล่าวเหอลวี่ก็นึกยินดีแทนกลุ่ม VIP ทั้งยังรู้สึกละอายใจที่ตัดสินอะไรง่ายๆ ไปก่อนหน้านี้ บางทีฮั่วสวี่อาจขาดแคลนความเชื่อถือไว้วางใจ ทว่าความจริงใจสามารถละลายน้ำแข็งในใจคนได้จริงๆ
พอกวนหลันได้ยินเรื่องดังกล่าวเขากลับถอนหายใจยาวๆ ในที่สุดก็ไม่ต้องกังวลว่าฮั่วสวี่จะกลายเป็นสมาชิกกลุ่มเฉ่าเหมยเถียนเถียนเชวียนของเขาแล้ว
ปฏิกิริยาแรกของชุยจั้นคือเสียดายที่ปล่อยให้คนที่มีฝีมือหลุดมือไป ทว่าหลังจากนึกถึงนิสัยเจ้าอารมณ์ของฮั่วสวี่ เขาก็รู้สึกว่าตัวหายนะแบบนี้ หลุดมือแล้วก็แล้วไปเถอะ
โจวอวิ๋นฮุยไม่มีเวลาสนใจข่าวลือดังกล่าว เขากำลังนำทีมฝึกฝน เตรียมพร้อมสำหรับการเปิดด่านในครั้งหน้า
ชายสักลายเจ้าสาวศพสวยกับเจียงฮู่ชวนจากกลุ่มปู้ปู้เกาเซิง เพราะเคยทำเควสต์เอาชีวิตรอดบนเกาะร้างกับกลุ่ม VIP มาก่อนจึงรู้ถึงศักยภาพของอีกฝ่าย สำหรับเรื่องนี้พวกเขากลับมีความคิดเห็นที่ลึกล้ำยิ่งกว่า…
ชายสักลายเจ้าสาวศพสวยมั่นใจว่านี่ต้องเป็นเพราะความสามารถของประธานฟั่นที่ทำให้ฮั่วสวี่ยอมสยบ
ทว่าเจียงฮู่ชวนกลับยืนกรานว่าสิ่งที่ทำให้ฮั่วสวี่ยอมศิโรราบนั้นล้วนเป็นเพราะเสน่ห์ของถังหลิ่น
กว่าที่เรื่องนี้จะซาลงก็ต้องรอจนถึงดึกดื่น เพราะด่านกำลังจะเปิดแล้ว
ไม่เหมือนกับคืนอื่นๆ ที่บรรยากาศเงียบเหงา เขตรวมพลในเวลานี้ล้วนแต่เซ็งแซ่ไปด้วยเสียงคน โถงใหญ่บริเวณชั้นหนึ่งเต็มไปด้วยศีรษะคนขยับไหว กลุ่มที่มีสมาชิกพร้อมจะเข้าไปทำเควสต์ฝ่าด่านไม่ค่อยมีความเคลื่อนไหวอะไรนัก พวกเขารวมกลุ่มตั้งทัพรอกันอยู่ที่ข้างประตูด่าน ขณะเดียวกันก็มีคนที่คิดจะรอดูสถานการณ์อยู่รอบนอกก่อนเดินวนเวียนไปมาอยู่ท่ามกลางฝูงชน คอยชำเลืองมองทางเข้าด่านเป็นพักๆ
สมาชิกกลุ่ม VIP เองก็ออกจากห้องมามองดูบรรยากาศคึกคักอยู่บนระเบียงทางเดินหน้าประตูห้องของตัวเอง
แก๊ง…แก๊ง…แก๊ง…
เสียงระฆังบอกเวลาดังมาจากนาฬิกายาวจรดพื้นบนโถงใหญ่ชั้นหนึ่งสิบสองครั้งถ้วน
เที่ยงคืนแล้ว
ประตูด่านไม่มีความเคลื่อนไหว
แรกๆ ทุกคนก็รู้สึกประหลาดใจ แต่ต่อมาพวกเขาก็เริ่มวิพากษ์วิจารณ์กันไปต่างๆ นานา กระทั่งฟ้าสางประตูด่านก็ยังคงไม่เปิด เขตรวมพลจึงปั่นป่วน
ในเวลาเดียวกันโซนพักผ่อนของผู้คุมด่านก็โกลาหลขึ้นเช่นกัน
ผู้คุมด่านที่ได้รับข่าวสารแต่ละคนต่างโมโหพลางวิ่งวุ่นไปทั่วไม่ต่างอะไรกับฝูงผีเสื้อ ส่งต่อข่าวสารที่ได้มาให้กับพรรคพวกที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรคนแล้วคนเล่า
“พวกนายได้ยินหรือยัง หยกเซียวสิบสามอันในเขตอบรมถูกขุดออกมาพร้อมกัน บีบให้เขตอบรมต้องปิดตัวลงตลอดกาล!”