everY
ทดลองอ่าน พ้นเที่ยงคืนกลืนมิติ เล่ม 5 บทที่ 157-158 #นิยายวาย
บทที่ 158
เปลี่ยนแปลง
ข่าวที่แพร่สะพัดไปทั่วโซนพักผ่อนของผู้คุมด่าน อันที่จริงก็เร็วไม่ต่างอะไรกับที่เขตรวมพลของบรรดาคนที่เข้ามาทำเควสต์ฝ่าด่าน เริ่มจากกลุ่มเล็กๆ ของผู้คุมด่านที่ไปประจำอยู่ที่ด่าน 4/10 ก่อนล่วงหน้าพวกนั้น หลังพบว่าไม่มีคนที่เข้ามาทำเควสต์ฝ่าด่านจากเขตรวมพลโผล่มาแม้แต่กลุ่มเดียว เดิมพวกเขาคิดว่าอาจเป็นเพราะคนพวกนั้นระวังตัวมากเกินไป ต่อมาถึงได้พบว่าที่แท้ประตูด่านก็ไม่ได้เปิด
หลังจากรออยู่ที่ด่าน 4/10 อยู่ชั่วโมงหนึ่งพวกเขาถึงได้รับคำสั่งจากเบื้องบนว่าให้กลับไปรอรับคำสั่งที่โซนพักผ่อน
ผู้คุมด่าน 4/10 ถูกบีบให้ต้องกลับมายังโซนพักผ่อน หลังจากนั้นก็ได้ยินพรรคพวกที่ไม่ยอมหลับยอมนอนกลุ่มหนึ่งกำลังกระจายข่าวลือบอกว่าที่เขตอบรมเหมือนจะเกิดเรื่องอะไรบางอย่างขึ้น
ในตอนนั้นพวกเขายังไม่นึกสนใจ
นั่นก็เพราะเขตอบรมเคยเกิดปัญหาขึ้นมาก่อน หยกเซียวของด่านด่านหนึ่งถูกคนที่เข้ามาทำเควสต์ฝ่าด่านทำลายลงโดยบังเอิญ ทำให้วันที่สองด่านดังกล่าวไม่อาจเปิดได้ตามปกติ ส่งผลต่อการตอบสนองต่อสิ่งเร้าของระบบเซียว ทำให้ด่านทั้งสิบที่อยู่ถัดมามีการยกระดับความยากขึ้น
ทว่าเพียงวันเดียวระบบเซียวก็สามารถซ่อมแซมหยกเซียวนั่นให้กลับมาเหมือนเดิมได้เป็นที่เรียบร้อย ด่านดังกล่าวกลับสู่สภาวะปกติ ถึงแม้ว่าการตอบสนองต่อสิ่งเร้าจะทำให้ระดับความยากของด่านทั้งสิบที่อยู่ถัดมายากขึ้นจนไม่อาจกลับไปเป็นเหมือนเดิมได้อีก ทว่าด่านก็ยังมีอีกส่วนที่ถูกควบคุมโดยผู้คุมด่าน ดังนั้นปัญหาจึงไม่ใหญ่โตอะไรนัก
ระบบที่มีการดำเนินการโดยอัตโนมัติมาเป็นระยะเวลานาน หากจะมีบั๊กเล็กๆ น้อยๆ เกิดขึ้นในเขตอบรมบ้างย่อมไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาดแต่อย่างใด ผนวกกับความสามารถในการลงมือแก้ไขข้อผิดพลาดอัตโนมัติของระบบเซียวกับความสามารถในการซ่อมแซมของมัน ทุกคนจึงรู้สึกว่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ก็น่าจะไม่ใช่ปัญหาใหญ่โตอะไรเช่นกัน
นึกไม่ถึงว่าครั้นถึงช่วงใกล้ฟ้าสางข่าวสารที่แน่ชัดก็ถูกส่งกลับมา หยกเซียวในเขตอบรมทั้งสิบสามถูกขุดออกมาทำลายพร้อมกันเมื่อคืนก่อน
โซนพักผ่อนในเวลานี้เต็มไปด้วยเสียงเอะอะโวยวายของผู้คุมด่าน
ตอนตีห้าครึ่งดีมอสที่มีนิสัยนอนดึกตื่นสายก็ถูกทำให้สะดุ้งตกใจตื่น หลังระเบิดอารมณ์เกรี้ยวกราดสั่งสอนพรรคพวกที่ใช้การติดต่อฉุกเฉินปลุกเขาขึ้นมาฟังข่าวลือเสร็จ เขาก็วิ่งตื๋อออกจากห้องไปเคาะประตูห้องของเทียร์เต็มแรง ท่าทางกระปรี้กระเปร่า
เทียร์ตาปรือยืนพิงวงกบประตู หลังฟังดีมอสเล่าข่าวลือใหญ่โตนั่นจบเขาก็ถามออกมาประโยคหนึ่ง “นายติดต่อฉุกเฉินมาก็ได้ไม่ใช่เหรอ ทำไมต้องวิ่งมาทุบประตูห้องฉันด้วย”
ดีมอสรู้สึกแค้นเคืองคล้ายไม่ได้รับความยุติธรรม “ติดต่อฉุกเฉินไม่ต่างอะไรกับนาฬิกาปลุก ฉันเกลียดนาฬิกาปลุกที่สุด แล้วจะใช้มันทำร้ายนายได้ยังไง”
เทียร์ “…”
เลยมาทุบประตูห้องชาวบ้านแทนเนี่ยนะ
“รีบเปลี่ยนเสื้อผ้าเร็วเข้า พวกเราไปโรงอาหารกัน” ดีมอสเอ่ยเร่ง
“กินข้าวตอนนี้?” เทียร์หาวแล้วนิ่งมองดูนาฬิกา เพิ่งจะตีห้าครึ่ง
“นายเคยเห็นฉันกินข้าวเช้าตั้งแต่เมื่อไหร่” ถึงดีมอสจะภาคภูมิใจต่อการเป็นนกเค้าแมวของตัวเองสุดๆ แต่ทันใดเขาก็ลดเสียงลง กระซิบกระซาบด้วยท่าทางลึกลับ “ไปโรงอาหาร มีเรื่องใหญ่”
โรงอาหารที่ตั้งอยู่ในโซนพักผ่อนนั้นนอกจากจะเป็นจุดที่คึกคักที่สุดแล้ว ยังเป็นศูนย์กลางของการรวบรวมและกระจายข่าวสารอีกด้วย
ความรู้สึกง่วงเหงาหาวนอนสุดท้ายของเทียร์มลายหายไปหมดสิ้น เขามองดูภาพพรรคพวกในชุดนอนสีดำสวมหมวกนอนมีพู่กลมๆ อยู่บนศีรษะตรงหน้าด้วยความรู้สึกอับจนหนทาง
คำว่า ‘เรื่องใหญ่’ ที่หลุดออกมาจากปากของคนคล้ายกำลังละเมอนั้นยากเกินกว่าที่จะเชื่อถือได้
เทียร์เปลี่ยนเสื้อผ้าและมุ่งหน้าไปยังโรงอาหารพร้อมกับดีมอสที่อยู่ในชุดนอน
ครั้นไปถึงที่นั่นพวกเขาก็พบว่าตัวเองสายแล้ว
ผู้คุมด่านหลายสิบคนที่ประจำการอยู่ในโซนพักผ่อนยามนี้รวมตัวกันอยู่ที่โรงอาหารแทบจะเรียกได้ว่าครบถ้วน แม้แต่ผู้คุมด่าน 4/10 ที่ไม่ควรอยู่ในโซนพักผ่อนก็ล้วนนั่งอยู่ตรงมุมหนึ่งของโรงอาหาร
ทุกคนกำลังถกเถียงกันถึงเรื่องอะไรบางอย่าง บ้างก็กระตือรือร้น บ้างก็วิตกกังวล เสียงดังจ้อกแจ้กจอแจ
แม้แต่เทียร์ที่จิตใจสงบนิ่งราวกับน้ำมาแต่ไหนแต่ไรก็ยังไม่วายอยากรู้ เขาหันหน้าไปถามดีมอส “ตกลงเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่”
ดีมอสที่อดทนอดกลั้นมาตลอดทางเพื่อรอให้เทียร์เอ่ยปากถามในที่สุดก็สมหวัง ความรู้สึกของคนประสบความสำเร็จเอ่อท้นอยู่ภายในใจ เขากระแอมออกมาคำหนึ่ง รอยยิ้มงดงามเบ่งบานอยู่บนใบหน้าหล่อเหลาทว่าซีดขาว “เขต…”
“เขตอบรมถูกปิดตายแล้ว!” จู่ๆ เงาร่างของใครบางคนก็กระโดดมาหยุดอยู่ตรงหน้าพวกเขาสองคน เส้นผมสีแดงราวกับเปลวไฟ ใบหน้าอ่อนเยาว์ “พวกนายคงยังไม่รู้สินะ หยกเซียวในเขตอบรมถูกทำลายหมดภายในคืนเดียว!”
“เพน!” ดีมอสเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน
ผู้คุมด่านเส้นผมสีทองกุมอกราวกับบาดเจ็บภายใน ความสุขสุดยอดถูกอีกฝ่ายช่วงชิงไปดื้อๆ
เทียร์สนใจเพียงรับฟังเรื่องราว เขาตะลึงมองไปทางเพนคล้ายต้องการขอคำยืนยันอีกครั้ง “นายพูดจริง?”
“จริงแท้แน่นอน” เพนชี้ไปยังกลุ่มผู้คุมด่าน 4/10 ที่อยู่มุมห้อง “ไม่เห็นพวกเขากลับมากันหรือไง วันนี้ประตูด่าน 4/10 ไม่ได้เปิด”
“เพน…” ในโรงอาหารมีคนมองเห็นพวกเขา อีกฝ่ายเอ่ยทักทายอย่างกระตือรือร้น
อันที่จริงเพนมองเห็นชายผมสีเงินรายนั้นอยู่นานแล้ว แต่เพราะไม่อยากสนใจเลยแกล้งทำเป็นไม่เห็น แต่สุดท้ายกลับไม่วายถูกอีกฝ่ายเรียกชื่อเข้าจนได้
เสียงกระแอมนั่นทำให้สายตาของคนทั้งโรงอาหารหันมาจับจ้องอยู่บนตัวพวกเขาสามคน
เพนที่ตกอยู่ในสถานการณ์ถูกบีบบังคับรู้สึกว่าแครอนจงใจทำแบบนั้น
ชายหนุ่มผมแดงฝืนเดินไปหาหนุ่มใหญ่ผมสีเงิน หย่อนก้นนั่งลงข้างอีกฝ่าย แม้แต่รอยยิ้มแบบขอไปทีก็ยังคร้านเกินกว่าจะมีให้
แครอนดันแก้วใส่นมร้อนให้อีกฝ่ายอย่างสุภาพ “สหายน้อย นายยังโกรธอยู่อีกงั้นเหรอ”
เพนถีบเก้าอี้อีกฝ่าย “ห้ามเรียกฉันสหายน้อย”
เทียร์กับดีมอสเองก็เดินตามเข้าไป หนึ่งเพราะทางนี้มีที่นั่งว่าง สองเพราะซีฟกับวิดาร์ที่ผลัดเวรเฝ้าด่าน 1/10 กับเทียร์ก็นั่งอยู่ที่โต๊ะข้างแครอน
วงสังคมของดีมอสกว้างขวาง เรียกได้ว่าแทบจะสามารถคุยกับผู้คุมด่านทั้งหมดได้สักสองสามประโยค ทว่าเทียร์ที่มีนิสัยชอบเก็บตัว นอกจากเพื่อนอย่างดีมอส ผู้คุมด่านสองคนนี้สำหรับเขาแล้วพอนับว่าคุ้นเคยได้อยู่
“แครอน นายไปทำอะไรให้ชาวบ้านโกรธอีกล่ะ” พอเดินเข้าไปใกล้เขาก็ได้ยินวิดาร์ยิ้มเอ่ยปากกระเซ้าถึงบรรยากาศตึงเครียดของโต๊ะข้างๆ
ในหมู่ผู้คุมด่านด้วยฐานะของคอสเซอร์* มืออาชีพ วิดาร์จึงแต่งตัวเป็นอัศวินในราชสำนักยุคกลางตลอดเวลา แต่เพราะรสนิยมการแต่งตัวของเขาปนเปผสมผสานอยู่กับรูปแบบละครเวที เพราะฉะนั้นถ้าไม่แดงจัดก็เขียวสด บ้างก็เหลืองสว่างบ้างก็ฟ้ากำมะหยี่ ทั้งยังต้องสวมหมวกพิธีการ รองเท้าบูตหนัง ตั้งแต่หัวจรดเท้าเรียกได้ว่าหรูหราอู้ฟู่สุดๆ
เพียงแต่ดีมอสนึกไม่ถึงว่าเช้าแบบนี้อีกฝ่ายยังมีเวลาแต่งเนื้อแต่งตัวแบบนั้น
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับการหยอกล้อของวิดาร์ แครอนก็ยกมือทั้งสองข้างขึ้นทำทีไม่รู้เรื่องรู้ราว “ฉันทำอะไรล้วนอยู่ในกรอบ ไม่ได้ทำอะไรเขาทั้งนั้น”
เพนหัวเราะหึๆ “ใช่ นายก็แค่เรื่องดีไม่นึกถึงฉัน พอเจอเรื่องยากเกินกว่าจะจัดการได้ก็มาชวนฉันให้ร่วมคุมด่าน”
“เฮอะ มันก็แค่ขั้นตอนการทำงานทั่วไปเท่านั้น” แครอนเผยรอยยิ้มกระอักกระอ่วนแต่ไม่เสียมารยาทออกมา “อีกอย่างเรื่องนี้ก็ผ่านไปเดือนหนึ่งแล้ว คนหนุ่มต้องรู้จักใจกว้าง”
“ยากเกินกว่าจะจัดการได้?” วิดาร์ขยับขนนกบนหมวกเล่น “ยากขนาดนั้นเชียว? ร้ายกาจกว่าพวกที่สามารถทำลายหยกเซียวทั้งสิบสามอันพร้อมกันในคราวเดียว?”
เพนไม่รู้ว่าควรจะอธิบายให้อีกฝ่ายฟังแบบไหนอย่างไร “ความยากลำบากที่ว่าไม่ได้เป็นเพราะศักยภาพของพวกเขา หากแต่เป็นจุดอื่นที่ยากจะอธิบาย…”
พอเห็นหัวข้อสนทนากำลังจะเบี่ยงเบนไปทางอื่น เทียร์ที่นิ่งฟังก็รู้สึกเหนื่อยใจ
เขาก็แค่ต้องการเข้าใจระบบสักหน่อยว่าแท้จริงแล้วเกิดอะไรขึ้นก็เท่านั้น…
“ครั้งนี้ไม่แคล้วต้องพัวพันถึงเขตทดสอบแน่” ซีฟที่นิ่งเงียบมาโดยตลอด มือข้างหนึ่งเท้าคางเอ่ยปากอย่างอ่อนโยน
“ถ้าเขตอบรมปิดตัวลงตลอดกาลจริง มันต้องได้รับผลกระทบแน่” เทียร์รับคำ “ถึงตอนนั้นนครใต้พิภพย่อมไม่มีคนใหม่เข้ามาอีก คนที่เข้ามาทำเควสต์ฝ่าด่านในเขตทดสอบทั้งหมดก็มีแต่จะยิ่งลดลง จนสุดท้ายก็ไม่มีใครสามารถผ่านด่านได้อีก”
“ไม่ใช่ถ้า แต่แน่นอนแล้วต่างหาก” วิดาร์ขยับเข้ามา “คนพวกนั้นทำลายหยกเซียวทั้งสิบสามอันไปแล้วจริงๆ ว่ากันว่าในช่วงสุดท้ายระบบเซียวได้เริ่มดำเนินการล้อมปราบผู้นำกลุ่มพวกนั้นแล้ว แต่ก็ไม่สำเร็จ”
“แน่นอนแล้ว?” ดีมอสขมวดคิ้ว หมวกนอนที่มีพู่ประดับอยู่ทางด้านบนเอียงอยู่เล็กๆ ปิดหน้าผากของเขาไปกว่าครึ่ง
เทียร์มองดูเขาด้วยสายตาประหลาดใจ “นายมาทุบประตูห้องฉันแต่เช้าก็เพื่อแบ่งปันข่าวสารไม่ใช่หรือไง แล้วทำไมตอนนี้ถึงกลับนึกสงสัย”
“ถ่ายทอดข่าวก็เรื่องหนึ่ง เชื่อหรือไม่ก็อีกเรื่องหนึ่ง” ดีมอสก็มีเหตุผลของตัวเอง “เมื่อกี้ระหว่างทางฉันคิดอยู่ครู่หนึ่ง รู้สึกว่าเรื่องนี้ไม่น่าจะเป็นไปได้ พวกเขารู้ได้ยังไงว่าหยกเซียวเป็นต้นกำเนิดพลังงาน แล้วทำไมถึงขุดหยกเซียวทั้งสิบสามออกมาในคืนเดียวกัน ความเป็นไปได้มันแทบจะเรียกได้ว่าเป็นศูนย์”
ซีฟผินหน้ามา เอ่ยตอบน้ำเสียงราบเรียบ “พวกเขาจัดกลุ่มสิบสามกลุ่ม บุกเข้าไปในด่านทั้งสิบสามภายในคืนเดียวกัน ส่วนพวกเขารู้ได้ยังไงว่าหยกเซียวเป็นแหล่งพลังงาน แล้วรู้ถึงตำแหน่งของหยกเซียวได้ยังไง เรื่องนี้พวกเขาเหมือนจะใช้ประโยชน์จากบั๊กของระบบ”
“ฉันเคยบอกแล้วว่าระบบปฏิบัติการอัตโนมัติของเขตอบรมทำงานมาหลายปีแล้ว อันที่จริงน่าจะส่งคนไปดูแลบำรุงรักษาระบบตั้งนานแล้ว” แครอนอาศัยว่าตัวเองอายุมากทำตัวเป็นผู้อาวุโสเอ่ยตำหนิติติงย้อนหลัง
“จะว่าไปก็แปลก” เพนขยับเก้าอี้หันมา “เรื่องเกิดขึ้นเมื่อวาน ทำไมวันนี้ถึงเพิ่งส่งข่าว”
“ได้ยินว่าแรกๆ พวกเขาส่งคนไปดูก่อน” วิดาร์ขัดดาบสลักลายซับซ้อนของตัวเองพลางพูด “ทั้งลงมือซ่อมแซมระบบ ทั้งจัดหาพลังงานสำรอง…วิธีการอะไรที่พอใช้ได้พวกเขาล้วนหยิบออกมาใช้จนหมด ทว่าทดลองมาจนถึงวันนี้ประตูด่านทางด้านนั้นก็ยังคงไม่เปิด เพราะปิดบังไม่อยู่ถึงได้ยอมเปิดปากบอก”
“เทียร์ นายกำลังคิดอะไรอยู่” ซีฟพบว่าพรรคพวกของเขารายนี้เอาแต่นิ่งเงียบไม่พูดไม่จา
“ฉันกำลังคิดว่ากลุ่มผู้นำที่พวกนายพูดถึงเมื่อครู่” เทียร์นิ่งมองดูแก้วบนโต๊ะราวกับสามารถมองทะลุผ่านมันจนเห็นการทำสงครามแบบหลังชนฝายากจะจินตนาการนั่นได้ “ต่อให้ใช้ประโยชน์จากบั๊กของระบบ เรื่องที่พวกเขาจะสามารถหากลุ่มคนมากมายที่ยินดีให้ความร่วมมือ แถมยังสามารถปฏิบัติการได้สำเร็จนั้น…ออกจะเหลือเชื่อจริงๆ”
“ตอนนี้ล้วนแต่ ‘ได้ยินว่า’ ‘ว่ากันว่า’ เบื้องบนยังไม่ได้แจ้งข่าวสารชัดเจนอะไรลงมา เพราะฉะนั้นอย่าเพิ่งด่วนสรุปจะดีกว่า” ดีมอสจัดหมวกนอนบนศีรษะ ยังคงเชื่อมั่นในระบบเซียว
ซีฟยิ้มหวาน “ประสบการณ์จำนวนนับไม่ถ้วนบอกกับพวกเรา เรื่องเรื่องหนึ่งหากลือไปลือมา ลือจนกระทั่งใจคนหวั่นไหว ยังไม่ทันที่ทางเบื้องบนจะออกมาแก้ข่าว มันมีหวังได้กลายเป็นเรื่องจริงไปแล้ว”
ถึงดีมอสจะไม่ชอบถูกคนขัดคอ ทว่าก่อนหน้านี้ไม่นานซีฟเพิ่งถูกคนตัดผมไปส่วนหนึ่ง ทำให้ต้องตัดผมสีทองยาวจรดเอวทิ้งเหลือแค่ไหล่ ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจไม่เอ่ยปากตอบโต้อะไร
เพลิงแค้นของหญิงสาวน่ากลัวสุดๆ ต่อให้เป็นแค่การระบายความโกรธแค้นไปลงที่คนอื่นก็ตาม
“อา ใช่แล้ว” ซีฟผินหน้า ถักเส้นผมจนกลายเป็นเปียสั้นๆ เอ่ยถามคล้ายไม่ใส่ใจ “ไป๋ลู่เสียไปถึงด่านไหนแล้ว”
“…” เทียร์ วิดาร์ ดีมอส แครอน และเพนต่างหนาวสะท้านไปทั้งร่าง
อย่าได้เชื่อคำว่า ‘ไม่ใส่ใจ’ ของผู้หญิงเด็ดขาด
ซีฟไม่ทันได้รับคำตอบที่ต้องการ เพราะหนึ่งวินาทีหลังจากนั้นเสียงประกาศแจ้งเตือนเคร่งขรึมจริงจังก็ดังก้องอยู่ภายในหูของผู้คุมด่านทุกคน
“ผู้คุมด่านทุกคนตั้งใจฟังให้ดี อีกหนึ่งชั่วโมงหลังจากนี้ขอให้ทุกคนไปรวมตัวกันที่ห้องประชุม ห้ามลาและต้องเข้าร่วมประชุมให้ตรงเวลาด้วย ผู้ที่ฝ่าฝืนจะต้องรับโทษหนัก”
ไม่ใช่รอบเดียว หากแต่ประกาศซ้ำถึงสามรอบ คล้ายเกรงว่าพวกเขาจะได้ยินไม่ชัด จำได้ไม่แม่น
มีก็แต่บุคลากรชั้นสูงแวะมาเปิดประชุมเท่านั้นถึงมีการต้อนรับเช่นนี้
การประกาศเรียกประชุมนี้ก่อให้เกิดการคาดเดาไปต่างๆ นานา อีกทั้งยังทำให้ผู้คุมด่านที่ยังคงรู้สึกสงสัยอย่างดีมอสเชื่อว่าต้องเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นแล้วจริงๆ
หนึ่งชั่วโมงถัดมาที่ห้องประชุม
ที่ปรากฏต่อสายตาของผู้คุมด่านทั้งหมดไม่ใช่บุคลากรชั้นสูงที่เดินทางมาด้วยตัวเอง หากแต่เป็นภาพบุคลากรชั้นสูงบนหน้าจอ
“ลำบากทุกคนแล้ว” ชายบนหน้าจอแต่งกายอย่างเป็นทางการ สีหน้าอ่อนโยน ท่าทีที่อีกฝ่ายแสดงออกมานั้นเชื่อว่าต่อให้เจ้าตัวมาเองก็ไม่มีทางกลับกลายเป็นยโสอะไรได้ “เชื่อว่าทุกคนคงรู้แล้ว ประตูทางเข้าด่าน 4/10 ของเขตทดสอบไม่ได้เปิดตามปกติ จากการทดสอบพวกเราพบว่าระบบเซียวของเขตอบรมเกิดอุปสรรคขึ้น จึงส่งผลกระทบต่อเนื่องมาถึงการดำเนินการของเขตทดสอบ…
ทุกคนต่างรู้ดี พวกเราที่นี่ก่อตั้งขึ้นนานแล้ว และระบบเซียวก็ได้หยุดทำการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงมาตั้งแต่เมื่อหลายปีก่อน ซึ่งนั้นก็หมายความว่าตลอดระยะเวลาที่ผ่านมานี้พวกเราใช้ระบบเก่ามาโดยตลอด รูปแบบการอบรมทดสอบหรือก็เหมือนเดิมไม่เคยเปลี่ยน เรื่องที่เกิดขึ้นในเขตอบรมครั้งนี้ได้มอบโอกาสให้พวกเราได้ตัดสินใจ…
นับแต่วันนี้เป็นต้นไป เขตอบรมจะปิดตัวลงอย่างเป็นทางการ”
บรรยากาศเงียบสงัด
ความรู้สึกกระอักกระอ่วนที่เข้าใจกันได้โดยไม่ต้องเอ่ยลอยละล่องวนเวียนอยู่ในอากาศ
สามารถเปลี่ยนคำว่า ‘ถูกบีบให้ต้องปิด’ มาเป็น ‘การตัดสินใจเอง’ นับว่าทักษะการพูดของอีกฝ่ายสูงส่งอยู่ไม่น้อย
“การปิดเขตอบรมย่อมเป็นอุปสรรคต่อการดำเนินงานของเขตทดสอบ” แม้ต้องเผชิญหน้ากับความเงียบงันชั่วขณะ ทว่าคนที่อยู่บนหน้าจอกลับยังคงสงบนิ่ง อารมณ์และจังหวะจะโคนในการพูดล้วนไม่ได้รับผลกระทบใดๆ “ก่อนหน้านี้ฉันเองก็บอกไปแล้วว่าวิธีการของพวกเราที่นี่เก่าเกินไป ในเมื่อเขตอบรมปิดตัวลง เขตทดสอบอันที่จริงก็ควรถอยออกจากเวทีประวัติศาสตร์ไปด้วยเช่นกัน…”
ทันทีที่คำพูดนี้หลุดออกจากปาก ห้องประชุมที่เงียบงันอยู่แต่เดิมก็เต็มไปด้วยเสียงฮือฮา
หรือจะบอกว่าเขตทดสอบก็ต้องปิดตัวลงด้วย?
“อย่าเข้าใจผิด” คนที่อยู่บนหน้าจอยิ้ม มองผู้คุมด่านทั้งหมดที่อยู่ในห้องประชุมคล้ายมองดูฝูงมดงานที่กำลังวิ่งวุ่น “เขตทดสอบจะไม่ปิดตัว เพียงแต่ลักษณะการทดสอบไม่เหมาะกับยุคสมัย พวกเราหวังว่าจะสามารถทำให้พวกหนอนแมลงที่เหลือพวกนั้นแสดงราคาค่าตัวสูงสุดของตัวเองออกมา ดังนั้นนับแต่วันนี้เป็นต้นไปเขตทดสอบจะเปลี่ยนเป็นพื้นที่เพื่อความบันเทิงอย่างเป็นทางการ ด่านทุกด่านจะไม่มีผู้คุมด่านอีก แต่จะเปิดสู่ภายนอก ในอนาคตข้างหน้าจะมีแขกผู้มีเกียรติกลุ่มใหญ่เข้ามาที่นี่…
งานหลักของทุกคนจะเปลี่ยนจากการทดสอบหนอนแมลงพวกนั้นไปเป็นการให้บริการลูกค้า ฉันเชื่อว่าอาศัยความเข้าใจของพวกนายที่มีต่อด่าน ต้องสามารถทำงานนี้ได้อย่างไม่มีขาดตกบกพร่อง…
เพื่อให้ทุกคนสามารถปรับตัวกับการเปลี่ยนแปลงได้ดียิ่งขึ้น อีกสักครู่จะมีเจ้าหน้าที่กลุ่มใหม่เข้าไปประจำอยู่ตามด่านต่างๆ พวกเขามีไอเดียใหม่ๆ ส่วนพวกนายก็มีประสบการณ์ หวังว่าพวกนายจะร่วมมือกันได้เป็นอย่างดี ช่วยกันเปลี่ยนที่นี่ให้กลายเป็นแดนสวรรค์แห่งความบันเทิงอย่างสุดกำลัง”
เจ้าหน้าที่ใหม่?
ผู้คุมด่านแต่ละคนต่างมองหน้ากันไปมา ในท้องเต็มไปด้วยถ้อยคำกระแหนะกระแหน พูดกันตรงๆ ก็คือต้องการเอาคนใหม่มาโละคนเก่าอย่างพวกเขาทิ้งมากกว่า
“ขอถาม…”
นับจนถึงตอนนี้นี่เป็นครั้งแรกที่มีคนส่งเสียง
เสียงกระซิบกระซาบทั้งหลายหยุดลงทันที บรรยากาศในห้องประชุมกลับกลายเป็นเงียบสงัดอีกครั้ง
สายตาของผู้คุมด่านทั้งหมดล้วนเคลื่อนไปจับจ้องอยู่บนตัวคนคนหนึ่ง เทียร์แห่งด่าน 1/10
คนที่อยู่บนหน้าจอเองก็รู้สึกประหลาดใจเช่นกัน แต่เพียงไม่นานเขาก็ยิ้มอ่อนโยน “มีข้อสงสัยอะไรก็ว่ามา”
“ก็ไม่เชิงสงสัย แค่อยากถามให้กระจ่างก็เท่านั้น” เทียร์เงยหน้ามองอีกฝ่าย “บริการด้านความบันเทิงที่พวกเราต้องมอบให้ ‘แขกในอนาคต’ พวกนั้นคืออะไร”
“ฉันมันแก่แล้วจริงๆ พูดอะไรออกไปล้วนไม่ชัดเจน” คนที่อยู่บนหน้าจอระเบิดเสียงหัวเราะ หางตาเต็มไปด้วยริ้วรอยยับย่น ทว่านัยน์ตากลับเย็นเยียบอำมหิต “พูดง่ายๆ ก็แล้วกัน แขกจะเข้ามาแทนที่ผู้คุมด่าน ดำเนินการเฝ้าด่าน ส่วนการเล่นก็ยังคงเป็นด่านที่ระบบเซียวกำหนดไว้ แตกต่างเพียงเรื่องขอบเขตที่จำกัดนั้น แต่ก่อนพวกนายจำเป็นต้องรักษากฎอย่างเคร่งครัด ทว่าพวกเขาไม่ต้อง ไม่ว่าระบบเซียวจะกำหนดอะไรแบบไหนไว้ พวกเขาต้องการเล่นยังไงล้วนแต่ทำตามอำเภอใจได้…”
รอยยิ้มจางหาย สายตาอ่อนโยนของคนคนนั้นเคลื่อนทะลุผ่านหน้าจอมาหยุดนิ่งอยู่บนร่างของเทียร์ “ตอนนี้เข้าใจแล้วใช่ไหม”
ดีมอสเองก็จ้องดูเขาด้วยสายตาเคลือบแคลงสงสัยเช่นกัน
เทียร์ไม่ใช่คนเรื่องมาก อย่าว่าแต่อีกฝ่ายก่อนหน้านี้พูดกระจ่างชัดแล้วเลย ต่อให้ไม่เข้าใจจริงๆ ด้วยนิสัยของเทียร์ อีกฝ่ายไม่มีทางเอ่ยปากถามต่อหน้าชาวบ้านแน่
“เข้าใจแล้ว” หลังนิ่งเงียบอยู่พักหนึ่งเทียร์ก็หลุบตาลงพร้อมตอบรับ
เขาเก็บอารมณ์ลึกเข้าไปในดวงตา ดีมอสไม่อาจเห็นชัด
หลังจากเรื่องที่ประตูด่านไม่ได้เปิดตามกำหนดผ่านไปครบหนึ่งสัปดาห์ ก็มีคนที่เข้ามาทำเควสต์ฝ่าด่านที่กลับไปยังโลกแห่งความเป็นจริงรายหนึ่งนำข่าวเรื่องที่ด่านทั้งสิบสามก่อนหน้าพวกนั้นถูกปิดตายตลอดกาลกลับมายังเขตรวมพล 3/10
คนคนนั้นได้ยินข่าวมาจากคนที่เข้ามาทำเควสต์ฝ่าด่านที่เคยรู้จักกันมาก่อน อีกฝ่ายใช้ชีวิตอยู่ในด่านก่อนหน้านี้มาโดยตลอด ตอนพวกเขาสองคนพบหน้ากัน เพราะด่านทั้งสิบสามถูกปิดตายคนคนนั้นจึงถูกบีบให้กลับไปใช้ชีวิตตามปกติ แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่รู้ว่าเรื่องนี้ใครเป็นคนทำ รู้ก็แต่เป็นฝีมือของคนกลุ่มหนึ่ง คืนวันนั้นเขาเองก็พบเจอกลุ่มคนประหลาดกลุ่มหนึ่ง คนพวกนั้นไม่ทำเควสต์ฝ่าด่าน แต่กลับคล้ายค้นหาอะไรบางอย่างไปทั่วทั้งด่าน ตอนนี้พอย้อนคิดดูที่คนพวกนั้นทุ่มเททำแบบนั้นคงเพื่อการนี้
ข่าวนี้ทำเอาเขตรวมพลปั่นป่วนขึ้นอีกเป็นครั้งที่สอง
ทว่าครั้งนี้กลับทำให้คนส่วนใหญ่ถึงกับตีอกชกหัว แทบจะกระอักเลือด
ถ้าฉันยังอยู่ในสิบสามด่านแรก ถ้าฉันไม่ได้กระตือรือร้นที่จะทำเควสต์ฝ่าด่าน ป่านนี้ก็คงสบายไปแล้ว!
ทันทีที่ความคิดนี้แพร่สะพัดไป มันก็ไม่ต่างอะไรกับพิษร้าย ลากเอาคนจำนวนมากเหล่านั้นลงไปยังหลุมลึกไร้ก้นอย่างรวดเร็ว สีหน้าท่าทีตอบสนองต่างๆ ล้วนถูกซัดจนพังพินาศ
ดังนั้นสองสามวันหลังจากนั้นเมฆหมอกแห่งความหม่นหมองก็ปกคลุมไปทั่วเขตรวมพล ทุกหนแห่งล้วนมีแต่คนที่ในใจอัดแน่นไปด้วยความรู้สึกชิงชัง นึกอยากเอาหัวโขกกำแพงให้รู้แล้วรู้รอด
แต่โชคดีที่กลุ่ม VIP ไม่ได้เป็นแบบนั้น
ที่บอกว่าโชคดีนั่นก็เพราะพวกเขาเชื่อว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวอะไรกับสภาพจิตใจอันเด็ดเดี่ยว ปณิธานอันแน่วแน่ รวมถึงความเชื่อต่างๆ เลยแม้แต่น้อย เรื่องราวทั้งหมดนี้เป็นเพราะโชคชะตาล้วนๆ…
ฉงเยวี่ยเพราะโชคร้ายมาทั้งชีวิต ดังนั้นการที่เรื่องนี้มาไม่ถึงมือตัวเอง เขาจึงไม่ได้รู้สึกรู้สาอะไร อันที่จริงต้องบอกว่าเขาคุ้นชินกับเรื่องแบบนี้แล้วด้วยซ้ำ ตรงกันข้ามหากมันมาถึงมือเขาจริงๆ นั่นต่างหากที่จะทำให้เขากระวนกระวาย เหมือนได้ลาภลอยแต่ในใจกลับนึกหวั่น กลัวอยู่ตลอดเวลาว่าอาจต้องชดใช้ด้วยอะไรบางอย่าง
หนานเกอเข้ามาที่นครใต้พิภพตั้งแต่เมื่อสิบปีก่อน ไม่ว่าจะประวิงเวลาสักขนาดไหนก็ไม่มีทางรอจนถึงเวลานี้ได้
เจิ้งลั่วจู๋ต้องการหาตัวซือฟางเจ๋อ แล้วมีหรือที่เขาจะยอมอยู่ที่ด่านก่อนหน้านี้พวกนั้น
ฟั่นเพ่ยหยางยิ่งไม่ต้องพูดถึง ไม่ฝ่าด่านสิบสามด่านแรกเขาย่อมไม่อาจเข้าสู่ห้องอธิษฐาน ไม่เข้าห้องอธิษฐานก็ช่วยถังหลิ่นไม่ได้ หากมีใครกล้าฉุดรั้งเขาไว้ที่สิบสามด่านแรก ประธานฟั่นย่อมต้องลงมือสั่งสอนคนคนนั้นให้ได้รู้ว่าเป็นคนต้องทำตัวแบบไหนอย่างไร
ส่วนถังหลิ่นเขาไม่มีโอกาสแม้แต่จะนึกเสียใจ เพราะเขาไม่เคยผ่านด่านทั้งสิบสามพวกนั้นมาก่อน
ฮั่วสวี่เป็นสมาชิกกลุ่ม VIP เพียงหนึ่งเดียวที่ความคิดอ่านแปลกประหลาดยากจะเข้าใจ
ตอนได้ยินข่าวดังกล่าวทุกคนกำลังปรับตัวเข้าหากันอยู่ในห้องฝึกซ้อม หลังฟังจบคำถามประโยคแรกที่เขาถามออกมาคือ “เรื่องนี้เกี่ยวอะไรกับพวกเราด้วย”
แน่นอนว่าต้องเกี่ยว
ถึงพวกเขาจะตอบรับการช่วยเหลือที่เกิดขึ้นนั้นไม่ทัน แต่อย่างน้อยก็ควรรู้ว่ามันเกิดขึ้นได้เช่นไร ไม่แน่ว่าการช่วยเหลือเช่นนี้อาจมาถึงสิบด่านหลังนี้ด้วยก็เป็นได้
“พวกเราต้องกลับไปสักครั้ง” หลังการฝึกซ้อมประจำวันสิ้นสุดถังหลิ่นกับฟั่นเพ่ยหยางก็ตัดสินใจ
ฉงเยวี่ย “กลับไปตอนนี้?”
“พวกเราอยากกลับไปพูดคุยกับคนจากด่านทั้งสิบสามพวกนั้นให้กระจ่างว่าพวกเขาทำมันได้ยังไง บางทีอาจมีประโยชน์กับพวกเรา” ถังหลิ่นบอก “ต่อให้ไม่สามารถปิดที่นี่ได้ด้วยวิธีการเดียวกัน อย่างน้อยก็คงพอเข้าใจความลับของโลกใบนี้ได้มากขึ้น”
หนานเกอบอก “แต่ตอนนี้ยังไม่รู้ชัดว่าคนพวกนั้นเป็นใคร แล้วคุณจะไปหาพวกเขาได้ยังไง”
“คุณฝาน!” เจิ้งลั่วจู๋นึกอะไรขึ้นได้บางอย่าง เขาบอกกับฟั่นเพ่ยหยาง “เจ้านาย ตอนคุณฝานขายข้อมูลเรื่องห้องอธิษฐานให้เรา เขาเคยบอกไม่ใช่เหรอว่าถ้าทิ้งสิทธิ์อธิษฐานเข้ามาทำเควสต์ที่สิบด่านหลังแล้ว จะสามารถใช้บั๊กเรียก ‘เซียว’ อีกอันได้ และมีโอกาสปิดด่านทั้งสิบสามด่านแรกก่อนหน้านี้ เป็นไปได้หรือเปล่าว่าคนพวกนั้นก็ซื้อข่าวสารนี้เหมือนกัน”
คำพูดถูกสมาชิกกลุ่มแย่งตอบไปแล้ว ถังหลิ่นได้แต่พยักหน้า เลี่ยงไม่ไปทำลายความกระตือรือร้นของพรรคพวก
อันที่จริงตอนเขากับฟั่นเพ่ยหยางปรึกษากัน พวกเขาก็ตกลงที่จะไปหาคุณฝานที่เจิ้งลั่วจู๋พูดถึงอยู่ก่อนแล้ว
* คอสเซอร์ (coser) หรือคอสเพลเยอร์ (Cosplayer) เป็นศัพท์สากลในหมู่คนที่ชอบและสนใจในคอสเพลย์ ซึ่งหมายถึงบุคคลที่มีความชื่นชอบในการแต่งกายเลียนแบบตัวละครต่างๆ
ติดตามเรื่องราวทั้งหมดได้ใน พ้นเที่ยงคืนกลืนมิติ เล่ม 5
วางจำหน่ายแบบรูปเล่มที่เว็บไซต์ Jamsai Store, ร้าน Jamclub
และร้านหนังสือทั่วไป
รวมถึงในรูปแบบอีบุ๊กที่
Meb / OOKBEE / Fictionlog / Naiin App / SE-ED / Hytexts / comico และ ARN