everY
ทดลองอ่าน พ้นเที่ยงคืนกลืนมิติ เล่ม 1 บทที่ 2 #นิยายวาย
ทดลองอ่าน เรื่อง พ้นเที่ยงคืนกลืนมิติ เล่ม 1
ผู้เขียน : เหยียนเหลียงอวี่
แปลโดย : สนสราญ
ผลงานเรื่อง : พ้นเที่ยงคืนกลืนมิติ
ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน
จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว
หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย
– – – – – – – – – – – – – – – – –
Trigger Warning
เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับความรุนแรง
การทำร้ายทางร่างกายและจิตใจ การตาย การฆาตกรรม
การบังคับหรือโน้มน้าวให้ทำบางอย่างโดยไม่เต็มใจ
การกักขังหน่วงเหนี่ยว การทรมาน การบูลลี่
การกล่าวถึงเลือด สภาพศพ และสถานการณ์อันน่าขยะแขยง
สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป
โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
** หมายเหตุ: ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **
– – – – – – – – – – – – – – – – –
บทที่ 2
ลิฟต์มรณะ 2
“เอ๋ คราวนี้มีสหายพิเศษคนหนึ่งด้วย”
จู่ๆ เสียงสังเคราะห์เย้าหยอกนั่นก็ดังขึ้น น้ำเสียงแฝงความรู้สึกสงสัยไม่มั่นใจ
“ถังหลิ่น สติปัญญา ไม่ทราบ กำลังกาย ไม่ทราบ ความสามารถในการโจมตี ไม่ทราบ ความสามารถในการตั้งรับป้องกัน ไม่ทราบ ระดับความอันตรายโดยรวม ไม่ทราบ แปลกจริงๆ ทำไมถึงหาข้อมูลเลเวลไม่พบ”
นกเค้าแมวเกิดอาการชะงักค้าง ฟั่นเพ่ยหยางสีหน้าเรียบเฉย ส่วนเจิ้งลั่วจู๋พอฟังมาถึงตรงนี้เขาก็พอเข้าใจถึงวิธีการกำหนดระดับได้คร่าวๆ ทว่าเก่อซาผิง จางเฉวียน อวี้เฟย และหลี่จั่นกลับมองไปทางชายร่างสูงคนนั้นพร้อมกับสายตาที่แฝงไว้ซึ่งความกระหายใคร่รู้
คนในลิฟต์จะมากจะน้อยอย่างไรก็พอรู้จักกันอยู่บ้าง มีแต่ถังหลิ่นคนนี้เท่านั้นที่ไม่ว่าใครก็ไม่เคยพบเห็นมาก่อน
คนคนนี้นิ่งเงียบมาตลอด ยืนคู่กับฟั่นเพ่ยหยางอยู่ด้านในสุดของลิฟต์ ขายาวเหมือนกัน สวมเสื้อโค้ตเหมือนกัน คนที่ไม่รู้อาจคิดว่าพวกเขาสองคนมาเดินแบบ
แต่ที่ต่างจากท่าทีเย็นชาของฟั่นเพ่ยหยางอย่างสิ้นเชิงคือถังหลิ่นหน้าตาหล่อเหลาอ่อนโยน ชวนให้คนรู้สึกสบายตา ถึงจะไม่ยิ้มแต่ก็แลดูอ่อนโยนสุขสงบ
เหมือนไม่รับรู้ถึงสายตาของผู้คนที่อยู่รายรอบ ถังหลิ่นเงยหน้าขึ้นน้อยๆ ถามนกเค้าแมว “ต้องมีค่าบอกระดับด้วย? บอกออกมาตรงๆ ไม่ได้?”
หัวกลมๆ ของนกเค้าแมวเอียงไปเอียงมา สับสนอย่างยิ่งยวด สุดท้ายมันก็กลิ้งไปกลิ้งมา กลิ้งมาแล้วก็กลิ้งไปอยู่บนหน้าจอ คล้ายต้องการสลัดความคิดอะไรบางอย่างออกไป
ถังหลิ่นอดทนรอ สายตาวาดหวังปรากฏขึ้นโดยที่เขาเองก็ไม่รู้ตัว
ทุกคนต่างรู้สึกว่านกเค้าแมวนั่นแลดูน่าสงสารอย่างบอกไม่ถูก
ในตอนนั้นเองจู่ๆ สายสลิงก็ชะงักค้างขึ้นมาอีก คราวนี้เหมือนจะหนักกว่าคราวที่แล้ว ลิฟต์กระตุกดังตึงทีหนึ่งก่อนจะส่ายไหวรุนแรง
ถึงจะมีประสบการณ์มาก่อนหน้าแต่ถึงอย่างนั้นทุกคนก็ยังคงรับมือกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกะทันหันนี้ไม่ทัน
เนื่องจากรักษาสมดุลไม่อยู่ร่างของเก่อซาผิงจึงเซถลาไปทางด้านหน้า ลากเอาเจิ้งลั่วจู๋ที่อยู่ข้างๆ เกือบล้มตามไปด้วย กว่าเจิ้งลั่วจู๋จะยันผนังลิฟต์ประคองตัวได้สำเร็จก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ร่างของเก่อซาผิงทาบทับลงบนตัวจางเฉวียนเต็มๆ เล่นเอาใบหน้าของจางเฉวียนที่แนบติดอยู่กับประตูลิฟต์แทบบิดเบี้ยวผิดรูปผิดร่าง
“เก่อซาผิง” จางเฉวียนทั้งกระเซอะกระเซิงทั้งโมโห
ลิฟต์ยังคงสั่น แม้จะผ่านไปนานแต่เก่อซาผิงก็ยังไม่อาจเหยียดร่างให้ยืนตรงได้ ทำให้เขาโมโหขึ้นมา “ไอ้ลิฟต์เฮงซวยนี่อายุกี่ปีแล้วเนี่ย!”
เขาคำรามเสียงดังใส่พื้นที่ปิดตายแคบเล็กนี้อย่างเต็มกำลัง ไม่ต่างอะไรกับเสียงฟ้าร้อง ทำเอาลิฟต์ถึงกับสั่นสะเทือน เสียงสะท้อนก้องดัง
ทุกคนไม่เพียงจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว หนำซ้ำยังต้องมาเจอกับเสียงทำลายโสตประสาทเข้าให้อีก ขณะกำลังรู้สึกเจ็บปวดยากลำบากสุดขีด จู่ๆ ไฟในลิฟต์ก็ดับลง
ไฟเพดาน ปุ่มกดชั้น แสงจากจอมอนิเตอร์ ทั้งหมดล้วนดับลง พื้นที่คับแคบจู่ๆ ก็ราวกับจมอยู่กลางน้ำหมึก ทุกอย่างมืดสนิท
ลิฟต์ส่ายไหวหนักกว่าเดิม เหมือนมีมือขนาดใหญ่จับสายสลิงไว้แล้วออกแรงเขย่ามันเต็มแรง ลิฟต์มืดมิดโคลงเคลง สถานการณ์สับสนอลหม่านไปหมด
“เกิดอะไรขึ้น”
“เชี่ย ใครชนกูวะ”
“ใครทับอยู่บนตัวกูเนี่ย”
“เก่อซาผิง เอาแขนเบ้อเริ่มเทิ่มของนายออกไปจากตัวฉันเดี๋ยวนี้”
“FUCK!”
“รอเดี๋ยว ทุกคนได้กลิ่นอะไรกันหรือเปล่า”
เสียงสั่นสะท้านเล็กๆ ของหลี่จั่นยุติเสียงจ้อกแจ้กจอแจสับสนวุ่นวายลง
ท่ามกลางความมืดมิดทุกคนค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสงบนิ่ง ในความเงียบงันคล้ายมีอะไรบางอย่างผสมผสานเข้าคู่อยู่กับพวกเขา แม้แต่ลิฟต์ก็ยังหยุดส่ายไหว
“เหมือนจะเป็น…เลือด”
กลิ่นคาวเลือดเข้มข้นลอยปะทะใบหน้า อบอวลอยู่ในความมืดมิดเงียบงันไร้สิ้นสุด
จู่ๆ แสงไฟสีขาวก็สว่างไสวขึ้นมาอีกครั้ง
ท่ามกลางความสับสนอลหม่านเมื่อครู่ทำให้ตำแหน่งของทุกคนขยับ แสงไฟเจิดจ้าจนคนลืมตาแทบไม่ขึ้น ทว่าเพราะพื้นที่ในลิฟต์เล็กมาก ไม่จำเป็นต้องมีสายตาดีเยี่ยมก็สามารถมองเห็นหมอกเลือดกลุ่มนั้นได้ถนัดตา
เก่อซาผิงหมอบติดอยู่กับประตูลิฟต์ บาดแผลปรากฏอยู่ที่หลังคอ น่าจะถูกอะไรบางอย่างเสียบทะลุจากทางด้านหลัง แต่อาวุธถูกชักออกไปแล้ว เลือดที่ฉีดพ่นออกมาจากเส้นเลือดที่ฉีกขาดอาบประตูลิฟต์แดงฉานไปกว่าครึ่ง รวมถึงเสื้อโค้ตสีน้ำตาลของถังหลิ่น
เขาอยู่ห่างจากเก่อซาผิงน้อยที่สุด เสื้อโค้ตจึงถูกย้อมจนแทบจะกลายเป็นสีแดง แต่ใบหน้าของเขากลับยังคงสะอาดสะอ้าน มีเพียงหยดเลือดเล็กๆ หยดหนึ่งที่เปื้อนอยู่ใต้ตา ขับดุนอยู่บนผิวขาวละเอียดแลดูไม่ต่างอะไรกับไฝน้ำตาสีแดง
ในมือเขาไม่มีอาวุธ
ไม่ว่าในมือใครก็ล้วนแต่ไม่มี
ทว่าที่แน่ๆ คือเก่อซาผิงตายแล้ว
ทุกคนต่างสูดอากาศเย็นๆ เข้าปอด ต่างรู้สึกตื่นตระหนก งงงัน ไม่อยากนึกเชื่อ นอกจากนี้ยังมีความรู้สึกหวาดผวาตามมาติดๆ
หลี่จั่นขาอ่อน ทรุดร่างอ่อนปวกเปียกอยู่กับผนังลิฟต์เอ่ยเสียงสั่น “เป็นไปไม่ได้ ทำไมจู่ๆ ถึงมีคนตาย”
“ใครเป็นคนทำกันแน่” จู่ๆ จางเฉวียนก็ชักมีดสั้นออกมา วาดเหวี่ยงตวาดเสียงใส่ทุกคน สองตาเบิกโพลง
ทุกคนต่างพากันหลบหลีก อวี้เฟยกัดฟันตวาดใส่อีกฝ่ายกลับ “นายแม่งเป็นโจรร้องให้จับโจร* สินะ!”
“เชี่ย ใส่ความกันชัดๆ มีดนี่ยังใหม่ไม่เคยใช้มาก่อน” จางเฉวียนตวาดสุดเสียงด้วยเสียงแตกพร่า
หลี่จั่นฝืนลุกขึ้นยืน ลมหายใจไม่มั่นคง สองขาเป็นตะคริว ดึงอวี้เฟยไว้ด้วยมือที่สั่นระริก
อวี้เฟยตะลึงลาน มองดูมีดสั้นในมือของจางเฉวียน มีดนั่นยังคงวับวาวสะอาดสะอ้านเหมือนใหม่ ที่สำคัญไปกว่านั้นคือมีดนั้นเรียบแบน ทว่าบาดแผลบนหลังคอของเก่อซาผิงกลับเป็นรอยกลมๆ คราบเลือดอาจเช็ดออกได้ ทว่าปากแผลไม่อาจปลอมขึ้นมาได้
“อา มีคนตายแล้วงั้นเหรอ ยินดีด้วย ในที่สุดพวกนายก็กำจัดศัตรูไปได้คนหนึ่ง”
นกเค้าแมวเอ่ยปากซ้ำเติม น้ำเสียงลิงโลดยินดี แสดงอาการดีอกดีใจที่คนอื่นโชคร้ายอย่างไม่คิดปิดบัง
จางเฉวียนเนื้อตัวสั่นเทิ้ม ปลายมีดหันชี้ไปทางถังหลิ่น “นายนั่นแหละ นายอยู่ใกล้เหล่าเก่อที่สุด มีแต่นายเท่านั้นที่สามารถ…”
สามารถอะไร? ไม่รู้ เพราะวินาทีถัดมาฟั่นเพ่ยหยางก็ยึดมีดนั่นไปเป็นที่เรียบร้อย ทั้งยังผลักอีกฝ่ายออกไปเต็มแรง
จางเฉวียนไม่ทันได้ตั้งตัว ร่างจึงกระแทกผนังลิฟต์เข้าอย่างจัง เกิดเสียงดังโครมใหญ่ คนทั้งลิฟต์ตกตะลึงมึนงงไปหมด
ไม่มีใครเห็นว่าฟั่นเพ่ยหยางลงมือตอนไหน จนกระทั่งทุกอย่างเสร็จสิ้นทุกคนค่อยเห็นเขาไปยืนขวางอยู่ด้านหน้าถังหลิ่นแล้ว สายตาวาดผ่านทุกคนไปตามลำดับ เชื่องช้าทว่าอันตราย
อวี้เฟยยิ้มหยัน “ทำแบบนี้ไม่เท่ากับฉีกหน้ากันหรอกเหรอ”
ถังหลิ่นตบไหล่ฟั่นเพ่ยหยางเบาๆ ทีหนึ่งก่อนจะเดินออกมาจากทางด้านหลังของอีกฝ่าย เผชิญหน้ากับแรงปะทะที่ยังไม่จางหาย เขาสูดหายใจเข้าออกลึกๆ ทว่าแผ่วเบา ใช้นิ้วโป้งปาดหยดเลือดที่อยู่ใต้ตาออก “ผมไม่ใช่ฆาตกร”
“นายบอกว่าไม่ใช่ก็ไม่ใช่หรือไง” จางเฉวียนเกร็งคอเอ่ย “ทำไมพวกเราต้องเชื่อด้วย!”
“ผมเองก็ไม่ได้ต้องการให้ใครเชื่อ” ถังหลิ่นไม่มีทีท่าคิดจะยืนยันความบริสุทธิ์ของตัวเองแม้แต่น้อย เขาทำเพียงกวาดมองไปรอบๆ ลิฟต์แล้วพูดหนักแน่นว่า “เอาเป็นว่า ฆาตกรอาจเป็นหนึ่งในพวกเรา หรือไม่ก็…” เขาหันหน้าไปช้าๆ สายตาหยุดอยู่บนจอมอนิเตอร์ที่อยู่ทางด้านบน “เป็นนาย”
“ฉันฆ่าคนไม่ได้!”
นกเค้าแมวโต้เถียงอย่างโมโห หนึ่งวินาทีหลังจากนั้นน้ำเสียงของมันก็เปลี่ยนไปอีกครั้ง และหัวเราะแปลกๆ ออกมา
“แต่ฉันรู้ก็แล้วกันว่าฆาตกรเป็นใคร~”
ยังไม่ทันสิ้นเสียงไฟก็ดับลงอีกครั้ง ลิฟต์ส่ายไหวหนักกว่าเก่า
ถังหลิ่นโซเซ แผ่นหลังกระแทกเข้ากับไหล่ของใครบางคนจนรู้สึกเจ็บแปลบ
เสียงตื่นตระหนกหวาดผวาของจางเฉวียนดังลั่นมาจากด้านหนึ่ง “ห้ามใครเข้ามาทั้งนั้น”
หลังจากนั้นเสียงของฟั่นเพ่ยหยางก็ดังขึ้นจากอีกด้าน “ถังหลิ่น มาทางนี้”
ขณะที่ถังหลิ่นกำลังจะขยับไปตามที่มาของเสียง จู่ๆ เขาก็รู้สึกถึงสายลมเย็นวูบหนึ่งท่ามกลางความโกลาหลมืดมิดอยู่รอบๆ ตัวเขา แต่กลับไม่อาจระบุได้แน่ชัด
ลมหายใจของเขาชะงักงัน สัญชาตญาณนำพาร่างกายเข้าสู่โหมดระแวดระวังขั้นสูงสุด
ความรู้สึกเย็นยะเยือกเล็กๆ นั้นสัมผัสลงบนหลังคอของเขา
ปฏิกิริยาตอบสนองของถังหลิ่นเกิดขึ้นรวดเร็ว ร่างทั้งร่างโถมไปทางด้านหน้าอย่างไม่นึกลังเล
เสียงตึงทึบๆ ดังขึ้น เขาไม่รู้ว่าตัวเองชนใครล้ม แต่คนที่ถูกชนล้มกลับพลิกมือมาคว้าร่างเขาเอาไว้ “ถังหลิ่น?”
อีกฝ่ายคือฟั่นเพ่ยหยาง
ถังหลิ่นไม่มีเวลาตอบกลับ เขาเงยหน้าเตือนทุกคนที่อยู่ในความมืด “ทุกคนระวัง คนร้ายลงมืออีกแล้ว”
เพิ่งพูดจบได้ไม่ทันไร แสงไฟก็สว่างจ้า
ลิฟต์ค่อยๆ หยุดส่ายไหว กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งขึ้นมาอีก
ทัศนวิสัยของถังหลิ่นเริ่มชัดขึ้นมาอีกครั้ง สิ่งแรกที่ปรากฏต่อสายตาของเขาคือฟั่นเพ่ยหยางที่อยู่ใต้ร่างของตัวเอง ตามมาด้วยใบหน้าที่ฉายแววเคร่งขรึมของเจิ้งลั่วจู๋ และสีหน้าตื่นตระหนกของจางเฉวียน
“หลี่จั่น…”
อวี้เฟยตะโกนออกมาคำหนึ่ง ร่ำไห้เหมือนใจจะขาด
ถังหลิ่นหันหน้าไป เด็กหนุ่มรูปร่างหน้าตาขาวสะอาดรายนั้นนั่งอยู่ใต้ปุ่มกดชั้นลิฟต์ สองตาเบิกกว้าง เลือดไหลทะลักออกมาจากปากแผลบนลำคอ
อวี้เฟยสองตาแดงก่ำพุ่งตรงเข้าไปช่วยกดบาดแผลให้อีกฝ่ายอย่างไม่สนใจอะไรทั้งนั้น แต่กลับช่วยอะไรไม่ได้ หลี่จั่นหมดลมหายใจแล้ว
“หวา ตายไปอีกหนึ่ง”
นกเค้าแมวแสร้งถอนหายใจ
อวี้เฟยชะงักค้าง นิ่งเงียบอยู่นาน ก่อนจะช่วยปิดตาให้หลี่จั่น
เขาลุกขึ้นยืนช้าๆ ในมือเต็มไปด้วยเลือดสดๆ ไม่ต่างอะไรกับภูตผีปีศาจจากนรก
“ใครคือคนร้าย” เขาถามไปทางจอมอนิเตอร์อย่างชัดถ้อยชัดคำ
“เรื่องนี้…บอกนายดีหรือเปล่าน้า”
มันเอียงหัวกลมๆ มองดูเขาพลางดัดเสียงเอ่ย
เปรี๊ยะ
มีดจู่โจมที่ใช้ในกองทัพเสียบทะลุเข้าไปในจอมอนิเตอร์ หน้าจอแหลกละเอียด ภาพนกเค้าแมวบิดเบี้ยวกะพริบอยู่สองสามทีก่อนจะดับวูบไป
อวี้เฟยชักมีดออกมา มองดูคนที่เหลือไม่พูดไม่จา
จางเฉวียน ฟั่นเพ่ยหยาง เจิ้งลั่วจู๋ และถังหลิ่น
ใครคือคนร้ายไม่สำคัญอีกแล้ว เพราะไม่ว่าอย่างไรก็หนีไม่พ้นสี่คนนี้แน่
แววสังหารในตาของเขาเพิ่มพูนขึ้นเป็นเท่าทวี เรียกได้ว่าแทบไม่คิดปิดบัง
เจิ้งลั่วจู๋ขยับเข้าไปหาฟั่นเพ่ยหยางกับถังหลิ่น อวี้เฟยมีมีดทหาร แต่ตอนนี้เพิ่งจะชักมันออกมา เห็นได้ชัดว่าเขาเป็นคนสุขุมขนาดไหน ทว่าทันทีที่คนสุขุมรอบคอบเกิดคลุ้มคลั่งขึ้นมา เทียบกับพวกบุ่มบ่ามแล้วเรียกได้ว่าน่ากลัวกว่ามาก
“จู๋จื่อ” จู่ๆ ถังหลิ่นก็กระซิบอยู่ทางด้านหลังของเขา “นายพอจะคุมเขาได้หรือเปล่า”
เจิ้งลั่วจู๋ตะลึง “คุมใครครับ”
ถังหลิ่นตอบ “อวี้เฟย”
เป้าหมายกำลังเงี่ยหูฟังอยู่ เจ้านายเองก็กำลังดูอยู่ ต่อให้อยากร้องไห้อย่างไรเจิ้งลั่วจู๋ก็ต้องทำ
ไม่จำเป็นต้องเอ่ยปากยืนยันอะไรทั้งนั้น เจิ้งลั่วจู๋คว้ากระเป๋าเดินทางใบเล็กข้างเท้าทุ่มใส่อวี้เฟย
อวี้เฟยหลบไปทางด้านข้าง เจิ้งลั่วจู๋อุ้มกระเป๋าเป้อีกใบไว้ก้าวขึ้นหน้า ใช้มันกดลงบนแขนข้างที่ถือมีดของอีกฝ่ายไว้เต็มแรง การเคลื่อนไหวรวดเร็วห้าวหาญ ที่น่าตกใจคือกระเป๋าเป้ใบนั้นมีอานุภาพราวกับถุงบรรจุดินระเบิด
ทั้งสองคนตะลุมบอนกัน ส่วนจางเฉวียนตะลึงมอง
ถังหลิ่นส่งสายตาให้ฟั่นเพ่ยหยางอย่างรวดเร็ว ครั้นสายตาประสานกัน ถังหลิ่นก็ชายตามองไปทางจางเฉวียน
ฟั่นเพ่ยหยางเข้าใจได้ทันที เขาฉวยโอกาสขยับขึ้นหน้าไปล็อกแขนของจางเฉวียนแล้วกดคนไว้กับผนังลิฟต์
“โอ๊ยๆ กดฉันทำไมเนี่ย” จางเฉวียนไม่ทันตั้งตัว เจ็บปวดจนหน้าตาบิดเบี้ยว
ถังหลิ่นเดินเข้ามา ไม่ชักช้าเสียเวลา เขาคว้ามือทั้งสองข้างของจางเฉวียนเอาไว้แล้วพิจารณาดูโดยละเอียด
เจิ้งลั่วจู๋เองในที่สุดก็ควบคุมอวี้เฟยเอาไว้ได้สำเร็จ เขาหอบหายใจ “เวรเอ๊ย เห็นตัวเล็กๆ นึกไม่ถึงว่าจะแรงเยอะขนาดนี้”
ทว่าท่าทางของพวกเขาสองคนกลับไม่น่าดูสักเท่าไหร่นัก ต่างฝ่ายต่างล้มกลิ้งอยู่กับพื้น แกล็อกแขนฉัน ฉันบิดขาแก ไม่ต่างอะไรกับขนมหมาฮวา*
ถึงอย่างนั้นเขาก็จัดการกับอีกฝ่ายได้เป็นที่เรียบร้อย ขณะที่เจิ้งลั่วจู๋กำลังคิดจะเอ่ยปากเรียกร้องเอาความดีความชอบ จู่ๆ เขาก็ได้ยินถังหลิ่นบอก “จู๋จื่อ ปล่อยเขา”
เจิ้งลั่วจู๋คิด เฮ้อ แม่งลำบากฉิบหาย
“คนร้ายคือเขา” ถังหลิ่นชี้ไปทางจางเฉวียน ทว่าสายตากลับมองไปทางอวี้เฟย คล้ายมอบคำตอบให้กับอีกฝ่าย
จู่ๆ บรรยากาศในลิฟต์ก็เปลี่ยนเป็นเงียบงัน
สองสามวินาทีนั้นโลกราวกับเหลือเพียงแสงไฟสีขาวกับเลือดที่ยังอุ่นอยู่
เจิ้งลั่วจู๋เพิ่งจะรู้ตัว เขาปล่อยอวี้เฟยที่กำลังดิ้นรนขัดขืน
อวี้เฟยสะบัดเจิ้งลั่วจู๋ออกก่อนจะลุกขึ้น ยืนมองดูถังหลิ่นคล้ายเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง สายตายังคงดุดัน
จางเฉวียนเองก็ได้สติ จากอับอายกลายเป็นโกรธขึ้ง ภายใต้การควบคุมของฟั่นเพ่ยหยางเขาตวาดออกมาอย่างไม่ยอมจำนน “นายเอาอะไรมาบอกว่าฉันเป็นคนร้าย!”
ถังหลิ่น “ก็เพราะอาวุธอยู่บนตัวคุณ”
จางเฉวียน “มีดของฉันไม่ตรงกับอาวุธที่คนร้ายใช้!”
“ไม่ใช่มีด” สายตาของถังหลิ่นกวาดจากบนลงล่างก่อนจะมาหยุดอยู่บนมือของอีกฝ่าย “เมื่อกี้ตอนคุณคิดจะเล่นงานผม ผมก็รู้สึกได้ว่ามันเป็นนิ้ว”
จางเฉวียนเนื้อตัวแข็งทื่อ
“ถังหลิ่น” อวี้เฟยจู่ๆ ก็เอ่ยปากเสียงแหบพร่า “เมื่อกี้นายว่าเขาคิดจะฆ่าใคร”
“ผม” ถังหลิ่นถอดเสื้อโค้ตออก เดินไปที่ศพของหลี่จั่นใช้มันคลุมร่างอีกฝ่าย “เดิมคนที่ต้องตายควรเป็นผม”
* โจรร้องให้จับโจร หมายถึงการพูดเพื่อให้ตัวเองรอด พ้นผิด ปัดความผิดให้ผู้อื่น
* ขนมหมาฮวา เป็นขนมแป้งทอดของจีนที่มีลักษณะเป็นเกลียว
โปรดติดตามตอนต่อไป…