everY
ทดลองอ่าน พ้นเที่ยงคืนกลืนมิติ เล่ม 1 บทที่ 3 #นิยายวาย
ทดลองอ่าน เรื่อง พ้นเที่ยงคืนกลืนมิติ เล่ม 1
ผู้เขียน : เหยียนเหลียงอวี่
แปลโดย : สนสราญ
ผลงานเรื่อง : พ้นเที่ยงคืนกลืนมิติ
ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน
จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว
หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย
– – – – – – – – – – – – – – – – –
Trigger Warning
เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับความรุนแรง
การทำร้ายทางร่างกายและจิตใจ การตาย การฆาตกรรม
การบังคับหรือโน้มน้าวให้ทำบางอย่างโดยไม่เต็มใจ
การกักขังหน่วงเหนี่ยว การทรมาน การบูลลี่
การกล่าวถึงเลือด สภาพศพ และสถานการณ์อันน่าขยะแขยง
สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป
โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
** หมายเหตุ: ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **
– – – – – – – – – – – – – – – – –
บทที่ 3
นครใต้พิภพ
เสื้อโค้ตคลุมลงบนร่างของหลี่จั่น รวมถึงสีแดงสะดุดตานั่น ทิ้งไว้ก็แต่สีน้ำตาลจางๆ สงบนิ่งและอ่อนโยน
อวี้เฟยตะลึงมอง ท่าทางคล้ายวิญญาณหลุดออกจากร่าง
ถังหลิ่นเดินกลับไปตรงหน้าจางเฉวียนแล้วถามเขาว่า “คุณยังไม่ยอมพูดความจริง?”
จางเฉวียนปล่อยให้ฟั่นเพ่ยหยางกดร่างไว้ไม่ขัดขืน คล้ายรู้ชัดถึงความต่างระหว่างเรี่ยวแรงของทั้งคู่ ทว่ารอยยิ้มหยันบนใบหน้ากลับไม่มีทีท่ายอมจำนนแม้แต่น้อย “ต่อให้คนร้ายใช้นิ้วฆ่าคน แล้วนายเอาอะไรมาบอกว่าเป็นฉัน ทุกคนก็มีมือด้วยกันทั้งนั้น อีกอย่างมือของอวี้เฟยก็เต็มไปด้วยเลือด!”
“มือคนอื่นเขาเปื้อนเลือดเพราะกดปากแผลไว้ต่างหาก!” เจิ้งลั่วจู๋ตวาดด้วยความเกลียดชังออกมาประโยคหนึ่ง “อย่าไปฟังเขาพูดเหลวไหล”
หลังจากตะลุมบอนกันมาครั้งหนึ่งเขาก็เห็นเจ้าเด็กนั่นเจริญหูเจริญตามากขึ้น ครั้นมองไปทางจางเฉวียน เจิ้งลั่วจู๋ก็รู้สึกว่าอีกฝ่ายไม่ว่าจะดูอย่างไรก็ไม่เหมือนคนดี
“เฮอะ” จางเฉวียนประชดประชัน “ไม่แน่ว่าเพื่อปกปิดรอยนิ้วมือเขาถึงได้รีบไปกดแผลให้ชาวบ้าน”
อวี้เฟยหันหน้ากลับมาช้าๆ สายตาวับวาวไม่ต่างอะไรกับคมมีด แทบจะกรีดเฉือนเนื้อจางเฉวียนออกมาทั้งเป็น “นายลองพูดอีกทีสิ”
จางเฉวียนกลืนน้ำลาย
ถังหลิ่นส่ายหน้า “จางเฉวียน ผมไม่จำเป็นต้องตรวจดูอวี้เฟย ในบรรดาคนทั้งห้า ในเมื่อพวกผมสามคนไม่มีทางเป็นฆาตกร เช่นนั้นผู้ต้องสงสัยก็เหลือแค่คุณกับอวี้เฟยแล้ว ฉะนั้นแค่ดูมือของพวกคุณคนหนึ่งคนใดเท่านั้นก็ได้แล้ว”
จางเฉวียนหลุดหัวเราะเย้ยหยันออกมาคำหนึ่ง “มือของฉันไม่มีคราบเลือด”
“แน่นอนว่าคุณเช็ดมือจนสะอาดแล้ว”
ถังหลิ่นเดินขึ้นหน้าไปกุมข้อมือขวาของจางเฉวียน ฟั่นเพ่ยหยางผ่อนแรงอย่างได้จังหวะ ปล่อยให้ถังหลิ่นยกมือข้างนั้นขึ้นแสดงต่อทุกคน
“แต่คุณกลับลืมทำความสะอาดซอกเล็บ”
มือขวาของจางเฉวียนไม่มีคราบเลือดแม้แต่น้อย ทว่าซอกเล็บบนนิ้วชี้กลับมีรอยแดงจางๆ อยู่สองสามจุด คราบเลือดเศษเนื้อที่หลงเหลืออยู่ตอนก่อเหตุฝังลึกติดแน่นอยู่ภายใน
“ถ้ามือของคุณเต็มไปด้วยเลือดเหมือนอวี้เฟย เรื่องนี้ก็คงพูดยากแล้ว” ถังหลิ่นส่งข้อมือของจางเฉวียนให้ฟั่นเพ่ยหยางจับยึดไว้อีกครั้งก่อนจะชักเท้าถอยไปครึ่งก้าว พูดต่อด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ “โชคดีที่คุณทำเรื่องเกินความจำเป็น มือเปื้อนเลือดไม่น่าสงสัย แต่เปื้อนแล้วกลับต้องเช็ดให้สะอาดนั่นต่างหากถึงเรียกว่าวัวสันหลังหวะ”
จางเฉวียนไม่พูดไม่จา สีหน้าเดือดดาลไม่ยอมแพ้หายไปหมดสิ้น เขาในเวลานี้สงบนิ่งอย่างน่าประหลาด
เจิ้งลั่วจู๋ประหลาดใจกับท่าทีเยือกเย็นช่างสังเกตของถังหลิ่น แต่ที่ทำให้เขายิ่งไม่เข้าใจคือจางเฉวียน ทำไมต้องฆ่าคนด้วย เห็นอยู่ชัดๆ ว่าเขากับพวกอวี้เฟยเป็นคนที่เข้ามาทำเควสผ่านด่านเหมือนกัน
“โอเค การคัดเลือกเสร็จสิ้น”
เสียงของจางเฉวียนตัดบทความคิดอ่านของเจิ้งลั่วจู๋
เจิ้งลั่วจู๋พรวดพราดเงยหน้า “อะไรคือการคัดเลือก”
จางเฉวียนไม่สนใจเขา ตรงกันข้ามกลับพูดหยอกเย้าถังหลิ่นด้วยน้ำเสียงสบายๆ “นึกไม่ถึงว่าความสามารถของพวกนายจะสูงแบบนี้ ฉันคิดว่าอย่างน้อยก็น่าจะมีคนตายสักสี่คน”
ทั้งที่ถูกกดอยู่กับผนังลิฟต์ แต่ท่าทีของจางเฉวียนในเวลานี้เทียบกับก่อนหน้าแล้วดูราวกับเป็นคนละคน แม้แต่เสียงพูดก็ยังเปลี่ยนเป็นลุ่มลึก
ถังหลิ่นขมวดคิ้ว ขณะกำลังจะเอ่ยปากกลับมีคนที่เร็วกว่าเขา
“ทำไมต้องฆ่าคน…” อวี้เฟยกุมมีดทหารแน่น เพราะออกแรงมากไปข้อต่อกระดูกจึงดังลั่นกรอบแกรบ “ทำไมต้องฆ่าหลี่จั่นด้วย”
ตอนพูดคำพูดประโยคหลังจู่ๆ เสียงของเขาก็ดังขึ้น สติสัมปชัญญะถูกเพลิงแค้นเผาทำลายหมดสิ้น อวี้เฟยพุ่งเข้าใส่อีกฝ่าย
ที่จริงเขาไม่อยากได้คำตอบ เขาแค่อยากให้จางเฉวียนชดใช้ด้วยชีวิต!
เพราะเคลื่อนไหวรวดเร็ว ไม่เปิดโอกาสให้คนอื่นทันได้มีปฏิกิริยาตอบสนอง ร่างของอวี้เฟยในเวลานี้จึงหยุดอยู่หน้าจางเฉวียนแล้ว
เคร้ง!
มีดทหารหล่นลงพื้นโดยไม่มีสัญญาณเตือน ร่างของอวี้เฟยถูกไม้เลื้อยสีเขียวที่งอกจากพื้นลิฟต์รัดเอาไว้แน่น ไม่อาจขยับ
“จางเฉวียน!” เขาคำรามอย่างสุดกำลัง
อยู่ดีๆ คนร้ายรายแรกก็หลุดพ้นจากการพันธนาการของฟั่นเพ่ยหยาง กระโดดหลบออกไปได้อย่างคล่องแคล่ว
ฟั่นเพ่ยหยางรู้สึกประหลาดใจขึ้นมาทันที ความรู้สึกเจ็บปวดรุนแรงแผ่ซ่านมาจากฝ่ามือ การที่อีกฝ่ายสามารถหลุดจากการเกาะกุมของเขาได้นั้นเห็นได้ชัดว่าจางเฉวียนคนนี้เรี่ยวแรงไม่ใช่น้อยเลยจริงๆ ผนวกกับไม้เลื้อยที่พันรัดอวี้เฟยไว้ในเวลานี้
เขาหันหน้ามองไปทางจางเฉวียน ในใจตระหนักได้ทันที “นายมีไอเทม”
“เขาจะมีไอเทมได้ยังไง” เจิ้งลั่วจู๋ประหลาดใจ “ก่อนเข้าลิฟต์ ไอเทมของพวกเราทุกคนถูกกำจัดไปหมดแล้วนี่”
“เมื่อกี้ฉันก็บอกไปแล้วไม่ใช่หรือไงว่าฉันมาเพื่อคัดเลือกพวกนาย”
น้ำเสียงของจางเฉวียนกลับกลายเป็นจริงจัง แม้แต่สีหน้าก็ยังเปลี่ยนไป
ระยะเวลาสั้นๆ เพียงไม่กี่วินาทีใบหน้านั่นก็กลายเป็นชายแปลกหน้าอีกคนที่อายุประมาณสามสิบห้าปี แก้มตอบ ใต้คางมีตอหนวดขึ้นอยู่หร็อมแหร็ม
ภาพปรากฏการณ์แปลกประหลาดนี้น่าขนลุกขนพองจริงๆ
เจิ้งลั่วจู๋พูดโพล่งออกมา “จางเฉวียนล่ะ นายฆ่าเขาไปแล้วเหรอ”
“ไม่ เรื่องนี้ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับฉัน” ชายแปลกหน้าที่มีตอหนวดใต้คางแถลง “ฉันรับผิดชอบแค่พวกนายเท่านั้น จางเฉวียนตัวจริงโดยสารอยู่ในลิฟต์อีกตัวหนึ่ง เขาตายไปก่อนหน้านี้แล้ว”
เจิ้งลั่วจู๋นิ่งเงียบไปพักหนึ่ง “นี่เป็นการทดสอบ?”
ชายที่มีตอหนวดใต้คางส่ายหน้า “นายนี่ไร้เดียงสาจริงๆ”
เจิ้งลั่วจู๋ “หมายความว่ายังไง”
ชายที่มีตอหนวดใต้คาง “เควสที่แท้จริงยังมาไม่ถึง ฉันบอกมาสามรอบแล้ว นี่เป็นการคัดเลือกก่อนผ่านเข้าไปทำเควสจริง”
เจิ้งลั่วจู๋นิ่งเงียบไม่พูดอะไรอีก
สีหน้าของฟั่นเพ่ยหยางกับถังหลิ่นเองก็เปลี่ยนเป็นจริงจัง
อวี้เฟยขาดสติไปนานแล้ว เขาไม่ได้ยินเลยว่าชายคนนั้นพูดอะไร ได้แต่พยายามดิ้นรนให้หลุดพ้นจากพันธนาการของไม้เลื้อยพวกนั้นอย่างสุดกำลัง
ตอนนี้เรื่องราวทั้งหมดล้วนปรากฏชัดแล้ว ไม่มีจางเฉวียน นับแต่ต้นจนจบคนที่อยู่ในลิฟต์กับพวกเขาล้วนแต่เป็นคนคนนี้ และไม่มีการผ่านเควสไม่ผ่านเควสอะไรทั้งนั้น เพราะแม้แต่ทางเข้าเควสพวกเขาก็ยังคลำหาไม่พบ
ถังหลิ่นจ้องชายที่มีตอหนวดใต้คางอยู่นาน หลังจากนั้นก็ชูนิ้วชี้ข้างขวาขึ้น “นี่ก็คือไอเทม?”
“ไม้เลื้อยกับการแปลงร่างน่ะใช่ ส่วนนิ้วมือ” ชายที่มีตอหนวดใต้คางยักไหล่ “มันเป็นความสามารถเสริม”
ถังหลิ่น “ความสามารถเสริม?”
ชายที่มีตอหนวดใต้คางเลิกคิ้ว “คำอธิษฐานในห้องอธิษฐานไง อย่าบอกนะว่าตอนอยู่ในห้องอธิษฐานสิ่งที่นายขอคือเงิน ถ้าเป็นแบบนั้นนายได้ร้องไห้ทีหลังแน่”
อีกฝ่ายมีถามมีตอบ ให้ความร่วมมืออย่างเหลือเชื่อ ฟั่นเพ่ยหยางอดนึกสงสัยไม่ได้ “ทำไมนายถึงบอกเรื่องนี้กับพวกเรา”
ชายที่มีตอหนวดใต้คางยิ้มอย่างดูแคลน “ก็พวกนายไม่มีทางเอาชนะฉันได้”
“ฮูกๆ”
เสียงนกเค้าแมวร้องออกมาจากจอมอนิเตอร์ที่ไม่มีภาพแล้วเป็นครั้งสุดท้าย
ลิฟต์หยุดนิ่ง เรื่องราวทุกอย่างสิ้นสุดลงแล้ว
“ได้เวลาบอกลาแล้ว อย่าโกรธกันเลย ฉันก็แค่ปฏิบัติภารกิจของตัวเองให้ลุล่วงเท่านั้น” ชายที่มีตอหนวดใต้คางคนนั้นถอยไปยังส่วนลึกของลิฟต์ “ถ้าอยากจะล้างแค้นจริงๆ ก็ขึ้นมาหาฉันข้างบนได้ ขอเพียงพวกนายยังมีชีวิตอยู่”
ประตูลิฟต์ค่อยๆ เปิดออก อากาศร้อนชื้นแฝงไว้ซึ่งกลิ่นราเหม็นเน่าลอยเข้ามาปะทะใบหน้า
“ยินดีต้อนรับสู่นครใต้พิภพ”
ชายที่มีตอหนวดใต้คางผายมือออกไป ก่อนจะผลักพวกเขาทั้งสี่คนเต็มแรง
ขณะเดียวกันไม้เลื้อยที่รัดอวี้เฟยไว้ก็คลายออก เพราะไม่ทันระวังคนทั้งสี่จึงโซเซล้มออกจากลิฟต์
อวี้เฟยลุกขึ้นได้เป็นคนแรก เขาวิ่งกลับไปอย่างบ้าคลั่ง ทว่าประตูลิฟต์กลับปิดลงอย่างรวดเร็ว เขาทุบประตูอย่างเอาเป็นเอาตาย หมายชิงร่างไร้วิญญาณของคู่หูกลับมา แต่ลิฟต์กลับเคลื่อนตัวขึ้นไปช้าๆ
ฟั่นเพ่ยหยาง ถังหลิ่น และเจิ้งลั่วจู๋ทยอยลุกขึ้น ตะลึงดูภาพที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้า
นครใต้พิภพแห่งนี้ไม่มีแสงอาทิตย์ มีเพียงแสงไฟสลัวๆ บ้านที่สร้างขึ้นตามอำเภอใจพวกนั้นต่างมีสภาพซอมซ่อโกโรโกโส บ้างก็พังเป็นเศษซากเรียบร้อยไปแล้ว ถนนหนทางสูงๆ ต่ำๆ คับแคบสกปรกไม่เป็นระเบียบ ไม่อาจเห็นส่วนที่อยู่ลึกเข้าไปได้ชัดเจน ข้างถนนมีคนนั่งอยู่เป็นจำนวนมาก เสื้อผ้าขาดวิ่น หน้าเหลืองเนื้อตัวซูบผอม บ้างก็ดุ่มๆ รีบร้อนเดินข้ามถนนผ่านตรอก
มืดครึ้ม แออัด และเสื่อมโทรม
เสียงดังสะเทือนเลื่อนลั่นของเครื่องจักรขนาดยักษ์ดังมาแต่ไกล แฝงลมร้อนชวนอึดอัดหายใจไม่ออก
แต่ที่ชวนให้หายใจไม่ออกยิ่งกว่าคือบรรดาคนที่นั่งอยู่ข้างถนน บนแขนที่โผล่ออกมานอกร่มผ้าของคนที่ท่าทางคล้ายไม่อาจมีชีวิตต่อไปได้เหล่านั้นล้วนมีภาพนกเค้าแมวประทับอยู่
ไม่ต่างอะไรกับภาพบนแขนของฟั่นเพ่ยหยาง ถังหลิ่น และเจิ้งลั่วจู๋
“ขอโทษด้วย” ฟั่นเพ่ยหยางหันมองไปทางถังหลิ่น เพราะยืนย้อนแสงทำให้อารมณ์ของเขาถูกซ่อนอยู่ภายใต้เงามืดจึงไม่อาจแยกออกว่าจริงเท็จเช่นไร
ถังหลิ่นตะลึง “มีอะไรงั้นเหรอ”
“ผมไม่ควรลากคุณเข้ามายุ่งกับเรื่องนี้เลย”
หนึ่งเดือนก่อน ณ โรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่งในเมืองปักกิ่ง
ถังหลิ่นนั่งปอกแอปเปิ้ลอยู่บนเตียงผู้ป่วยอย่างเอาจริงเอาจัง เปลือกแอปเปิ้ลยืดยาวเป็นเส้นไม่มีขาด
ระยะนี้เขาผอมลงอีกแล้ว ชุดผู้ป่วยหลวมอยู่เล็กน้อย
ซ่านอวิ๋นซงนั่งอยู่ข้างเตียง คอยมองอีกฝ่ายอย่างเงียบๆ พอถังหลิ่นปอกแอปเปิ้ลเรียบร้อย เขาก็ยื่นมือออกไปรับมีดกับจานผลไม้
“ช่วงนี้ประธานฟั่นยุ่งอะไรอยู่” ถังหลิ่นกัดแอปเปิ้ลคำหนึ่ง แสร้งทำเหมือนเอ่ยปากถามเรื่อยเปื่อย
ซ่านอวิ๋นซงส่ายหน้า “เรื่องนี้ผมเองก็ไม่รู้ชัด”
ถังหลิ่นเอ่ยปากเตือน “ผู้ช่วยพิเศษซ่าน คุณเป็นผู้ช่วยของเขานะ”
ซ่านอวิ๋นซงแก้คำผิดด้วยท่าทีนอบน้อม “ประธานถัง ตอนนี้ผมเป็นผู้ช่วยของคุณ”
เพราะแบบนี้เลยยิ่งน่าสงสัย ซ่านอวิ๋นซงเป็นชายชราที่ติดตามเขากับฟั่นเพ่ยหยางมาตั้งแต่เริ่มก่อตั้งบริษัทและเป็นผู้ช่วยที่มีฝีมือที่สุดตลอดหลายปีมานี้ของฟั่นเพ่ยหยาง นอกจากประธานฟั่นจะว่างมากจนสามารถไปพักผ่อนที่เกาะกลางทะเลได้ ไม่อย่างนั้นซ่านอวิ๋นซงก็ไม่มีเหตุผลที่จะมาปักหลักอยู่โรงพยาบาลเป็นเพื่อนเขานานขนาดนี้ ฟั่นเพ่ยหยางไม่ใช่คนที่ไม่รู้จักแยกแยะเรื่องงานกับเรื่องส่วนตัว
“ผู้ช่วยพิเศษซ่าน” ถังหลิ่นวางแอปเปิ้ลลง ยิ้มอ่อนโยน “หมอบอกว่าผมมีชีวิตได้มากที่สุดก็สามปี”
ซ่านอวิ๋นซงตะลึง ไม่รู้ว่าควรตอบอีกฝ่ายอย่างไรดี
ถังหลิ่นมองซ่านอวิ๋นซงนิ่ง
เขาอ่านออกว่าภายในดวงตาใสกระจ่างคู่นั้นของซ่านอวิ๋นซงกำลังฟ้องร้องบอกกับเขาว่าซ่านอวิ๋นซงรู้สึกละอายที่กำลังโกหกคนป่วยอยู่
“ประธานถัง…” ไม่ว่าจะประธานถังหรือประธานฟั่นทั้งสองฝ่ายก็ล้วนเป็นหัวหน้าของเขา ซ่านอวิ๋นซงรู้สึกปวดหัวจริงๆ
แสงอาทิตย์สาดส่องเข้ามาในห้องพักผู้ป่วย ขับไล่บรรยากาศเงียบเหงากับกลิ่นน้ำยาฆ่าเชื้อ
เพราะตำแหน่งของเนื้องอกในสมองนั้นไม่สู้ดีจึงลงมือผ่าตัดไม่ได้ นับแต่ชะตาชีวิตมีคำพิพากษาออกมาแบบนั้น ถังหลิ่นก็เปิดใจยอมรับมันด้วยท่าทีเยือกเย็นไม่สะทกสะท้าน
การยอมรับความจริงนั้นไม่มีอะไรยากลำบาก พูดอีกนัยหนึ่งก็คือเพราะรู้ดีว่าไม่อาจทำอะไรได้อีกแล้วจึงได้แต่ปล่อยวาง
เขาปล่อยวางแล้ว แต่ฟั่นเพ่ยหยางกลับไม่ยอมจำนน ทุกครั้งที่ฟั่นเพ่ยหยางมาเยี่ยม เขาล้วนรับรู้ได้ว่าท่าทางของอีกฝ่ายมีแต่จะแย่ลงทุกวัน สองตาเมินเฉยคู่นั้นแต่ก่อนยังแฝงไว้ซึ่งรอยยิ้มอยู่บ้าง แต่ตอนนี้กลับเหลือเพียงความเปล่าเปลี่ยวอ้างว้าง
ถังหลิ่นยอมรับชะตา และฟั่นเพ่ยหยางเองก็ควรจะมีชีวิตต่อไปอย่างเป็นปกติสุข
“ช่วงสองสามเดือนมานี้ประธานฟั่นไม่ค่อยอยู่บริษัท” ซ่านอวิ๋นซงยอมจำนน สุดท้ายก็เลือกยืนอยู่ข้างประธานถัง “ส่วนรายละเอียดว่ายุ่งอยู่กับเรื่องอะไรนั้น ผมเองก็ไม่รู้”
“คุณถามได้ไม่ใช่เหรอ” ถังหลิ่นยิ้มยุยง
ซ่านอวิ๋นซงพูดอ้อนวอน “ประธานถัง แค่ประธานฟั่นมองมาปราดเดียวผมก็หนาวตายอยู่ตรงนั้นได้เลยนะครับ”
ถังหลิ่นเลิกคิ้วคล้ายกับเกิดเรื่องใหญ่ “คุณกลัวเขา แต่ไม่กลัวผม?”
ท่าทางของเขาไม่ดุดันแม้แต่น้อย ทว่าซ่านอวิ๋นซงกลับยิ้มขื่นออกมาอย่างรวดเร็ว
ถังหลิ่นกะพริบตา มองดูซ่านอวิ๋นซงอยู่ครู่หนึ่ง หว่างคิ้วแฝงความรู้สึกสงสัยอยู่จางๆ “ช่วงนี้…คุณดูเหมือนจะกลัวผมมากจริงๆ”
ถังหลิ่นยอมรับว่ามนุษยสัมพันธ์ในบริษัทของตัวเองนับว่าไม่เลว พบเจอใครล้วนยิ้มให้สามส่วน โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับฟั่นเพ่ยหยางแล้ว เขายิ่งอบอุ่นอ่อนโยนเหมือนกับฤดูใบไม้ผลิ คนงานทั่วไปที่กลัวเขาจริงๆ ก็ยังมีอยู่แค่ไม่กี่คนเท่านั้น นับประสาอะไรกับซ่านอวิ๋นซง
หลังจากสบตากันครู่หนึ่งซ่านอวิ๋นซงก็รู้สึกว่าไม่มีประโยชน์ที่จะปิดบัง เนื่องจากถังหลิ่นความรู้สึกเฉียบไวเกินไป
เขาถอนหายใจลึกๆ ตัดสินใจพูดความจริง ไหนๆ ก็ยืนอยู่ฝ่ายประธานถังแล้ว เช่นนั้นก็เปิดใจไปเลยดีกว่า
“ก่อนหน้านี้ผมคิดมาตลอดว่าคุณชอบยิ้มชอบหัวเราะและอารมณ์ดี เทียบกับประธานฟั่นแล้ว คนหนึ่งร้อนคนหนึ่งหนาว เติมเต็มกันและกันได้พอดี
ผมเคยรู้สึกแปลกใจว่าทำไมคุณกับประธานฟั่น คนหนึ่งชื่อฟังดูอบอุ่นแต่คนกลับเย็นชา อีกคนชื่อเย็นยะเยือกแต่คนกลับอบอุ่น”
“แต่?” ถังหลิ่นรู้สึกกระหายใคร่รู้ถึงคำพูดหักมุมที่กำลังจะตามมา
ซ่านอวิ๋นซงยิ้มหวาน
“แต่ระยะนี้พออยู่กับคุณนานเข้า ผมถึงพบว่าที่จริงคุณก็นิสัยเย็นชาเหมือนกัน”
รอยยิ้มบนใบหน้าซ่านอวิ๋นซงจืดจางลง สายตาทั้งจริงจังทั้งเลื่อมใส “ประธานบริษัทไม่อาจทำตัวใกล้ชิดกับคนไม่รู้จัก ประธานฟั่นเชื่อมั่นในการกระทำของตัวเอง คุณได้แต่ต้องทำตัวเองให้อบอุ่น คนหนึ่งหนาวคนหนึ่งร้อน คนหนึ่งตึงคนหนึ่งหย่อน ถึงจะเอาชนะใจของอีกฝ่ายได้”
บรรยากาศภายในห้องพักผู้ป่วยเปลี่ยนเป็นเงียบสงัด
หลังจากนั้นถังหลิ่นก็นิ่งเงียบไม่พูดอะไรอยู่นาน
จนกระทั่งเมฆนอกหน้าต่างลอยบดบังแสงอาทิตย์ ซ่านอวิ๋นซงก็ได้ยินถังหลิ่นพูดว่า “พวกเราออกไปดูหนังรอบเที่ยงคืนกันเถอะ”
เวลา 02:40 น.
ซ่านอวิ๋นซงมองซ้ายมองขวาท่าทางไม่ต่างอะไรกับโจร พอมั่นใจว่าไม่มีพยาบาลเวรอยู่ เขาก็รีบเข็นรถเข็นของถังหลิ่นกลับเข้าห้องพักผู้ป่วย
หนังเรื่องหนึ่งยาวสองชั่วโมง เมื่อคำนวณรวมเวลาไปกลับด้วยแล้วซ่านอวิ๋นซงก็รู้สึกว่างานนี้เหนื่อยกว่าทำสงครามเสียอีก แน่นอนว่างานพิเศษนี้ไม่ใช่เรื่องที่ใครก็ทำได้
ถังหลิ่นง่วงจนทนแทบไม่ไหว เขาหาวออกมาไม่หยุด
ซ่านอวิ๋นซงพาเขากลับขึ้นเตียงผู้ป่วย ถึงจะดูจบแล้วและตัวเขาเองก็เป็นผู้สมรู้ร่วมคิดด้วย แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังอดเอ่ยปากสั่งสอนไม่ได้ว่าการดูหนังรอบเที่ยงคืนนั้นส่งผลต่อการพักผ่อนอย่างไร เรื่องนี้อันที่จริงแม้แต่ประธานฟั่นเองก็ยังปรามไม่อยู่ ทำได้ก็แค่เพียงลืมตาข้างหลับตาข้างเท่านั้น
ถังหลิ่นเหนื่อยจนตาแทบจะลืมไม่ขึ้น เขารู้ว่าซ่านอวิ๋นซงช่วยห่มผ้าให้ตัวเองแล้ว แถมยังได้ยินเสียงฝีเท้าของอีกฝ่ายเดินจากไป อาจเพราะยังไม่วางใจคิดเรียกพยาบาลให้เข้ามาตรวจดูอีกทีหรือไม่ก็ให้ไปทำเรื่องอื่น ทว่าถังหลิ่นในยามนี้ไม่มีปัญญาจะคิดอะไรทั้งนั้น สติสัมปชัญญะของเขาเริ่มเชื่องช้าลง ไม่ต่างอะไรกับท่อนไม้ที่ลอยไปตามระลอกคลื่นกลางทะเล
“ฮูกๆ”
เสียงร้องพิลึกพิลั่นดังมาจากที่ไหนก็ไม่รู้ ไม่เพียงแปลกประหลาด หากยังแฝงไว้ซึ่งความรู้สึกเปล่าเปลี่ยว
จู่ๆ ถังหลิ่นก็รับรู้ได้ถึงแรงดูดมหาศาล ร่างทั้งร่างคล้ายถูกดึงเข้าไปในวังน้ำวน ความรู้สึกเสียสมดุลโถมกระหน่ำเข้าใส่ร่างของเขา ถึงจะพยายามดิ้นรนคิดพาตัวให้หลุดพ้นจากฝันร้ายนี้อย่างสุดกำลัง แต่ยิ่งกระเสือกกระสนมากเท่าไหร่ ร่างของเขาก็ยิ่งจมเข้าไปในวังน้ำวนดังกล่าวลึกเร็วมากขึ้นเท่านั้น
ในที่สุดความรู้สึกคล้ายสูญเสียสมดุลนั่นก็เบาลง
ถังหลิ่นพยายามลืมตา ทว่ากลับมองเห็นเพียงภาพเลือนราง
ท่ามกลางสายตาพร่าเลือน เขาเหมือนจะมองเห็นฟั่นเพ่ยหยาง
โปรดติดตามตอนต่อไป…