ทดลองอ่าน ภาพวาดโครงกระดูก เล่ม 2 บทที่ 36 #นิยายวาย – Jamsai
Connect with us

Jamsai

everY

ทดลองอ่าน ภาพวาดโครงกระดูก เล่ม 2 บทที่ 36 #นิยายวาย

ทดลองอ่าน เรื่อง ภาพวาดโครงกระดูก เล่ม 2

ผู้เขียน : ซีจื่อซวี่

แปลโดย : qMondae

ผลงานเรื่อง : 骷髅幻戏图 (Ku Lou Huan Xi Tu)

ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน

จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว

หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย

– – – – – – – – – – – – – – – – –

 

Trigger Warning

เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับการตาย การฆ่าตัวตาย การฆาตกรรม

มีการบรรยายถึงเลือดและสภาพศพ การทำร้ายทางร่างกายและจิตใจ

และการทำร้ายเด็ก ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ

  

สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป

โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน

** หมายเหตุยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **

– – – – – – – – – – – – – – – – –

 

บทที่ 36 ดินแดนแห่งพันธสัญญา (9)

ครั้งแรกที่ฝางเวินซูปรากฏตัวขึ้นที่นี่ สิ่งที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าเขาเป็นศพผู้หญิงคนหนึ่ง

เขารู้จักผู้หญิงคนนี้ เธอชื่อว่าเหอซือม่านเป็นคู่หูของเขาเอง เธอเป็นหญิงสาวที่ร่าเริงคนหนึ่งซึ่งจากประเทศจีนมาไกลถึงที่นี่ เป็นผู้หญิงนิสัยดุๆ แรงๆ ตั้งแต่คืนแรกที่มาถึง เธอก็ลากเขาไปดื่มที่โรงแรมในรัสเซียทั้งคืน ฝางเวินซูรู้ว่าเธอเหมือนมีอะไรอยากพูดกับเขาแต่สุดท้ายก็ไม่ได้พูดออกมา ตราบจนบัดนี้ ฝางเวินซูยังนึกภาพใบหน้าแดงก่ำของเธอตอนที่เรียกตนว่าพี่ชายได้อยู่เลย แอลกอฮอล์ทำให้เธอดูสวยสะพรั่ง ฝางเวินซูเองก็คงจะหวั่นไหวเพราะในชั่ววินาทีนั้นเขาแทบอยากจะขยับตัวเข้าประชิดแล้วบดจูบริมฝีปากที่เปียกชื้นไปด้วยแอลกอฮอล์ของเธอ

แต่ว่าฝางเวินซูก็ไม่ได้ทำเช่นนั้น เพราะเขาเป็นคนเก็บตัวเก็บความรู้สึกมาโดยตลอด ถ้ารู้ว่าตัวเองไม่สามารถให้บทสรุปสุดท้ายที่ดีแก่เธอได้ เช่นนั้นก็อย่าเริ่มต้นความสัมพันธ์เลยจะดีกว่า แล้วอาชีพที่พวกเขาทำจะมีจุดจบอะไรดีๆ ได้ล่ะ ฝางเวินซูคิดอย่างเสียดาย เขาที่ดูเหมือนจะมีประสบการณ์โชกโชนแต่ท้ายที่สุดก็ไม่สามารถเอาตัวรอดจากป่ารกชัฏนี้ได้ เขาลืมไปแล้วว่าตนอธิษฐานอะไรไป จำได้เพียงเลือนรางว่ามีเสียงร่ำไห้คร่ำครวญดังอยู่ข้างหู ก่อนที่ตนจะค่อยๆ สลายหายไปโดยสมบูรณ์

เป็นเสียงร้องไห้ของเหอซือม่าน เธอกุมใบหน้าของเขาที่กลายเป็นโคลน ร้องไห้โฮราวกับเด็กไร้ที่พึ่งพิง เธออยากให้เขามีชีวิตอยู่ รวบกอดเขาไว้ในอ้อมแขนแต่ทุกอย่างล้วนไร้ประโยชน์

ฝางเวินซูหายไปแล้ว

เขาไม่ควรมาอยู่ที่นี่ตั้งแต่แรก จนกระทั่งก่อนที่ผู้หญิงตรงหน้าจะตายไป ในที่สุดเธอก็ยอมจำนนให้แก่ความปรารถนาในจิตใจ เธอปรารถนาให้…ฝางเวินซูมีชีวิตรอด

เป็นความปรารถนาที่โง่เง่าอะไรเพียงนี้ ฝางเวินซูเอื้อมมือไปสัมผัสผิวแก้มที่ซูบตอบของเธอ เขาไม่รู้ว่าผู้หญิงตรงหน้าสูญเสียแรงไปเท่าไหร่ ผ่านความสิ้นหวังมามากแค่ไหนกว่าจะเดินทางมาถึงตรงนี้ได้ แต่สุดท้ายเธอก็ทำไม่สำเร็จ เธอตายแล้ว และก่อนตายก็มีเพียงความมืดมิดอยู่เคียงข้าง ฝางเวินซูลากนิ้วจากหน้าผากของเธอไปจรดบนปลายจมูกก่อนลงมายังริมฝีปาก เขาอยากจดจำผู้หญิงคนนี้ไว้ในหัวใจ แม้เขาจะรู้ว่าตนไม่ใช่ฝางเวินซู

เขาเป็นแค่สัตว์ประหลาดที่มีรูปลักษณ์เหมือนฝางเวินซู ซึ่งถูกสร้างมาจากความทรงจำของผู้หญิงคนหนึ่งเท่านั้น

เป็นสัตว์ประหลาดที่มีจิตวิญญาณเป็นโคลนตม

ช่างน่าเสียดายจริงๆ ฝางเวินซูขยับตัวเข้าประชิดอีกฝ่าย ประทับจูบลงไปที่ริมฝีปากของเธอ ริมฝีปากของเธอเย็นเยียบและเหี่ยวแห้ง แต่กระนั้นเขาก็ไม่ได้รู้สึกรังเกียจ เขาไม่รู้ว่าทำไมตนถึงต้องทำแบบนี้ บางที…คงเป็นสัญชาตญาณของร่างกายก็เท่านั้น

เมื่อจูบเสร็จฝางเวินซูก็ลุกขึ้นจากพื้น เขาเดินไปที่ผนังห้อง ยื่นมือไปยันผนัง ก่อนผนังจะเริ่มอ่อนนุ่มขึ้นดุจโคลนเหลว กลืนกินแขนเขาไปครึ่งท่อน เขาเผยสีหน้าสุขใจ วินาทีต่อมามันก็รักษาคำสัญญาโดยส่งต่อความทรงจำของฝางเวินซูทั้งหมดให้แก่เขา และแล้วเขาก็กลายมาเป็นฝางเวินซูโดยสมบูรณ์

มนุษย์คืออะไร…ก็แค่ร่างเนื้อที่มีความทรงจำอยู่บ้างก็เท่านั้น

เมื่อร่างเนื้อที่เหมือนกันทุกกระเบียดนิ้วถูกป้อนความทรงจำเดียวกัน ไหนเลยจะมีใครแยกแยะความต่างระหว่างทั้งสองได้ ฝางเวินซูหัวเราะออกมา เขาไม่เห็นความแตกต่างของตนเองกับฝางเวินซู และเชื่อว่าเหอซือม่านก็แยกไม่ออกเช่นกัน

ดังนั้นเขานี่แหละคือฝางเวินซู

ในวินาทีที่ได้รับความทรงจำของฝางเวินซู ร่างกายของเหอซือม่านก็เริ่มละลายกลายเป็นโคลน หลอมรวมไปใต้พื้นดิน นี่เป็นสิ่งที่ชี้ชัดว่าความปรารถนาของเธอเป็นจริงแล้ว มันคือสิ่งที่ต้องจ่ายให้กับการมีชีวิตอยู่ของฝางเวินซู ในวินาทีที่ความปรารถนาเป็นจริง พวกเขาก็จะรวมเป็นหนึ่งกับมัน ไม่มีวันแยกจากกันอีก

ความปรารถนาของเหอซือม่านเป็นจริงแล้ว ฝางเวินซูมีชีวิตรอด แต่ความหมายของการที่เขายังมีชีวิตคือการใช้ชีวิตอยู่ต่อไปเท่านั้นเหรอ ไม่ แต่ไหนแต่ไร ‘มัน’ ที่ครอบครองทุกอย่างไม่เคยปล่อยให้ผลงานชิ้นเอกของตัวเองเสียเปล่า

ฝางเวินซูรู้ว่ามีแขกอื่นเข้ามาในเขาวงกตใต้ดินอันมืดมิดนี้ มีนักรบผู้กล้าหาญ และก็มีหน้าใหม่ที่เหลอหลาทำอะไรไม่ถูก เขาไม่ใช่คนที่ชอบความท้าทายและยากลำบากมาแต่ไหนแต่ไร ดังนั้นเขาจึงตั้งเป้าหมายที่แน่ชัดได้ทันที ฝางเวินซูเป็นคนฉลาด แม้เขาจะรู้ว่าตนเองเป็นส่วนหนึ่งของมัน แต่เขาก็ยังคงเกิดความคิดอื่นๆ อยู่บ้าง เขาอยากออกไปจากที่นี่…แต่เขารู้ดีว่าตัวเองไม่มีทางออกไปได้ดังนั้นจึงต้องใช้วิธีอื่น ใช้เหยื่อล่อที่น่าสนใจชักจูงให้หนูแฮมสเตอร์ที่แสนน่ารักติดกับดัก อเล็กเซย์ใช้ทองเป็นเหยื่อล่อ นั่นเป็นเหยื่อล่อที่โง่เง่าและน่าเบื่อที่สุด ฝางเวินซูรู้วิธีล่าสัตว์ที่น่าสนใจยิ่งกว่านั้น เขาฮัมเพลงเบาๆ เข้าไปในความมืด ใต้เตียงด้านหลังของเขา โคลนสีดำก่อตัวเป็นร่างกายของมนุษย์ คนทั้งหมดต่างก็รู้ว่าซ่งชิงหลัวเป็นบุคคลที่เก่งกาจ แต่คู่หูของเขากลับป้ำๆ เป๋อๆ เหมือนกับเด็กน้อยที่ยังสับสนงุนงงที่เพิ่งออกมาเผชิญโลกใบนี้ ฝางเวินซูหวังอย่างยิ่งว่าตอนที่เด็กน้อยคนนั้นอธิษฐาน อีกฝ่ายจะเด็ดขาดมากพอ

หลินปั้นซย่าย่อมรู้อยู่แล้วว่าฝางเวินซูอยากให้ตนทำอะไร เขาแค่อยากให้ตนเห็นซ่งชิงหลัวในสภาพบาดเจ็บหนัก จิตใจกระวนกระวายจนสูญสิ้นความมีเหตุผลและขายวิญญาณของตัวเองเพื่อให้ทุกคนออกไปจากที่นี่ด้วยกัน เสียดายที่เพียงแค่ประโยคเดียวเท่านั้นตัวตนของฝางเวินซูก็ถูกเปิดโปง เขารู้ในเรื่องที่ตนไม่ควรรู้ ทำให้หลินปั้นซย่าจับพิรุธได้ แต่นอกเหนือจากนี้จุดที่เป็นพาราด็อกซ์ที่ใหญ่ที่สุดก็ยังคงเป็นเรื่องที่ซ่งชิงหลัวเจ็บหนัก

หากความปรารถนาของฝางเวินซูคือซ่งชิงหลัวที่บาดเจ็บหนัก เช่นนั้นความปรารถนาของเขาก็กลายเป็นจริงแล้ว มันชัดเจนแล้วว่าฝางเวินซูที่อยู่ตรงหน้านี้ไม่ใช่มนุษย์ ทว่าหากความปรารถนาของฝางเวินซูไม่ใช่ซ่งชิงหลัวที่บาดเจ็บสาหัส แต่เป็นการสร้างสัตว์ประหลาดบางตัวขึ้นมาทำร้ายซ่งชิงหลัวด้วยหลักการคิดที่คล้ายกับกรณีของอเล็กเซย์ สัตว์ประหลาดเหล่านั้นจะไม่สามารถควบคุมได้ วิธีนี้ก็เหมือนกับการฆ่าตัวตายโดยแท้ หลินปั้นซย่าเองก็ไม่รู้เลยว่าสถานการณ์ระหว่างตนกับฝางเวินซูดีกว่าซ่งชิงหลัวตรงไหน แน่นอนว่ายังมีกรณีที่สามอีกด้วย นั่นก็คือซ่งชิงหลัวถูกฝางเวินซูทำร้ายให้บาดเจ็บโดยตรง แต่นั่นยิ่งเป็นไปไม่ได้ เพราะครั้งแรกที่ซ่งชิงหลัวเห็นเขาคือบอกให้หลินปั้นซย่าหนี ไม่ได้บอกใบ้อะไรเกี่ยวกับฝางเวินซูเลย

เมื่อจัดระเบียบเรื่องราวทั้งหมดได้อย่างชัดเจนแล้ว คำตอบก็เหลือเพียงอย่างเดียว…ภายใต้สถานการณ์ปกติแล้ว เป็นไปไม่ได้เลยที่ซ่งชิงหลัวจะบาดเจ็บสาหัสอยู่เพียงลำพัง เช่นนั้นฝางเวินซูที่อยู่ตรงหน้าก็คืออเล็กเซย์คนที่สอง เพียงแต่ทองในมือของเขากลายเป็นซ่งชิงหลัวที่บาดเจ็บสาหัสแทน ฝางเวินซูวางเหยื่อล่อ เขาอยากใช้เหยื่อล่อนี้ทำให้หลินปั้นซย่าเกิดความปรารถนายิ่งใหญ่ที่สุดในใจ และจะได้ออกจากที่นี่ไปพร้อมกัน

เตรียมทุกอย่างพร้อมสรรพแล้ว แต่เขาดันเผลอไปแตะกับดักหนูด้วยตัวเองจนทำให้หนูแฮมสเตอร์ตัวน้อยจับพิรุธได้

“ยอดเยี่ยม” ฝางเวินซูฟังคำของหลินปั้นซย่าจบก็ปรบมือ และกล่าวว่า “ผมนึกว่าเพราะซ่งชิงหลัวใจอ่อนถึงได้เก็บคนอย่างคุณมาเสียอีก ไม่นึกว่าซ่งชิงหลัวก็ยังเป็นซ่งชิงหลัวอยู่วันยังค่ำ”

“คุณไม่ใช่คนสินะ?” หลินปั้นซย่าขมวดคิ้ว “งั้นทำไมคุณถึงต้องทำงานรับใช้สิ่งชั่วช้านั่นด้วย”

จริงๆ แล้วคำถามนี้เขาก็อยากถามอเล็กเซย์ด้วยเช่นกัน

“เขาคือผู้รู้แจ้ง ผู้ทรงอำนาจ และเป็นผู้ควบคุมโลก การได้เป็นหนึ่งเดียวกับมันนับเป็นเกียรติของมนุษย์” ฝางเวินซูกล่าว “คุณก็ควรรู้สึกเป็นเกียรตินะที่เคยมีโอกาสแบบนี้ด้วย”

หลินปั้นซย่ามองเขาด้วยสีหน้าไร้อารมณ์

“อยู่ด้วยกันกับมัน แบ่งปันความรู้และความทรงจำทั้งหมด ตราบใดที่คุณเข้าใกล้มันก็จะพบว่ามนุษย์นั้นช่างกระจ้อยร่อยยิ่งนัก” ฝางเวินซูเอ่ยเสียงอ่อนโยน

“ถ้าอย่างนั้น ทั้งที่เป็นอย่างที่คุณว่า แต่ทำไมคุณถึงอยากออกไปกับผมล่ะ” หลินปั้นซย่าถามด้วยความแปลกใจ

ไม่ ผมไม่ได้อยากออกไป แต่เป็นเพราะเธออยากให้ผมไปจากที่นี่ ฝางเวินซูคิดแต่เขาไม่ได้เอ่ยคำพูดนี้ออกไป ทำเพียงเผยสีหน้าจนปัญญาออกมา “ดูท่าคุณคงไม่มีวันเข้าใจผมได้”

“ขอโทษที” หลินปั้นซย่ากล่าว “ผมเป็นพวกวัตถุนิยม” เมื่อเขาแน่ใจแล้วว่าตัวตนของฝางเวินซูไม่ใช่มนุษย์ก็สืบเท้าเข้าไปอย่างรวดเร็ว บั่นคอฝางเวินซูทันที “ขอตัวก่อนล่ะ แล้วค่อยคุยกันทีหลัง”

ร่างกายของฝางเวินซูละลายไปตามที่คาด เพียงแต่ตอนที่เขาละลายกลายเป็นโคลนกลับไม่ได้ส่งเสียงกรีดร้อง ทำเพียงเร้นกายเข้าไปในซอกหินสีดำเงียบๆ ทั้งอย่างนั้น

หลังจากฝางเวินซูหายไป ซ่งชิงหลัวกลับไม่ตื่นขึ้น หลินปั้นซย่ามองเขาแล้วหันไปมองเซอร์เก้ จากนั้นความทุกข์ระทมก็เปี่ยมล้นใบหน้าทันที แม้เขาจะรู้ว่าฝางเวินซูเป็นตัวปลอม แต่อย่างไรก็ไม่อาจลงมือกับซ่งชิงหลัวที่หายใจรวยรินสภาพปางตายได้ ความเด็ดขาดเมื่อครู่กลายเป็นความลังเลจากก้นบึ้งของจิตใจ หลินปั้นซย่าไม่อยากลงดาบกับคนที่เหมือนกับซ่งชิงหลัวอย่างกับถอดแบบคนนี้เลย เขาคิดแล้วคิดอีก สุดท้ายก็ตัดสินใจพาซ่งชิงหลัวไปด้วย

โชคดีที่ซ่งชิงหลัวตัวเบา หลินปั้นซย่าอุ้มเขาไว้ในอ้อมแขนราวกับเขาเป็นขนนกอย่างไรอย่างนั้น พร้อมกับแบกเซอร์เก้ไว้ที่หลัง ให้ความรู้สึกเหมือนกำลังอุ้มชูเลี้ยงดูทุกคนในครอบครัวด้วยตัวคนเดียวสุดๆ

ด้วยเหตุนี้ เขาในสภาพดังกล่าวก็เลี้ยวผ่านหัวมุมหนึ่งไปอย่างยากลำบาก แล้วดันไปชนเข้ากับหลี่ซูที่ไม่รู้โผล่มาจากไหน ทั้งสองชะงักในเวลาเดียวกัน จากนั้นก็ยกปืนขึ้นจ่อไปทางอีกฝ่าย

“คุณเป็นตัวจริงหรือตัวปลอม?” หลี่ซูถาม

หลินปั้นซย่าหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก กล่าวว่า “ตัวปลอมจะมีสภาพทุลักทุเลอย่างผมได้เหรอ”

“นั่นสินะ” หลี่ซูพยักหน้าเห็นด้วย

“คุณล่ะ ตัวจริงหรือปลอม?” หลินปั้นซย่าเอ่ยถาม

“ก็ต้องตัวจริงอยู่แล้ว” หลี่ซูตอบอย่างอ่อนล้า เขาเลิกเสื้อขึ้นโชว์รอยฟันนับไม่ถ้วนบนตัว เอ่ยอย่างเจ็บปวด “แม่งเอ๊ย ตอนคุณหลับสนิทอยู่ผมก็โดนมันไล่กัดตลอดทาง…เกือบจะโดนกัดตายไปแล้ว”

หลินปั้นซย่าเอ่ยรับ “อ๋อ”

“แล้วซ่งชิงหลัวในแขนคุณนี่มาได้ยังไง” หลี่ซูเห็นอีกฝ่ายกำลังอุ้มซ่งชิงหลัวก็ระริกระรี้ทันที หลิ่วตามองหลินปั้นซย่าด้วยสายตาชอบกล “ว้าว คิดไม่ถึงเลย คิดไม่ถึงเลยจริงๆ นะเนี่ย หลินปั้นซย่า หนุ่มคิ้วดกตาโต* อย่างคุณทำเรื่องแบบนี้ออกมาได้ด้วย…”

หลินปั้นซย่าตระหนก “คุณพูดอะไรน่ะ?! ผมไม่ได้เป็นคนสร้างเขาขึ้นมานะ…”

“งั้นใครสร้าง” หลี่ซูกล่าว “คงไม่ใช่เซอร์เก้หรอกนะ?”

หลินปั้นซย่าเอ่ยอย่างมีน้ำโห “เขาจะเป็นตัวจริงไม่ได้หรือไง”

“จิ๊ๆๆ คุณพาลโมโหเพราะเขินอยู่ล่ะสิ”

“…” หลินปั้นซย่ายอมแพ้ ไม่ต่อปากต่อคำกับหลี่ซูอีก

ทั้งสองพูดคุยกันคร่าวๆ โดยชี้แจงว่าระหว่างที่ทั้งกลุ่มแยกกันเกิดอะไรขึ้นบ้าง ที่แท้วันนั้นหลังจากหลินปั้นซย่าหลับไป หลี่ซูก็เจอเข้ากับอิริน่าจำนวนนับไม่ถ้วน เพื่อไม่ให้กระทบไปถึงหลินปั้นซย่าจึงได้แต่ถูกอิริน่าไล่กัด กว่าจะวกกลับมาได้เขาก็มีสภาพรุ่งริ่งไปแล้ว

“คุณไม่รู้หรอกว่าพวกเธอดุขนาดไหน” บนผิวหลี่ซูเป็นรอยฟันใหม่เอี่ยมเรียงรายเป็นระเบียบไปแทบจะทุกส่วน เขาขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน “ถ้ารู้ตั้งแต่แรกว่ามันเกิดจากเซอร์เก้ ผมจะเชือดเขาเป็นคนแรกเลย…”

ดูเหมือนว่าเขาจะคิดจริงจังนะเนี่ย

ส่วนทางหลินปั้นซย่า เขาเล่าเรื่องของฝางเวินซูไปโดยสังเขปและเป็นดังคาด หลี่ซูบอกว่าฝางเวินซูตายไปตั้งนานแล้ว

ชายหนุ่มตายไปตั้งแต่ตอนที่พวกเขาเพิ่งเข้าป่ามา ไม่มีใครรู้ว่าฝางเวินซูตายได้อย่างไร พวกเขาไม่พบศพของอีกฝ่ายด้วยซ้ำ เห็นเพียงเสื้อผ้าที่วางทิ้งแหมะอยู่ที่เดิม หลี่ซูไม่คิดเลยว่าหลินปั้นซย่าจะได้เจอฝางเวินซู อีกทั้งซ่งชิงหลัวที่หายใจรวยรินในอ้อมแขนหลินปั้นซย่ายังเกี่ยวข้องกับฝางเวินซูด้วย

ขณะทั้งสองกำลังพูดคุย เสียงฝีเท้าก้องกังวานก็ดังมาจากความมืด หลินปั้นซย่าและหลี่ซูรับรู้ถึงเสียงนี้ในเวลาเดียวกัน รอจนกระทั่งคนคนนั้นเดินเข้ามาใกล้แล้วพวกเขาก็ได้เห็นใบหน้าของหลี่เย่อีกครั้ง

“ทำไมถึงโผล่มาอีกแล้วเนี่ย” หลี่ซูเริ่มรำคาญนิดหน่อย เขาฆ่าหลี่เย่ไปนับครั้งไม่ถ้วนแล้ว ตอนแรกๆ ยังรู้สึกแปลกใหม่ทั้งยังมีเสี้ยวความไม่สบายใจแฝงอยู่นิดๆ แต่หลังจากนั้นก็ฆ่าหลี่เย่ประหนึ่งเชือดไก่ ลงมืออย่างไร้ปรานี

หลินปั้นซย่าชำเลืองมองใบหน้าที่ย้อนแสงอยู่ในความมืดนั้นก่อนรู้สึกทะแม่งๆ เล็กน้อย เพียงแต่เขายังไม่ทันเปล่งคำใด ก็ได้ยินหลี่ซูเอ่ยอย่างไม่ยี่หระไปหนึ่งประโยคเช่นเดียวกับก่อนหน้านี้ “หลี่เย่ มานี่ เลียเท้าฉัน”

หลี่เย่เดินเข้ามาแล้ว

เขาสวมชุดเครื่องแบบขาดๆ โทรมๆ เผยให้เห็นหน้าอกและกล้ามเนื้อสมบูรณ์แบบ เพียงแต่บนนั้นมีรอยเลือดเด่นชัดเหมือนเพิ่งจะผ่านสมรภูมิเดือดมา เมื่อเขาได้ยินคำพูดของหลี่ซู นัยน์ตาสีเขียวน้ำทะเลคู่นั้นก็ทะมึนลง ก้าวขาเรียวยาวออกมาสองสามก้าวและหยุดที่เบื้องหน้าหลี่ซู เสียงของเขาทุ้มต่ำ ไร้ความรู้สึกอื่นใดเจือปน “คุณว่ายังไงนะ”

“ฉันบอกให้นายมาเลียเท้าฉัน” หลินปั้นซย่าดูก็รู้แล้วว่าไม่ปกติ แต่หลี่ซูกลับเอ่ยย้ำอีกครั้งราวกับคนโง่

หลี่เย่ถาม “เลียอะไร”

“ทะ…เท้า…” ในที่สุดหลี่ซูก็สังเกตได้ถึงความผิดปกติ สีหน้าพลันเปลี่ยนเป็นสยดสยองขึ้นมา…รู้สึกกลัวยิ่งกว่าเจอสัตว์ประหลาดอีก เขาอยากถอยหลังไปก้าวหนึ่งแต่กลับถูกหลี่เย่กดไหล่อยู่กับที่

“เลียอะไรนะ” หลี่เย่ถามย้ำอีกครั้ง เขาก้มหน้าจนจมูกแทบจะชนกับปลายจมูกของหลี่ซู เอ่ยเสียงเย็นเยียบ “พูดให้ฟังอีกรอบซิ…”

หลี่ซูไหนเลยจะกล้าพูด เขาสั่นหงึกๆ อย่างกับโดนไฟช็อต กำลังจะส่งสายตาขอความช่วยเหลือไปให้หลินปั้นซย่าก็ดันถูกหลี่เย่บีบคางไว้ หลี่เย่มองพินิจพิเคราะห์เขาขึ้นลงอย่างจับผิดไปรอบหนึ่ง แววตานั้นหากให้หลินปั้นซย่าอธิบาย ก็เหมือนกับคนที่มองเนื้อหมูของตัวเองชั่งกิโลอยู่อย่างไรอย่างนั้น ขาดหายไม่ได้แม้แต่ขีดเดียว หลี่ซูเอ่ยอย่างหาทางเอาตัวรอด “นายใจเย็นก่อน ฟังฉันอธิบาย…”

“รอยฟันนี่คืออะไร” จู่ๆ หลี่เย่ก็ถามขึ้น

“อิริน่ากัด” หลินปั้นซย่าพูดเสียงแผ่วอยู่ข้างๆ

“อิริน่ากัด?” หลี่เย่กล่าว “นี่คุณแอบสมคบคิดกับเธองั้นเหรอ”

หลี่ซู “…???” หลินปั้นซย่า คุณอยากฆ่าผมเหรอ

เขายังไม่ทันได้โต้แย้งอะไรกลับไป หลี่เย่ก็บีบคางหลี่ซูอย่างแรงจนเขาร้องโหยหวนออกมาประหนึ่งหมูโดนเชือด ร้องถามว่า “ไอ้เวรหลี่เย่ แกกะเอาฉันตายจริงๆ เหรอ…”

หลี่เย่ไหนเลยจะสนใจเขา บีบคางเสร็จก็คลายมือแต่ยังคงไม่สบอารมณ์ “น่าเกลียดเป็นบ้า”

หลินปั้นซย่าเห็นคนตีกันแล้วก็อยากโหมไฟให้แรงยิ่งขึ้น เอ่ยสำทับไปอีกประโยค “เขามีรอยฟันทั้งตัวเลย”

หลี่เย่ “…”

หลี่ซู “อ๊ากกกกก…หลินปั้นซย่า!!!”

แน่นอน สุดท้ายแล้วหลี่เย่ก็ไม่ได้ทรมานหลี่ซูอีก เพราะถ้าทำแบบนี้ต่อไปหลี่ซูอาจจะช็อกตายอย่างกะทันหันอยู่ตรงนี้ได้ หลินปั้นซย่าชี้แจงสถานการณ์อยู่ข้างๆ ว่าถึงแม้หลี่ซูจะถูกอิริน่ากัดไปหลายครั้งแต่เขาไม่ได้สมยอม ในใจเขายังคงคิดถึงคุณเสมอ เพราะเขาพยายามให้หลี่เย่ตัวปลอมเลียเท้าตัวเองทุกครั้งเลย

หลี่ซูเพิ่งจะได้รู้เดี๋ยวนี้ว่าเจ้าหลินปั้นซย่าที่หน้าตาภายนอกดูซื่อๆ จิตใจช่างดำทะมึน นับประสาอะไรกับการพูดใส่ไฟเขา แต่กระนั้นเขาก็ไม่กล้ารังแกหลินปั้นซย่า เพราะหลี่เย่บอกว่าซ่งชิงหลัวอยู่แถวๆ นี้ เดี๋ยวก็จะมาแล้ว

“อ้อ งั้นซ่งชิงหลัวคนนี้ก็เป็นตัวปลอมสินะ?” หลินปั้นซย่าเอ่ยอย่างดีใจ “ตกใจแทบแย่”

หลี่เย่ชำเลืองมองซ่งชิงหลัวในอ้อมแขนเขาแล้วมองเขาอีก แววตาดูสับสนเล็กน้อยระหว่างกล่าว “คุณสร้างซ่งชิงหลัวคนนี้ออกมาเหรอ”

หลินปั้นซย่ากำลังจะอธิบาย

ทว่าหลี่ซูก็เอ่ยขึ้นด้วยท่าทางปวดใจจี๊ดอยู่ข้างๆ “ใช่แล้ว แล้วยังทำให้ซ่งชิงหลัวเยินขนาดนี้อีก นายดูสิ ฉันแค่บอกให้นายเลียเท้าเฉยๆ เอง”

หลี่เย่ “…”

หลี่ซู “ฮ่าๆ ล้อเล่นน้า”

หลี่เย่ “ขำตายล่ะ”

หลี่ซูสงบปากสงบคำแล้วแสร้งทำเป็นค้นหาเส้นทาง หลินปั้นซย่ารีบอธิบายว่าตนไม่ได้ทำอะไรซ่งชิงหลัวเลย นี่เป็นสิ่งที่ฝางเวินซูสร้างขึ้น ถึงเขาจะไม่รู้ว่าฝางเวินซูเป็นใครก็เถอะ…

ทั้งสามคุยกันครู่หนึ่งแล้วต่างก็เตรียมตัวเดินทางต่อ หลินปั้นซย่าก้มลงตั้งใจจะอุ้มซ่งชิงหลัวขึ้น พอเอี้ยวตัวไปถึงได้สะดุ้ง ก่อนจะรู้ตัวว่าด้านหลังตนยังมีคนหนึ่งยืนอยู่ เมื่อเห็นเต็มตาแล้วก็พบว่าเป็นซ่งชิงหลัวที่พวกเขาเพิ่งพูดถึงไปเมื่อครู่นี้ ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายมาตั้งแต่เมื่อไหร่ ดูจากท่าทางเหมือนจะยืนอยู่ข้างๆ มาพักหนึ่งแล้ว หลินปั้นซย่าเอ่ย “ซ่งชิงหลัว…คุณมาแล้วเหรอ”

สายตาของซ่งชิงหลัวเคลื่อนลงไปช้าๆ แล้วหยุดอยู่ที่ตัวปลอมซึ่งอยู่ในอ้อมแขนหลินปั้นซย่า

หลินปั้นซย่าเห็นแววตาของเขาก็รู้ว่าสถานการณ์ท่าจะแย่ รีบร้อนเอ่ยชี้แจง ทว่าหลี่ซูกลับกดไหล่เขา เอ่ยน้ำเสียงหนักอึ้ง “ปั้นซย่า คุณไม่ต้องเขินหรอก เพศไม่ใช่อุปสรรคของความรัก ที่นี่ ขอแค่คุณกล้าคิด ทุกอย่างก็เป็นจริงได้!”

ซ่งชิงหลัว “…”

“ไม่ใช่อย่างที่คุณคิดนะ!!!” หลินปั้นซย่าเอ่ยอย่างตระหนก “ซ่งชิงหลัว ผมไม่ได้เป็นคนคิดมันออกมานะ”

“ดูเอาเถอะ ถึงซ่งชิงหลัวจะรู้จักฝางเวินซู แต่ฝางเวินซูนั่นเคยเจอหน้าเขาแค่ไม่กี่ครั้ง ขนาดคุยยังไม่เคยคุยกันสักประโยค จะจินตนาการเขาออกมาได้ยังไง” หลี่ซูยิ้มอ่อนๆ พลางมองหลินปั้นซย่า “ถึงคุณจะรู้ว่าเขาเป็นของเก๊ แต่ก็ยังไม่ยอมห่างจากเขา ความผูกพันเช่นนี้ข้าขอคำนับเลย”

หลินปั้นซย่า “…” ขอโทษนะ ฉันไม่ควรซ้ำเติมหลี่ซูตั้งแต่แรก ที่แท้ธาตุแท้ของมนุษย์คือการทำร้ายกันเองสินะ?

ซ่งชิงหลัวย้ายสายตาออกไปด้วยความเชื่องช้าอย่างที่สุด เขาคล้ายจะอึดอัดเล็กน้อย น้ำเสียงที่พูดกับหลินปั้นซย่าก็เบาลงมาก “วางมันลงเถอะ ผมอยู่ตรงนี้ไง”

หลินปั้นซย่า “ที่จริง…”

ซ่งชิงหลัวกล่าว “ผมรู้”

หลินปั้นซย่า “…” ไม่ คุณไม่รู้!!!

ซ่งชิงหลัวเอ่ยต่อ “หาสิ่งนั้นให้เจอก่อน เรื่องอื่นกลับไปค่อยคุย”

ถึงหลินปั้นซย่าจะมีสิบปากก็พูดความจริงออกไปได้ไม่ชัดเจน ไอ้เจ้าหลี่ซูที่ใช้ลูกไม้สกปรกยักคิ้วหลิ่วตาให้เขา คำพูดส่งมาจากสายตาว่าหนูน้อย เธอยังขาดประสบการณ์อีกเยอะนะ

หลินปั้นซย่าตัดสินใจยอมแพ้เลิกโต้เถียง วางซ่งชิงหลัวในอ้อมแขนลง แล้วเดินตามทัพใหญ่ข้างหน้านี้ไป

หลี่เย่เล่าว่าหลังจากพวกเขาสลัดจนหลุดจากหมีประหลาดในป่านั่นได้แล้ว ใช้เวลาสี่ห้าวันก็มาเจอเมืองนี้ ภาพรวมของเมืองมีลักษณะเหมือนเป็นแท่นบูชา พวกเขาเดาว่าวัตถุนอกรีตที่ต้องตามหาน่าจะอยู่ใจกลางของแท่นบูชาแห่งนี้

ที่นี่ถูกสร้างขึ้นเมื่อไหร่ แล้วใครเป็นคนสร้างขึ้นมา ทุกอย่างนี้ล้วนเป็นปริศนาที่ไม่รู้จะไขได้เมื่อไหร่

เคราะห์ดีที่ในที่สุดพวกเขาทั้งสี่ก็รวมตัวกันได้แล้ว ซ่งชิงหลัวนำหน้า หลินปั้นซย่าถามเขาว่าพวกเราจะไปที่ไหน

“แน่นอนว่าต้องไปที่ที่อยากไปมากที่สุด” ซ่งชิงหลัวให้คำตอบแปลกประหลาดกลับมา

หลินปั้นซย่าเหมือนจะพอเข้าใจรางๆ แล้วว่าที่หลี่เย่บอกว่าพวกเขาเจอวิธีการไปที่นั่นหมายความว่ายังไง

เซอร์เก้ที่ยังไม่ได้สติเปลี่ยนมาอยู่ในมือของหลี่เย่ เขารูปร่างสูงใหญ่ ถึงแบกเซอร์เก้ไปก็ไม่เปลืองแรง เขาเล่าว่าตอนที่มาถึงที่นี่กับซ่งชิงหลัวก็เจอเรื่องยุ่งยากนิดหน่อย ที่นี่อาจจะไม่ได้มีแค่พวกเขา ดูจากรูปแบบของสัตว์ประหลาดแล้วอาจจะยังมีมนุษย์คนอื่นอยู่อีก

พวกเขาเดินหน้าต่อไปราวหลายร้อยเมตร เสียงน้ำก็ดังเข้าโสตประสาทของหลินปั้นซย่า แน่นอนว่าอีกสามคนก็ได้ยินเช่นกัน จากนั้นพวกเขาก็เลือกที่จะเปลี่ยนทิศมุ่งไปทางที่มีน้ำทันที

เมื่อเลี้ยวมาหลายหัวมุมแล้ว ห้องศิลารอบๆ ก็น้อยลงเรื่อยๆ ลานสายตาเปิดกว้างขึ้นในพริบตา และเพื่อเป็นการประหยัดแบตเตอรี่ ทั้งสี่จึงใช้ไฟฉายเพียงสองอัน หลินปั้นซย่าและซ่งชิงหลัวถือคนละอัน พวกเขาส่องไฟฉายไปด้านหน้าและก็ได้เห็นลานที่ทั้งใหญ่โตและโล่งกว้าง รอบๆ ลานเป็นเสาทรงกลม ซึ่งคล้ายจะมีกระแสน้ำไหลอยู่ในนั้น นี่คงจะเป็นเสียงน้ำที่พวกเขาได้ยิน

“มีคนมา” ซ่งชิงหลัวพูดออกมาโดยฉับพลัน

ทุกคนระวังตัวขึ้นมาทันที เข้าไปหลบในห้องศิลาใกล้ๆ ซ่งชิงหลัวปิดไฟฉายในมือ พวกเขายืนอยู่หน้าประตู มองสำรวจด้านนอกอย่างระมัดระวัง

ไม่พูดคงไม่ได้ ซ่งชิงหลัวต่างจากคนธรรมดาจริงๆ เขาได้ยินเสียงฝีเท้าล่วงหน้านานแล้ว แต่สามนาทีหลังจากนั้นหลินปั้นซย่าถึงเพิ่งได้ยินเสียงฝีเท้าที่ดังขึ้นอย่างพร้อมเพรียง คล้ายว่ามีคนหลายคนกำลังมุ่งมาทางพวกเขา

ผ่านไปครู่หนึ่ง หลินปั้นซย่าก็เห็นว่าไกลออกไปจากลานนั้นมีแสงไฟเล็กๆ เป็นประกายราวดาวมากมายปรากฏ เมื่อแสงไฟเหล่านี้มาถึงลานพิธีก็กระจายตัวออกไปรอบทิศ ไม่นานก็จุดคบเพลิงที่อยู่ด้านข้างทำให้ทั่วลานพิธีสว่างขึ้นมา และหลินปั้นซย่าก็เห็นลักษณะของพวกเขาได้อย่างชัดเจนเช่นกัน

คนเหล่านี้ล้วนถูกคลุมไว้ด้วยผ้าสีดำแทบทั้งตัว ไม่เห็นแม้กระทั่งใบหน้า หลังจากพวกเขาจุดคบเพลิงแล้วก็มารวมตัวกันที่ใจกลางลานพิธี

หลินปั้นซย่านับดูแล้ว คนกลุ่มนี้มีอยู่ราวๆ สิบห้าสิบหกคน พวกเขาค่อยๆ ล้อมเป็นวงกลม คล้ายกำลังเริ่มพิธีกรรมอะไรประหลาดๆ

หลินปั้นซย่ามองอย่างใจจดใจจ่อ เขาได้ยินเสียงคนกลุ่มนั้นเริ่มสวดภาษาแปลกๆ เขาฟังภาษานี้ไม่ออก แล้วมันก็ไม่เหมือนภาษารัสเซียด้วย การออกเสียงนั้นแปลกประหลาดมาก ฟังแวบแรกแล้วดูไม่ใช่คำพูดที่มนุษย์สามารถเปล่งออกมาได้เลย ออกจะเหมือนเสียงร้องเซ็งแซ่ของสัตว์เลื้อยคลานมากกว่า หลินปั้นซย่าฟังอยู่ครู่หนึ่งก็รู้สึกไม่สบายใจ เขาไม่รู้จะอธิบายความรู้สึกนี้ออกมายังไง ภาษาแปลกๆ นั่นก่อเกิดเป็นทำนองล้ำลึกอย่างหนึ่ง เคาะลงมาที่หัวใจของเขาครั้งแล้วครั้งเล่า

ขณะเดียวกัน กลางลานพิธีก็มีแท่นศิลาแท่นหนึ่งยกตัวขึ้นมาช้าๆ ด้านบนแท่นศิลานั้นมีเด็กตัวเล็กผอมซูบคนหนึ่ง เด็กคนนั้นนอนแน่นิ่งไม่ขยับเขยื้อนอยู่บนแท่นศิลา หลินปั้นซย่ามองร่างของเด็กคนนั้น ในใจก็เกิดความรู้สึกคุ้นเคยชอบกล เขากำลังอยากเขยิบเข้าไปเพื่อดูหน้าตาของเด็กน้อยชัดๆ แต่คนที่สวมผ้าคลุมเหล่านั้นก็เหมือนจะจับสังเกตตำแหน่งของหลินปั้นซย่าได้ มันหันมามองในทิศที่หลินปั้นซย่าอยู่โดยฉับพลัน

หลินปั้นซย่าสะดุ้งตกใจแต่เขายังไม่ทันไหวตัวก็เห็นคนเหล่านี้ยกมือขึ้นเลิกผ้าคลุมที่บดบังใบหน้าตัวเองออก เผยให้เห็นใบหน้ามากมายที่แต่เดิมไม่อาจมองเห็นได้ชัดเจน

หลินปั้นซย่าจำนวนนับไม่ถ้วนยืนอยู่ข้างแท่นศิลาเงียบๆ เด็กน้อยบนแท่นศิลาส่งเสียงกรีดร้อง เธอดิ้นรนหมายจะลงมาจากแท่น แต่คนที่ใบหน้าพร่ามัวข้างๆ กลับกดตัวเธอไว้บนหินอย่างแน่นหนา จากนั้นก็ล้วงเอาอาวุธมีคมเล่มหนึ่งออกมาจากหน้าอก เสือกแทงไปที่ร่างของเด็กหญิง

“พี่จ๋า…พี่จ๋า…” เด็กผู้หญิงกรีดร้องเสียงแหลมออกมา การดิ้นรนของเธอไม่ต่างจากมดที่เขย่าต้นไม้* เลือดสีแดงสดไหลออกจากกายของเธอไม่ขาดสาย ของเหลวไหลรินลงมาตามแท่นศิลาจนถึงพื้นลานพิธี จากนั้นก็แผ่ไปตามร่องน้ำราวกับดอกไม้ที่บานสะพรั่ง และเธอก็เป็นเครื่องสังเวยที่งดงามที่สุดท่ามกลางหมู่ดอกไม้นี้

“หยุดนะ!” หลินปั้นซย่าร้องออกไป เขาทนมองต่อไปไม่ไหวแล้ว อยากพุ่งตัวไปที่แท่นบูชานั่นโดยไม่สนอะไรทั้งนั้น “หยุดเดี๋ยวนี้!”

มีบางสิ่งกักตัวเขาไว้แน่น เขาไม่สามารถควบคุมร่างกายของตัวเองได้ หลินปั้นซย่าใช้แรงทั้งหมดดิ้นรนแต่ก็ไม่อาจหลุดจากพันธนาการได้อยู่ดี ได้แต่มองน้องสาวของตัวเองค่อยๆ หมดลมไปช้าๆ

“หยุดสิวะ!” กลุ่มคนที่มีใบหน้าเหมือนกับหลินปั้นซย่ายกยิ้ม รอยยิ้มนั้นบิดเบี้ยวขึ้นเรื่อยๆ สุดท้ายก็หมุนเป็นน้ำวน หลินปั้นซย่าตัวอ่อนยวบ เขาคุกเข่ากับพื้นพลางสะอึกสะอื้นอย่างสิ้นหวัง “หยุด…”

ภาพตรงหน้าพลันบิดเบี้ยว หลินปั้นซย่าเห็นใบหน้าของซ่งชิงหลัวที่ใกล้เพียงคืบ แขนทั้งสองข้างของซ่งชิงหลัวกอดเขาแน่น กักขังร่างของเขาไว้ หลินปั้นซย่ากะพริบตาปริบๆ หยาดน้ำตาไหลลงมาตามหางตา ร่วงเผาะลงบนริมฝีปากของซ่งชิงหลัวพอดี

ซ่งชิงหลัวเลียริมฝีปากเบาๆ มันเป็นรสเค็ม

“เกิดอะไรขึ้นกับผม” หลินปั้นซย่าถามอย่างงุนงง

ซ่งชิงหลัวกล่าว “ไม่เป็นไร”

หลินปั้นซย่ามองไปรอบๆ แล้วจึงเห็นหลี่ซูและหลี่เย่ยืนอยู่ข้างๆ ด้วยเช่นกัน ทว่าสีหน้าของทั้งสองดูไม่ดีนัก บนแขนของหลี่ซูมีแผลเพิ่มขึ้นมาด้วย

หลี่เย่กำลังก้มหน้าช่วยหลี่ซูพันแผล เขาเม้มปากแน่นดูเย็นชา แต่อย่างน้อยมือที่พันแผลก็ยังนุ่มนวล

“ไม่เป็นไร แค่อาการผีอำเฉยๆ” ซ่งชิงหลัวไม่ได้ถามว่าหลินปั้นซย่าเห็นอะไรไปบ้าง เมื่อเขาคลายอ้อมแขนออกก็ตบหลังหลินปั้นซย่าเบาๆ ราวกับปลอบโยนเด็กน้อยที่เสียขวัญ

หลินปั้นซย่าไม่สบายใจเล็กน้อย เขาจำไม่ได้แล้วว่าตนเห็นอะไรบ้าง แต่ความเจ็บปวดแรงกล้ายังคงแผ่ขยายไปทั้งหัวใจ นั่นไม่ใช่ความเจ็บปวดจริงๆ แต่เป็นความรู้สึกอย่างหนึ่ง เขาหันกลับไปมองลานพิธีอีกครั้ง ไม่นึกว่าตรงนั้นจะมีคนหลายสิบคนยืนอยู่จริงๆ เพียงแต่บนตัวพวกเขาไม่ได้สวมเสื้อคลุมอยู่ มองปราดเดียวก็เห็นลักษณะของพวกเขาได้เด่นชัด

ไม่ นั่นจะใช่คนจริงๆ เหรอ

เมื่อหลินปั้นซย่าเห็นพวกเขาเต็มตาแล้วก็จมสู่ภวังค์ความสงสัย ร่างกายของพวกเขาประหลาดมาก ไม่มีผิวหนังเลยทั้งหมดล้วนเป็นมัดกล้ามเนื้อสีแดงก่ำ แขนขาและเครื่องหน้าราวกับก้อนโคลนที่ถูกแยกออกจากกันแล้วก็ฝืนเอากลับมารวมอีกครั้ง ดูกระจัดกระจายแตกแยก บางคนถึงขั้นมีแขนข้างหนึ่งติดอยู่ที่บ่าและมีดวงตานับไม่ถ้วนกะพริบปริบๆ อยู่ที่หลัง

หลินปั้นซย่ารู้สึกคลื่นไส้ มันไม่ใช่ความกลัวหรืออะไรอย่างอื่น เป็นเพียงความสะอิดสะเอียนล้วนๆ เหมือนกับสัญชาตญาณในการเอาตัวรอดของเขาร่ำร้องว่าสิ่งนี้มีผลกระทบต่อจิตใจของเขา ดังนั้นจึงไม่ควรมองมันอีก

หลินปั้นซย่าคลื่นเหียนส่งเสียงจะอาเจียนหลายครั้ง รีบหันหน้าไปอย่างร้อนรน “พวกนั้นคืออะไรกันแน่…”

“คู่ดำรง” ซ่งชิงหลัวกล่าว “คู่ดำรงส่วนใหญ่เป็นแบบนี้หมด”

หลินปั้นซย่านึกถึงเจี่ยงรั่วหนานขึ้นมา เธอคือคู่ดำรงที่ซ่งชิงหลัวบอก หลินปั้นซย่าในตอนนั้นยังไม่ตระหนักถึงความโหดร้ายของคำคำนี้ เขานึกว่าคู่ดำรงหรือที่เรียกว่าญาติพี่น้องทั้งหมดจะเป็นแบบเจี่ยงรั่วหนาน แต่กลับไม่เคยนึกคิดมาก่อนเลยว่านี่ต่างหากที่เป็นสภาพทั่วไปของพวกเขา

“ยังไม่รู้ที่มาของวัตถุนอกรีต แต่ทุกที่ที่มันไปถึง มักจะตามมาด้วยหายนะเสมอ” ซ่งชิงหลัวกล่าว “ยิ่งมนุษย์สัมผัสกับมันนานเข้าก็ยิ่งถูกปนเปื้อนได้ง่าย ดังนั้นจึงต้องปิดผนึกพวกมัน ยิ่งเร็วยิ่งดีแต่เสียดายที่…”

“เสียดายที่…” หลี่ซูยิ้มขื่นต่อคำพูดอยู่ข้างๆ “หลายปีมานี้สิ่งเหล่านี้คึกคะนองมากขึ้นเรื่อยๆ”

ซ่งชิงหลัวไม่เอ่ยอะไรต่ออีก เขายกมือขึ้นล้วงถุงมือสีดำในกระเป๋าออกมา สวมเข้าไปให้แนบสนิทกับผิวทีละนิ้วๆ

หลินปั้นซย่าเอ่ยเสียงแผ่วอยู่ข้างๆ “ผมช่วยอะไรได้มั้ย”

ซ่งชิงหลัวเอียงศีรษะมองเขา นัยน์ตาสีดำหลุบลงครึ่งหนึ่ง เขากล่าวด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาเช่นเคย “ถ้าเกิดจู่ๆ ผมไม่ขยับก็ฆ่าผมซะ”

เขากล่าวจบก็นำปืนออกมาจากกระเป๋า ขึ้นลำกล้องให้พร้อม แล้วหมุนกายเดินออกไป

“เขาจะไปตรงๆ อย่างนี้เลยเหรอ” หลินปั้นซย่าตระหนก “จะเกิดเรื่องขึ้นหรือเปล่า”

“ไม่ต้องเป็นห่วงเขา” หลี่ซูเอ่ย “ถ้าอย่างเขายังทำไม่ได้ พวกเราก็มีแต่ตายอยู่ที่นี่”

หลินปั้นซย่าหันมองไปที่ใจกลางลานพิธี ตัวประหลาดพวกนั้นยังคงยืนตัวตรงอยู่ข้างแท่นศิลาเงียบๆ ใจกลางแท่นศิลาไม่รู้ว่าหัวใจสีแดงสดดวงหนึ่งถูกยกขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไหร่ ตอนนี้มันเต้นอย่างเชื่องช้า เพียงปราดมองครั้งเดียวหลินปั้นซย่าก็รู้สึกประหวั่นใจ เขารีบดึงสายตากลับมา หอบถี่กระชั้น “มันคืออะไรกันแน่…”

“ไม่รู้สิ” หลี่ซูกล่าว “ไม่มีใครรู้ว่าวัตถุนอกรีตมีที่มายังไงกันแน่”

หลินปั้นซย่าอยากพูดคุยกับหลี่ซูอีกสองสามประโยค แต่กลับรู้สึกว่าสัมผัสของผนังที่ตนพิงอยู่คล้ายจะไม่ถูกต้อง เขารีบออกห่างจากผนังทันทีและเอ่ยว่า “ผนังนี้มีปัญหา…”

ทันทีที่เขาพูดจบก็เห็นว่ากำแพงด้านหลังตนอ่อนยวบ กระเพื่อมขึ้นลงราวกับหน้าอกคน จากนั้น ใบหน้าสยดสยองมากมายก็นูนออกมาจากผนัง หลินปั้นซย่ารีบตั้งสติทันที สายตากวาดมองไปรอบห้อง “เวรเอ๊ย…เซอร์เก้ล่ะ???”

หลี่ซูร้อง “เมื่อกี้ยังหลับบนพื้นอยู่เลยนี่? ไอ้เวรนี่…ยังไม่ลืมอิริน่าของมันอีก!!”

เมื่อครู่พวกเขาเพิ่งได้รับผลกระทบจากสิ่งนั้นไป คลาดสายตาไปแวบเดียวเซอร์เก้ก็หนีหายไปแล้ว จบกัน ผีสางเทวดาที่ไหนจะรู้ว่าเขาจะสร้างอิริน่าขึ้นมาอีกกี่ตัว

แต่จะมาโทษเขาตอนนี้ก็ไม่ช่วยอะไร ผนังทั้งห้องมีแขนขาของมนุษย์สุดคณานับผุดออกมา อิริน่าจำนวนนับไม่ถ้วนพยายามมุดหน้าออกมาจากผนัง

หลี่ซูโมโหจนหลุดหัวเราะ สบถกล่าว “ทวดแกสิ บัดซบเอ๊ย ฉันยังต้องโดนกัดอีกกี่รอบเนี่ย ไอ้กร๊วกนี่แม้แต่ฝุ่นบนก้นฉันก็ยังกัดไม่เว้นเลย” เขายังอยากพูดอะไรอีก แต่พลันก็ตระหนักได้ว่าหลี่เย่ยืนหน้าทะมึนอยู่ข้างๆ จึงรีบหุบปากฉับอย่างมีไหวพริบ บอกว่าตนเองยังบริสุทธิ์ผุดผ่อง

หลินปั้นซย่ารู้สึกทั้งโมโหทั้งตลก “เลิกทะเลาะกันเถอะ มันจะออกมาแล้ว…”

หลี่ซูพูดว่าอืมรับคำ ขึ้นลำกล้องปืนลูกซองโดยไม่ลังเล จากนั้นก็ยิงปืนนัดแรกเสียงดังปัง อิริน่าที่เพิ่งเบียดออกมาได้ครึ่งตัวถูกเขาเป่าจนแหลกละเอียด แต่ก็มีอิริน่าคนต่อไปตามมาทันที นี่ยังไม่ใช่สิ่งที่แย่ที่สุด เพราะที่แย่ที่สุดคือหลังจากที่หลินปั้นซย่ายิงไปสองนัดตามคำแนะนำของหลี่ซู จู่ๆ เขาก็รู้สึกว่าพื้นใต้เท้ากำลังยวบตัวทั้งยังกระเพื่อมขึ้นลงช้าๆ เช่นเดียวกับผนัง

 

* คิ้วดกตาโต หมายถึงคิ้วและดวงตาเด่นชัด ใช้พูดถึงคนที่มีหน้าตางดงาม

* มดที่เขย่าต้นไม้ เปรียบเปรยถึงคนที่มีความสามารถน้อยนิดแต่คิดทำการใหญ่ ต่อกรกับสิ่งที่เหนือกว่าตนมาก

 

โปรดติดตามตอนต่อไป

ติดตามบทต่อไป ได้ในวันที่ 20 .. 65

Comments

comments

No tags for this post.
Continue Reading

More in everY

บทความยอดนิยม

everY

ทดลองอ่าน เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 Chapter 2.1-2.2 #นิยายวาย

ทดลองอ่าน เรื่อง เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 ผู้เขียน : MINTRAN แปลโดย : ทันบี ผลงานเรื่อง : 배타적 연애 금지구역 ถือเป็นลิขสิทธิ์...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 1-2

บทที่ 1 ฮ่องเต้หญิง   “ท่านพี่นำร้อง น้องหญิงคลอรับ ท่านพี่เสียงเพิ่งลับ น้องหญิงสลับขึ้นเวที เป็นมารดาอารี มีบุตรีกตัญญ...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน ร้อยเรียงรักเคียงฤทัย บทนำ – 1.2

บทนำ ความหลังของต้าลี่ 1   ฤดูหนาวในรัชศกต้าลี่ปีที่สิบเอ็ด โม่เป่ย ตำบลค่งหม่า สถานที่แห่งนี้คือประตูด่านสำคัญสุดท้ายทา...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 7-8

บทที่ 7 ค่าเดินทาง เมื่อภูตสุนัขดำคืนร่างเป็นสุนัขธรรมดาตัวหนึ่ง ภูตบุปผาสองตนนั้นก็ไม่อาจทำการใหญ่ ต่อให้ชาวหมู่บ้านป่า...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 3-4

บทที่ 3 เกิดใหม่   เวิ้งฟ้าดำสนิทปานน้ำหมึก เพียงมีดวงดาวบางตากระจัดกระจายบนม่านฟ้า ทอรัศมีอ่อนจางประเดี๋ยวเผยประเดี๋ยวเ...

community.jamsai.com