ทดลองอ่าน ภาพวาดโครงกระดูก เล่ม 3 บทที่ 56 #นิยายวาย – Jamsai
Connect with us

Jamsai

everY

ทดลองอ่าน ภาพวาดโครงกระดูก เล่ม 3 บทที่ 56 #นิยายวาย

ทดลองอ่าน เรื่อง ภาพวาดโครงกระดูก เล่ม 3

ผู้เขียน : ซีจื่อซวี่

แปลโดย : qMondae

ผลงานเรื่อง : 骷髅幻戏图 (Ku Lou Huan Xi Tu)

ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน

จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว

หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย

– – – – – – – – – – – – – – – – –

 

Trigger Warning

เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับการตาย การฆ่าตัวตาย การฆาตกรรม

มีการบรรยายถึงเลือดและสภาพศพ การทำร้ายทางร่างกายและจิตใจ

และการทำร้ายเด็ก ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ

  

สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป

โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน

** หมายเหตุยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **

– – – – – – – – – – – – – – – – –

 

บทที่ 56 ฝัน (2)

มีคนกระโดดตึกแบบนี้ทั้งโรงเรียนจึงแตกตื่นชุลมุนไปหมด เหล่าเด็กนักเรียนที่ขี้กลัวพากันกรีดร้องเบือนหน้าหนี คนที่ใจกล้าหน่อยก็วิ่งมาเกาะขอบหน้าต่างส่งเสียงฮือฮามุงดูความโกลาหล ทั้งห้องเรียนวุ่นวายเละเทะราวกับหม้อโจ๊ก แม้อาจารย์จะสั่งให้ทุกคนอยู่ในความสงบแต่ก็ไม่มีใครฟัง

ว่ากันตามเหตุผล หลินปั้นซย่าเพิ่งเคยเห็นคนตายเป็นครั้งแรกก็ควรจะต้องรู้สึกกลัว ทว่าในใจเขากลับปราศจากระลอกคลื่นความรู้สึกใดๆ ราวกับเคยเจอเหตุการณ์แบบนี้มาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน ความรู้สึกคุ้นเคยนี้ทำให้หลินปั้นซย่ารู้สึกประหลาดชอบกล เขาย้ายสายตาออกจากตรงนั้น และเพื่อให้ตัวเองดูกลมกลืนกับคนอื่นๆ เขาจึงพร่ำบ่นว่า “น่ากลัวจริงๆ ทำไมจู่ๆ ถึงได้กระโดดตึกนะ”

“น่ากลัว? ฉันไม่เห็นนายจะกะพริบตาเลยสักนิด กลัวจริงเหรอ” มีคนพูดขึ้นมาข้างๆ หลินปั้นซย่า

หลินปั้นซย่าที่โดนจับได้นึกตะลึงอยู่ในใจ หันหน้าไปก็พบว่าเป็นหลี่ซูที่ควรยืนรับโทษอยู่นอกห้องไม่รู้ว่าเขาวิ่งเข้าประตูแล้วมายืนมุงอยู่ริมหน้าต่างตั้งแต่เมื่อไหร่ แล้วก็ไม่รู้ว่าจงใจพูดอะไรแบบนี้ออกมาเพื่อแขวะหลินปั้นซย่าหรือเปล่า

หลินปั้นซย่ากะพริบตาปริบๆ ไม่ได้ตอบรับ

“น่าเบื่อ ไม่เห็นจะน่าสนใจเลย” หลี่ซูมองได้ครู่หนึ่งก็หันหลัง เขาเหลือบมองหลินปั้นซย่าคล้ายกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง “ยังไม่น่าสนใจเท่านาย”

หลินปั้นซย่าไม่ได้อยากสุงสิงกับหลี่ซูสักเท่าไหร่ เขารักษาความเงียบต่อไป แสร้งว่าตัวเองเป็นเพียงมนุษย์ท่อนไม้

หลี่ซูคล้ายจะไม่ถือสาเลยสักนิด หัวเราะพลางตบไหล่หลินปั้นซย่า “นายรู้จักคนนั้นหรือเปล่า”

หลินปั้นซย่าถามกลับไป “ใคร”

หลี่ซูบุ้ยปากไปนอกหน้าต่าง

หลินปั้นซย่าผงะ มองไปนอกหน้าต่างถึงได้พบว่าผู้ชายหน้าสวยผิวขาวดุจกระเบื้องเมื่อครู่กำลังมองมาที่หน้าต่างฝั่งพวกเขา…ไม่สิ พูดให้ถูกก็คือกำลังมองหลินปั้นซย่าอยู่ตลอดเวลา ทันทีที่เขาทอดสายตามองไป สายตาก็ประสานกับชายคนนั้น ดวงเนตรดำขลับคู่นั้น ไม่รู้ว่าหลินปั้นซย่าตาฝาดไปหรือเปล่า เขาถึงเห็นเสี้ยวความอันตรายระคนแทะโลมจากแววตาเฉยเมย ด้วยเหตุนี้เขาจึงก้มหน้าลงด้วยทำตัวไม่ถูก เอ่ยเสียงแผ่ว “ไม่รู้จักนะ”

“นายไม่รู้จัก?” หลี่ซูกล่าว “นั่นสินะ…แต่ฉันรู้จักล่ะ”

หลินปั้นซย่าแปลกใจ “งั้นเขาคือใครล่ะ”

“ซ่งชิงหลัว ห้องสาม” หลี่ซูบอก “คือคนที่ได้ที่หนึ่งตอนประกาศคะแนนสอบประจำเดือนทุกครั้งตั้งแต่วิชาแรกยันวิชาสุดท้ายไง…”

พอเขาพูดขึ้นมาหลินปั้นซย่าก็นึกออกทันที ซ่งชิงหลัวเป็นคนดังในชั้นปีของพวกเขา ตั้งแต่เข้าเรียนที่นี่จนถึงตอนนี้ คะแนนก็เป็นอันดับหนึ่งมาตลอด ทั้งยังเป็นคนที่เด็กผู้หญิงในห้องพูดถึงมากที่สุด เพียงแต่หลินปั้นซย่าไม่ค่อยสนใจคนรอบข้างนักก็เลยไม่รู้จักซ่งชิงหลัว

“พวกนายไม่รู้จักกันจริงๆ เหรอ” หลี่ซูไม่ค่อยเชื่อนัก “งั้นทำไมถึงจ้องนายตาเป็นมันอย่างกับหมาเห็นกระดูกอย่างนั้นล่ะ”

หลินปั้นซย่าจนปัญญา “เปรียบเทียบแบบนี้คืออยากจะด่าฉันหรือว่าซ่งชิงหลัวกันแน่?”

หลี่ซูหัวเราะคิกคัก “ทั้งสองนั่นแหละ ยังไงเขาก็ไม่ได้ยินฉันหรอก”

หลินปั้นซย่า “…”

ขณะทั้งคู่กำลังพูดคุยกัน เพียงชั่วพริบตาท้องฟ้าก็ครึ้มลง ทั้งๆ ที่เมื่อครู่ท้องฟ้ายังเปิดโล่งนับพันลี้ แต่ระหว่างที่พูดคุยไปได้เพียงแค่สองสามประโยคก็มีเมฆดำหนาแน่นเข้าปกคลุม ดูอย่างไรก็เหมือนฝนจะตกลงมาเดี๋ยวนั้น

“โธ่ ดูอากาศนี่สิ” หลี่ซูบ่น “ยังไม่ทันเข้าฤดูร้อนก็เอาแน่เอานอนไม่ได้อย่างกับเด็กน้อย นึกจะตกก็ตก นายพกร่มมาหรือเปล่า”

หลินปั้นซย่ากล่าว “เปล่า”

“ฮี่” หลี่ซูเอ่ยแกมหัวเราะอย่างลำพองใจ “ฉันพกมา”

เขากำลังจะโม้อีกสองสามประโยคก็โดนหิ้วคอโดยอาจารย์ที่เดินเข้ามากระชากตัวส่งเขาออกไปยืนอยู่นอกห้องเรียนอีกรอบ หลี่ซูไม่ยี่หระ ก่อนจะออกไปยังหัวเราะพลางตะโกนบอกให้หลินปั้นซย่ารอเขาหลังเลิกเรียน…

อาจารย์ได้ยินก็โมโหจนหลุดปากออกมาว่า “ทำไม คิดจะข่มขู่เพื่อนหรือยังไง”

หลี่ซูกระเง้ากระงอด “อาจารย์ ผมแค่อยากแชร์ร่มกับเพื่อน เป็นการดูแลห่วงใยเพื่อนเฉยๆ”

อาจารย์ไหนเลยจะเชื่อเขา พูดเสียงแข็ง “ถ้ายังไม่ไปยืนดีๆ อีก ฉันจะให้นายได้ประจักษ์สักหน่อยว่าอะไรคือการดูแลและห่วงใย”

หลี่ซูไหวไหล่ ดูอย่างไรก็เหมือนหมูตายไม่กลัวน้ำร้อนลวก ไม่เหมาะกับใบหน้าที่สวยยิ่งกว่าสาวน้อยของเขาเลยจริงๆ

หลินปั้นซย่าหันกลับไปอีกครั้ง ซ่งชิงหลัวที่อยู่ใต้อาคารก็หายไปแล้ว เหลือเพียงอาจารย์ที่อยู่ดูแลสถานการณ์และศพที่กระแทกพื้นจนยับเยิน สายฝนเทลงมาซ่าๆ ราวกับผ้าคลุมขนาดมหึมาที่ครอบคลุมโลกทั้งใบไว้ในนั้น เลือดของศพไหลไปกับน้ำฝน ย้อมพื้นคอนกรีตให้เป็นสีแดง

ในที่สุดอาจารย์ก็คุมสถานการณ์ได้ สั่งนักเรียนให้ปิดหน้าต่างอย่างเรียบร้อย ไม่อนุญาตให้มุงดูกันอีก

หลินปั้นซย่าหันกลับไปมองกระดาษข้อสอบบนโต๊ะ พบว่ามุมหนึ่งของกระดาษเปียกฝนจนตัวอักษรถูกเปลี่ยนเป็นรูปร่างประหลาด

 

หลังการสอบย่อยเสร็จสิ้นก็เป็นชั่วโมงทบทวนด้วยตัวเองภาคค่ำอันแสนยาวนาน ระหว่างนี้ฝนก็ยังตกไม่หยุด ฝนตกกระทบหน้าต่างดังเปาะแปะๆ อยู่ตลอดเวลา ในอากาศอวลไปด้วยกลิ่นดินที่ไม่ถึงกับเหม็นแต่ทำให้หลินปั้นซย่ารู้สึกไม่สบายเล็กน้อย เขาถูจมูก เหลือบมองเวลา อีกยี่สิบนาทีก็จะจบชั่วโมงทบทวนด้วยตัวเองภาคค่ำแล้ว

ตอนนี้เด็กนักเรียนที่ไม่ได้อยู่หอเลิกเรียนกันหมดแล้ว ในห้องเรียนเหลือเพียงเด็กหอจำนวนไม่กี่คน คุณภาพความเป็นอยู่ของหอในโรงเรียนไม่ดีนัก อีกทั้งใกล้จะขึ้นมัธยมปลายปีสามแล้ว นักเรียนที่ฐานะทางบ้านดีหน่อยก็จะไปเช่าห้องข้างนอกอยู่กันทั้งนั้น มีเพียงนักเรียนที่ฐานะไม่ดีจริงๆ ถึงจะเลือกอยู่หอโรงเรียน ดังนั้นคนจึงมีไม่มาก แต่ละห้องก็มีประมาณห้าหกคนเท่านั้น

หลินปั้นซย่าสังเกตว่าหลี่ซูที่เดิมทีควรกลับไปแล้วยังไม่ไปไหน นั่งอยู่มุมห้องไม่รู้กำลังทำอะไร เขาแปลกใจเล็กน้อยแต่ในใจก็ไม่ได้คิดอะไรมาก

เวลาล่วงเลยจนพ้นสี่ทุ่มมาแล้ว กริ่งเลิกคาบเรียนดังขึ้น ชั่วโมงทบทวนด้วยตัวเองภาคค่ำของเด็กหอจบลงในที่สุด

หลินปั้นซย่าเริ่มเก็บของใส่กระเป๋าหนังสือเตรียมพร้อมกลับห้อง ใครจะรู้ว่าตอนกำลังก้มหน้ายัดของลงกระเป๋า จู่ๆ หลี่ซูก็เข้ามาประชิดอยู่ตรงหน้าหลินปั้นซย่า เอ่ยว่า “นี่ จะไปแล้วเหรอ”

หลินปั้นซย่าเงยหน้าเหลือบมองเขา ส่งเสียงอืมตอบรับ

หลี่ซูกล่าว “นายรู้จักเด็กที่กระโดดตึกฆ่าตัวตายวันนี้หรือเปล่า”

หลินปั้นซย่าเอ่ย “ทำไม”

“นายนี่ไม่รู้เรื่องอะไรเลยจริงๆ ใครๆ เขาก็ลือกันทั่วเลยนะ” เขาล้วงโทรศัพท์มือถือออกมาส่งให้หลินปั้นซย่า หมายจะให้เขาอ่านเนื้อหาในนั้น

หลินปั้นซย่ารับมาอ่านก็พบว่าเป็นรูปแคปหน้าจอบันทึกแชตสนทนาช่วงหนึ่ง ดูจากเนื้อหาบทสนทนาแล้วก็ไม่มีอะไรพิเศษ คร่าวๆ ก็คือคนหนึ่งอยากจะไปดูที่ที่หนึ่งให้ได้ อีกคนหนึ่งพยายามห้ามปรามอยู่ตลอด สุดท้ายทั้งคู่ก็ทะเลาะกัน แล้วแยกกันไป

หลินปั้นซย่าดูอยู่ครู่หนึ่งก็เข้าใจบางอย่าง “เป็นแชต…ของนักเรียนที่กระโดดตึกวันนี้เหรอ”

“ฉลาด” หลี่ซูเอ่ยชื่นชม

“เขาจะไปที่ไหน” หลินปั้นซย่ารู้สึกว่าบันทึกแชตนี้ดูคลุมเครือ อ่านแล้วไม่ค่อยเข้าใจนัก

“นายไม่เคยได้ยินตำนานของโรงเรียนเหรอ” หลี่ซูกล่าว “เล่ากันว่าวันที่ฝนตก ในอาคารเรียนตอนสิบสองนาฬิกา เมื่อนับบันไดได้สิบสามขั้นก็จะได้เจอคนจากโลกอีกใบ” เขาจงใจกดเสียงต่ำลงให้ดูลึกลับพิศวง “ตำนานนี้เป็นที่เล่าขานในโรงเรียนมาหลายปีแล้ว คงไม่ใช่ว่านายไม่รู้เรื่องอะไรเลยหรอกนะ”

หลินปั้นซย่าส่ายหน้าเป็นการบอกว่าตนไม่ค่อยรู้แน่ชัด

“โอเค” หลี่ซูแบมือ “นายมุ่งแต่เรียนอย่างเดียว”

หลินปั้นซย่าเถียงกลับอย่างจริงจัง “ไม่ได้มุ่งแต่เรียนสักหน่อย มุ่งแต่เงินทุนการศึกษาต่างหาก”

หลี่ซูถลึงตา พูดอะไรไม่ออกกับคำพูดที่ตอบกลับมาด้วยจิตใจเยือกเย็นถึงเพียงนี้ของหลินปั้นซย่า

“ฉันขอตัว ลาก่อน” หลินปั้นซย่าโบกมือให้เขา เดินจากไป

หลี่ซูนั่งอยู่บนโต๊ะ มองแผ่นหลังของหลินปั้นซย่า ปากพึมพำอะไรบางอย่าง แต่ก็ไม่ได้เข้าไปขวางอีกฝ่าย

 

ในที่สุดฝนที่ตกมาตั้งแต่ตอนบ่ายก็หยุดลงเสียที ในอากาศคละคลุ้งไปด้วยกลิ่นคาว จริงๆ แล้วหลินปั้นซย่าไม่ได้รู้สึกพิเศษอะไรกับน้ำฝน แต่ไม่รู้ทำไมจิตใต้สำนึกถึงไม่อยากให้ฝนตกสักเท่าไหร่ เหมือนกับว่ามีคนข้างกายที่ไม่ค่อยชอบน้ำอย่างไรอย่างนั้น แต่คิดโดยละเอียดแล้ว คนข้างกายเขาก็มีแต่นักเรียนชายห่ามๆ จะมีใครตั้งใจแสดงออกมาว่าตนไม่ชอบน้ำเป็นพิเศษบ้างล่ะ

หลินปั้นซย่าแบกกระเป๋าหนังสือเดินออกจากอาคารเรียนแล้วมุ่งกลับหอพัก ระหว่างเดินผ่านอาคารเขาก็เห็นเทปกั้นพื้นที่ที่ตำรวจทำไว้เมื่อเช้า ตรงกลางพื้นที่ปิดล้อมไว้ก็คือที่ที่คนหล่นลงมา ตอนนี้ศพที่ร่วงลงมาจนร่างแหลกเละถูกเก็บไปแล้วเหลือแค่เพียงรอยเลือด ทว่ารอยเลือดก็ถูกฝนห่าใหญ่ชะล้างไปเกือบหมด ราวกับว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในตอนบ่ายเป็นเพียงภาพลวงตา

หลินปั้นซย่าที่เหม่อลอยเล็กน้อยหยุดฝีเท้า ยืนจ้องตรงนั้นอยู่ที่เดิมครู่หนึ่ง ขณะกำลังมองดูอยู่นั้นด้านหลังก็พลันมีคนเข้ามาตบไหล่เขา

“นี่ นายทำของหล่นน่ะ” คนด้านหลังกล่าว

หลินปั้นซย่าหันไปก็เห็นว่าในมือคนคนนั้นถือโทรศัพท์อยู่ ไม่รู้ว่ามันเป็นของใคร บนนั้นเปื้อนโคลนไปทั่ว โชคดีที่หน้าจอยังสว่างอยู่

“นี่ไม่ใช่ของฉัน” หลินปั้นซย่าเอ่ยไปตามตรง ของราคาแพงอย่างโทรศัพท์มือถือเขาไม่มีเงินซื้อหรอก แล้วก็ไม่มีความจำเป็นต้องใช้ด้วย เพราะเขาไม่มีใครที่สามารถติดต่อได้เลยจริงๆ

“แต่มันหล่นลงมาจากตัวนายนะ” นักเรียนคนนั้นมั่นใจสุดๆ “ฉันเห็นกับตาเลย”

หลินปั้นซย่ามึนงงเล็กน้อย ได้แต่เอ่ยอย่างลังเล “ไม่ใช่ของฉันแน่ๆ เป็นของคนอื่นหรือเปล่า…” เขามองไปรอบๆ ก็ไม่เห็นใครเลย หลังจากท้องฟ้ามืดในโรงเรียนก็ว่างเปล่า ทั้งยังเงียบสงัดจนน่ากลัว ด้านนอกอาคารเรียนมีแค่เขากับนักเรียนคนนี้

นักเรียนคนนั้นเอ่ย “งั้นฉันไม่สนแล้ว นายไม่เอาก็โยนทิ้งแล้วกัน” เขากล่าวพลางยกแขนขึ้นตั้งใจจะโยนโทรศัพท์มือถือในมือทิ้งจริงๆ

หลินปั้นซย่าเห็นดังนั้นก็ตะลึง ก่อนจะรีบห้ามเขาไว้ “อย่าโยนสิ ถึงจะไม่ใช่ของฉัน แต่คนที่ทำหล่นจะต้องร้อนใจแน่ๆ ไม่งั้นก็เอาอย่างนี้ ฉันจะช่วยเอาไปส่งไว้ที่แผนกของหายเองดีมั้ย”

“แล้วแต่นายเถอะ” อีกฝ่ายดูเร่งรีบมาก คล้ายอยากจะรีบออกไปจากตรงนี้ หลังยัดโทรศัพท์ใส่มือหลินปั้นซย่าก็หันหลังจากไปทันที

ตอนแรกหลินปั้นซย่ายังอยากคุยกับเขาอีกสองสามประโยค ครั้นเห็นท่าทางเขาดูหงุดหงิดก็ได้แต่ยอมแพ้ ก้มหน้าเช็ดโคลนบนโทรศัพท์ให้เกลี้ยงแล้วเก็บใส่กระเป๋ากางเกง ตั้งใจว่าพรุ่งนี้ค่อยเอาไปให้แผนกของหาย โทรศัพท์มือถือเครื่องนี้ดูราคาแพงมาก คิดดูแล้วคนที่ทำหล่นน่าจะร้อนใจไม่น้อย

แล้วหลินปั้นซย่าก็เดินมาถึงใต้หอพัก แต่ในตอนที่กำลังจะขึ้นไปชั้นบน จู่ๆ โทรศัพท์ที่เขาใส่กระเป๋าไว้ก็ส่งเสียงดังขึ้น เขาหยิบออกมาดู มันเป็นเบอร์ที่ไม่ได้บันทึกเอาไว้ เขาไม่รู้ว่าจะเป็นเพื่อนของคนคนนั้นโทรมาหรือเปล่าจึงตัดสินใจกดรับสายโดยไม่รีรอ ทว่ากลับไม่มีเสียงคนพูดจากปลายสายเลย

“ฮัลโหล?…ฮัลโหล?” หลินปั้นซย่าเรียกไปหลายครั้ง ในที่สุดก็ได้ยินเสียงจากปลายสายจนได้ มันเป็นเสียงลมโหยหวน คล้ายกับกำลังยืนอยู่บนที่สูง

“มีคนถือสายอยู่หรือเปล่าครับ” หลินปั้นซย่ากล่าว

ไม่มีการตอบกลับ มีเพียงเสียงลมหวีดหวิวดังขึ้นกว่าเดิม ผ่านไปครู่หนึ่งก็เป็นเสียงดังลั่นราวกับมีอะไรหนักๆ หล่นกระแทกพื้น มันดัง ‘พลั่ก’ เหมือนกับเสียงแตงโมที่แตกออกเป็นเสี่ยงๆ

หลินปั้นซย่าสะดุ้งโหยง ยื่นโทรศัพท์ออกห่างโดยอัตโนมัติ ตอนแรกเขาคิดว่าอีกฝ่ายโยนโทรศัพท์ลงตึกไปแล้ว ทว่าไม่นานเขาก็ตระหนักได้ว่าสายนี้ยังไม่ได้ถูกตัด ซึ่งก็แปลว่าโทรศัพท์ของคนปลายสายยังอยู่ดีไม่มีความเสียหาย

[ออกไปจากที่นี่] เสียงของใครคนหนึ่งดังขึ้นที่ปลายสาย จากนั้นหน้าจอโทรศัพท์ก็ดับลง

หลินปั้นซย่ามองโทรศัพท์ด้วยท่าทางเหม่อลอย พูดอะไรไม่ออกไปครู่ใหญ่ สายนี้มันแปลกพิลึกเกินไปจริงๆ คนทั่วไปบางทีอาจคิดว่าเป็นการแกล้งกัน แต่หลินปั้นซย่ากลับได้กลิ่นอะไรตุๆ ไม่เป็นมงคลอยู่เลือนราง

ออกไปจากที่นี่? ทำไมต้องออกไป หลินปั้นซย่าคิดในใจ เขากดหน้าจอโทรศัพท์อีกครั้ง มันเปิดไม่ติดและดูเหมือนว่าแบตฯ จะหมดแล้ว เขาจึงได้แต่กลับห้องตัวเองไปก่อนด้วยความจำใจ

ในห้องพัก นักเรียนคนอื่นๆ เริ่มทบทวนหนังสืออยู่ใต้โคมไฟอ่านหนังสือแล้ว

หลินปั้นซย่าก็เปิดโคมไฟอ่านหนังสือของตัวเองเช่นกัน แต่ไม่รู้ทำไมคนที่ปกติการเรียนดีเยี่ยมเสมอมาอย่างเขาวันนี้กลับเหม่อลอยอยู่ตลอด ไม่ว่าจะอ่านยังไงก็ไม่เข้าหัวเลย มักจะรู้สึกว่ามีตรงไหนไม่ชอบมาพากล เรื่องราวทั้งหมดเหมือนจะเต็มไปด้วยความไม่น่าไว้วางใจชอบกล

แต่จะคิดยังไงก็คิดไม่ออก

คืนนั้นหลินปั้นซย่าแทบจะไม่ได้นอน เหมือนกับว่าเขาฝันไปหลายเรื่องมาก แต่พอตื่นขึ้นมากลับจำอะไรไม่ได้เลย

นาฬิกาปลุกดังขึ้นในเวลาหกโมงเช้า หลินปั้นซย่ากระวีกระวาดลุกขึ้นจากเตียง กินมื้อเช้าง่ายๆ แล้วก็ไปห้องเรียน เขาเข้าไปวางกระเป๋าในห้องเรียนแล้วไปยังห้องกิจการนักเรียนที่ชั้นห้า หมายจะเอาโทรศัพท์ไปส่งให้เร็วที่สุด แต่ใครจะรู้ว่าเมื่อมาถึงหน้าห้องค่อยมานึกได้ว่าอาจารย์ห้องกิจการนักเรียนจะมาตอนแปดโมง เขามองประตูบานใหญ่ที่ปิดสนิทก็เหม่อลอยขึ้นมาชั่วขณะ เมื่อก้มหน้าหันหลังจะเดินกลับก็ดันไปชนเข้ากับคนคนหนึ่ง หลินปั้นซย่ารีบขอโทษขอโพย คาดไม่ถึงว่าพอเงยหน้าขึ้นจะพบว่าคนที่ชนคือซ่งชิงหลัวที่หลี่ซูพูดถึงเมื่อวาน อีกฝ่ายมองมาด้วยสีหน้าไร้อารมณ์พลางเอ่ยเสียงแผ่วเบายิ่ง “ระวังหน่อย”

“ขะ…ขอโทษ” หลินปั้นซย่ารู้สึกว่าสายตาที่ซ่งชิงหลัวมองมาที่ตนเองดูแปลกๆ เล็กน้อย จึงหลบสายตาอย่างทำตัวไม่ถูก เบี่ยงตัวหลบตั้งใจจะเดินหนี

แต่เขาเพิ่งก้าวออกไปได้ก้าวเดียวก็ถูกคว้าแขนหมับ คนที่จับเขาเอาไว้แรงเยอะมาก หลินปั้นซย่าถึงกับร้องซี้ดออกมาอย่างควบคุมไม่ได้ หันไปมองก็พบว่าเป็นซ่งชิงหลัวที่คว้าแขนตนเองไว้ เมื่อได้ยินเสียงร้องของเขาก็คลายแรงลงในพริบตา

ซ่งชิงหลัวกล่าว “มาทำอะไรที่นี่”

หลินปั้นซย่าตอบ “มีของที่อยากเอามาส่งคืน ไม่นึกว่าจะมาเช้าไป ประตูเลยยังไม่เปิด”

“อ๋อ” ปากของซ่งชิงหลัวเอ่ยขานรับ แต่ไม่มีวี่แววจะคลายมือออกเลย ยังคงพันธนาการหลินปั้นซย่าไว้อย่างนั้น “ของอะไร”

“โทรศัพท์มือถือ” หลินปั้นซย่าล้วงโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋ากางเกง “หลังเลิกเรียนเมื่อวานมีนักเรียนคนหนึ่งเก็บได้ใต้ตึก”

ซ่งชิงหลัวมองโทรศัพท์ฝาพับเครื่องสวยไร้ตำหนิที่หลินปั้นซย่าถือไว้ในมือ เขาหลุบตาลงเอ่ย “อ๋อ”

หลินปั้นซย่าไม่รู้ว่าคำว่า ‘อ๋อ’ นี่มีความหมายว่าอย่างไร เขาอึ้งเล็กน้อย ไหนเลยจะรู้ว่าซ่งชิงหลัวกลับดึงแขนพาเขาเดินไปข้างหน้าสองก้าว จากนั้นก็ล้วงกุญแจออกมาจากกระเป๋ากางเกง เปิดประตูห้องกิจการนักเรียนออก เมื่อเห็นว่าหลินปั้นซย่ายืนมองอึ้งๆ อีกฝ่ายก็อธิบายเสียงเรียบ “บางทีก็มาช่วยงานอาจารย์น่ะ”

หลินปั้นซย่าทอดสายตานับถือไปให้เขา

“เก็บได้ใต้อาคารไหน” ซ่งชิงหลัวถาม

“อาคารที่เกิดเรื่องเมื่อวาน” หลินปั้นซย่าวางโทรศัพท์ไว้บนโต๊ะ เขาลังเลเล็กน้อย ไม่รู้ว่าตนควรพูดเรื่องหลังจากที่รับสายหนึ่งเมื่อวานด้วยหรือเปล่า

ซ่งชิงหลัวมองโทรศัพท์ที่เมื่อวานเปิดไม่ได้แท้ๆ แต่บัดนี้หน้าจอมันกลับส่องสว่างขึ้นอีกครั้ง ซ่งชิงหลัวค้นดูในโทรศัพท์คล้ายจะหาเบาะแสของเจ้าของจากในเครื่อง เพียงแต่มองไม่กี่ทีคิ้วก็ขมวดเป็นปม สีหน้าดูแปลกไปเล็กน้อย

หลินปั้นซย่านึกว่าโทรศัพท์พังแล้วจึงรีบอธิบาย “ฉันไม่ได้ทำอะไรมันเลยนะ แค่รับสายเดียวเอง”

“ปัญหาไม่ได้อยู่ที่นาย”

“งั้นมีอะไรเหรอ” หลินปั้นซย่าประหวั่นขึ้นมาชอบกล โทรศัพท์เครื่องนี้ดูแพงมาก ถ้าพังจริงๆ เขาจะหาเงินจากไหนมาชดใช้

“โทรศัพท์เครื่องนี้…” ซ่งชิงหลัวกล่าว “ไม่ควรมาอยู่ที่นี่”

หลินปั้นซย่ามึนงง

“มันเป็นของฉินสวี่” ซ่งชิงหลัวพูดต่อ “รู้จักฉินสวี่หรือเปล่า”

นี่เป็นชื่อที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน หลินปั้นซย่าย่อมไม่รู้จักดังนั้นจึงส่ายหน้า

“เขาคือคนที่กระโดดตึกเมื่อวาน” ซ่งชิงหลัวพับโทรศัพท์ “เขาชื่อฉินสวี่ และนี่คือโทรศัพท์เขา”

หลินปั้นซย่าเหม่อทันที “ตะ…ตอนที่กระโดดตึกเขาไม่ได้พกโทรศัพท์เหรอ”

ซ่งชิงหลัวชำเลืองมองเขา “น่าจะพกไว้”

หลินปั้นซย่าเอ่ย “งะ…งั้นมันเกิดอะไรขึ้น”

ซ่งชิงหลัวครุ่นคิด “ใครเป็นคนเอาโทรศัพท์เครื่องนี้ให้นาย จำหน้าตาคนคนนั้นได้หรือเปล่า”

หลินปั้นซย่านึกย้อนถึงคนที่เอาโทรศัพท์ให้เขาเมื่อวานโดยละเอียด แต่ตอนนั้นฟ้ามืดเกินไปและเขาก็ไม่ได้สนใจนัก ตอนนี้มานึกดูแล้ว คนคนนั้นก็ดูแปลกๆ นิดหน่อย หลังจากเอาโทรศัพท์ให้เขาแล้วก็หายตัวไปเลย หลินปั้นซย่ากระวนกระวาย รู้สึกเหมือนว่าตัวเองไปเจออะไรที่ไม่ควรเจอเข้า

ซ่งชิงหลัวฟังคำบอกเล่าของอีกฝ่ายจบก็นิ่งเงียบไปครู่ใหญ่ ในตอนที่หลินปั้นซย่าเกือบจะทนไม่ไหวแล้วถามคำถามออกมาอย่างอดไม่ได้ เขาก็ก้มหน้าค้นโทรศัพท์อยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ยื่นรูปภาพหนึ่งไปตรงหน้าหลินปั้นซย่า “ใช่คนนี้หรือเปล่า”

หลินปั้นซย่ามองแล้วพยักหน้ารัวๆ “ใช่ๆๆ คนนี้แหละ”

ซ่งชิงหลัว “…”

“ทำไมเหรอ” หลินปั้นซย่าถูกสีหน้าของอีกฝ่ายทำให้กลัว “ทำไมทำหน้าแบบนี้ล่ะ”

ซ่งชิงหลัวกล่าว “คนคนนี้ก็คือฉินสวี่”

หลินปั้นซย่า “…”

ความเงียบแผ่ขยายไปทั่วบริเวณ หลินปั้นซย่ารู้สึกว่าริมฝีปากแห้งผาก ไม่รู้จะพูดอะไรไปขณะหนึ่ง เขานึกถึงตอนที่ตนรับสายนั้น มันเหมือนมีเสียงใครบางคนตกลงมาจากที่สูง มานึกดูตอนนี้คนคนนั้นคงไม่ใช่ว่าเป็น…ฉินสวี่หรอกนะ ยิ่งคิดก็ยิ่งเหลือเชื่อ หลินปั้นซย่าได้ประสบเรื่องที่เหนือสามัญสำนึกแบบนี้เป็นครั้งแรก รู้สึกลนลานขึ้นมาทันที

ในขณะที่ซ่งชิงหลัวดูสงบนิ่งมาก เขาเอ่ย “นายกลับไปก่อนเถอะ ชั่วโมงทบทวนด้วยตัวเองภาคเช้าจะเริ่มแล้ว”

หลินปั้นซย่ามองเวลาถึงพบว่าเขาคุยกับซ่งชิงหลัวมาครึ่งชั่วโมงแล้ว จึงลุกขึ้นยืนก่อนบอกลา

“หลินปั้นซย่า” ซ่งชิงหลัวเอ่ย “มีเรื่องอะไรก็มาหาฉันได้ทันที”

หลินปั้นซย่าตอบรับ ในใจเปี่ยมไปด้วยความซาบซึ้งใจ เขาคิดว่าคนคนนี้ถึงแม้หน้าตาจะนิ่งเฉยเย็นชา บุคลิกก็ดูห่างเหิน แต่ไม่คิดเลยว่าจะเข้าอกเข้าใจคนอื่นขนาดนี้ อาจจะเป็นเพราะคนอื่นๆ ไม่กล้าเข้าใกล้ซ่งชิงหลัวจึงเข้าใจผิด ทว่าหลังจากเขากลับถึงห้องเรียนอย่างสุขใจ จู่ๆ ก็นึกเรื่องอะไรขึ้นได้จนนั่งตะลึงค้างอยู่กับที่นั่งตัวเอง…เมื่อกี้ตอนที่เขาคุยกับซ่งชิงหลัว ตั้งแต่ต้นจนจบเขาก็ไม่ได้แนะนำชื่อตัวเองเลย ถ้าอย่างนั้นซ่งชิงหลัวรู้ได้ยังไงว่าเขาชื่ออะไร แล้วยังเรียกชื่อหลินปั้นซย่าออกมาตรงๆ แบบนั้นอีก?

หลินปั้นซย่าพลันรู้สึกว่าซ่งชิงหลัวคนนี้ดูเหมือนจะ…ประหลาดมากจริงๆ

 

เรื่องโทรศัพท์ทำให้หลินปั้นซย่าไม่เป็นอันทำอะไรตลอดทั้งช่วงเช้า

ไม่ง่ายเลยกว่าจะทนเรียนมาจนถึงช่วงพักกลางวันได้ เหล่าเพื่อนร่วมชั้นทั้งหมดต่างใช้เวลาครึ่งชั่วโมงในการฟุบงีบกับโต๊ะ หลินปั้นซย่าก็เช่นกัน ทว่าทันทีที่ฟุบหน้าลงไปเขาก็ถูกหลี่ซูเข้ามาก่อกวนจนได้ หมู่นี้หลี่ซูดูสนอกสนใจเขามากผิดปกติ อย่างกับว่าได้เจอของเล่นอะไรน่าสนใจอย่างไรอย่างนั้น อีกฝ่ายเข้ามานั่งข้างๆ แล้วเล่าเรื่องผีให้ฟัง หลินปั้นซย่านั่งฟังโดยไม่มีปฏิกิริยาใดๆ คิดในใจว่าเรื่องที่หลี่ซูเล่ายังไม่น่ากลัวเท่าเรื่องที่เขาเจอมากับตัวเสียด้วยซ้ำ

เมื่อหลี่ซูไม่ได้รับความสนใจจากหลินปั้นซย่าจึงมองอีกฝ่ายด้วยสายตาพินิจพิเคราะห์ แล้วเอ่ยอย่างเมินเฉยว่า “หลินปั้นซย่า นายจะไม่มีท่าทีอะไรหน่อยเลยเหรอ”

หลินปั้นซย่าเอ่ยขึ้นด้วยความอับจนปัญญา “ช่วยปล่อยฉันไปได้หรือเปล่า”

“ไม่เอา” หลี่ซูกล่าว “ห้องนี้มีแต่คนน่าเบื่อ มีแค่นายที่ดูน่าสนใจนิดหน่อย”

“บอกทีว่าฉันน่าสนใจตรงไหน ฉันเปลี่ยนมันทันมั้ย”

หลี่ซูหัวเราะออกมาอย่างอดไม่ได้ หลินปั้นซย่าคนนี้ดูผอมแกร็น สวมชุดนักเรียนตัวหลวมโพรกไม่พอดีตัว แล้วยังหน้าตาหล่อเหลาดูไร้พิษภัยอีก ดูยังไงก็เป็นประเภทเด็กดีว่าง่ายน่ารังแก คงเป็นเพราะสารอาหารไปหล่อเลี้ยงไม่ทัน สีผมเขาถึงอ่อนกว่าคนทั่วไปมากๆ ค่อนไปทางสีน้ำตาล พวกนักเรียนหญิงที่ย้อมผมไม่ได้เพราะกฎโรงเรียนต่างพากันอิจฉาหลินปั้นซย่าสุดๆ โดยที่เจ้าตัวไม่รับรู้ แต่หลี่ซูรู้ดีว่าเพื่อนร่วมชั้นของเขาคนนี้มีคนในห้องชมชอบอยู่ไม่น้อย น่าเสียดายที่หลินปั้นซย่าไม่รู้เรื่องอะไรเลย วันๆ รู้แต่เรื่องเรียน

หลี่ซูบ่นกระปอดกระแปดอยู่ข้างๆ แล้วหลินปั้นซย่าก็ฉุกนึกถึงเรื่องของซ่งชิงหลัว เขาคิดว่าหลี่ซูอาจจะรู้จักซ่งชิงหลัวอยู่บ้างจึงลองเชิงถามดู

หลี่ซูคล้ายจะกลัวซ่งชิงหลัวนิดๆ กล่าวว่าคนคนนี้จะทำให้วุ่นวายมากพร้อมกำชับห้ามไม่ให้หลินปั้นซย่าไปหาเรื่องเขาโดยเด็ดขาด

หลินปั้นซย่าแปลกใจ “เขาวุ่นวายยังไงเหรอ”

หลี่ซูกดเสียงกล่าว “นายอย่ามองว่าเขาเป็นเด็กดีล่ะ จริงๆ แล้วร้ายยิ่งกว่าฉันซะอีก ถ้านายไปทำให้เขาไม่พอใจเข้า มันจะไม่จบที่การต่อยตีกันแค่ยกเดียวหรอกนะ”

หลินปั้นซย่าคิดในใจ ดูเหมือนนายจะเตือนฉันช้าไปแล้ว เพราะถึงแม้ว่าตอนนี้จะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นก็เถอะ แต่ซ่งชิงหลัวเหมือนจะสนใจเขาเข้าแล้ว เจ้าตัวถึงกับรู้ชื่อของเขาด้วย

ระหว่างที่หลี่ซูกำลังพูดอยู่นั้นจู่ๆ โทรศัพท์ก็สั่นครืดๆ เขาเปิดขึ้นดู มันเป็นข้อความหนึ่ง หลังอ่านจบก็ไม่รบเร้าหลินปั้นซย่าอีก ลุกขึ้นบอกว่ามีเรื่องนิดหน่อยแล้วขอตัวลา

หลินปั้นซย่าอยากให้เขารีบๆ ไปใจจะขาด มองหลี่ซูเดินไปที่ประตู ข้างประตูมีเงาร่างสูงใหญ่ยืนอยู่ เหมือนว่าจะเป็นเพื่อนของหลี่ซู ชาวต่างชาติที่จากบ้านเกิดมาเรียนที่นี่

หลินปั้นซย่าเห็นเขาออกไปแล้วถึงดึงสายตากลับมา

วิชาเรียนในช่วงบ่ายทั้งยาวนานทั้งทรมาน ตอนเที่ยงหลินปั้นซย่ากินข้าวไปไม่เยอะนัก ตอนนี้ก็เลยหิวขึ้นมาแล้ว ด้วยเหตุนี้หลังหมดคาบเรียนจึงไปหาอะไรกินที่โรงอาหารนิดหน่อยแล้วถึงกลับห้องเรียน เพียงแต่ทันทีที่เขากลับมาถึงห้อง ก็รู้สึกว่าตอนที่เดินเข้าห้องเรียน เพื่อนๆ ในห้องต่างมีสีหน้าแปลกไป ขณะที่เขากำลังคิดว่าเกิดอะไรขึ้น เพื่อนโต๊ะข้างเคียงก็สะกิดเขาแล้วกระซิบกระซาบ “มีคนมาหานายน่ะ”

หลินปั้นซย่าถามว่า “ใครเหรอ”

เพื่อนคนนั้นเอ่ย “ซ่งชิงหลัว…นายไปรู้จักกับเขาตั้งแต่เมื่อไหร่”

หลินปั้นซย่าเอ่ยเสียงห่อเหี่ยว “เมื่อเช้านี้น่ะ”

“เมื่อเช้านี้? ล้อเล่นหรือเปล่า ฉันว่าเขาดูสนิทกับนายมากเลยนะ เขายังบอกให้นายโทรหาถ้ากลับมาแล้ว”

หลินปั้นซย่ากล่าว “แต่ฉันไม่มีโทรศัพท์นะ”

เพื่อนโต๊ะข้างเคียงเสนออย่างกระตือรือร้น “ไม่เป็นไรๆ ใช้ของฉันได้!” เขากล่าวพลางยัดโทรศัพท์ใส่มือหลินปั้นซย่า แล้วยังส่งกระดาษที่เขียนเบอร์โทรศัพท์มาด้วย

หลินปั้นซย่าลังเลครู่หนึ่ง สุดท้ายก็ต่อสายหาซ่งชิงหลัว ปลายสายกดรับทันทีที่โทรติด เขาบอกให้หลินปั้นซย่าไปหาที่ชั้นห้า เดิมทีหลินปั้นซย่ายังลังเลอยู่เล็กน้อย แต่น้ำเสียงของซ่งชิงหลัวฟังดูแน่วแน่มาก ดูเหมือนเขาจะมีเรื่องสำคัญ ไม่ให้เวลาหลินปั้นซย่าได้สงสัยนาน พูดจบก็ตัดสายทิ้งทันที

ด้วยความจนปัญญา หลินปั้นซย่าจึงได้แต่คืนโทรศัพท์ให้เพื่อนโต๊ะข้างเคียงไป แล้วตั้งใจจะไปหาซ่งชิงหลัวที่ชั้นห้า ตอนที่ยื่นโทรศัพท์ให้ จู่ๆ หลินปั้นซย่าก็ถามออกมา “ฉันยืมโทรศัพท์นายบ่อยๆ เหรอ”

“ไม่นะ” อีกฝ่ายกล่าว “นายจะยืมโทรศัพท์ฉันทำไม”

หลินปั้นซย่าพูดว่า “นั่นสิ ฉันจะยืมโทรศัพท์นายไปทำไม”

เพื่อนโต๊ะข้างเคียงทำหน้าตาพิลึกพิลั่น ไม่เข้าใจว่าหลินปั้นซย่าพูดอะไรอยู่ หลินปั้นซย่าเองก็ไม่อยู่อธิบายให้ฟัง เขาลุกขึ้นจากที่นั่งทันที ในที่สุดก็เจอแล้วว่าสิ่งที่รบกวนใจเขามาตลอดตั้งแต่เมื่อวานคืออะไรกันแน่

เพราะตัวเองไม่ได้ซื้อโทรศัพท์ แล้วก็แทบไม่ได้ติดต่อกับคนอื่นเลย สำหรับหลินปั้นซย่าแล้วเดิมทีเขาควรจะรู้สึกไม่คุ้นเคยกับสิ่งนี้ เขาไม่รู้จักวิธีใช้มันแล้วก็ไม่มีความทรงจำว่าเคยใช้งานโทรศัพท์มาก่อน แต่ไม่ว่าจะเป็นตอนที่รับสายเมื่อวาน หรือว่าที่โทรออกหาซ่งชิงหลัววันนี้ หลินปั้นซย่าก็เหมือนจะใช้งานอุปกรณ์ชิ้นเล็กนี้ได้โดยไม่ต้องมีใครสอนเลย…ราวกับว่าเขาเคยใช้มาแล้วนับร้อยนับพันครั้งก็มิปาน

หลินปั้นซย่าเงียบขรึมตลอดทาง ในใจคิดเดาไปร้อยแปด แต่ก็ไม่มีข้อสันนิษฐานไหนสามารถอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเขาได้

หลินปั้นซย่ายังคิดคำตอบไม่ออก เขาก็เดินขึ้นมาถึงชั้นห้าแล้ว ชั้นห้าไม่ใช่ชั้นของห้องเรียน ส่วนใหญ่เป็นห้องพักครู หลินปั้นซย่าเดินไประยะหนึ่งก็เห็นซ่งชิงหลัวที่อยู่สุดระเบียงทางเดิน

ซ่งชิงหลัวพิงขอบระเบียง เหมือนกำลังก้มหน้าเล่นโทรศัพท์อยู่ ทั้งๆ ที่เขาก็สวมชุดนักเรียนอยู่เหมือนกันแท้ๆ แต่กลับแต่งชุดนักเรียนออกมาได้มีสไตล์ต่างกันอย่างสิ้นเชิง หลินปั้นซย่าก้มหน้ามองรองเท้าพละที่ไม่พอดีเท้าของตน แล้วยังขากางเกงที่หลวมโพรก เขาดึงชายเสื้อตัวเอง หมายจะไล่ความน้อยเนื้อต่ำใจที่ผุดขึ้นมาออกไป

ซ่งชิงหลัวได้ยินเสียงฝีเท้าหลินปั้นซย่าก็เก็บโทรศัพท์ก่อนมองมาทางเขา หลินปั้นซย่าเตี้ยกว่าเขามาก ดูผอมแกร็น ทั้งๆ ที่ขึ้น ม.ปลาย แล้วแต่ขนาดตัวก็ยังเหมือนกับเด็ก ม.ต้น อยู่เลย ซ่งชิงหลัวมองเขาเดินมาตรงหน้าตน หลินปั้นซย่าเงยหน้าขึ้นอย่างระมัดระวังแล้วเอ่ยถาม “มีธุระอะไรเหรอ”

เห็นๆ อยู่ว่าเป็นเพียงการพูดคุยธรรมดา แต่ซ่งชิงหลัวกลับเหมือนกำลังรังแกเด็กน้อยอยู่ชอบกล เขาเม้มปากเป็นมุมโค้งที่ดูไม่ค่อยจะสบอารมณ์นัก เอ่ยเสียงเรียบ “ไม่มีธุระแล้วจะเรียกนายมาไม่ได้เหรอ”

“ปะ…เปล่า ฉันยังต้องเข้าคาบทบทวนภาคค่ำอีกน่ะ”

ซ่งชิงหลัวกล่าว “เมื่อวานนายเจอเรื่องแบบนั้นไป ไม่มีอะไรอยากพูดหรือรู้สึกแปลกใจบ้างเลยเหรอ”

หลินปั้นซย่าเอ่ย “เหมือนจะทะแม่งๆ นิดหน่อย แต่พวกเราจะทำอะไรได้ล่ะ”

ซ่งชิงหลัวขยับเข้ามาใกล้ใบหน้าเขา ปากหวิดจะแตะโดนปลายหูของหลินปั้นซย่าอยู่รอมร่อ เสียงของซ่งชิงหลังเบาประดุจเสียงลม ลมหายใจกรุ่นร้อนทำให้หลินปั้นซย่าต้องหดคอหนีอย่างอดไม่ได้ ซ่งชิงหลัวกล่าว “ฉันเห็นประวัติการโทรแล้ว ครั้งสุดท้ายนายรับสายสายหนึ่งด้วยใช่มั้ย นายไม่สงสัยเหรอว่าใครเป็นคนโทรมา”

หลินปั้นซย่าเอ่ย “เป็น…เป็นใครเหรอ”

“นั่นเป็นเบอร์ของฉินสวี่”

หลินปั้นซย่าชะงักงัน

“แล้วทำไมเขาต้องโทรหานายกัน หรือถามอีกอย่างคือเขาคุยอะไรกับนายบ้าง” ซ่งชิงหลัวหลุบตาลง มองเห็นใบหูของหลินปั้นซย่าที่กำลังขึ้นสีแดงระเรื่อดูน่ารัก ไม่รู้ว่าเป็นเพราะความประหม่าหรือว่ารู้สึกจักจี้ มันสั่นขึ้นมาเบาๆ บ่อยครั้ง ดูน่าอร่อยเป็นพิเศษ แต่เขารู้ว่าตอนนี้ยังไม่ใช่จังหวะเหมาะจึงข่มความคิดชั่ววูบประหลาดๆ นั้นกลับลงไป เพียงแค่เบะปากเบาๆ เป็นการบ่งบอกว่าไม่สบอารมณ์

หลินปั้นซย่าไม่ได้รู้ถึงความเปลี่ยนแปลงบนใบหน้าของซ่งชิงหลัวเลย เขาคิดแค่ว่าร่างกายตนเองแนบชิดกับซ่งชิงหลัวเกินไป หมายจะถอยห่างไปก้าวหนึ่งทว่าด้านหลังเขากลับเป็นผนัง สุดท้ายเลยได้แต่ตอบคำถามซ่งชิงหลัวไปอย่างกระอักกระอ่วน “เขา…เขาพูดกับฉันห้าคำ”

ซ่งชิงหลัวถาม “ว่าอะไร”

“ออกไปจากที่นี่” หลินปั้นซย่าพูดออกไป

“แค่นี้? ไม่มีอย่างอื่นแล้วเหรอ”

“ไม่มี” หลินปั้นซย่าตอบ “ฉันไม่รู้ว่าเขาหมายความว่าไง แล้วตอนที่เขาโทรหาฉันก็น่าจะ…ตายไปแล้วด้วย”

คนตายคนหนึ่งทำไมถึงโทรสายนี้มาได้

ออกไปจากที่นี่ มันหมายความว่ายังไง

ทั้งสองต่างจมสู่ภวังค์ความเงียบงัน

 

โปรดติดตามตอนต่อไป

ติดตามบทต่อไป ได้ในวันที่ 17 .. 65

Comments

comments

No tags for this post.
Continue Reading

More in everY

บทความยอดนิยม

everY

ทดลองอ่าน เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 Chapter 2.1-2.2 #นิยายวาย

ทดลองอ่าน เรื่อง เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 ผู้เขียน : MINTRAN แปลโดย : ทันบี ผลงานเรื่อง : 배타적 연애 금지구역 ถือเป็นลิขสิทธิ์...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 1-2

บทที่ 1 ฮ่องเต้หญิง   “ท่านพี่นำร้อง น้องหญิงคลอรับ ท่านพี่เสียงเพิ่งลับ น้องหญิงสลับขึ้นเวที เป็นมารดาอารี มีบุตรีกตัญญ...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน ร้อยเรียงรักเคียงฤทัย บทนำ – 1.2

บทนำ ความหลังของต้าลี่ 1   ฤดูหนาวในรัชศกต้าลี่ปีที่สิบเอ็ด โม่เป่ย ตำบลค่งหม่า สถานที่แห่งนี้คือประตูด่านสำคัญสุดท้ายทา...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 7-8

บทที่ 7 ค่าเดินทาง เมื่อภูตสุนัขดำคืนร่างเป็นสุนัขธรรมดาตัวหนึ่ง ภูตบุปผาสองตนนั้นก็ไม่อาจทำการใหญ่ ต่อให้ชาวหมู่บ้านป่า...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 3-4

บทที่ 3 เกิดใหม่   เวิ้งฟ้าดำสนิทปานน้ำหมึก เพียงมีดวงดาวบางตากระจัดกระจายบนม่านฟ้า ทอรัศมีอ่อนจางประเดี๋ยวเผยประเดี๋ยวเ...

community.jamsai.com