ทดลองอ่าน ภาพวาดโครงกระดูก เล่ม 3 บทที่ 57 #นิยายวาย – Jamsai
Connect with us

Jamsai

everY

ทดลองอ่าน ภาพวาดโครงกระดูก เล่ม 3 บทที่ 57 #นิยายวาย

ทดลองอ่าน เรื่อง ภาพวาดโครงกระดูก เล่ม 3

ผู้เขียน : ซีจื่อซวี่

แปลโดย : qMondae

ผลงานเรื่อง : 骷髅幻戏图 (Ku Lou Huan Xi Tu)

ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน

จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว

หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย

– – – – – – – – – – – – – – – – –

 

Trigger Warning

เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับการตาย การฆ่าตัวตาย การฆาตกรรม

มีการบรรยายถึงเลือดและสภาพศพ การทำร้ายทางร่างกายและจิตใจ

และการทำร้ายเด็ก ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ

  

สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป

โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน

** หมายเหตุยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **

– – – – – – – – – – – – – – – – –

 

บทที่ 57 ฝัน (3)

เรื่องราวดูไม่ชอบมาพากลอย่างชัดเจน แต่คิดแล้วคิดอีกหลินปั้นซย่าก็คลำหัวไม่เจอสมอง* สักที และคงเป็นเพราะความเงียบงันทำให้บรรยากาศระหว่างเขากับซ่งชิงหลัวเริ่มประหลาดขึ้นทุกที เดิมทีทั้งสองก็อยู่ใกล้กันมากแล้ว แค่เงยหน้าปลายจมูกของเขาก็หวิดจะเฉียดผ่านแก้มของซ่งชิงหลัว

“คะ…คือว่า” หลินปั้นซย่าเอ่ยเสียงแผ่ว

“ทำไม”

“พวกเราใกล้กันเกินไปหรือเปล่า” หลินปั้นซย่าพูดคำนี้จบก็ถูกดวงเนตรดำขลับของซ่งชิงหลัวจ้องมอง แม้จะไม่ปรากฏสีหน้าใด แต่การที่จู่ๆ ก็ถูกจ้องโดยไม่รู้สาเหตุก็ทำเอาหลินปั้นซย่าหวั่นใจเล็กน้อย เสียงเขาแผ่วลงเรื่อยๆ สุดท้ายก็เบาจนแทบไม่ได้ยิน “ช่วยถอยออกไปหน่อยได้หรือเปล่าครับ”

เขารู้สึกว่าน้ำเสียงนี้ของตัวเองฟังดูอ่อนแรงยิ่ง เห็นอยู่ชัดๆ ว่าคนที่กำลังบีบคั้นคนอื่นอยู่คือซ่งชิงหลัว แต่เป็นเพราะท่าทีของเขาแข็งกร้าวเกินไป จึงทำให้หลินปั้นซย่าหลงคิดไปว่าตนต่างหากที่เป็นผู้กระทำความผิด

ซ่งชิงหลัวไม่ขยับ ใบหน้าไร้ซึ่งสีหน้าใดๆ เพียงแค่เอ่ยเสียงนิ่ง “ใกล้ไปเหรอ ฉันว่าก็ไม่เท่าไหร่นะ”

หลินปั้นซย่าเบิกตากลมๆ ของตนเอง สีหน้าดูช็อกไปแล้ว

ท่าทางนี้ของหลินปั้นซย่าถูกใจซ่งชิงหลัวไม่น้อย เขาไม่แกล้งเด็กน้อยอีก ยอมถอยออกไปก้าวหนึ่ง ปากเอ่ยอะไรออกมาเสียงเบาจนหลินปั้นซย่าได้ยินไม่ชัด แต่รู้สึกเหมือนตนกำลังถูกหยอดอย่างไรอย่างนั้น เขาก้มหน้ามองปลายรองเท้าของตัวเอง ไม่กล้าสบตากับซ่งชิงหลัวอีก “ฉันขอตัวก่อน”

“ไปเถอะ” ซ่งชิงหลัวปล่อยเขาไปในที่สุด

หลินปั้นซย่ารีบสาวเท้าวิ่ง เมื่อวิ่งไปถึงบันได เขาเหลือบมองไปยังทิศที่ซ่งชิงหลัวอยู่ก็พบว่าตอนนี้ซ่งชิงหลัวยังคงจ้องอยู่อย่างนั้น เขากระวนกระวายขึ้นมาทันที เดินเซจนเกือบสะดุดล้ม เคราะห์ดีที่ยื่นแขนออกไปยันผนังข้างๆ ไว้ได้ทัน

เขาวิ่งเหยาะๆ ลงจากบันไดมาตลอดทาง ไม่ง่ายเลยกว่าจะกลับมาถึงห้องเรียนได้ หลินปั้นซย่าหอบแฮกๆ อยู่บนที่นั่งของตัวเอง

ไม่รู้ว่าหลี่ซูกลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่ เวลานี้ถึงได้ขยับเข้ามาหยอกเขา “โอ๊ะ หน้าแดงแจ๋แบบนี้ออกไปเจอสาวสวยที่ไหนมาจ๊ะ”

หลินปั้นซย่าแตกตื่น “นายพูดซี้ซั้วอะไรน่ะ”

“เอ๋?” หลี่ซูกล่าว “คงไม่ใช่ว่าฉันพูดถูกหรอกนะ…” เขาคึกขึ้นมาทันที ทำหน้าราวกับจะเค้นความจริงออกมาจากปากหลินปั้นซย่าให้ได้

สุดท้ายก็เป็นเพื่อนโต๊ะข้างเคียงของหลินปั้นซย่าที่ทนดูต่อไปไม่ไหว เอ่ยอย่างละเหี่ยใจว่า “หลี่ซู พอได้แล้วน่า หยุดแกล้งหลินปั้นซย่าได้แล้ว ซ่งชิงหลัวเรียกเขาออกไป มีสาวสวยที่ไหนกันเล่า”

หลี่ซูพูด “ซ่งชิงหลัว? เขาเรียกนายออกไป?”

หลินปั้นซย่านึกว่าหลี่ซูรู้อย่างนี้แล้วจะยอมปล่อยเขาไป ด้วยเหตุนี้จึงพยักหน้า แต่ไหนเลยจะรู้ว่าไอ้หมูตายไม่กลัวน้ำร้อนลวกอย่างหลี่ซูตัวนี้จะคึกยิ่งกว่าเดิมเสียอีก

“นี่มันน่าตื่นเต้นยิ่งกว่าสาวสวยอีกนะ นายไปรู้จักเขาได้ยังไง เขาคุยอะไรกับนาย”

หลินปั้นซย่าเกือบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้ “เขาบอกฉันว่าถ้าหลี่ซูยังมาก่อกวนอีกจะมาต่อยหลี่ซู!”

เดิมเขาแค่พูดเล่นเท่านั้น ใครจะรู้ว่าวินาทีถัดมาหลี่ซูก็หุบปากฉับ บ่นอุบอิบด่าว่าไอ้คนใจแคบ

ขณะที่หลินปั้นซย่ากำลังอึ้งอยู่ว่าทำไมหลี่ซูถึงเชื่อฟังมากขนาดนี้ ก็ได้ยินเพื่อนโต๊ะข้างเคียงเอ่ยระคนหัวเราะออกมาหนึ่งประโยค “ก่อนหน้านี้หลี่ซูเคยโดนซ่งชิงหลัวจัดการมาก่อน”

“อ๋อ อย่างนี้นี่เอง” หลินปั้นซย่าเข้าใจทันที

เพื่อนคนนั้นเอ่ย “ขนาดเรื่องพวกนี้นายก็ยังไม่รู้เหรอ”

หลินปั้นซย่า “ไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย”

“อ๋อ เป็นเพราะนายรักการเรียนเกินไปสินะ” อีกฝ่ายขบคิดแล้วก็คิดข้อสันนิษฐานที่ไม่นับเป็นข้อสันนิษฐานนี้ออกมา

หลินปั้นซย่าเอ่ย “พวกนายรู้เรื่องพวกนี้กันหมดเลยเหรอ เรื่องตั้งแต่เมื่อไหร่”

เพื่อนโต๊ะข้างเคียงเล่าว่า “ตั้งแต่ปีหนึ่งน่ะ ใครๆ ก็รู้กันหมด ไม่ใช่แค่คนในห้องนะ ทั้งโรงเรียนน่าจะรู้เรื่องนี้กันหมดแล้ว…”

หลินปั้นซย่าร้องอ๋อ แต่ในแววตากลับยังข้องใจ เขาไม่มีความทรงจำอะไรเกี่ยวกับเรื่องที่เพื่อนคนนี้พูดถึงเลย…ไม่สิ พูดให้ถูกคือเขาแทบไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นรอบตัวเลยต่างหาก ถึงขั้นที่รู้สึกว่าเพื่อนร่วมชั้นดูแปลกหน้าด้วยซ้ำ มีหลายต่อหลายคนที่เขายังเรียกชื่อไม่ถูก สิ่งเดียวที่พอจะจำได้เยอะหน่อยกลับเป็นหลี่ซูที่คอยหาเรื่องคุยกับเขาอยู่ตลอดเวลา

ก่อนหน้านี้ก็เหมือนจะเกิดความรู้สึกอย่างนี้ด้วยเช่นกัน อาจเป็นเพราะเรื่องแปลกๆ ที่เกิดขึ้นในช่วงนี้ ทำให้ความรู้สึกเหล่านี้ชัดเจนยิ่งขึ้น

เวลาสามทุ่มกว่า นักเรียนที่ไม่ได้อยู่หอต่างเลิกคาบทบทวนด้วยตัวเองแล้ว เด็กนักเรียนพากันออกไปข้างนอก ในห้องเรียนพลันโล่งไปกว่าครึ่ง

หลินปั้นซย่าก้มหน้าอ่านหนังสือ ไม่ได้สนใจสถานการณ์รอบข้างเท่าไรนัก พอรู้สึกตัวอีกทีในห้องเรียนก็เหลือคนไม่มากแล้ว เขารู้สึกอยากเข้าห้องน้ำพอดีจึงวางหนังสือในมือลง ลุกขึ้นตั้งใจจะไปจัดการปัญหาทางสรีรวิทยาสักหน่อย เมื่อเดินไปถึงระเบียงทางเดินก็พลันพบว่าด้านนอกฝนเริ่มตกอีกแล้ว

ฝนรอบนี้ตกลงมาอย่างกะทันหันมาก ทั้งที่เมื่อกี้ดวงจันทร์ยังแขวนสูงเด่นอยู่แท้ๆ ตอนนี้โลกทั้งใบพลันมืดลงมา ไฟระเบียงทางเดินสลัวเล็กน้อย หลินปั้นซย่าเดินเข้าห้องน้ำไปอย่างเชื่องช้า

ในโถงห้องน้ำไม่ได้เปิดไฟอยู่ ประตูห้องน้ำส่วนใหญ่ก็เปิดอ้าไว้ มีเพียงบานเดียวที่ปิดอยู่ โดยรอบมืดมิดไปหมด

หลินปั้นซย่าจัดการปัญหาทางสรีรวิทยาเสร็จแล้วกำลังก้มหน้าล้างมือ กลับได้ยินเสียงคนตะโกนออกมา “มีคนอยู่หรือเปล่า”

หลินปั้นซย่าคิดว่าเป็นนักเรียนสักคน จึงถามกลับว่า “มีอะไรเหรอ”

“มาช่วยฉันหน่อยได้มั้ย”

สิ่งแรกที่หลินปั้นซย่าคิดได้คือคนคนนี้ไม่มีกระดาษทิชชู เขาคลำกระเป๋าเสื้อตัวเองก่อนเอ่ย “ฉันก็ไม่ได้เอาทิชชูมา ให้ฉันไปหามาให้เอามั้ย”

“ไม่…ไม่ได้จะเอาทิชชู” คนคนนั้นกล่าว “ฉันลงไปไม่ได้ นายช่วยเอาฉันลงไปที”

หลินปั้นซย่ารู้สึกว่าช่างพิลึกพิลั่น “ลงไปไม่ได้? นายอยู่ตรงไหนเนี่ย ทำไมถึงลงมาไม่ได้ล่ะ”

“นายรีบมาช่วยฉันทีเถอะ ฉันลงไปไม่ได้จริงๆ”

หลินปั้นซย่าไม่รู้เลยว่าคำพูดของคนคนนี้หมายถึงอะไร ได้แต่เดินไปหน้าประตูห้องน้ำก่อนตบๆ ประตู “นายอยู่ข้างในหรือเปล่า เกิดอะไรขึ้นเหรอ นายเปิดประตูสิ?”

คนคนนั้นไม่ตอบคำถาม เอาแต่พูดซ้ำๆ ว่าช่วยฉันทีเถอะ น้ำเสียงอ้อนวอนของเขาในตอนแรกเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นความบ้าคลั่ง สุดท้ายก็ร้องจนเสียงแหบแห้ง ฟังดูสยองมาก หลินปั้นซย่ารู้สึกว่าเรื่องนี้ไม่ชอบมาพากลเล็กน้อย คิดในใจว่าจะเกิดเรื่องอะไรกับอีกฝ่ายหรือเปล่า จึงนั่งยองลงหมายจะมองลอดช่องใต้ประตูไปว่าเกิดอะไรขึ้นด้านในนั้น แต่ใครจะรู้ว่าหลังจากเขาย่อตัวลงก็พลันจมสู่ความเงียบงัน แม้แสงจะมืดสลัวมาก แต่เขาก็ยังเห็นได้เต็มตาว่าในห้องน้ำห้องนี้ว่างเปล่า…ไม่ได้มีใครอยู่ในนั้นเลย

ทว่าเสียงร้องโหยหวนแสบหูยังคงร้องขอความช่วยเหลืออย่างต่อเนื่อง คล้ายจะแฝงไว้ด้วยเสียงสะอึกสะอื้นแหลมอยู่ด้วย หลินปั้นซย่าถอยหลังไปด้วยความลังเล เขามองห้องน้ำ ก่อนตัดสินใจออกไปหาคนช่วย

ตอนนี้ดึกมากแล้ว พวกอาจารย์ต่างออกจากโรงเรียนกันหมด ในห้องเรียนก็เหลือเพียงนักเรียนอยู่ไม่กี่คน หลินปั้นซย่ากวาดสายตามองไปรอบๆ แล้วก็เห็นหลี่ซูที่นั่งคุดคู้ทำอะไรไม่รู้อยู่มุมหนึ่งของห้อง จึงเอ่ยเรียก “หลี่ซู”

หลี่ซูเงยหน้าเหลือบมองหลินปั้นซย่า “ทำไมเหรอ”

“ออกมาหน่อยสิ”

“มีไรอะ” หลี่ซูกระโดดลงจากเก้าอี้ เดินมาตรงหน้าหลินปั้นซย่า “ไม่นึกว่านายจะยอมมาเรียกฉันก่อน เป็นเรื่องที่หาได้ยากจริงๆ”

“อย่ามาไร้สาระน่า ฉันมีเรื่องอยากให้นายช่วยจริงๆ”

“ทำไมเหรอ”

“ในห้องน้ำเหมือนจะมีคนร้องขอความช่วยเหลืออยู่” หลินปั้นซย่าเอ่ย “โทรศัพท์นายส่องไฟได้หรือเปล่า ไปดูกับฉันหน่อยได้มั้ย”

หลี่ซูกล่าว “ขอความช่วยเหลือ? แค่เข้าห้องน้ำจะขอความช่วยเหลืออะไรได้ หรือว่าหล่นหลุมอึไปหรือไง”

หลินปั้นซย่าไม่กล้าเห็นด้วยกับอารมณ์ขันไม่รู้จักกาลเทศะของอีกฝ่ายเลยจริงๆ แต่อย่างไรเขาก็ให้ความช่วยเหลือได้ ดังนั้นจึงไม่อยากต่อว่าเขานัก ทำเพียงเผยสีหน้าละเหี่ยใจออกมา “โทรศัพท์นายส่องไฟได้มั้ย ไฟในห้องน้ำพังแล้ว มองไม่เห็นอะไรเลย”

“ได้ซี่” หลี่ซูหัวเราะคิกคัก

ทั้งสองเดินไปหน้าทางเข้าโถงห้องน้ำ เสียงร้องเมื่อครู่หยุดลงแล้ว ห้องน้ำแคบๆ นี้ปกคลุมไปด้วยความเงียบสงัดและความมืดมิด หลี่ซูหยุดฝีเท้าอยู่หน้าทางเข้า ลังเลครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยออกมา “มีใครอยู่มั้ย”

ไม่มีใครขานตอบ

“เหมือนจะไม่มีคนนะ” หลี่ซูหันไปมองหลินปั้นซย่า

หลินปั้นซย่ากล่าว “มองฉันทำไม เข้าไปสิ?”

หลี่ซูเอ่ยอย่างใจเย็น “เข้าไปทำอะไร ข้างในไม่มีใครอยู่ไม่ใช่เหรอ”

หลินปั้นซย่าชี้ห้องน้ำห้องริมสุดที่ปิดประตูอยู่ “เขาอยู่ในนั้น” เมื่อเห็นหลี่ซูไม่ยอมก้าวเท้าเข้าไปเสียทีเลยพูดด้วยน้ำเสียงแคลงใจ “คงไม่ใช่ว่านายกลัวอยู่ใช่มั้ย”

หลี่ซูสะอึก ตะโกนกร้าวว่า “กลัว? จะไปกลัวอะไร ฉันหลี่ซู บนโลกนี้ฉันไม่กลัวอะไรทั้งนั้น!”

“งั้นก็เข้าไปสิ”

หลี่ซู “…”

ปากบอกว่าไม่กลัว แต่เขากลับย้ายร่างตัวเองเข้าไปในห้องน้ำช้าๆ ด้วยความเร็วเท่าเต่า แทบจะปิดสีหน้าไม่เต็มใจไว้ไม่มิดแล้ว

หลินปั้นซย่าบอกให้เขาเปิดฟังก์ชันไฟฉายของโทรศัพท์ เขาลีลาท่ามากอยู่ค่อนวันกว่าจะเปิดไฟขึ้นมาได้ สุดท้ายหลินปั้นซย่าก็ทนดูไม่ไหวจริงๆ จึงเอ่ยว่า “เอาโทรศัพท์มาให้ฉัน ฉันจะเข้าไปดู ถ้านายกลัวก็ไปรออยู่หน้าห้องน้ำเถอะ”

ใครจะรู้ว่าพอหลี่ซูได้ยินคำพูดนี้ก็โกรธเพราะความอับอายขึ้นมาทันที “หลินปั้นซย่า นายอย่าดูถูกคนอื่นนะ ฉันหลี่ซู! เป็นคนยังไงนายไม่รู้เหรอ?! กลัวงั้นเหรอ?! วันนี้ต่อให้มีผี ฉันก็จะลากหัวมันเข้าห้องน้ำแล้วจับกดส้วมอีกสิบนาที!” กล่าวพลางยกโทรศัพท์มือถือขึ้น นั่งยองลงมองเข้าไปด้านในห้องน้ำ เขาจ้องอยู่ครู่หนึ่งค่อยเอ่ยอย่างคลางแคลงใจว่า “ข้างในเหมือนจะไม่มีใครเลย นายแน่ใจนะว่าได้ยินเสียงจากข้างในจริงๆ?”

หลินปั้นซย่ากล่าว “แน่สิ”

หลี่ซูกลอกตา “เดี๋ยวฉันเปิดประตูเอง”

ก่อนหลินปั้นซย่าจะทันได้ถามว่าเขาจะเปิดประตูยังไง ก็เห็นไอ้เจ้าหลี่ซูยกเท้าขึ้นถีบเข้าไปที่ประตูบางๆ นั่นอย่างจัง รูปร่างเขาอย่างกับเด็กผู้หญิง แต่เวลาทำอะไรก็เหมือนพี่ชายเลือดร้อนเสมอ หลินปั้นซย่ายังไม่ทันไหวตัว เขาก็ถีบประตูบานนั้นเละจนไม่เหลือเค้าเดิม แต่ที่ทำให้หลินปั้นซย่าหมดคำจะพูดมากที่สุดคือเขาถีบไปพลางกำชับหลินปั้นซย่าไปพลางด้วยว่า “ถ้าอาจารย์ถาม นายห้ามบอกเด็ดขาดเลยนะว่าฉันเป็นคนถีบ…”

หลินปั้นซย่า “…” นายนี่มันซ่อมหน้าต่างก่อนฝนตก* จริงๆ

หลี่ซูไม่ยั้งแรงไว้เลย ถีบไปหลายครั้งแล้วประตูก็ส่งเสียงเอี๊ยดเบาๆ เพราะหวิดจะร่วงลงพื้นอยู่รอมร่อ หลี่ซูคิดว่าไม่มีคนในห้องน้ำห้องนี้แน่นอน กำลังจะพูดว่าหลินปั้นซย่าคิดมากไป ใครจะรู้ว่าหลังจากได้เห็นภาพที่อยู่ด้านหลังประตู ทั้งตัวก็ต้องแข็งค้างอยู่กับที่

เป็นอย่างที่หลินปั้นซย่ากล่าวจริงๆ หลังประตูมีคนอยู่ แต่กลับไม่ใช่คนเป็น…คนคนนั้นถูกเชือกเส้นหนึ่งรัดคอแขวนไว้กับท่อน้ำด้านบน ลิ้นปลิ้นออกมายาวเหยียด ใบหน้าน่าสยดสยองยิ่ง บนตัวเขายังสวมชุดเครื่องแบบนักเรียนอยู่ ชัดเจนแล้วว่าเป็นเพื่อนร่วมโรงเรียนของพวกเขา

หลี่ซูเข้าใจทันทีว่าทำไมเมื่อกี้เขาถึงมองไม่เห็นเท้าของอีกฝ่าย…ก็เพราะเท้าของเขาอยู่สูงจากพื้นหลายสิบเซนติเมตร พวกเขาก้มลงมองจะไปเห็นได้อย่างไร ภาพน่าสยดสยองสุดฤทธิ์นี้ทำเอาหลี่ซูถอยกรูดอย่างแรงหลายก้าวโดยไม่อาจควบคุมจนหลังชิดผนังเขาถึงได้หยุดถอย สีเลือดบนใบหน้าหายไปหมดแล้ว แม้แต่เสียงก็แหบแห้งไปด้วย “เชี่ย! บัดซบ! นะ…นี่มันอะไรเนี่ย…!”

หลินปั้นซย่ายืนอยู่ตรงหน้าเขา นึกคำพูดเหล่านั้นที่เขาได้ยินเมื่อครู่ขึ้นมา ‘ฉันลงไปไม่ได้ นายช่วยเอาฉันลงไปที’…ตอนนี้เขาเพิ่งเข้าใจความหมายของคำพูดดังกล่าว ขนอ่อนพลันตั้งชันขึ้นมาทันควัน

หลี่ซูยืนพ่นคำด่าอยู่ข้างหลังไม่หยุด คล้ายอยากจะใช้คำหยาบมาไล่ความไม่สบายใจออกไปจากใจ เขาฉุดหลินปั้นซย่า หัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก “หลินปั้นซย่า ยังจะยืนอึ้งอยู่ทำไม แจ้งความสิ…”

หลินปั้นซย่าถึงรู้ตัว “จริงด้วย!”

หลี่ซูจะเป็นบ้าเดี๋ยวนั้น เขาคิดว่าตัวเองก็ใจกล้าไม่น้อย แต่เมื่อได้เห็นคนตายจริงๆ ขนอ่อนทั้งร่างก็พากันลุกเกรียว ทว่าหลินปั้นซย่าที่ตัวเล็กๆ อย่างกับสัตว์ตัวน้อยตรงหน้าเขานี้กลับไร้ซึ่งปฏิกิริยาใดๆ ไม่แม้แต่จะพูดอะไรออกมาสักคำ ถ้าไม่ใช่เพราะสีหน้าเขาไม่มีความเปลี่ยนแปลงเลยสักนิด หลี่ซูคงสงสัยว่าเขาตกใจกลัวจนช็อกไปแล้วด้วยซ้ำ

ออกมาจากห้องน้ำได้ หลี่ซูก็รีบโทรหา 110 ทันที ขาเขากะปลกกะเปลี้ยจนต้องนั่งคุดคู้อยู่นอกห้องน้ำไม่กล้าเข้าไปในนั้นอีก

หลินปั้นซย่ายืนอยู่ข้างๆ เมื่อหลี่ซูชำเลืองมองเขาถึงพบว่าคนคนนี้ดันยืนเหม่อลอยอยู่

“นายคิดอะไรอยู่เหรอ” หลี่ซูเอ่ยถามอย่างจนใจ

“กำลังคิดว่าเขาขึ้นไปได้ยังไง” หลินปั้นซย่ากล่าว “เมื่อกี้พวกเราไม่เห็นเก้าอี้ใต้เท้าเขาเลยใช่มั้ย”

หลี่ซูผงะ จริงด้วย บนพื้นว่างเปล่า ไม่มีอะไรที่สามารถเหยียบขึ้นไปได้เลย

“งั้นเขาจะขึ้นไปได้ยังไงกัน” หลินปั้นซย่าแปลกใจ

“ไม่นึกว่านายยังมีอารมณ์คิดเรื่องนี้อยู่อีก นับถือๆ”

“งั้นควรคิดอะไรล่ะ”

หลี่ซู “…” ไม่นึกเลยว่าตนจะตอบคำถามของหลินปั้นซย่าไม่ได้

ทันทีที่ตำรวจได้ยินว่ามีคดีฆาตกรรมก็เร่งรุดมาโดยไว ที่มาพร้อมกันยังมีอาจารย์ประจำชั้นของพวกเขาด้วย อาจารย์ประจำชั้นเห็นหลี่ซูก็ตำหนิไปหนึ่งชุด ต่อว่าว่าดึกขนาดนี้แล้วยังไม่กลับไปอีก สุดท้ายก็มาเจอเรื่องแบบนี้ ไม่ใช่การหาเรื่องใส่ตัวหรือ แล้วก็หันมาเจอหลินปั้นซย่าที่ยืนหน้าซื่อตาใสอยู่ข้างๆ อย่างว่าง่าย น้ำเสียงพลันอ่อนโยนขึ้นมาหมื่นเท่าทันที ถามไถ่ว่าหลินปั้นซย่าตกใจกลัวหรือไม่ แล้วยังปลอบประโลมอีกครู่ใหญ่

หลังออกมาจากห้องพักครู ใบหน้าหลี่ซูก็เต็มไปด้วยความไม่ยอม “จริงๆ เลย แก่แล้วสายตาฝ้าฟางสินะ ใครที่ตกใจกลัวกันแน่ยังดูไม่ออกหรือไงวะ”

หลินปั้นซย่าปรายตามองเขา “ไหนนายบอกว่าไม่กลัวไง?”

หลี่ซู “…” เขาสูดลมหายใจเข้าลึก ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันเอ่ยว่า “ฉันหมายความว่าเขาน่าจะปลอบใจนายอีกหน่อย หลังจากนี้นายจะได้ไม่มีแผลใจจนกระทบกับผลการเรียนของนาย!”

เห็นสภาพเขาที่เถียงข้างๆ คูๆ แบบนี้หลินปั้นซย่าก็คิดว่าเขาไม่ได้น่ารำคาญขนาดนั้นแล้ว ก่อนเผยรอยยิ้มออกมาอย่างอดไม่ได้

หลี่ซูโมโห “ยังจะยิ้มอีก ยังอีก…”

หลินปั้นซย่ายิ้มหัวเราะร่ายิ่งกว่าเดิม

แกล้งกันไปมาครู่หนึ่งท้องฟ้าก็มืดสนิทเพราะดึกมากแล้ว หลี่ซูเก็บกระเป๋าหนังสือตั้งใจจะกลับบ้าน เดิมหลินปั้นซย่ายังอยากกำชับให้เขาระวังความปลอดภัยด้วย แต่ก็เห็นซะก่อนว่านักเรียนต่างชาติที่เดินอยู่กับหลี่ซูก่อนหน้านี้มารออยู่ตรงหน้าประตูตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ คนคนนี้ตัวสูงชะลูด เมื่อยืนพิงข้างประตูก็อย่างกับเป็นผู้ใหญ่โตเต็มวัยคนหนึ่ง

หลินปั้นซย่าบอกให้หลี่ซูรู้ “เพื่อนนายมาแล้ว”

หลี่ซูชำเลืองมองคนคนนั้นแล้วเอ่ยอย่างอหังการ “เขาไม่ใช่เพื่อนฉันสักหน่อย”

“หา? งั้นทำไมพวกนายถึงอยู่ด้วยกันบ่อยๆ ล่ะ”

หลี่ซูขบเขี้ยวเคี้ยวฟันเอ่ย “ถ้าอยู่ด้วยกันแล้วเป็นเพื่อนสนิท งั้นพวกเราสองคนก็เป็นเพื่อนสนิทกันใช่ปะ”

หลินปั้นซย่าพูดไม่ออก

“ช่างเถอะ ฉันจะบอกนายก็ได้” หลี่ซูดูเหมือนจะไม่สบอารมณ์นัก “หลี่เย่เป็นคนที่พ่อฉันพากลับมาจากต่างประเทศ…ลูกชายของแม่เลี้ยงฉัน หรือก็คือน้องชายคนละพ่อคนละแม่ของฉัน” ตอนที่เขาพูดคำว่าน้องชาย เขาแทบจะกัดฟันพูดออกมาอยู่แล้ว ไม่รู้ว่ามีปัญหาอะไรกับหลี่เย่กันแน่ถึงทำให้เขาเคียดแค้นขนาดนี้

แต่นั่นก็เป็นเรื่องในครอบครัวเขา หลินปั้นซย่าไม่ควรก้าวก่าย หลี่ซูพูดจบก็โบกมือลา ยกกระเป๋าหนังสือขึ้นสะพายแล้วออกจากห้องไป หลี่เย่ตามหลังเขา คนหนึ่งนำหน้าคนหนึ่งตามหลังเดินจากไป

หลินปั้นซย่าเองก็เก็บกระเป๋าแล้วกลับหอพักตัวเองเช่นกัน กว่าเขาจะกลับถึงห้องก็ดึกมากแล้ว หลังจากหลินปั้นซย่ารีบอาบน้ำลวกๆ เสร็จก็ขึ้นเตียงหลับปุ๋ยไป

 

เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น ข่าวที่มีคนเสียชีวิตในห้องน้ำชายก็แพร่ไปทั่วทั้งโรงเรียน เรื่องราวแปลกๆ ถูกเอาออกไปเล่ากันครึกโครม เรื่องที่เล่ากันแพร่หลายที่สุดคือเป็นเพราะกดดันเรื่องเรียนมากเกินไป แล้วยังมีคนบอกว่าเขาถูกผู้หญิงที่ชอบปฏิเสธจนกระทบจิตใจอย่างรุนแรง แน่นอนว่ายังมีข่าวลือเล็กๆ ว่าเขาถูกสาปด้วย

เพราะเรื่องนี้ทั้งห้องเรียนจึงโหวกเหวกกันตลอดทั้งเช้า หลินปั้นซย่าในฐานะที่เป็นผู้เห็นเหตุการณ์คนแรกก็ได้รับความสนใจจากเพื่อนร่วมชั้นทั้งห้องด้วยเช่นกัน พวกเขาไม่กล้าไปรบกวนหลี่ซูก็เลยวิ่งโร่มาถามนู่นถามนี่กับหลินปั้นซย่าแทน สุดท้ายหลินปั้นซย่าก็ทนไม่ไหวแล้วจริงๆ ฉวยจังหวะตอนพักเที่ยงวิ่งออกจากห้องเรียนมาพักหายใจข้างนอก

หลินปั้นซย่ามีเงินค่าอยู่ค่ากินน้อยมาก ปกติจะกินอาหารที่ราคาถูกที่สุดในโรงอาหาร พวกที่ราคาเพียงสองไคว่* ก็สามารถเลือกกับข้าวได้สามอย่างอะไรพวกนั้น แม้จะมีแต่กับข้าวที่ไม่มีเนื้อเลยก็เถอะ แต่กับข้าวราคาแค่หนึ่งไค่วก็พอยาไส้เขาแล้ว หลินปั้นซย่ากำลังตั้งใจจะไปสั่งข้าวที่ช่องสั่งอาหารตามปกติ แต่กลับถูกใครบางคนดึงคอเสื้อจากด้านหลังเสียก่อน เขาผงะเบาๆ เอี้ยวตัวไปมองก็เห็นว่าเป็นซ่งชิงหลัว

ซ่งชิงหลัวก้มหน้ามองเขา แล้วเอ่ยถาม “ไปไหน”

หลินปั้นซย่าโชว์บัตรอาหารในมือของตัวเอง “กินข้าวเที่ยงครับ…”

“จะกินอะไร”

หลินปั้นซย่าชี้ไปที่ช่องสั่งอาหารล็อกที่ตนตั้งใจจะไป

ซ่งชิงหลัวปรายตามองตามไป ริมฝีปากเม้มเบาๆ ไม่รู้ว่าหลินปั้นซย่าคิดมากไปเองหรือเปล่า แต่เขามักจะรู้สึกเหมือนว่าซ่งชิงหลัวดูไม่สบอารมณ์สักเท่าไร

“มานี่” ซ่งชิงหลัวดึงหลินปั้นซย่าให้เดินตาม

หลินปั้นซย่าสู้แรงอีกฝ่ายไม่ไหวเลย เขาเพิ่งค้นพบว่าแม้ซ่งชิงหลัวคนนี้จะดูผอมบาง แต่จริงๆ แล้วมีพละกำลังมหาศาล ลากตัวเขาไปอย่างกับลากถุงพลาสติก พอถูกลากตัวไป เขาถึงรู้ตัวว่าเพื่อนร่วมชั้นรอบๆ ต่างก็มองมาทางนี้ เขาเลยกลัวว่าตัวเองดีดดิ้นมากไปจะยิ่งดึงดูดความสนใจคนอื่น สุดท้ายก็ได้แต่ยอมให้ซ่งชิงหลัวหิ้วตัวกลับไปที่อาคารเรียนแต่โดยดี

สุดท้ายซ่งชิงหลัวก็หิ้วหลินปั้นซย่าเข้ามาในสโมสรนักเรียน หลังจากจับหลินปั้นซย่านั่งเก้าอี้ ก็เอ่ยบอกให้นั่งรอก่อนจะเดินออกไป…ในตอนที่ออกไป เขายังไม่ลืมล็อกประตูจากด้านนอกด้วย

หลินปั้นซย่าลนลานขึ้นมาทันที คิดในใจว่าตนถูกขังแล้วใช่ไหม ซ่งชิงหลัวจะทำอะไรเขากันแน่

ในห้วงอารมณ์ที่กระสับกระส่าย ไม่นานหลินปั้นซย่าก็เห็นว่าซ่งชิงหลัวกลับมาพร้อมกับถือกระติกเก็บความร้อนไว้ในมือ

ซ่งชิงหลัววางกระติกเก็บความร้อนลงตรงหน้าหลินปั้นซย่า ก่อนพ่นออกมาหนึ่งคำ “กิน”

หลินปั้นซย่ามึนงง “กะ…กินอะไร”

ซ่งชิงหลัวยืนอยู่ตรงหน้าเขา น้ำเสียงฟังดูละเหี่ยใจเล็กน้อย “จะกินอะไรได้ล่ะ” ตอนที่หลินปั้นซย่ายังไม่ทันไหวตัว ก็ยื่นมือออกมาหยิกแก้มเขาหนึ่งที จากนั้นก็จิ๊ปากอย่างไม่พอใจ

หลินปั้นซย่ารู้สึกว่าตนเองถูกรังเกียจขึ้นมาทันที เอ่ยเสียงกระซิบว่า “นี่มันข้าวเที่ยงของนายหรือเปล่า ถ้าฉันกินแล้วนายจะกินอะไรล่ะ”

ซ่งชิงหลัวกล่าว “ก็กินด้วยกันสิ”

พูดไปก็เปิดกระติกเก็บความร้อนไปด้วย เผยให้เห็นกับข้าวหลายอย่างด้านใน หลินปั้นซย่ามองเพียงปราดเดียวก็ต้องลอบกลืนน้ำลาย แต่ก็ตระหนักได้ทันทีว่านี่ไม่ใช่การกระทำที่ดีนัก เขาตั้งใจจะปฏิเสธ ทว่าในทันทีที่คำพูดเพิ่งมาถึงปลายลิ้น เขาก็เห็นซ่งชิงหลัวคีบไส้กรอกชิ้นใหญ่ขึ้นมายัดปากเขาแล้วเรียบร้อย ยังไม่ทันได้พูดคำปฏิเสธ ลิ้นของเขาก็ได้ลิ้มรสชาติของไส้กรอกแล้ว

หอมกรุ่น อ่อนนุ่ม รสชาติที่ไร้การปรุงแต่งและความอร่อยอันเป็นเอกลักษณ์ของไส้กรอกแผ่ซ่านไปทั่วปลายลิ้นอย่างรวดเร็ว ทั้งตัวหลินปั้นซย่าอ่อนยวบลงมาทันที ดวงตากลมเบิกกว้างราวกับตกใจกับความอร่อยที่ไม่เคยได้ลิ้มลองมาก่อนอย่างไรอย่างนั้น

ซ่งชิงหลัวเห็นสีหน้าของเขาก็ขมวดคิ้ว “ไม่ชอบเหรอ”

หลินปั้นซย่าตอบว่า “ชอบ…”

“งั้นกินเถอะ นายต้องกินอะไรดีๆ บ้าง” ซ่งชิงหลัวชะงักก่อนเอ่ยเสริมว่า “ตัวเล็กเกินไปแล้ว”

หลินปั้นซย่าอยากเถียงมากว่าตัวเองก็ตัวใหญ่ แต่เมื่อเห็นส่วนสูงของซ่งชิงหลัวแล้วพอหันกลับมามองตัวเองก็ห่อเหี่ยวทันใด

หลังกินคำแรกไปแล้ว คำที่เหลือก็เป็นธรรมชาติมากขึ้น อาหารที่บรรจุเต็มกระติกทั้งสองกินกันจนเรียบร้อย

หลินปั้นซย่าได้กินอาหารรสเลิศแบบนี้น้อยครั้งมาก ตอนเด็กขอแค่ได้กินอิ่มก็ถือว่าไม่เลวแล้ว หลังจากขึ้นชั้นมัธยมต้น ส่วนใหญ่ก็จะจัดการกับความหิวที่โรงอาหาร กล่าวตามหลักนี่ควรจะเป็นครั้งแรกที่ได้กินอาหารอร่อยขนาดนี้ แต่ไม่รู้ทำไมรสชาติของอาหารมื้อนี้เขากลับรู้สึกคุ้นเคยกับมันนิดๆ กินอยู่ดีๆ ก็ถึงกับน้ำตารื้นขึ้นมาเล็กน้อยอย่างน่าประหลาด

ซ่งชิงหลัวกินค่อนข้างน้อย กินไปแค่ครึ่งหนึ่งเขาก็วางตะเกียบลงข้างๆ และจ้องมองหลินปั้นซย่า

หลินปั้นซย่าก้มหน้าก้มตากิน ไม่รู้สึกรู้สาเลยว่าสายตาของคนตรงหน้าดูมีเลศนัยแอบแฝง

“ปกติกินแต่ข้าวในโรงอาหารเหรอ” ซ่งชิงหลัวถาม

“ใช่” หลินปั้นซย่ากล่าว “ในโรงอาหารก็อร่อยดี ทั้งถูกทั้งสะอาด”

ซ่งชิงหลัวขบคิด “เดือนหนึ่งใช้เงินเท่าไหร่”

คำว่าเงินคำนี้ถือเป็นหายนะในชีวิตหลินปั้นซย่าเลยก็ว่าได้ เมื่อได้ยินคำคำนี้เขาก็รู้สึกกระวนกระวายเล็กน้อย เขาคำนวณลวกๆ เอ่ยอ้ำๆ อึ้งๆ ว่า “ก็…ร้อยกว่าหยวนล่ะมั้ง” ทุกเช้าจะกินหมั่นโถวราคาห้าเหมา ตอนเที่ยงกินข้าวสามหยวน ตอนค่ำกินหมั่นโถวราคาห้าเหมา หรือไม่ก็บะหมี่ชามละหยวน วันหนึ่งรวมแล้วใช้เงินสี่ถึงห้าหยวน หนึ่งเดือนก็ไม่เกินหนึ่งร้อยห้าหยวน

พอใช้อย่างประหยัดแบบนี้ แค่เงินทุนการศึกษาก็พอสำหรับใช้ในชีวิตประจำวันแล้ว เพียงแต่ส่วนของค่าเทอมเขายังต้องไปขยันเพิ่มตอนช่วงปิดเทอมหน้าหนาวและหน้าร้อนโดยการไปช่วยร้านค้าเล็กๆ ทำงาน โดยสรุปแม้จะใช้ชีวิตอย่างยากลำบากแต่ก็ยังพอประทัง

ซ่งชิงหลัวสีหน้าไม่ดีนัก หลินปั้นซย่าไม่เข้าใจว่าเขาทำหน้าแบบนี้หมายความว่ายังไง ด้วยเหตุนี้จึงวางตะเกียบลงอย่างเบามือ เอ่ยเสียงแผ่ว “ทำไมถึงใจดีกับฉันขนาดนี้ล่ะ”

ซ่งชิงหลัวเอ่ย “เดาดูสิ?”

หลินปั้นซย่าไหนเลยจะทายถูก เขาเป็นแค่เด็กนักเรียนธรรมดาๆ ไม่กี่วันก่อนยังเป็นคนแปลกหน้าสำหรับซ่งชิงหลัวอยู่เลย จู่ๆ ก็มาทำดีกับเขาแบบนี้เขาย่อมทำตัวไม่ถูกแน่อยู่แล้ว จนถึงกับเริ่มสงสัยด้วยซ้ำว่าซ่งชิงหลัวมีจุดประสงค์แอบแฝงที่บอกใครไม่ได้หรือเปล่า…แต่เขาก็เป็นแค่นักเรียนยากไร้ จะมีอะไรให้หลอกใช้ได้

หลินปั้นซย่าตอบตรงไปตรงมา “เดาไม่ออก”

“เดาไม่ได้งั้นก็ช่างเถอะ” ซ่งชิงหลัวกล่าว “คิดซะว่านี่เป็นอารมณ์ชั่ววูบของฉันแล้วกัน”

หลินปั้นซย่า “…”

“กินต่อเถอะ อย่าให้เสียของ”

หลินปั้นซย่าพยักหน้า เขาไม่มีทางทิ้งขว้างอาหารแน่นอน ดังนั้นจึงตั้งหน้าตั้งตากินต่ออย่างมีความสุข ระหว่างที่เขากินอาหาร ซ่งชิงหลัวก็ถามเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืน หลินปั้นซย่าเล่าเรื่องทั้งหมดให้ซ่งชิงหลัวฟังโดยละเอียด ซ่งชิงหลัวฟังจบก็เงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยถาม “หลินปั้นซย่า นายฝันได้หรือเปล่า”

หลินปั้นซย่ากล่าว “ก็ต้องได้สิ”

“งั้นถ้าบอกว่าจะมีคนที่นายไม่รู้จักปรากฏขึ้นในฝัน นายเชื่อมั้ย”

 

* คลำหัวไม่เจอสมอง เป็นการอุปมาว่าไม่รู้จะทำอย่างไร ไม่รู้ไม่เข้าใจว่าความเป็นมาเป็นอย่างไร

* ซ่อมหน้าต่างก่อนฝนตก เป็นสำนวน หมายถึงมีการเตรียมการล่วงหน้า กันไว้ดีกว่าแก้

* ไคว่ เป็นภาษาพูดที่คนจีนทั่วไปใช้กัน หมายถึงหยวนซึ่งเป็นค่าเงินของจีน

 

โปรดติดตามตอนต่อไป

ติดตามบทต่อไป ได้ในวันที่ 18 .. 65

Comments

comments

No tags for this post.
Continue Reading

More in everY

บทความยอดนิยม

everY

ทดลองอ่าน เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 Chapter 2.1-2.2 #นิยายวาย

ทดลองอ่าน เรื่อง เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 ผู้เขียน : MINTRAN แปลโดย : ทันบี ผลงานเรื่อง : 배타적 연애 금지구역 ถือเป็นลิขสิทธิ์...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 1-2

บทที่ 1 ฮ่องเต้หญิง   “ท่านพี่นำร้อง น้องหญิงคลอรับ ท่านพี่เสียงเพิ่งลับ น้องหญิงสลับขึ้นเวที เป็นมารดาอารี มีบุตรีกตัญญ...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน ร้อยเรียงรักเคียงฤทัย บทนำ – 1.2

บทนำ ความหลังของต้าลี่ 1   ฤดูหนาวในรัชศกต้าลี่ปีที่สิบเอ็ด โม่เป่ย ตำบลค่งหม่า สถานที่แห่งนี้คือประตูด่านสำคัญสุดท้ายทา...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 7-8

บทที่ 7 ค่าเดินทาง เมื่อภูตสุนัขดำคืนร่างเป็นสุนัขธรรมดาตัวหนึ่ง ภูตบุปผาสองตนนั้นก็ไม่อาจทำการใหญ่ ต่อให้ชาวหมู่บ้านป่า...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 3-4

บทที่ 3 เกิดใหม่   เวิ้งฟ้าดำสนิทปานน้ำหมึก เพียงมีดวงดาวบางตากระจัดกระจายบนม่านฟ้า ทอรัศมีอ่อนจางประเดี๋ยวเผยประเดี๋ยวเ...

community.jamsai.com